วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD <p><strong>วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต</strong><br /><strong>Buabundit Journal of Educational Administration</strong><br /><strong>ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892(Online)</span></strong><br />********************<br />สาขาวิชาการบริหารการศึกษาริเริ่มจัดทำวารสารทางวิชาการของสาขาวิชา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยบรรณาธิการในยุคบุกเบิกคนแรกคือ รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ และได้ตั้งชื่อวารสารว่า “วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต” มีกำหนดเผยแพร่ปีการศึกษาละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือน ตุลาคม-มกราคม ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม และฉบับที่ 3 เดือน มิถุนายน-กันยายน กองบรรณาธิการได้พยายามพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพวารสารมาโดยตลอด จนกระทั่ง ในปี พ.ศ.2558 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิตได้ถูกจัดคุณภาพให้เป็นวารสารกลุ่มที่ 2 ในฐานข้อมูล TCI จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2562 ซึ่งกองบรรณาธิการได้ปรับรอบการตีพิมพ์บทความให้ตรงกับรอบประเมินของ TCI โดยปรับกำหนดการออกวารสารใหม่ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือน กันยายน-ธันวาคม โดยเริ่มตั้งแต่วารสารปีที่ 16 เป็นต้นไป ขณะนี้ วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต โดยมี ผศ.ดร.ชวนคิด มะเสนะ เป็นบรรณาธิการ ได้ปรับวาระการตีพิมพ์เป็นปีละ 2 ฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 เป็นต้นไป กล่าวคือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) <br />โดยวารสารได้ยื่นคำร้องขอ ISSN จากสำนักหอสมุดแห่งชาติตามลำดับ คือ<br />1.Print-ISSN 1513-007X (ได้ทำเรื่องขอยกเลิกไปแล้ว)<br />2.วารสารได้ดำเนินการขอ E-ISSN ใหม่ คือ <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-7892 เพื่อปรับชื่อภาษาอังกฤษของวารสารในระบบ ISSN Protal ให้ถูกต้องและตรงตามชื่อภาษาของวารสาร และจะดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่แบบออนไลน์เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปีที่ 24 (มกราคม-มิถุนายน) 2567 เป็นต้นไป<br /><br /></span></p> <p><strong>สาขาของวารสาร:</strong> สังคมศาสตร์ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />1. เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริม การพัฒนาวิชาการทางการศึกษาและบริหารการศึกษา<br />2. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ งานวิจัย และการศึกษา ค้นคว้าของคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งในและนอกสถาบัน<br /><br /><strong>ขอบเขต</strong><br />วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต รับตีพิมพ์บทความด้านศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ และการศึกษา โดยเน้นการบริหารการศึกษา สาขาวิชาที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จิตวิทยา เทคโนโลยีการศึกษา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สัมพันธ์กับการศึกษา</p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong><br />1.บทความวิจัย<br />2.บทความวิชาการ<br />3.บทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong><br />ฉบับที่ 1: มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2: กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none"> </span></p> Department of Educational Administration, Ubonratchathani Rajabhat University th-TH วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 3027-7892 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/280043 <p>ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในยุคดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการสื่อสารในปัจจุบัน ผู้บริหารในยุคดิจิทัลต้องมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสร้างนวัตกรรมใหม่ในกระบวนการบริหารจัดการ นอกจากนี้ ผู้นำต้องมีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ดี และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัล การบริหารในยุคดิจิทัลยังเน้นการทำงานร่วมกันในรูปแบบออนไลน์ การสร้างความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงการพัฒนาแนวคิดที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้เรียน ดังนั้น ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารจึงเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรการศึกษาให้บรรลุผลสำเร็จในยุคดิจิทัล ในที่นี้จะนำเสนอองค์ความรู้เนื้อหาประกอบด้วย 1. ความหมายภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2. ความสำคัญของภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 3. องค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 4. แนวทางการการจัดการศึกษาในยุคดิจิทัล 5. สรุปองค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในยุคดิจิทัล 6. บทสรุป ดังนั้นแล้ว หากพูดถึงเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในระบบการศึกษา เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยให้การศึกษามีการพัฒนาและเติบโตไปในวงกว้าง ซึ่งมีข้อดีก็คือเป็นการลดความเหลื่อมล้ำโอกาสทางการศึกษาได้เป็นอย่างมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องเป็นผู้นำทางวิชาการโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการศึกษา ให้บุคลากรในองค์กร และผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรความรู้และสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน</p> ชนิดา สารทอง ธิดาวัลย์ อุ่นกอง Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 340 354 การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนกวดวิชาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/277606 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนกวดวิชาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยทำการศึกษาและวิเคราะห์บนพื้นฐานของแนวคิด ทฤษฎี และการวิจัย เนื่องจากการบริหารวิชาการเป็นงานที่มีความสำคัญต่อสถานศึกษาซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ตรงตามมาตรฐานการศึกษา ดังนั้นโรงเรียนกวดวิชาต้องมีการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนจะได้รับและเพื่อความอยู่รอดในการประกอบธุรกิจกวดวิชา โดยต้องคำนึงถึง (1) ความถูกต้องตามหลักวิชาการ (Academic) (2) การมีส่วนร่วมและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Team Work) (3) การมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child Center) และ (4) การประกันคุณภาพและมาตรฐานทางการศึกษา (Quality and Standard) โดยในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนกวดวิชาต้องประกอบด้วย (1) การพัฒนาหลักสูตรให้ถูกต้องและมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและนโยบายทางการศึกษาของประเทศ (2) การมีครูผู้สอนที่มีความรู้ เทคนิคและทักษะในการถ่ายทอดความรู้ (3) การมีเอกสารประกอบ การเรียน สื่อการเรียนรู้ รวมทั้งการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เพียงพอทันสมัย (4) การจัดตารางเรียนที่มีความสะดวกต่อผู้เรียนและมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ และ (5) การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานในการจัดการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียนให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความพึงพอใจและความมั่นใจให้กับผู้เรียนและผู้ปกครอง รวมทั้งยังเป็นส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี</p> กรกฤช ศรีวิชัย ชีวิน สุขสมณะ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 355 367 การศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง : ลักษณะคุณภาพอนาคต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/272521 <p>บทความนี้เป็นบทความวิขาการที่จะได้กล่าวถึง การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการอยู่รอดอย่างมีคุณภาพในอนาคต บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการอยู่รอดและพัฒนาคุณภาพชีวิตในอนาคต โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ในการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ อย่างหลากหลายมิติ การพัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัลจะช่วยส่งเสริมให้บุคคลสามารถปรับตัวและพัฒนาทักษะเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาไทยต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนโดยใช้เครื่องมือดิจิทัลในการเรียนรู้และการทำงาน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างมีคุณภาพ</p> ปฎิญญา พั่วระยะ พรนภัส สุธรรมมา รัตนวลัย ธนะคุณ ชวนคิด มะเสนะ สมฤทัย เตาจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 368 379 พลังแห่งการมีส่วนร่วม : การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/279433 <p>การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด การระดมทรัพยากรทางการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการยกระดับคุณภาพการศึกษา เป็นกลไกสำคัญในการสร้างคุณภาพและความยั่งยืนให้กับระบบการศึกษา ทรัพยากรที่หลากหลายทั้งทางกายภาพและทางปัญญาสามารถช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนและสังคม การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้โรงเรียนสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะนำเสนอองค์ความรู้การระดมทรัพยากรทางการศึกษา ประกอบด้วย 1) ความหมายและประเภทของทรัพยากรทางการศึกษา 2) แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการระดมทรัพยากรทางการศึกษา 3) รูปแบบและวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา 4) กรณีศึกษาความสำเร็จในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ 5) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และ 6) บทสรุป ดังนั้น ในฐานะผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่างๆเพื่อเป็นแนวทางในการระดมทรัพยากรทางการศึกษา ทั้งนี้การระดมทรัพยากรทางการศึกษาไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสและความยั่งยืนให้กับสถาบันการศึกษาและชุมชน การร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ชุมชน ภาครัฐ และเอกชน เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่าโรงเรียนอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดในด้านต่างๆ แต่การระดมทรัพยากรอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างเส้นทางใหม่ให้กับการศึกษา สร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับเยาวชน และเสริมสร้างสังคมที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน</p> นัยนา ยะตา ธิดาวัลย์ อุ่นกอง Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 380 393 การพัฒนานวัตกรรมการศึกษาทางนาฏศิลป์ ชุด ฟ้อนบุญข้าวปะดับปะดิน สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/284324 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยเรื่องการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาทางนาฏศิลป์ ชุด ฟ้อนบุญข้าวปะดับปะดิน สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาความเป็นมาของประเพณีบุญข้าวประดับดินของชาวผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2. เพื่อพัฒนานวัตกรรมการศึกษาทางนาฏศิลป์ ชุด ฟ้อนบุญข้าวปะดับปะดิน สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ และการเก็บรวบรวมข้อมูลและการลงพื้นที่ภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล จัดกระทำข้อมูล และการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาทางนาฏศิลป์ และนำเสนอในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า 1.บุญข้าวประดับดินหรือบุญเดือนเก้า ได้สะท้อนถึงประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาวผู้ไทยบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีประวัติความเป็นมาขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม และได้บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อ ความศรัทธาผ่านพิธีกรรมที่มีเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เพื่อสื่อให้เห็นถึงพิธีกรรมในการรำลึกถึงบรรพบุรุษและพิธีกรรมทางศาสนา อีกทั้งมีการสอดแทรกคติความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย การได้รับผลบุญและไม่ได้รับผลบุญจากลูกหลานเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ลูกหลาน และ 2.การพัฒนานวัตกรรมการศึกษาทางนาฏศิลป์ ชุด ฟ้อนบุญข้าวปะดับปะดิน สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ พบว่า ดนตรีและนาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดเรื่องราวประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมอันดีงามที่มีการสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน นำไปสู่ความตระหนักรู้และสร้างความกตัญญูกตเวทีให้กับบรรพบุรุษของตน โดยมีผู้แสดง จำนวน 20 คน ใช้จังหวะกลองทำนองเพลงผู้ไทใหญ่และผู้ไทโบราณ สร้างสรรค์ท่ารำภายใต้อัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ การแต่งกายสื่อถึงอัตลักษณะชาวผู้ไทยบ้านโพน อัตลักษณ์ท่าฟ้อน ได้แก่ ท่าเดินดงเข้าวัด คนิงหาบุญคุณ และท่าบุญปะดับปะดินหมู่เจ้ามาเยือน</p> กวีชัย บุญวงค์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 1 15 กลยุทธ์การบริหารงานบุคคลบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโรงเรียนนานาชาติวันโฮป สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282832 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพอันพึงประสงค์การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนนานาชาติวันโฮป 2) เพื่อศึกษาเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลบนความหลากหลายวัฒนธรรมโรงเรียนนานาชาติวันโฮป 3) เพื่อหากลยุทธ์ในการบริหารงานบุคคลบนความหลากหลายวัฒนธรรมของโรงเรียนนานาชาติวันโฮป โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวน 25 คน จากการวิจัยพบว่าการบริหารงานบุคคลสภาพปัจจุบันและสภาพอันพึงประสงค์บนความหลากหลายวัฒนธรรมโรงเรียนนานาชาติวันโฮปในสภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพอันพึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เหตุเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลบนความหลากหลายวัฒนธรรมโรงเรียนนานาชาติวันโฮป ที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลมีทั้งหมด 8 ด้าน 1) โครงสร้างองค์กร 2) วัฒนธรรมองค์กร 3) นโยบายและกลยุทธ์ขององค์กร 4) ทรัพยากรและงบประมาณ 5) คุณภาพของบุคลากร 6) สภาวะเศรษฐกิจ 7) กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ 8) สังคมและวัฒนธรรม ได้กลยุทธ์การบริหารงานบุคคลที่เหมาะสมทั้งหมด 5 กลยุทธ์ คือ 1) จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรที่ครอบคลุมทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว 2) พัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับบริบทการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 3) ส่งเสริมภาวะผู้นำและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน จัดกิจกรรมอบรมและพัฒนาภาวะผู้นำ ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง 4) ติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถนำผลลัพธ์ไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาบุคลากร 5) พัฒนาและรักษาคุณภาพชีวิตของบุคลากรให้ยั่งยืน</p> ปริฉัตร สุขาวดี Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 16 27 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดสแกฟโฟลด์ดิ่ง เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282505 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นและการสะท้อนคิดของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาจะหลวย สังกัดสำนักงานเขตมัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 34 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 กิจกรรม แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง 2) แบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นแบบถาม-ตอบด้วยปากเปล่า จำนวน 40 ข้อ ที่ได้จากการสุ่มบัตรภาพ 10 บัตรภาพ จากข้อสอบ 4 ฉบับ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นและการสะท้อนคิดของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 ข้อ 6 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิผล และ การทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.74/78.78 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 75/75 2) การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.5935 คิดเป็นร้อยละ 59.35 อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และผลการเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียนเท่ากับ 11.95 และ 19.69 ตามลำดับ คะแนนค่า t เท่ากับ 154.70 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีทักษะการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความคิดเห็นและการสะท้อนคิดทั้ง 6 ด้าน มีค่าเฉลี่ยรวมทุกข้อ 4.59 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> ชญาวรรณ ชญาวรรณ สิริสุดา ทองเฉลิม สาวิตรี เถาว์โท Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 28 47 การเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสงขลา เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/279503 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษา จำแนกตามตัวแปรวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การปฏิบัติงานและขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 291 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan และสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .961 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1) การเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านบุคคลที่พร้อมสร้างนวัตกรรมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด และ 2) ผลเปรียบเทียบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษา ครูที่มีวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน</p> ศศิพิมพ์ สุขะปุณพันธ์ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 48 62 การศึกษาความต้องการจำเป็นต่อการพัฒนาครูเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้วยการกระบวนการออกแบบการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/281834 <p>บทความวิจัยนี้เป็นผลการวิจัยระยะที่ 1 ของโครงการวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพที่คาดหวัง สภาพที่เป็นจริง และความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาและแนวทางการพัฒนาครูเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้วยการกระบวนการออกแบบการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างคือครูและผู้บริหารในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ จำนวน 380 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.80 – 1.00 ค่าอำนาจจำแนกมีค่าตั้งแต่ .429 - .829 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับมีค่า .921 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง และการหาแนวทางการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาและการพัฒนาครู ด้วยเทคนิคการสนทนากลุ่ม โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คน ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมาก ( = 4.46, S.D. = 0.32) ส่วนสภาพที่เป็นจริง อยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.57, S.D. = 0.35) เมื่อพิจารณาค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI <sub>modified</sub>) โดยภาพรวมมีเท่ากับ 0.74 และเมื่อจัดลำดับความต้องการจำเป็น พบว่า ลำดับความจำเป็นสูงสุดคือด้านการเตรียมสื่อการเรียนรู้และการเผยแพร่ (PNI <sub>modified</sub> = 0.76) 2. ข้อเสนอแนะมีดังนี้ 1) โรงเรียนควรเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการใช้ข้อมูลสารสนเทศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 2) พัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการโรงเรียน ข้อมูลสารสนเทศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 3) การยกระดับคุณภาพครูด้านการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ 4) การนิเทศ กำกับและติดตามขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนาครูตามกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน</p> นราศักดิ์ ภูผายาง เทิดศักดิ์ สุพันดี เพียงแข ภูผายาง Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 63 79 การประเมินความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/279549 <p>การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพบรรลุตามเป้าหมายของสถานศึกษา โดยเน้นให้สถานศึกษาส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ และเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นท้องถิ่น บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและจัดเรียงอันดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสสถานศึกษา และครู จำนวน 306 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยเชิงบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการจัดเรียงอันดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น แบบสอบถามทั้งฉบับมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคที่มีความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ในระดับมาก (= 4.23<em>, </em>S.D. = 0.59) ความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 ผลสรุปการวิจัย พบว่า ความต้องการจำเป็นโดยรวมของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เท่ากับ ( =0.066) ซึ่งอยู่ระหว่างความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับความต้องการจำเป็น 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการตรวจสอบและติดตามในกระบวนการทุกขั้นตอน ( =0.093) ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล ( =0.084) และด้านการพัฒนา การออกแบบ และเชื่อมโยงองค์ความรู้ ( =0.076) ตามลำดับ และทั้งสามด้านดังกล่าวถือว่าเป็นความต้องการจำเป็นเร่งด่วน</p> คณิศร ผู้มีทรัพย์ ดารณีย์ พยัคฆ์กุล Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 80 95 แนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282225 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศึกษาองค์ประกอบของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากแนวคิด ทฤษฎี ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และประเมินความเหมาะสมและยืนยันองค์ประกอบของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผล โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วน 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้องทั้งฉบับเท่ากับ 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัจจุบันเท่ากับ 0.959 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ 0.855 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การได้มาของกลุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิตามจำนวนผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 267 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 3 ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) เพื่อหาแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผล โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน และประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผล กระบวนการบริหารงานวิชาการ และประสิทธิผลจากการบริหารงานวิชาการ ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2) สภาพปัจจุบันของแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็น เรียงลำดับความต้องการจำเป็นสูงสูดไปหาต่ำสุด ดังนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผล กระบวนการบริหารงานวิชาการ และประสิทธิผลจากการบริหารงานวิชาการ 3) การศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบไปด้วย 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการที่มีประสิทธิผล มี 5 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ งบประมาณและทรัพยากร การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในโรงเรียน ภาวะผู้นำทางวิชาการ ความรู้ ทักษะ และเจตคติของครู 2) กระบวนการบริหารงานวิชาการ มี 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ ขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติตามแผน ขั้นตรวจสอบและประเมินผล และ 3) ประสิทธิผลจากการบริหารงานวิชาการ มี 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การพัฒนาการบริหารงานวิชาการ ครูมีความพึงพอใจ นักเรียนมีเจตคติทางบวก นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุดทุกองค์ประกอบ</p> จักรีวุฒิ สมอหมอบ ชัยยนต์ เพาพาน Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 96 113 ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อ ประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายการศึกษาแม่สาย-เวียงพางคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282973 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน 3) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ของทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 18 คน และครู จำนวน 147 คน รวมทั้งสิ้น 165 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณ&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับมาก พบว่าค่าเฉลี่ยสูงสุด&nbsp; คือ ทักษะทางเทคโนโลยี รองลงมาคือ ทักษะผู้นำเป็นวิศวกรรม ค่าเฉลี่ยเท่ากับทักษะการบริหารจัดการองค์กรดิจิทัล และ ทักษะพลเมืองดิจิทัล เป็นทักษะที่ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด&nbsp; 2) ประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด พิจารณารายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การช่วยเหลือผู้เรียน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาการศึกษา รองลงมาคือ ด้านการจัดสภาพแวดล้อม และความปลอดภัยในสถานศึกษา และด้านการบริหารงานอย่างเป็นระบบ ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน อยู่ระดับสูง พบว่า คู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูงสุด คือ ทักษะผู้นำเชิงนวัตกรรมมีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำทางวิชาการ การพัฒนา และแผนงานเสริมสร้างศักยภาพครู&nbsp; 4) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ที่นำมาวิเคราะห์ พบว่า มีจำนวน 3 ด้าน ที่ตัวแปรมีอำนาจพยากรณ์ดีที่สุด คือทักษะผู้นำเชิงนวัตกรรม ทักษะการบริหารจัดการองค์กรดิจิทัล และทักษะทางเทคโนโลยี</p> เสาวลักษณ์ น้อยบุญตัน ธารารัตน์ มาลัยเถาว์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 114 127 การพัฒนาทักษะการพูดโดยการใช้คำคล้องจองประกอบภาพสำหรับเด็กปฐมวัย โรงเรียนสาธิตมหาวิยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/275120 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของทักษะการพูดภาษาไทยและเปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้คำคล้องจองประกอบภาพ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดประสบการณ์การใช้คำคล้องจองประกอบภาพ จำนวน 12 แผน และแบบประเมินทักษะการพูดภาษาไทยของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้คำคล้องจองประกอบภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้ร่วมการจัดกิจกรรมดังกล่าวมีพัฒนาการพูดภาษาไทยที่สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมการจัดกิจกรรม 2) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการด้านการพูดภาษาไทยสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม กล่าวคือ มีคะแนนเฉลี่ย 2.89 คะแนน จากคะแนนเต็ม 6 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.11 คะแนน และหลังจัดกิจกรรม นักเรียนมีคะแนนด้านการพูด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 5.32 คะแนน จากคะแนนเต็ม 6 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.96 คะแนน จะเห็นได้ว่าทักษะการพูดหลังจากการจัดกิจกรรมพัฒนาการที่ดีขึ้นตามสมมติฐานการวิจัย กิจกรรมการเรียนรู้แบบ project approach ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจและมีส่วนร่วม ความสุข ความต้องการให้มีการจัดกิจกรรมในครั้งต่อไป การมีทักษะในการแสวงหาความรู้ และความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมอยู่ในระดับมาก</p> <p> </p> อมาวสี อ่อนสีดา สุภาพร ดอมไธสง ธิดารัตน์ จันทะหิน Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 128 139 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ SMART MODEL ของโรงเรียนหนองหมื่นถ่านวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/276864 <p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ SMART MODEL ของโรงเรียนหนองหมื่นถ่านวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนหนองหมื่นถ่านวิทยา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ SMART MODEL ของโรงเรียนหนองหมื่นถ่านวิทยา 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบ โดยมีการวิจัย 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ รองผู้อำนวยการ ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครอง จำนวน 185 คน และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ระยะที่ 3 การศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครู จำนวน 23 คน และนักเรียน 229 คน ระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ รองผู้อำนวยการ ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครอง จำนวน 185 คน และนักเรียน จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบทดสอบ และ 4) แบบประเมิน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และใช้ค่าสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ SMART MODEL ของโรงเรียนหนองหมื่นถ่านวิทยา โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่คาดหวัง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด อันดับความต้องการจำเป็นเมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน และด้านการส่งต่อนักเรียน 2) ผลการสร้างรูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นมี 6 องค์ประกอบ คือ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) เนื้อหา (4) การดำเนินการ (5) การประเมินผล และ (6) เงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า (1) ผลการประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครู โดยรวมมีระดับพัฒนาการอยู่ในระดับสูงมาก และคะแนนหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ผลการคัดกรองนักเรียน พบว่า มีนักเรียนกลุ่มเสี่ยง และกลุ่มมีปัญหา คิดเป็นร้อยละ 8.30 ของนักเรียนทั้งหมด (3) ผลการดำเนินงานกิจกรรมนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา และการดำเนินโครงการ/กิจกรรมด้วยนวัตกรรม SMART MODEL พบว่า นักเรียนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มที่มีปัญหามีจำนวนลดลง คิดเป็นร้อยละ 84.21 และ 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า (1) ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เปรียบเทียบระหว่างปีการศึกษา 2565 กับ ปีการศึกษา 2566 พบว่า ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 1.79 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 0.96 (2) ผลการประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (3) ผลการประเมินความพึงพอใจของฝ่ายบริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองที่มีต่อรูปแบบการ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ (4) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> พิสดา อำภาพันธ์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 146 156 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/281708 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารสถานศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา 2) พัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ 3) ประเมินกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อความลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยและพัฒนามี 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 346 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ และแบบสัมภาษณ์แนวคิดการบริหารสถานศึกษา ขั้นตอนที่ 2 พัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบตรวจสอบคุณภาพกลยุทธ์ และขั้นตอนที่ 3 ประเมินกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าความต้องการจำเป็น ผลวิจัยพบว่า กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มี 4 กลยุทธ์ คือ 1) กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาด้านโอกาสการเข้าถึงการศึกษา 2) ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3) พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ 4) สร้างภาคีเครือข่ายเพื่อร่วมพัฒนาการจัดการศึกษา และผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60</p> ปริตตา วาณิชย์ปกรณ์ ญาณิศา บุญจิตร์ จิณัฐตา สอนสังข์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 157 167 การพัฒนารูปแบบการสร้างกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282162 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียน<br />บ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์) โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ดำเนินการดังนี้ 1) ศึกษาแนวทางการสร้างกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยการสังเคราะห์เอกสารและการสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบบันทึกประเด็นการสัมมนา<br />และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา 2) ศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และความต้องการจำเป็น <br />โดยการสอบถามข้อมูลจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์)<br />กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 140 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายจากประชากร จำนวน 220 คน ใช้แบบสอบถามในรูปแบบของโปรแกรมสำเร็จรูป วิเคราะห์ข้อมูลจากค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น 3) สร้างและประเมินรูปแบบการสร้างกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยนำข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 และ 2 มาสร้างรูปแบบ แล้วนำไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน <br />ซึ่งใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ประเมินความถูกต้องและความเป็นไปได้ของรูปแบบโดยใช้แบบประเมิน และวิเคราะห์ข้อมูลค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริงมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก สภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับมากที่สุด และรูปแบบการสร้างกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพฯ ประกอบด้วย 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) กระบวนการของรูปแบบ 4) การประเมินผลรูปแบบ และ 5) ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของรูปแบบ มีความถูกต้องและความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ธนากร สิทธิกาล สุวดี อุปปินใจ พูนชัย ยาวิราช Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 184 202 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลการประกันคุณภาพการศึกษา ในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282085 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลการประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์) มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ 1) ศึกษาแนวทางโดยใช้วิธีการสังเคราะห์เอกสารและการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา 2) ศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และความต้องการจำเป็นโดยใช้ผลจากขั้นตอนที่ 1) มาสร้างแบบสอบถาม ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติโดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าความต้องการจำเป็น และจัดลำดับ 3) สร้างและประเมินรูปแบบ ใช้ผลจากขั้นตอนที่ 2) มาสร้างรูปแบบ นำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ใช้การวิเคราะห์เชิงสถิติโดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลการประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนบ้านสันโค้ง(เชียงรายจรูญราษฎร์) มีองค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) วิธีการ 4) แนวทางการประเมิน และ 5) ปัจจัยสนับสนุน ผลการประเมินมาตรฐานความถูกต้องอยู่ในระดับมากที่สุด และมาตรฐานความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> นวพงศ์ เปียนาค สุวดี อุปปินใจ ประเวศ เวชชะ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 168 183 การบริหารตามหลักทศพิธราชธรรมโรงเรียนการกุศลของวัดในจังหวัดสงขลา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282619 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรมในจังหวัดสงขลา 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรมในจังหวัดสงขลา ตามตัวแปรบุคคล และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดโดยใช้หลักทศพิธราชธรรมในจังหวัดสงขลา โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ศึกษาได้แก่ ครูของโรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน โรงเรียนแจ้งวิทยา โรงเรียนชัยมงคลวิทย์ และโรงเรียนวัดในวัง จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 169 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ แจงความถี่และร้อยละ เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จากผู้ให้ข้อมูล 8 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านอักโกธะ (ความไม่โกรธ) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.54, S.D. = 0.27) ขณะที่ด้านอวิโรธนะ (ความไม่คลาดจากธรรม) มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (=4.14, S.D. = 0.58), 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรม พบว่า ครูที่มีอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน มีความคิดเห็นต่อการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรม ไม่แตกต่างกัน ส่วนครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 3) แนวทางการบริหารโรงเรียนการกุศลของวัดตามหลักทศพิธราชธรรม ควรยึดผลประโยชน์ของโรงเรียนเป็นที่ตั้ง ทำงานในหน้าที่ด้วยความละเอียด ไม่กลั่นแกล้งให้ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และสังคมได้รับความเดือดร้อน</p> พระพงษ์ภัทธ์ ประพัฒน์ ศิลป์ชัย สุวรรณมณี รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 203 217 สภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาอำเภอแเม่จัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282789 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูผู้สอน จำนวน 201 คน จำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความ&nbsp;&nbsp; น่าเคารพ รองลงมา คือ ด้านความซื่อสัตย์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับด้านความรับผิดชอบ ด้านความไว้วางใจ ตามลำดับ และด้านความยุติธรรมมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามวุฒิการศึกษา โดยภาพรวมมีความแตกต่างกันเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านความไว้วางใจ มีความแตกต่างกัน และภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า ด้านความไว้วางใจแตกต่างกัน 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรดำเนินงานโดยยึดหลักความยุติธรรม โปร่งใส ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ควรบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ พร้อมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านความรับผิดชอบ มีวินัย และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรสร้างความไว้วางใจด้วยการสื่อสารที่เปิดเผย ยุติธรรม และให้การสนับสนุนบุคลากรอย่างเท่าเทียม รวมถึงให้เกียรติและเคารพบุคลากรโดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและเป็นธรรม เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน</p> เบญญาภา ปันทะรส ธารารัตน์ มาลัยเถาว์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 218 235 แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282419 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและขนาดของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา โดยผู้วิจัยได้กำหนดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกนจากประชากร 2,105 คน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 327 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 28 คน และครูในสถานศึกษา จำนวน 299 คน และสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมี 2 ตอน ได้แก่ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล และ 2) การดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 และแบบสัมภาษณ์ แนวทางการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบอิสระและการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) การดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการปรับปรุงแก้ไข มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการปฏิบัติการ ด้านการวางแผน ด้านการประเมินผลและด้านการติดตาม ตรวจสอบ ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและขนาดของสถานศึกษา พบว่า ตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและขนาดของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) แนวทางพัฒนาการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 ด้านการวางแผน ควรวางแผนการนิเทศให้เป็นขั้นตอนและมีความสัมพันธ์ มีการกำหนดรูปแบบการนิเทศให้มีความเหมาะสมกับรายวิชาและควรให้ครูมีส่วนร่วมในการวางแผนการนิเทศภายในสถานศึกษา ด้านการปฏิบัติงาน ควรมีการช่วยเหลือครูในการปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้น มีการมอบหมายงานแบ่งงานสอนให้ครูตามถนัดของแต่ละบุคคล ด้านการประเมินผล ควรมีการประเมินที่หลากหลายเช่น การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ การประเมินผลการนิเทศตามสภาพของกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยใช้เครื่องมือประเมินผลการนิเทศที่มีความน่าเชื่อถือ ด้านการปรับปรุงแก้ไข ควรมีการส่งเสริม พัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานของสถานศึกษาและมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้แก่ครูในสถานศึกษาและด้านการติดตาม ตรวจสอบ ควรมีการตรวจสอบการนิเทศการจัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ มีการตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ให้ตรงกับรายวิชาที่ดำเนินงานนิเทศ</p> อาภรณ์ ตรีโชคสุวรรณ พิมล วิเศษสังข์ จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 236 250 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282428 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 331 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้าน พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน สามารถเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านภาวะผู้นำแบบสนับสนุน ด้านภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม ด้านภาวะผู้นำแบบมุ่งผลสำเร็จและด้านภาวะผู้นำแบบสั่งการ ตามลำดับ 2) การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาทั้ง 6 ด้าน พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน สามารถเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านความสำเร็จของเป้าหมาย ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านการไว้วางใจซึ่งกันและกัน ด้านการยอมรับนับถือและด้านการมีส่วนร่วม ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านภาวะผู้นำแบบสั่งการ ด้านภาวะผู้นำแบบสนับสนุน ด้านภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมและด้านภาวะผู้นำแบบมุ่งสู่ผลสำเร็จกับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกนะดรับสูง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01</p> ทัศนีย์ เจริญชัย พิมล วิเศษสังข์ จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 251 263 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282392 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา จำนวน 327 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.941 สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า ด้านการยอมให้ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการร่วมมือ ด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการเอาชนะและด้านการประนีประนอม 2) การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก พบว่า ด้านเป้าหมายของทีม อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ ด้านความไว้วางใจกันและด้านการติดต่อสื่อสาร 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์เชิงบวกมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01</p> ณัฐธิมาธนัน พวงเพ็ชร อุดมพันธุ์ พิชญ์ประเสริฐ สมาน อัศวภูมิ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 263 276 การศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัล สำหรับนักวิชาการศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/281946 <p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลสำหรับนักวิชาการศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักวิชาการศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคเหนือ จำนวน 291 คน ในการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความครอบคลุมและความเหมาะสม (Index of Item-Objective Congruence: IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ภาพรวมสภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำดิจิทัลของนักวิชาการศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย ( = 2.42, S.D. = 0.69) ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.04, S.D. = 0.64) และความต้องการจำเป็น พบว่า องค์ประกอบที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดตามค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI <sub>Modified</sub>) ได้แก่ ทักษะดิจิทัล (PNI <sub>Modified</sub> = 0.89) รองลงมาคือ การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน (PNI <sub>Modified</sub> =0.84) และวิสัยทัศน์ดิจิทัล (PNI <sub>Modified</sub> =0.74) ตามลำดับ</p> ณัฐฎา หรรนภา เพียงแข ภูผายาง บรรจบ บุญจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 277 290 แนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนบ้านป่าเหมือด(เสริมเกียรติวณิชราษฎร์บำรุง) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282318 <p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาแนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษาของโรงเรียนบ้านป่าเหมือด (เสริมเกียรติวณิชราษฎร์บำรุง) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษา 2) วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ในการบริหารสภาพแวดล้อมทางการศึกษา 3) แนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ประกอบด้วย การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนบ้านป่าเหมือด (เสริมเกียรติวณิชราษฎร์บำรุง) พบว่าระดับสภาพที่พึงประสงค์แนวทางการบริหารการจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา อยู่ในระดับ มากที่สุด 2) ผลการศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของแนวทางการบริการจัดการสิ่งแวดล้อมพบว่า แนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองด้าน ได้แก่ คุณลักษณะของผู้บริหาร ครู และบุคลากรที่มีความสามารถในการบริหารและปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบโดยใช้กระบวนการบริหารตามหลักทฤษฎีการบริหาร POLC 3) ผลการศึกษาแนวทางที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาพบว่าองค์ประกอบของแนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย 1.แนวทางการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา 2. แนวทางการบริหารตามกระบวนการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมทางการศึกษา</p> กฤษณพล พ้นภัย วิชิต เทพประสิทธิ พูนชัย ยาวิราช Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 291 305 การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/282734 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 เปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล และศึกษาแนวทางในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูจำนวน 331 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.939 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธี Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล พบว่า ด้านหลักนิติธรรมควรกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบที่เป็นธรรม ด้านหลักคุณธรรมควรสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดมั่นในคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใสควรกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่โปร่งใสในการบริหาร ด้านหลักการมีส่วนร่วมควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ด้านหลักความรับผิดชอบควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของความรับผิดชอบ ด้านหลักความคุ้มค่าควรใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า</p> พงศ์ปราชญ์ กิ่งสกุล Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 306 324 ผลการจัดกิจกรรมละเลงสีเพื่อส่งเสริมความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/BUAJEAD/article/view/274977 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่ได้รับและไม่ได้รับกิจกรรมการใช้ศิลปะในการจัดกิจกรรมละเลงสี ทั้งก่อนเริ่มต้นและหลังสิ้นสุดการจัดกิจกรรม 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการสอนเทคนิคการใช้ศิลปะสำในการจัดกิจกรรมละเลงสี ในการส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กในเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นเด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 2 ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ยินดีให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมการทดลอง จำนวน 36 คน จัดตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง 16 คน และกลุ่มควบคุม 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้คือแบบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และแผนการจัดกิจกรรมการละเลงสีที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การทดสอบ t- test โดยใช้สถิติ Independent-Sample t-test และ Pair-Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) เด็กที่ได้รับกิจกรรมการใช้ศิลปะในการจัดกิจกรรมละเลงสี มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการใช้ศิลปะในการจัดกิจกรรมละเลงสีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) และหลังจากการทดลองเด็กที่ได้รับกิจกรรมการใช้ศิลปะในการจัดกิจกรรมละเลงสีภาพด้วยนิ้วมือ มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ดารารัตน์ ขันธบุตร ธิดารัตน์ จันทะหิน Copyright (c) 2025 วารสารบริหารการศึกษาบัวบัณฑิต 2025-06-15 2025-06-15 25 1 325 339