https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/issue/feed
วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
2025-09-08T00:00:00+07:00
Asst. Prof. Chuankid Masena, Ph.D.
chuankidka@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต</strong><br /><strong>Buabundit Journal of Educational Administration</strong><br /><strong>ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892(Online)</span></strong><br />********************<br />สาขาวิชาการบริหารการศึกษาริเริ่มจัดทำวารสารทางวิชาการของสาขาวิชา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยบรรณาธิการในยุคบุกเบิกคนแรกคือ รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ และได้ตั้งชื่อวารสารว่า “วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต” มีกำหนดเผยแพร่ปีการศึกษาละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน ตุลาคม-มกราคม ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม และฉบับที่ 3 เดือน มิถุนายน-กันยายน กองบรรณาธิการได้พยายามพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพวารสารมาโดยตลอด จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2558 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิตได้ถูกจัดคุณภาพให้เป็นวารสารกลุ่มที่ 2 ในฐานข้อมูล TCI จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2562 ซึ่งกองบรรณาธิการได้ปรับรอบการตีพิมพ์บทความให้ตรงกับรอบประเมินของ TCI โดยปรับกำหนดการออกวารสารใหม่ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือน กันยายน-ธันวาคม โดยเริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 16 เป็นต้นไป ขณะนี้ วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต โดยมี ผศ.ดร.ชวนคิด มะเสนะ เป็นบรรณาธิการ ได้ปรับวาระการตีพิมพ์เป็นปีละ 2 ฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 เป็นต้นไป กล่าวคือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) <br />โดยวารสารได้ยื่นคำร้องขอ ISSN จากสำนักหอสมุดแห่งชาติตามลำดับ คือ<br />1.Print-ISSN 1513-007X (ได้ทำเรื่องขอยกเลิกไปแล้ว)<br />2.วารสารได้ดำเนินการขอ E-ISSN ใหม่ คือ <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892 เพื่อปรับชื่อภาษาอังกฤษของวารสารในระบบ ISSN Protal ให้ถูกต้องและตรงตามชื่อภาษาของวารสาร และจะดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่แบบออนไลน์เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปีที่ 24 (มกราคม-มิถุนายน) 2567 เป็นต้นไป<br /><br /></span></p> <p><strong>สาขาของวารสาร:</strong> สังคมศาสตร์ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />1. เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริม การพัฒนาวิชาการทางการศึกษาและบริหารการศึกษา<br />2. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ งานวิจัย และการศึกษา ค้นคว้าของคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งในและนอกสถาบัน<br /><br /><strong>ขอบเขต</strong><br />วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต รับตีพิมพ์บทความด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ และการศึกษา โดยเน้นการบริหารการศึกษา สาขาวิชาที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา เทคโนโลยีการศึกษา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา</p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong><br />1.บทความวิจัย<br />2.บทความวิชาการ<br />3.บทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1: มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2: กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"> </span></p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284830
การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม
2025-05-23T13:53:06+07:00
ปริญญา สายแสง
saysang1939@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 2. สร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 3. นำไปใช้ในการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม และ 4.ประเมินประสิทธิผลการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งผู้วิจัยได้แบ่งการดำเนินการวิจัยออกเป็น 4 ระยะ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 2. สร้างและพัฒนารูปแบบ คู่มือการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม 4. ประเมินคุณภาพผู้เรียนและรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.สภาพที่เป็นอยู่ของการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพภายใน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.93, S = 1.53) สภาพที่ควรจะเป็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.60, S = 0.85) อันดับความต้องการจำเป็น เมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานการศึกษาการติดตามผล การดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษาการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษา การจัดให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2.การประเมินความถูกต้องของรูปแบบโดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (= 4.30, S = 0.72) ระดับความเหมาะสมของรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.23, S = 0.74) ระดับความถูกต้องของคู่มือการใช้รูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.43, S = 0.62)ระดับความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.29, S = 0.74)<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3.ผลการทดลองใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม ผู้วิจัยลำดับขั้นตอนตามวงจรคุณภาพ BPDCAR ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ การมีส่วนร่วมระดมความคิด การมีส่วนร่วมวางแผน การมีส่วนร่วมทำ การมีส่วนร่วมตรวจสอบ การมีส่วนร่วมแก้ไข การมีส่วนร่วมสะท้อนผล<br /></span>4. การประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการประกันคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านสะพานโดม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.66, s = 0.62) ผลการประเมินความเป็นประโยชน์ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.67,s = 0.62) ความพึงพอใจของของครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองที่มีต่อรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.76, S = 0.45)</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/285211
Regression Analysis of Satisfaction Factors and Net Promoter Score: A Case Study of a College with Small Class Size
2025-06-01T20:59:41+07:00
Yu-Chin Wen
yuchin@tni.ac.th
<p>Thailand’s aging population increases pressure on colleges to create more value for the student experience. Fortunately, colleges with small class instruction can still compete against larger colleges by focusing on satisfaction factors that are overlooked due to large class sizes. In this research study, regression analysis was used to analyze the predictive relationship between each of ten satisfaction factors and net promoter score. Simple linear regression analysis revealed that satisfaction with academic advising, satisfaction with facility condition, satisfaction with alumni success, and satisfaction with teaching quality all had moderate correlation ranging between 0.3 and 0.7 with net promoter score while other satisfaction factors had weaker correlations. Multiple linear regression analysis showed an adjusted R Square of 0.4759 which indicates that 47.59% of the variance in net promoter score can be explained by the three satisfaction factors of academic advising, faculty interactions, and alumni success. Research results suggest that college administrators should focus more on improving faculty members’ academic advising effectiveness, developing closer faculty connections with students, and ensuring the professional success of graduates versus overemphasizing on other less important factors. Future studies are needed to uncover critical satisfaction factors that have a stronger relationship with net promoter score.</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284014
แนวทางการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1
2025-05-23T13:06:45+07:00
สินีนาถ มุขขันธ์
stu6530117225@sskru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2) ศึกษาลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 3) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 338 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.981 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถาม ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ลักษณะที่ดี (Best practice) ของสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า การมีศีลธรรม การบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ต้องมีความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นสุภาพชน จนเกิดจิตสำนึกที่ดี 3) แนวทางในการส่งเสริมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมอบหมายภาระงานให้เหมาะกับความสามารถของครูผู้สอน พร้อมทั้งต้องมีศีลธรรมในการดำเนินงาน รวมถึงการดำเนินงานที่ชัดเจนแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้เกิดความสมดุลในการพัฒนางาน (Work life balance)</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284655
การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในยุคดิจิทัล เพื่อส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านโพนทอง(แสงราษฎร์สามัคคี)
2025-07-21T14:35:55+07:00
จินตนา ครองยุทธ
jin2715jintana@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล 2) พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล เพื่อส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน 3) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับปานกลาง อันดับความต้องการจำเป็นเมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก การใช้และการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการออกแบบการจัดการเรียนรู้ตามลำดับ 2) ความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบ และคู่มือการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด การทดลองใช้รูปแบบ พบว่า กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การสร้างทีม อยู่ในระดับมากที่สุด <strong>การจัดการความรู้ </strong>อยู่ในระดับมากที่สุด 3) การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารอยู่ในระดับมากที่สุด สมรรถนะครูด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับดีมาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับดีมาก การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับดีมาก 4) ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ความพึงพอใจของครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครอง ที่มีต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด </p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/283004
การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนของหนังสือเรียนภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดลำปาง
2025-04-30T11:18:27+07:00
บัณศิกาญจ ตั้งภากรณ์
am_sikan@hotmail.com
ณธษา ตั้งชัยวรรณา
natasa.t@g.lpru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนในหนังสือเรียนภาษาจีนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและศึกษาความคิดเห็นของครูและนักเรียนที่มีต่อเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมจีนในหนังสือเรียนภาษาจีน โดยหนังสือเรียนภาษาจีนที่นำมาศึกษาในครั้งนี้ เป็นหนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 และกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ครูที่สอนวิชาภาษาจีนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน และ 2) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 318 คน ที่ได้มาด้วยวิธีการคัดเลือกแบบกำหนดสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยแบบวิเคราะห์หนังสือเรียนและแบบสำรวจความคิดเห็นของครูและนักเรียน โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 ได้สะท้อนเนื้อหาวัฒนธรรมจีนเชิงพฤติกรรมมากที่สุดที่ร้อยละ 40.63 โดยครูและนักเรียนมีระดับความคิดเห็นในภาพรวมต่อหนังสือเรียนภาษาจีนชุดสัมผัสภาษาจีน สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (体验汉语——初中) เล่มที่ 1 ถึง เล่มที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุดที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 และ 4.41 ตามลำดับ</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/283444
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับ การทำงานเป็นทีมของครู โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1
2025-05-02T10:29:57+07:00
สงกรานต์ ธิยะคำ
poonsai140426@gmail.com
ธารารัตน์ มาลัยเถาว์
poonsai140426@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารและครูจากโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในเขตดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย ตามลำดับ 2. การทำงานเป็นทีมของครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอยู่ในระดับสูงสุด โดยองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การประสานงาน ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และการติดต่อสื่อสาร และ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครู พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.01) ในทุกตัวแปร โดยภาพรวมมีระดับความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง และคู่ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์สูงสุด ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษากับการมีส่วนร่วมของครู</p> <p> </p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284342
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2025-05-01T22:06:54+07:00
กษมา เรืองสังข์
klearkasama@gmail.com
จุไรศิริ ชูรักษ์
juraisiri.ch@skru.ac.th
<p>การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2567 จำนวน 338 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณ มีค่าความเชื่อมั่น<br />ทั้งฉบับเท่ากับ 0.982 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา พบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ได้แก่ ด้านการบริหารหลักสูตรและการสอน (X<sub>2</sub>) ด้านการพัฒนาผู้เรียน (X<sub>3</sub>) ด้านการสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมการเรียนรู้ (X<sub>4</sub>) ด้านการนิเทศ กำกับติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน (X<sub>5</sub>) และด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย (X<sub>1</sub>)</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282467
ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2025-04-30T10:46:17+07:00
เสริมศักดิ์ พิมพ์ศรี
pimsisermsuk@gmail.com
สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง
Pimsisermsuk@gmail.com
พิมล วิเศษสังข์
Pimsisermsuk@gmail.com
<p>การบริหารทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษามีการกำหนดการจัดการศึกษาและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ผู้ด้อยโอกาสต้องจัดให้ความช่วยเหลือทางการศึกษาในมุมมองของบุคลากรในสถานศึกษา การบริหารทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 320 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ทั้ง 4 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอวัจนภาษา มีระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเข้าใจผู้รับสาร ด้านความชัดเจนและด้านความน่าเชื่อถือ ตามลำดับ 2) ประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ทั้ง 6 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านงานธุรการ ด้านงานเทคโนโลยีการศึกษา ด้านงานประชาสัมพันธ์ ด้านงานเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศและด้านงานกิจการนักเรียน ตามลำดับ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282942
แนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร
2025-04-30T11:16:27+07:00
ศักดา ธรรมภักดิ์
palmsakdape@gmail.com
ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล
palmsakdape@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> </p> <p> การวิจัยเรื่อง แนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกัน แก้ไขปัญหา และหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู และผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 113 คน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า สภาพการบริหารงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ มีความคิดเห็นที่สรุปได้สอดคล้องกันว่า สถานศึกษาควรจัดประชุม วางแผน และออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกด้าน พร้อมขอความร่วมมือจากชุดปฏิบัติการด้านยาเสพติดในระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงสถานการณ์ปัญหา นอกจากนี้ ผู้บริหารควรมอบหมายให้ครูประจำชั้นสื่อสารกับผู้ปกครองเพื่อให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ส่งเสริมกิจกรรมโครงการสถานศึกษาสีขาวและเพิ่มความร่วมมือกับชุมชน รวมถึงสร้างเครือข่ายข้อมูลยาเสพติดระหว่างโรงเรียนในอำเภอ และจัดกิจกรรมที่มีข้อมูลครบถ้วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยาเสพติดอย่างยั่งยืน</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต