https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/issue/feed วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-11-20T12:16:08+07:00 Asst. Prof. Chuankid Masena, Ph.D. chuankidka@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต</strong><br /><strong>Buabundit Journal of Educational Administration</strong><br /><strong>ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892(Online)</span></strong><br />********************<br />สาขาวิชาการบริหารการศึกษาริเริ่มจัดทำวารสารทางวิชาการของสาขาวิชา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยบรรณาธิการในยุคบุกเบิกคนแรกคือ รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ และได้ตั้งชื่อวารสารว่า “วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต” มีกำหนดเผยแพร่ปีการศึกษาละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน ตุลาคม-มกราคม ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม และฉบับที่ 3 เดือน มิถุนายน-กันยายน กองบรรณาธิการได้พยายามพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพวารสารมาโดยตลอด จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2558 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิตได้ถูกจัดคุณภาพให้เป็นวารสารกลุ่มที่ 2 ในฐานข้อมูล TCI จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2562 ซึ่งกองบรรณาธิการได้ปรับรอบการตีพิมพ์บทความให้ตรงกับรอบประเมินของ TCI โดยปรับกำหนดการออกวารสารใหม่ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือน กันยายน-ธันวาคม โดยเริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 16 เป็นต้นไป ขณะนี้ วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต โดยมี ผศ.ดร.ชวนคิด มะเสนะ เป็นบรรณาธิการ ได้ปรับวาระการตีพิมพ์เป็นปีละ 2 ฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 เป็นต้นไป กล่าวคือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) <br />โดยวารสารได้ยื่นคำร้องขอ ISSN จากสำนักหอสมุดแห่งชาติตามลำดับ คือ<br />1.Print-ISSN 1513-007X (ได้ทำเรื่องขอยกเลิกไปแล้ว)<br />2.วารสารได้ดำเนินการขอ E-ISSN ใหม่ คือ <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892 เพื่อปรับชื่อภาษาอังกฤษของวารสารในระบบ ISSN Protal ให้ถูกต้องและตรงตามชื่อภาษาของวารสาร และจะดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่แบบออนไลน์เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปีที่ 24 (มกราคม-มิถุนายน) 2567 เป็นต้นไป<br /><br /></span></p> <p><strong>สาขาของวารสาร:</strong> สังคมศาสตร์ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />1. เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริม การพัฒนาวิชาการทางการศึกษาและบริหารการศึกษา<br />2. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ งานวิจัย และการศึกษา ค้นคว้าของคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งในและนอกสถาบัน<br /><br /><strong>ขอบเขต</strong><br />วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต รับตีพิมพ์บทความด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ และการศึกษา โดยเน้นการบริหารการศึกษา สาขาวิชาที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา เทคโนโลยีการศึกษา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา</p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong><br />1.บทความวิจัย<br />2.บทความวิชาการ<br />3.บทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1: มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2: กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"> </span></p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285267 Teacher Education: Special Focus on Area-based Teacher Attributes in New Rajabhat University Cluster in The Northeast of Thailand 2025-05-29T14:34:53+07:00 Saman Asawapoom samubon@hotmail.com Pongsak Thongpanchang samubon@hotmail.com <p style="font-weight: 400;">Teacher training has been one of basic missions of higher educational institutions in most countries along with the invention of educational institutions. In Thailand, the first Rajabhat university, formerly called a teacher training school, was established over a hundred years ago. At present, there are 38 Rajabhat universities throughout Thailand, although more missions have been assigned, but teacher training is still the main duty of these universities. Recently, a new approach on teacher training has been adopted and assigned to a new Rajabhat university cluster, which includes Si Sa Ket, Roi-Et, and Chaiyaphum Rajabhat University, aiming to provide area-based preservice teacher training for local educational institutions. As both authors are senior lecturers at one of the new Rajabhat university cluster, we conducted a research on the issue and this article is the finding of literature review. The objective of this article is to share important results, synthesis and analysis of the the findings, and implication of the results. The article covers the introduction, area-based education and management, teacher attributes related to area-based education, and finally conclusion and implication of the findings.</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282467 ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 2025-04-30T10:46:17+07:00 เสริมศักดิ์ พิมพ์ศรี pimsisermsuk@gmail.com สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง Pimsisermsuk@gmail.com พิมล วิเศษสังข์ Pimsisermsuk@gmail.com <p>การบริหารทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษามีการกำหนดการจัดการศึกษาและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ผู้ด้อยโอกาสต้องจัดให้ความช่วยเหลือทางการศึกษาในมุมมองของบุคลากรในสถานศึกษา การบริหารทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 320 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ทั้ง 4 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอวัจนภาษา มีระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเข้าใจผู้รับสาร ด้านความชัดเจนและด้านความน่าเชื่อถือ ตามลำดับ 2) ประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ทั้ง 6 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านงานธุรการ ด้านงานเทคโนโลยีการศึกษา ด้านงานประชาสัมพันธ์ ด้านงานเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศและด้านงานกิจการนักเรียน ตามลำดับ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282942 แนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร 2025-04-30T11:16:27+07:00 ศักดา ธรรมภักดิ์ palmsakdape@gmail.com ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล palmsakdape@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยเรื่อง แนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร&nbsp; มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกัน แก้ไขปัญหา และหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู และผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 113 คน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า สภาพการบริหารงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ มีความคิดเห็นที่สรุปได้สอดคล้องกันว่า สถานศึกษาควรจัดประชุม วางแผน และออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกด้าน พร้อมขอความร่วมมือจากชุดปฏิบัติการด้านยาเสพติดในระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงสถานการณ์ปัญหา นอกจากนี้ ผู้บริหารควรมอบหมายให้ครูประจำชั้นสื่อสารกับผู้ปกครองเพื่อให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ส่งเสริมกิจกรรมโครงการสถานศึกษาสีขาวและเพิ่มความร่วมมือกับชุมชน รวมถึงสร้างเครือข่ายข้อมูลยาเสพติดระหว่างโรงเรียนในอำเภอ และจัดกิจกรรมที่มีข้อมูลครบถ้วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยาเสพติดอย่างยั่งยืน</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/283004 การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนของหนังสือเรียนภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดลำปาง 2025-04-30T11:18:27+07:00 บัณศิกาญจ ตั้งภากรณ์ am_sikan@hotmail.com ณธษา ตั้งชัยวรรณา natasa.t@g.lpru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนในหนังสือเรียนภาษาจีนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและศึกษาความคิดเห็นของครูและนักเรียนที่มีต่อเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนในหนังสือเรียนภาษาจีน โดยหนังสือเรียนภาษาจีนที่นำมาศึกษาในครั้งนี้ เป็นหนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 และกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ครูที่สอนวิชาภาษาจีนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน และ 2) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 318 คน ที่ได้มาด้วยวิธีการคัดเลือกแบบกำหนดสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยแบบวิเคราะห์หนังสือเรียนและแบบสำรวจความคิดเห็นของครูและนักเรียน โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 ได้สะท้อนเนื้อหาวัฒนธรรมจีนเชิงพฤติกรรมมากที่สุดที่ร้อยละ 40.63 โดยครูและนักเรียนมีระดับความคิดเห็นในภาพรวมต่อหนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุดที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 และ 4.41 ตามลำดับ</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/283444 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับ การทำงานเป็นทีมของครู โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 2025-05-02T10:29:57+07:00 สงกรานต์ ธิยะคำ poonsai140426@gmail.com ธารารัตน์ มาลัยเถาว์ poonsai140426@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารและครูจากโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในเขตดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย ตามลำดับ 2. การทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอยู่ในระดับสูงสุด โดยองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การประสานงาน ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการติดต่อสื่อสาร และ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.01) ในทุกตัวแปร โดยภาพรวมมีระดับความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง และคู่ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์สูงสุด ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษากับการมีส่วนร่วมของครู</p> <p>&nbsp;</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284342 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2025-05-01T22:06:54+07:00 กษมา เรืองสังข์ klearkasama@gmail.com จุไรศิริ ชูรักษ์ juraisiri.ch@skru.ac.th <p>การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2567 จำนวน 338 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณ มีค่าความเชื่อมั่น<br />ทั้งฉบับเท่ากับ 0.982 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา พบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ได้แก่ ด้านการบริหารหลักสูตรและการสอน (X<sub>2</sub>) ด้านการพัฒนาผู้เรียน (X<sub>3</sub>) ด้านการสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมการเรียนรู้ (X<sub>4</sub>) ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน (X<sub>5</sub>) และด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย (X<sub>1</sub>)</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285211 Regression Analysis of Satisfaction Factors and Net Promoter Score: A Case Study of a College with Small Class Size 2025-06-01T20:59:41+07:00 Yu-Chin Wen yuchin@tni.ac.th <p>Thailand’s aging population increases pressure on colleges to create more value for the student experience. Fortunately, colleges with small class instruction can still compete against larger colleges by focusing on satisfaction factors that are overlooked due to large class sizes. In this research study, regression analysis was used to analyze the predictive relationship between each of ten satisfaction factors and net promoter score. Simple linear regression analysis revealed that satisfaction with academic advising, satisfaction with facility condition, satisfaction with alumni success, and satisfaction with teaching quality all had moderate correlation ranging between 0.3 and 0.7 with net promoter score while other satisfaction factors had weaker correlations. Multiple linear regression analysis showed an adjusted R Square of 0.4759 which indicates that 47.59% of the variance in net promoter score can be explained by the three satisfaction factors of academic advising, faculty interactions, and alumni success. Research results suggest that college administrators should focus more on improving faculty members’ academic advising effectiveness, developing closer faculty connections with students, and ensuring the professional success of graduates versus overemphasizing on other less important factors. Future studies are needed to uncover critical satisfaction factors that have a stronger relationship with net promoter score.</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284014 แนวทางการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2025-05-23T13:06:45+07:00 สินีนาถ มุขขันธ์ stu6530117225@sskru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2) ศึกษาลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 3) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.981 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถาม ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า การมีศีลธรรม การบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ต้องมีความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นสุภาพชน จนเกิดจิตสำนึกที่ดี 3) แนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมอบหมายภาระงานให้เหมาะกับความสามารถของครูผู้สอน พร้อมทั้งต้องมีศีลธรรมในการดำเนินงาน รวมถึงการดำเนินงานที่ชัดเจนแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้เกิดความสมดุลในการพัฒนางาน (Work life balance)</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284655 การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในยุคดิจิทัล เพื่อส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านโพนทอง(แสงราษฎร์สามัคคี) 2025-07-21T14:35:55+07:00 จินตนา ครองยุทธ jin2715jintana@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล 2) พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล เพื่อส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน 3) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับปานกลาง อันดับความต้องการจำเป็นเมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก การใช้และการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามลำดับ 2) ความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบ และคู่มือการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด การทดลองใช้รูปแบบ พบว่า กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การสร้างทีม อยู่ในระดับมากที่สุด <strong>การจัดการความรู้ </strong>อยู่ในระดับมากที่สุด 3) การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารอยู่ในระดับมากที่สุด สมรรถนะครูด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับดีมาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับดีมาก 4) ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ความพึงพอใจของครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครอง ที่มีต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด </p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/286271 การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2025-07-03T15:26:48+07:00 จิตกานต์ สมานพันธ์ memominzz4@gmail.com สรรพสิริ ส่งสุขรุจิโรจน์ jittakan.sg63@ubru.ac.th กชกร ธิปัตดี jittakan.sg63@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้<br>การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TGT 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านแสนสุข และโรงเรียนบ้านกุดประทาย ในกลุ่มเครือข่ายกุดประทาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 <br>ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ <br>1) ชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.52 ซึ่งอยู่ในระดับสูงมาก ทั้งนี้พบว่าระดับความสำเร็จของกลุ่มโดยรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม (Great Team) 2) นักเรียนมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจอยู่ในระดับมาก</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285853 แนวทางการพัฒนางานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 2025-07-05T13:19:46+07:00 ฐิติวัลค์ ดีได้ดี darkdookzaa@gmail.com สมศักดิ์ บุญปู่ darkdookzaa@gmail.com ชูชัย ประดับสุข darkdookzaa@gmail.com <p class="a" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ </span><span style="font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">1) <span lang="TH">ศึกษาสภาพปัจจุบันของงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุคดิจิทัล </span>2) <span lang="TH">ศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุคดิจิทัลตามหลักสังคหวัตถุ </span>4 <span lang="TH">และ </span>3) <span lang="TH">ประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาดังกล่าว กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต </span>1 <span lang="TH">จำนวน </span>210 <span lang="TH">คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ </span>7 <span lang="TH">คน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธี โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินเป็นเครื่องมือ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการพัฒนาและส่งเสริมนักเรียน แนวทางการพัฒนาประกอบด้วย </span>5 <span lang="TH">ด้านสำคัญ ได้แก่ </span>1) <span lang="TH">การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ควรมีระบบเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและปลอดภัย </span>2) <span lang="TH">การคัดกรองนักเรียน ควรมีเครื่องมือมาตรฐานและการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล </span>3) <span lang="TH">การป้องกันและแก้ไขปัญหา ควรมีภาคีเครือข่ายและการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ </span>4) <span lang="TH">การพัฒนาและส่งเสริมนักเรียน ควรมีกิจกรรมหลากหลายที่เหมาะสมกับบริบท และ </span>5) <span lang="TH">การส่งต่อ ควรมีระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงภาคีเครือข่ายเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินงาน ผลการประเมินแนวทางพบว่ามีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านการคัดกรอง การป้องกันและแก้ไขปัญหา และการพัฒนาและส่งเสริมนักเรียน</span></span></p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284769 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2025-05-23T13:19:33+07:00 ชนาธิป กรองทอง ultraman9542@gmail.com พระครูสาธุกิจโกศล Sathukid05@gmail.com สถาพร ภาคพรม sathaporn.sp1118@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ รูปแบบการวิธีวิจัยแบบผสมผสานวิธีระหว่างวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและ ครู จำนวน&nbsp; 191 คน และแบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 7 รูป/คน สถิติที่ใช้เป็น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตฐานและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ ในภาพรวมทั้ง 5 ด้าน พบว่า มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลตามลำดับ 2) วิธีการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ พบว่า มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล จำนวนด้านละ 2 ข้อ และข้อละ 2 วิธีการ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาสหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ พบว่า มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการมีความยืดหยุ่นและปรับตัว ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล จำนวนด้านละ 2 ข้อ และข้อละ 2 แนวทาง</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/283528 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ของโรงเรียนแม่มอญวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 1 2025-04-30T11:35:28+07:00 ศักดินา สุทธิพันธุ์ nut.50220@gmail.com พูนชัย ยาวิราช Phoonchai Yawirach2 ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th สุภาพร เตวิยะ supaporn.tew@crru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ (2) ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จ และ (3) พัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนแม่มอญวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมอยู่ในระดับสูง โดยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการเรียนรู้ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมด้านการประเมินผลยังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ โรงเรียนที่ประสบความสำเร็จใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่ การวางแผนที่มีระบบ การสร้างแรงจูงใจให้บุคลากร และการบูรณาการเทคโนโลยี ทั้งนี้ การพัฒนากลยุทธ์บริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ควรมุ่งเน้น 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) การบริหารที่ยืดหยุ่นและใช้เทคโนโลยี (2) การพัฒนาหลักสูตรเชิงบูรณาการ (3) การอบรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (4) การจัดสรรทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ (5) การปรับโครงสร้างการบริหารให้รองรับการเปลี่ยนแปลง การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การบริหารสถานศึกษาที่เน้นการสนับสนุนนวัตกรรมอย่างเป็นระบบสามารถยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน และส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพของครูได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284307 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 2025-05-20T14:00:55+07:00 ไพฑูรย์ นครชัย nakornchaipaitoon@gmail.com สมาน อัศวภูมิ info@sskru.ac.th จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ info@sskru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล และ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 140 คน และการศึกษาโรงเรียนที่มีแนวทางการบริหารงานดีเด่น ได้แก่ ผู้บริหาร รองผู้อำนวยการหรือรักษาการรองผู้อำนวยการ และครู จำนวน 9 คน ระยะที่ 2 การตรวจสอบยืนยันความเหมาะสมของร่างรูปแบบ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบ ได้แก่ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกการประชุมสนทนากลุ่ม/การจัดสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าร้อยละ เฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่คาดหวัง โดยรวมมีความคาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการ เมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความยืดหยุ่น ด้านการมีจินตนาการ และด้านการมีวิสัยทัศน์ ตามลำดับ และความต้องการเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล เมื่อเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) การแสดงบทบาทสมมติ 2) ระบบพี่เลี้ยง และ 3) การสอนงาน 2. รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) วิธีการดำเนินการ ประกอบด้วย (1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ (2) ด้านการมีจินตนาการ (3) ด้านความยืดหยุ่น (4) ด้านความคิดสร้างสรรค์ และ (5) ด้านการสร้างทีมงาน 4) วิธีการประเมิน 5) เงื่อนไขความสำเร็จ 3. ผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล พบว่า 1) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ โดยรวมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2) ผลการประเมินคู่มือการใช้รูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ผลการประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ4) ผลการประเมินความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282715 การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2025-05-20T13:53:55+07:00 ศรีสว่าง สุพันธ์ srisawang.supa63@sskru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 2) เปรียบเทียบการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษและครู จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่(f) ค่าร้อยละ(P) ค่าเฉลี่ย(x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) ทดสอบสมมติฐานด้วยค่า t และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว(One-way ANOVA) กรณีพบค่าความแตกต่างเป็นรายกลุ่มวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธีของ Scheff ผลการวิจัยพบว่า 1) การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) เปรียบเทียบการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ และประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ข้อเสนอแนะการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ที่สำคัญสูงสุด คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ครูผู้รับผิดชอบงานด้านงบประมาณจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศออนไลน์ ทั้งทางด้านบัญชี การเงิน และพัสดุ ให้เป็นปัจจุบัน เพื่อความโปร่งใส สามารถตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลได้</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284767 แนวทางการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2025-05-23T13:15:24+07:00 ธนากร ปาเส thanakornpase@gmail.com ภัฏชวัชร์ สุขเสน phatchawat55@gmail.com เกษม แสงนนท์ Thanakornpase@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์&nbsp; 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 210 คน และแบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 7 รูป/คน สถิติที่ใช้เป็น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตฐานและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพปัจจุบันทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ พบว่า สภาพปัจจุบันทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 มี 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ได้แก่ 1) ทักษะการกำหนดวิสัยทัศน์ 2) ทักษะการสื่อสาร 3) ทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ 4) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ และ 5) ทักษะทางเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล ตามลำดับ 2. วิธีการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ มีทั้งหมด 5 ด้าน จำนวนด้านละ 2 ข้อ และข้อละ 2 วิธีการ และ 3. แนวทางการพัฒนาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21&nbsp; ตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 โรงเรียนในสหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชิงพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ มีทั้งหมด 5 ด้าน จำนวนด้านละ 2 ข้อ และข้อละ 2 แนวทาง</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284803 การบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ 2025-05-15T20:23:53+07:00 ขวัญชัย จารุเสรีนนท์ kwanjaru14@gmail.com สิน งามประโคน sin.ngam01@gmail.com ชูชัย ประดับสุข Chuchai0505@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาวิธีการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน จำนวน 136 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์ จำนวน 7 รูป/คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมาก ทั้งในภาพรวมและรายด้าน 2) วิธีการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ มี 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการวางแผน (Plan) ด้านการดำเนินการ (Do) ด้านการตรวจสอบ (Check) และด้านการปรับปรุง (Action) และ 3) แนวทางการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA ตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ มี 4 ด้าน 12 แนวทาง ประกอบด้วย ด้านการวางแผน (Plan) ด้านการดำเนินการ (Do) ด้านการตรวจสอบ (Check) และด้านการปรับปรุง (Action) ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมด้วยกระบวนการ PDCA สามารถประยุกต์เข้ากับหลักธรรมอริยสัจ 4 ได้</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284918 การบริหารจัดการขยะโดยใช้กระบวนการ 3Rs ตามหลักอิทธิบาท 4 โรงเรียนบ้านโคกกระเพอสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 2025-06-24T13:49:20+07:00 มาริษา วงศ์กัณหา marisa.vongkanha@gmail.com สิน งามประโคน sin.ngam01@gmail.com ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ Vanamdr@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS โรงเรียนบ้านโคกกระเพอ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 2) เพื่อศึกษาวิธีการบริหารจัดการขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS ตามหลักอิทธิบาท 4 โรงเรียนบ้านโคกกระเพอ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ตามหลักอิทธิบาท 4 มี 3 ด้าน ปะกอบด้วย 1) ด้านการลดปริมาณขยะ (Reduce) 2) ด้านการใช้ซ้ำขยะ (Reuse) 3) ด้านนำขยะมาใช้ใหม่ (Recycle) และ 3) เพื่อเสนอแนวทางบริหารจัดการขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS ตามหลักอิทธิบาท 4 โรงเรียนบ้านโคกกระเพอ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 วิธีดำเนินการวิจัยเป็นวิจัยแบบผสมวิธี เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโคกกระเพอจำนวน 1 คน ครูโรงเรียนบ้านโคกกระเพอ จำนวน 14 คน นักเรียนโรงเรียนบ้านโคกกระเพอชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 - 6 จำนวน 29 คน กรรมการสถานศึกษา จำนวน 9 คน และผู้ปกครองนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 - 6 จำนวน 29 คน รวมทั้งสิ้น 82 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารจัดขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS ตามหลักอิทธิบาท 4 ทั้ง 3 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า ด้านการลดปริมาณขยะ (Reduce) อยู่ลำดับแรก รองลงมาคือด้านการใช้ซ้ำขยะ (Reuse) และด้านนำขยะมาใช้ใหม่ (Recycle) ตามลำดับ 2. วิธีการบริหารจัดขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS ตามหลักอิทธิบาท 4 ทั้ง 3 ด้าน ด้านละ 2 วิธีการ วิธีการที่ 1 คือ การส่งเสริม สนับสนุน ให้ความรู้ ปลูกฝังความสนใจ และจัดกิจกรรม โครงการการจัดการขยะ วิธีการที่ 2 คือ การบูรณาการเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน การรณรงค์ผ่านสื่อ เช่น ป้ายประกาศและโซเชียลมีเดียของโรงเรียน และการสนับสนุนให้โรงเรียนร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น 3. แนวทางการบริหารจัดขยะโดยใช้กระบวนการ 3RS ตามหลักอิทธิบาท 4 ทั้ง 3 ด้าน ด้านละ 2 แนวทาง แนวทางที่ 1 คือ วิเคราะห์ปัญหา และบูรณาการเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน แนวทางที่ 2 เน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้เรียน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน และท้องถิ่น ประชุมวางแผน การบริหารจัดการขยะ</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284945 แนวทางการพัฒนาการบริหารกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนแบบ มีส่วนร่วมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2025-06-24T13:50:52+07:00 อำภา ศรีดาพันธ์ aumpaa6637@gmail.com ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ Vanamdr@hotmail.com สิน งามประโคน sin.ngam01@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา 2) ศึกษาวิธีการพัฒนาการบริหารกิจกรรมดังกล่าว และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยใช้การวิจัยแบบผสมวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 148 โรงเรียน จากประชากรทั้งหมด 233 โรงเรียน โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามจำนวน 592 ชุด ได้รับคืน 510 ชุด และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า สภาพการบริหารกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนแบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการร่วมรับผลประโยชน์ ด้านการร่วมลงมือปฏิบัติ ด้านการร่วมติดตามประเมินผล และด้านการร่วมวางแผน ตามลำดับ สำหรับวิธีการพัฒนาในแต่ละด้าน ได้แก่ การใช้กระบวนการ PDCA ร่วมวางแผนโดยทุกภาคส่วน การตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน การร่วมกำหนดเกณฑ์การประเมิน และการส่งเสริมแรงจูงใจผ่านการมอบวุฒิบัตรและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาเสนอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกำหนดนโยบาย ขั้นตอนดำเนินงาน การประเมินผล และการรับผลประโยชน์ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและยั่งยืนในบริบทของสถานศึกษาและชุมชน</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285485 การประเมินความต้องการจำเป็นการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 2025-07-04T12:38:10+07:00 กรรณิการ์ แก้วพิลา kannika.kaewpila2539@gmail.com สิทธิชัย สอนสุภี sitson@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์การบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 2. เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.974 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI <sub>Modified</sub>) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านผลลัพธ์ และบุคลากร มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายข้อพบว่า ด้านผลลัพธ์ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ด้านกลยุทธ์และด้านบุคลากร <br />มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) การประเมินความต้องการจำเป็นการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศค่าPNI <sub>Modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.365 ถึง 0.464 ลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ <br />ด้านบุคลากร (PNI <sub>Modified</sub> = 0.464) รองลงมา คือ ด้านกลยุทธ์ (PNI <sub>Modified</sub> = 0.441) และลำดับความต้องการจำเป็นต่ำสุดคือ ด้านการปฏิบัติการ (PNI <sub>Modified</sub> = 0.365)</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285448 ภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2025-06-24T14:14:31+07:00 ธมนวรรณ กลับแป้น thamonwan.klu@kkumail.com สิทธิชัย สอนสุภี sitson@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูจำนวน 335 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.977 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI <sub>Modified</sub>)</p> <p>&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริง มีภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายข้อพบว่า ด้านมุมมองเชิงจริยธรรม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการตระหนักรู้ในตนเอง สภาพที่พึงประสงค์ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายข้อพบว่า ด้านมุมมองเชิงจริยธรรมมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และด้านการตระหนักรู้ในตนเอง มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษา มีลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการตระหนักรู้ในตนเอง (PNI <sub>Modified</sub> = 0.466) และลำดับความต้องการจำเป็นต่ำที่สุด คือ ด้านมุมมองเชิงจริยธรรม (PNI <sub>Modified</sub> = 0.347)</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284789 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2025-07-02T20:59:48+07:00 อุเทน สมาคม outansama@gmail.com อุดมพันธ์ พิชญ์ประเสริฐ Outansama@gmail.com จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ Outansama@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 38 คน และครู จำนวน 293 คน รวมทั้งสิ้น 331 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ และเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.981 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.685</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/286171 การศึกษาผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกับการใช้แผนผังความคิด เรื่อง หินและการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2025-07-12T09:54:33+07:00 เตชินท์ พลโยธี techin.pon@spumail.net ผุสดี กลิ่นเกษร phussadee.kl@spu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกับแผนผังความคิดให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นใช้รูปแบบการวิจัยกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเมืองหนองคาย 4 จำนวน 183 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 14 อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 62 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (cluster random sampling) และวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้การคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกับการใช้แผนผังความคิด จำนวน 8 แผนการเรียนรู้ แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 16 ชั่วโมง และ 2) แบบทดสอบวัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าประสิทธิภาพ ดัชนีประสิทธิผล และ Dependent sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.71/89.23 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 75/75 2) ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เท่ากับ 0.8373 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 83.73 และ 3) ผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบการคิดเชิงวิพากย์ร่วมกับการใช้แผนผังความคิดมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (posttest) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน (pretest) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> </p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/286685 The Causal Factor Model of the Learning Management Ability in Competency-Based Language Learning of Elementary School Teachers Under the Amnat Charoen Primary Educational Service Area Office 2025-08-04T13:53:38+07:00 Wimonmat Arreephak wimonmat.ag64@ubru.ac.th Sirisuda Thongchaloem sirisuda.t@ubru.ac.th Jumlong Vongprasert jumlong.v@ubru.ac.th <p>This study aimed to develop and validate the consistency of a causal model of primary school teachers’ competency-based language instruction effectiveness under the Office of Amnat Charoen Primary Educational Service Area, and to examine the direct and indirect influences of factors affecting such effectiveness. The sample consisted of 252 primary school English teachers selected through appropriate statistical sampling methods for structural equation modeling analysis. A questionnaire on factors influencing teachers’ competency-based language instruction effectiveness was used as the research instrument. Data were analyzed using descriptive statistics, Pearson’s correlation, confirmatory factor analysis, and structural equation modeling with MPlus. The findings revealed that the overall level of instructional effectiveness was high (x̄ = 4.50, S.D. = 0.50), particularly in aspects of teaching commitment and promoting student success. The overall causal factors were rated at high to very high levels, such as work motivation (x̄ = 4.74) and professional attitude (x̄ = 4.58). The proposed causal model demonstrated a good fit with empirical data (χ²/df = 1.614, CFI = 0.989, RMSEA = 0.049). The most influential direct factors were teachers’ instructional behavior (BEH) (0.478), work motivation (MOT) (0.379), and classroom environment (ENV) (0.249). Some variables had indirect effects through mediators; for instance, teachers’ academic competence (ACA) influenced instructional effectiveness through teaching behavior (BEH) and classroom environment (ENV).</p> 2025-11-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284830 การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 2025-05-23T13:53:06+07:00 ปริญญา สายแสง saysang1939@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 2. สร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 3. นำไปใช้ในการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม และ 4.ประเมินประสิทธิผลการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งผู้วิจัยได้แบ่งการดำเนินการวิจัยออกเป็น 4 ระยะ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 2. สร้างและพัฒนารูปแบบ คู่มือการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 4. ประเมินคุณภาพผู้เรียนและรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.สภาพที่เป็นอยู่ของการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพภายใน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.93, S = 1.53) สภาพที่ควรจะเป็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.60, S = 0.85) อันดับความต้องการจำเป็น เมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานการศึกษาการติดตามผล การดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษาการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษา การจัดให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2.การประเมินความถูกต้องของรูปแบบโดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (= 4.30, S = 0.72) ระดับความเหมาะสมของรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.23, S = 0.74) ระดับความถูกต้องของคู่มือการใช้รูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.43, S = 0.62)ระดับความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.29, S = 0.74)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3.ผลการทดลองใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม ผู้วิจัยลำดับขั้นตอนตามวงจรคุณภาพ BPDCAR ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ การมีส่วนร่วมระดมความคิด การมีส่วนร่วมวางแผน การมีส่วนร่วมทำ การมีส่วนร่วมตรวจสอบ การมีส่วนร่วมแก้ไข การมีส่วนร่วมสะท้อนผล<br /></span>4. การประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.66, s = 0.62) ผลการประเมินความเป็นประโยชน์ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.67,s = 0.62) ความพึงพอใจของของครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองที่มีต่อรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.76, S = 0.45)</p> 2025-11-14T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/289745 การพัฒนาชุดเกม Unplugged Coding เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์สำหรับเด็กปฐมวัย 2025-11-20T12:16:08+07:00 ธิดารัตน์ จันทะหิน thidarat.ja@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาชุดเกม Unplugged Coding เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย และ (2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมด้วยชุด Unplugged Coding กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 โรงเรียนเทศบาล 3 สามัคคีวิทยาคาร สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 15 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) การดำเนินวิจัยในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 60 นาที เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) ชุดเกม Unplugged Coding จำนวน 9 ชุด (2) แบบประเมินความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย จำนวน 10 ข้อ และ (3) แผนการจัดประสบการณ์จำนวน 9 แผน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่เข้าร่วมกิจกรรม Unplugged Coding มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านมิติสัมพันธ์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าชุดเกม Unplugged Coding ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต