https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/issue/feed วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 2024-06-03T13:01:44+07:00 อาจารย์ ดร.ธัญญา จันทร์ตรง (บรรณาธิการ) tanyajantrong@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา<br />ISSN 2821-9708 (Online) </strong><strong> </strong></p> <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong><br /> วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เปิดตีพิมพ์ในบทความวิจัย โดยเป็นฉบับภาษาไทยและสามารถส่งบทความออนไลน์ได้ที่ <a href="https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/about/submissions" target="_blank" rel="noopener">Submissions</a> <strong><img src="https://so04.tci-thaijo.org/public/site/images/cherdvongseang/newdata12.gif" alt="newdata12.gif" /> </strong>วารสารดังกล่าวเป็นเวทีทางปัญญาสำหรับการทำงานในสาขาสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ซึ่งตีพิมพ์ 2 ฉบับ เป็นประจำทุกปี<br /> - ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน)<br /> - ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร<br /></strong> วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เปิดรับบทความที่กล่าวถึงประเด็นต่อไปนี้:<strong><br /></strong></p> <ul> <li><span class="JsGRdQ">General Social Sciences </span><span class="JsGRdQ">: สังคมศาสตร์ทั่วไป </span></li> <li><span class="JsGRdQ">Communication </span><span class="JsGRdQ">: การสื่อสาร </span></li> <li><span class="JsGRdQ">Education</span><span class="JsGRdQ"> : การศึกษา </span></li> <li><span class="JsGRdQ">Development</span><span class="JsGRdQ"> : การพัฒนา </span></li> <li><span class="JsGRdQ">Health</span> <span class="JsGRdQ">(Social Sciences)</span><span class="JsGRdQ"> : สุขภาพ (สังคมศาสตร์) </span></li> </ul> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์ <br /></strong> บทความวิจัย</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์<br /></strong> <span lang="TH">ภาษาไทย </span></p> <p><strong><span lang="TH">ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่<br /></span></strong><span lang="TH"> จำนวน <strong>2,000 </strong>บาท<strong> (สำหรับบุคคลภายในมหาวิทยาลัยฯ)<br /></strong> จำนวน <strong>3,500</strong> บาท<strong> (สำหรับบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยฯ)</strong></span></p> <p><span lang="TH"><strong>** ธนาคารกรุงไทย สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เลขที่บัญชี : 661-0-17818-6**<br /><br /></strong><em><strong>หมายเหตุ</strong> : ผู้ส่งบทความต้องชำระค่าธรรมเนียมหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาเบื้องต้น และก่อนจะดำเนินการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) พิจารณาบทความ ทั้งนี้ถ้าบทความ “ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ (Rejected)”กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมให้กับผู้นิพนธ์ในทุกกรณี</em><strong><br /></strong></span></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่<br /></strong> <span lang="TH">ฉบับที่ </span>1 <span lang="TH">มกราคม - มิถุนายน</span><br /> <span lang="TH">ฉบับที่ </span>2 <span lang="TH">กรกฎาคม - ธันวาคม<br /><br /></span><strong><span class="JsGRdQ">การเขียนเอกสารอ้างอิง<br /></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="th"> การอ้างอิงควรเป็นไปตามมาตรฐานที่สรุปของ APA(7)</span></p> <p><span class="Y2IQFc" lang="th"><strong>กระบวนการ Review<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน</strong> (บทความผู้นิพนธ์ภายนอก จะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายใน ได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร) โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจาราณาบทความที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมี<strong>รูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบ ชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) </strong></span><span class="Y2IQFc" lang="th"><span lang="TH">โดยวารสารมีขั้นตอนดำเนินการจัดพิมพ์ดังนี้</span><br /> 1. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ จะตรวจสอบความสมบูรณ์และถูกต้องของต้นฉบับ</span> <br /> 2. <span lang="TH">จัดส่งต้นฉบับให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (</span>Peer Review) <span lang="TH">ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อ่านประเมินต้นฉบับ บทความละ 3</span> <span lang="TH">ท่าน</span> <br /> 3. <span lang="TH">ส่งให้ผู้เขียนแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ (</span>Peer Review) <span lang="TH">สามารถอธิบายหรือชี้แจงข้อสงสัย ผ่านบรรณาธิการ</span> <br /> 4. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ ตรวจสอบความถูกต้อง และจัดพิมพ์ต้นฉบับ</span> <br /> 5. <span lang="TH">จัดส่งต้นฉบับให้กับโรงพิมพ์ ดำเนินการจัดทำรูปเล่ม</span> <br /> 6. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ ดำเนินการเผยแพร่วารสาร<br /><br /></span></span><span class="Y2IQFc" lang="th"><strong>บรรณาธิการวารสาร<br /></strong>อาจารย์ ดร.ธัญญา จันทร์ตรง<strong><br /></strong>ศูนย์ส่งเสริมบัณฑิตศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต <br />มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์<br />เลขที่ 27 ถนนอินใจมี ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์<br />โทรศัพท์สายตรง: 089-9617457<br />Email: </span>tanyajantrong@gmailcom</p> <h2><strong>Indexed in<br /> <img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/tci_30.png" /> </strong><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/scholar_logo_30.png" /> <a href="https://www.tci-thaijo.org/" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/thai-jo_30x.png" width="164" height="27" /></a> <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2774-0315" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/ISSN_150x.png" width="105" height="30" /></a> </h2> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/269592 “มาตาลดา” กับทัศนคติและการยอมรับต่อครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ ของกลุ่มผู้ชม Gen Z 2024-02-12T10:35:07+07:00 เสริมศิริ นิลดำ aj_sermsiri@yahoo.com กรกนก นิลดำ aj_sermsiri@yahoo.com ชนะภัย สั่งแก้ว aj_sermsiri@yahoo.com ดนุนัย จีนน้ำใส aj_sermsiri@yahoo.com พิมพ์ชนก ไชยนนท์ aj_sermsiri@yahoo.com ภัทรดนัย บุญศรี aj_sermsiri@yahoo.com วรนุช ลิสุวรรณ aj_sermsiri@yahoo.com <p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและการยอมรับต่อครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ ของกลุ่มผู้ชม GEN Z ที่ได้รับชมละคร “มาตาลดา” เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ ผู้ชมละครโทรทัศน์ “มาตาลดา” ที่เป็นกลุ่ม Gen Z จำนวน 413 คนโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation)</p> <p>ผลการศึกษาด้านทัศนคติและการยอมรับต่อครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับชมละคร “มาตาลดา” โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ส่วนผลการทดสอบระดับความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการรับชมละคร “มาตาลดา” กับทัศนคติที่มีต่อครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ และการยอมรับต่อครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศของกลุ่มผู้ชม GEN Z พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญในระดับสูง ผลการศึกษานี้จึงสนับสนุนแนวคิดอิทธิพลของละครโทรทัศน์ต่อกลุ่มวัยรุ่น</p> 2024-04-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/270607 แนวทางการสร้างความยั่งยืนอาชีพเกษตรกลุ่มนาแปลงใหญ่บ้านสันธาตุ ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 2024-02-05T10:52:29+07:00 กษิดิศ ใจผาวัง kasidit.crru@crru.ac.th เสริมศิริ นิลดำ kasidit.crru@crru.ac.th ศิริพรรณ จีนะบุญเรือง kasidit.crru@crru.ac.th นิเวศ จีนะบุญเรือง kasidit.crru@crru.ac.th ดรัณภพ อุดแน่น kasidit.crru@crru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคในการผลิตข้าวที่มีความสัมพันธ์กับความยั่งยืนในอาชีพเกษตร และออกแบบแนวทางสร้างความยั่งยืนให้แก่กลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่บ้านสันธาตุ ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ ใช้สมาชิกของกลุ่มนาแปลงใหญ่บ้านสันธาตุเป็นกลุ่มตัวอย่างปฏิบัติการวิจัย การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการจำเพาะเจาะจง คือ เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรังในฤดูกาล ปี พ.ศ. 2566-2567 จำนวน 50 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผลด้วยใช้ค่าสถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาอุปสรรคด้านการผลิตภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปัญหาโรคและแมลงมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และน้อยที่สุด ได้แก่ ปัญหาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว ส่วนปัญหาอุปสรรคด้านการตลาดภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปัญหาราคาตกต่ำมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ การ ถูกกดราคารับซื้อผลผลิต และน้อยที่สุดได้แก่ ปัญหาข้าวล้นตลาด</p> <p>ความยั่งยืนในอาชีพเกษตรภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางโดยความยั่งยืนด้านสังคมมีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ </p> <p>แนวทางการสร้างความยั่งยืนด้านการผลิต ได้แก่ การเสริมความรู้ในเรื่องโรคและแมลง ส่งเสริมการทำการเกษตรผสมผสานและแบบอินทรีย์ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ การจัดกิจกรรมการจัดการความรู้เพื่อยกระดับการทำนา ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าว ส่วนทางด้านการตลาด ได้แก่ การใช้กระบวนการกลุ่มเพื่อต่อรองกับผู้รับซื้อ การสร้างยุ้งฉางในการเก็บข้าว พัฒนายุวเกษตรกรเพื่อต่อยอดอาชีพเกษตร วิเคราะห์ปัญหาการตลาดและขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ แสวงหาความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนในพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว</p> 2024-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/272371 แนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 2024-06-03T13:01:44+07:00 กฤติยาณี ม่วงแจ่ม katchatea@gmail.com ทักษ์ อุดมรัตน์ katchatea@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ประเภทของการวิจัยแบบผสานวิธี ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 71 คน และครูฝ่ายวิชาการ จำนวน 112 คน รวมทั้งสิ้น 183 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 แบบสอบถามสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา และขั้นตอนที่ 2 แบบสัมภาษณ์การเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน.</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะการบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และด้านที่มีค่าเฉลี่ย ต่ำที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ และแนวทางการส่งเสริมสมรรถนะการบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา วางแผนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ร่วมกับครู ส่งเสริมและให้ความสำคัญกับการนิเทศภายในสถานศึกษา ให้คำแนะนำ สะท้อนผลกับผู้สอน เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21 และวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของงานวิจัยในชั้นเรียน เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับสถานศึกษา</p> 2024-06-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/272627 การพัฒนาความสามารถการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิก 2024-05-09T10:14:05+07:00 กาญจนา ฐานะวุฒิกุล somo.thikul@gmail.com น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ namthipo@nu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิก เพื่อพัฒนาความสามารถการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเปรียบเทียบความสามารถการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิก และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเทศบาล 3 วัดชัยชนะสงคราม จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ 2. สื่ออินโฟกราฟิก 3. แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิกมี 5 ขั้นตอน และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.85/80.74 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความสามารถการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ GPAS 5 Steps ร่วมกับอินโฟกราฟิก ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.61, S.D. = 0.55)</p> 2024-05-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/272814 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะเกษตรกรภาคตะวันออกตามคุณลักษณะเกษตรกรรุ่นใหม่ : ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 2024-04-05T09:29:33+07:00 สิปปกร ขันติกุล sip_19557@hotmail.com พักตร์วิภา โพธิ์ศรี sip_19557@hotmail.com อุทิศ บำรุงชีพ sip_19557@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะปัจจุบันและสมรรถนะพึงประสงค์ตามคุณลักษณะเกษตรกรรุ่นใหม่ : ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ในพื้นที่ภาคตะวันออก เสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะเกษตรกรตามคุณลักษณะเกษตรกรรุ่นใหม่: ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ในพื้นที่ภาคตะวันออกสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยผสานวิธี โดยมีกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ เกษตรกรรุ่นใหม่: ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ภาคตะวันออก จำนวน 340 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และ กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือ เกษตรกรรุ่นใหม่ : ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ปี พศ. 2566 จังหวัด ระยอง จำนวน 10 คน จังหวัดจันทบุรี 10 คน และจังหวัดตราด 10 คน รวมทั้งหมด 30 คน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบมีส่วนร่วม สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย ค่าความต้องการจำเป็น </p> <p>ผลวิจัยพบว่าสภาพสมรรถนะเกษตรกรปัจจุบันของ เกษตรกรรุ่นใหม่: ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเป็น 3.34 ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.34) คิดเป็นร้อยละ 67.51 และสภาพสมรรถนะเกษตรกรพึงประสงค์ของ เกษตรกรรุ่นใหม่ : ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเป็น 4.71 (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /><img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.71) คิดเป็นร้อยละ 95.09 สำหรับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะเกษตรกรภาคตะวันออกตามคุณลักษณะเกษตรกรรุ่นใหม่ : ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวทางการเกษตรที่ยั่งยืน ประกอบด้วย แนวทางการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน แนวทางการจัดการเกษตรที่เน้นความเป็นธรรม แนวทางการตระหนักรู้ถึงความเป็นอยู่ที่ดี แนวทางการรับผิดชอบต่อการรักษ์โลก และแนวทางการใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน รวมเป็น “SMART” นำไปสู่ เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมาย</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/272924 การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเองเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อ การฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในพื้นที่จังหวัดพะเยา 2024-04-30T11:03:12+07:00 ภานุพันธ์ ไพทูรย์ pnpptt@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเองเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในพื้นที่จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้านสุขภาพจิต ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งสิ้นจำนวน 200 คน โดยเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน มี 3 ระยะ คือ 1. ศึกษาการเห็นคุณค่าในตนเองและปัจจัยที่มีีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 2. พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเอง และ 3. ประเมินผลรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นและรูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเองเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเองเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น ประกอบด้วย 1. การพัฒนาศักยภาพครูในโรงเรียน 2. การพัฒนาระบบการค้นหาคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 3. การส่งเสริมเครือข่ายเน้นการมีส่วนร่วม 4. การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร เมื่อนำรูปแบบไปใช้แล้วพบว่า ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมนักเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าและมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) และมีระดับภาวะซึมเศร้าลดลงและไม่พบนักเรียนที่มีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ารูปแบบการเสริมสร้างคุณค่าในตนเองเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ส่งผลให้วัยรุ่นมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเอง ปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ โดยการมีส่วนร่วมระหว่างครู ผู้ปกครอง นักเรียน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข</p> 2024-05-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์