วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต ISSN: 3027-7892 (Online) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD <p>สาขาวิชาการบริหารการศึกษาริเริ่มจัดทำวารสารทางวิชาการของสาขาวิชา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยบรรณาธิการในยุคบุกเบิกคนแรกคือ รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ และได้ตั้งชื่อวารสารว่า “วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต” มีกำหนดเผยแพร่ปีการศึกษาละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน ตุลาคม-มกราคม ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม และฉบับที่ 3 เดือน มิถุนายน-กันยายน กองบรรณาธิการได้พยายามพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพวารสารมาโดยตลอด จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2558 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิตได้ถูกจัดคุณภาพให้เป็นวารสารกลุ่มที่ 2 ในฐานข้อมูล TCI จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2562 ซึ่งกองบรรณาธิการได้ปรับรอบการตีพิมพ์บทความให้ตรงกับรอบประเมินของ TCI โดยปรับกำหนดการออกวารสารใหม่ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือน กันยายน-ธันวาคม โดยเริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 16 เป็นต้นไป ขณะนี้ วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต โดยมี ผศ.ดร.ชวนคิด มะเสนะ เป็นบรรณาธิการ ได้ปรับวาระการตีพิมพ์เป็นปีละ 2 ฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 เป็นต้นไป กล่าวคือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) </p> Department of Educational Administration, Ubonratchathani Rajabhat University th-TH วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต ISSN: 3027-7892 (Online) 3027-7892 การบริหารการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อประสมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง เคมีเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต กรณีศึกษา: นักเรียนโครงการห้องเรียนพิเศษแผนการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (AP) โรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266863 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการบริหารการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อประสมและศึกษาสมรรถนะของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อประสม เพื่อการสร้างสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง เคมีเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนในรายวิชา สอวน. ชีววิทยา 2 จำนวน 15 คน โดยมีเครื่องมือวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน ใบกิจกรรม แบบสังเกต/สะท้อนผลการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence: IOC) เฉลี่ยเท่ากับ 0.89, 0.82, 0.81 และ 0.85 ตามลำดับ ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามลำดับ ผลวิจัยพบว่า ผลของการบริหารการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐานร่วมกับสื่อประสม โดยภาพรวม พบว่า ผลของการบริหารการจัดการเรียนรู้ ดังกล่าว มีระดับสมรรถนะของการบริหารการจัดการเรียนรู้มีระดับสูงขึ้นอย่างเป็นลำดับ โดยมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้มีร้อยละ 29.43 และ 74.83 และเมื่อศึกษาสมรรถนะของนักเรียนของนักเรียนหลังจากการจัดการเรียนรู้ พบว่า สมรรถนะของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ผ่านเกณฑ์การพิจารณาสมรรถนะของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 5 เกณฑ์ โดยเกณฑ์ที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ระดับดีมาก มีค่า 4.00 คือ ด้านที่ 4 ด้านสมรรถนะในการใช้สื่อและเทคโนโลยี และผลการประเมินเฉลี่ยรวมทั้ง 5 ด้าน พบว่ามีค่าเฉลี่ย 3.67 อยู่ในระดับดี</p> กิตติวัฒน์ ดิษฐประเสริฐ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 1 18 ความฉลาดทางอารมณ์ของภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266350 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และ สำนักงานส่งเสริมการศึกเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง 2. เปรียบเทียบระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และ สำนักงานส่งเสริมการศึกเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ระดับการศึกษา ขนาดของสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม &nbsp;โดยมีกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย คือครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายแพรวาคำม่วง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง ซึ่งกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 307 คน และสุ่มโดยวิธีการสุ่มแบบชั้นถูมิอย่างเป็นสัดส่วน (Proportional Stratified Random Sampling) แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายแพรวาคำม่วง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายแพรวาคำม่วง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกเอกชน ศึกษาธิการจังหวัดระยอง จำแนกตาม ประสบการณ์การทำงาน ระดับการศึกษา และขนาดโรงเรียน</p> เยาวลักษณ์ จิรายุ ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ ศุภาพิชญ์ ติรยานามวงษ์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 19 31 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรในกลุ่มโรงเรียนสหวิทยศึกษาอำเภอวิหารแดงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266446 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรในกลุ่มโรงเรียนสหวิทยศึกษาอำเภอวิหารแดงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต2 2.เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงในการปฏิบัติงานของครูและบุคลากร ในกลุ่มโรงเรียนสหวิทยศึกษาอำเภอวิหารแดง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรีเขต 2 โดยจำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน3. เพื่อนำผลการวิจัยครั้งนี้ นำไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะพัฒนา ปรับปุรง และแก้ไข ในลำดับต่อไป โดยมีกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย คือ &nbsp;ครูและบุคลากรในกลุ่มโรงเรียนสหวิทยศึกษาอำเภอวิหารแดง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สระบุรีเขต 2&nbsp; จำนวน 148 คน โดยในการเลือกกลุ่มตัวอย่างในการศึกษางานวิจัยนี้ ได้ใช้ ตารางของเครซและมอร์แกน ( ธีระวัฒ เอกะกล,2543 &nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบหาค่าความเชื่อมั่น ด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค(Cronbach’s Alpha Coefficeint) ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากบั 0.946 สถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบแรงจูงใจของครูและบุคลากรที่มีผลต่อการ จำแนกตามจำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน วิเคราะห์โดยใช้ค่า t-test แบบ Independent สำหรับประสบการณ์การปฏิบัติงาน วิเคราะห์โดยค่า One Way Analysis of Variance (ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 จึงทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีเชฟเฟ่ (Scheff 'e (Scheff 's Post hoc Comparison)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็น ผลการศึกษาได้ดังนี้ จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ผู้บริหารสถานศึกษา 46 คน คิดเป็นร้อยละ 30.77 ส่วนครูผู้สอนจำนวน102 คน คิดเป็นร้อยละ 69.23 จำแนกตามระดับการศึกษา&nbsp; พบว่าครูและบุคลากรระดับปริญญาตรี คิดเป็นจำนวน 140 คน คิดเป็นร้อย ละ 94.60 สูงกว่าปริญญาตรี คิดเป็นจำนวน 6 คน คิดเป็นร้อย ละ 4.05&nbsp; จำแนกตามประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน พบว่าครูและบุคลากรที่มีช่วงเวลาในการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ 1-5 ปี จำนวน 80 คน คิดเป็นร้อยละ 53.84&nbsp; ช่วงเวลา 5 - 10 ปี&nbsp; จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 23.08 ช่วงเวลา 10 ปี ขึ้นไปจำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 23.08 ตามลำดับ</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ มีระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่การงาน พบว่าในภาพรวมแล้ว มีระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลย 4.31 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45 ตามลำดับ จำแนกตามระดับการศึกษาพบว่าใน ภาพรวมแล้ว ครูและบุคลากรที่มีระดับการศึกษา ต่างกันมีระดับแรงจูงใจในการ ปฏิบัติงานโดยภาพรวมไม่แตกต่างกันและเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ระดับการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่นๆไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงานพบว่าในภาพรวมแล้ว ครูและบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ต่างกันมีระดับแรงจูงใจในการ ปฏิบัติงานโดยภาพรวมไม่แตกต่างกันและเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่นๆไม่แตกต่างกัน</li> </ol> สุกัญญา โพธิ์ศรี ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 32 47 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266347 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 จำแนกตามการประเมินของข้าราชการครู ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 เป็นรูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในครั้งนี้ คือ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 จำนวน 300 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ คือ หัวหน้าฝ่ายวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 จำนวนทั้งสิ้น 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br>ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบค่าที (Independent Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">1. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">2. ข้าราชการครูที่มีระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน ต่างกัน จะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> </ol> <p>3. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน</p> อภิสิทธิ์ ทุริยานนท์ ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 48 64 ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266427 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด จำแนกตามอายุ ประสบการณ์การทำงาน ระดับการศึกษา เป็นการวิจัย เชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนของสถานศึกษาในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด ที่มาจากการคำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน ที่มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย (Simple random sampling) แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอบ่อไร่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด ตามการประเมินของครูจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษาและประ สบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อาณัติ ปรมาธิกุล ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 ุ65 78 การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียนพิการ กรณีศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266843 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียนพิการ กรณีศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี (2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะของผู้ปกครองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานักเรียนพิการ กรณีศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี</p> <p>รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา ประชากร ประกอบด้วย ผู้ปกครองของนักเรียนพิการที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับเตรียมความพร้อม ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี จำนวน 306 คน กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ปกครองของนักเรียนพิการที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับเตรียมความพร้อม ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสระบุรี จำนวน 13 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)&nbsp; วิธีดำเนินการวิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียนพิการ กรณีศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสระบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ที่บ้าน ด้านอาสาสมัคร ด้านการอบรมเลี้ยงดูในฐานะผู้ปกครอง ด้านการร่วมมือกับชุมชน&nbsp; ด้านการติดต่อสื่อสาร และด้านการตัดสินใจ ตามลำดับ</p> <p>2) ข้อเสนอแนะจากผู้ปกครอง โรงเรียนควรมีการสื่อสารกับพ่อแม่ ผู้ปกครองให้มากขึ้น การสื่อสารควรมีลักษณะเฉพาะเพื่อความรวดเร็ว สะดวก ควรมีการจัดประชุม ฝึกอบรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความรู้ความเข้าใจร่วมกัน โรงเรียนควรจะจัดกิจกรรมอบรมครู บุคลากรในโรงเรียนให้รับทราบและมีความเข้าใจในนโยบายของโรงเรียน</p> <p>&nbsp;</p> ฉัตรชัย ดีพิมาย ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 ึ79 98 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย Quizizz เรื่อง การเก็บรวบรวมและสำรวจข้อมูล วิชา วิทยาการคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266382 <p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย Quizizz เรื่อง การเก็บรวบรวมและสำรวจข้อมูล วิชา วิทยาการคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ วัตถุประสงค์ในการวิจัย 1) เพื่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย Quizizz เรื่อง การเก็บรวบรวมและสำรวจข้อมูล วิชาวิทยาการคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การเก็บรวบรวมและสำรวจข้อมูล วิชา วิทยาการคำนวณ ด้วย Quizizz สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน Quizizz จำนวน 3 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้สื่อการสอน Quizizz สถิติที่ใช้ ได้แก่ การทดสอบค่าที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แผนการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน Quizizz รายวิชา วิทยาการคำนวณ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 เรื่อง การเก็บรวบรวมและสำรวจข้อมูล ที่สร้างขึ้นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ Quizizz พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในรายข้อส่วนใหญ่อยู่ในระดับพึงพอใจมาก คือ นักเรียนคิดว่าควรนำบทเรียนโดยใช้ Quizizz ไปใช้สอนในเนื้อหาอื่นด้วย</p> Nichaporn Karoon Rangsan Wetchaphan วชิระ โมราชาติ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 99 107 การพัฒนาทักษะพื้นฐานกีฬาแชร์บอลที่มีผลต่อการยิงลูกแชร์บอลเหนือศีรษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/266348 <p>วิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกการพัฒนาทักษะพื้นฐานกีฬาแชร์บอลที่มีผลต่อการยิงลูกแชร์บอลเหนือศีรษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้มาโดยกลุ่มเป้าหมาย 6 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 4 คน &nbsp;วิธีการให้ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบการยิงเหนือศรีษะ จำนวน 10 ลูก จากนั้นให้นักเรียนฝึก แบบฝึกชุดที่ 1 ทักษะพื้นฐานกีฬาแชร์บอลที่มีผลต่อการยิงลูกแชร์บอลเหนือศีรษะลงตะกร้า ระยะ 4 เมตร และแบบฝึกชุดที่ 2 ทักษะพื้นฐานกีฬาแชร์บอลที่มีผลต่อการยิงลูกแชร์บอลเหนือศีรษะลงตะกร้า ระยะ 5 เมตร เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นทดสอบทักษะพื้นฐานการยิงประตูเหนือศรีษะ จำนวน 10 ลูก ผลการศึกษาพบว่าหลังจากที่นักเรียนได้มีการพัฒนาการแก้ปัญหาการยิงลูกแชร์บอลเหนือศีรษะ พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี&nbsp; ที่กำลังเรียนวิชา แชร์บอล ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 &nbsp;มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 69 &nbsp;สรุปผลการศึกษา พบว่าหลังจากใช้แบบฝึกทักษะการยิงเหนือศรีษะ นักเรียนมีพัฒนาการในการยิงประตูเหนือศรีษะเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 69</p> เกียรติศักดิ์ แสนทวีสุข ดิศพล บุปผาชาติ วันเฉลิม ยอดสิงห์ Copyright (c) 2023 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2023-12-08 2023-12-08 23 2 108 114