วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU <p><strong>วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์<br />ISSN 2821-9708 (Online) </strong><strong> </strong></p> <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong><br /> วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เปิดตีพิมพ์ในบทความวิจัย โดยเป็นฉบับภาษาไทยและสามารถส่งบทความออนไลน์ได้ที่ <a href="https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/about/submissions" target="_blank" rel="noopener">Submissions</a> <strong><img src="https://so04.tci-thaijo.org/public/site/images/cherdvongseang/newdata12.gif" alt="newdata12.gif" /> </strong>วารสารดังกล่าวเป็นเวทีทางปัญญาสำหรับการทำงานในสาขาสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ซึ่งตีพิมพ์ 2 ฉบับ เป็นประจำทุกปี<br /> - ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน)<br /> - ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร<br /></strong> วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เปิดรับบทความที่กล่าวถึงประเด็นต่อไปนี้:<strong><br /></strong></p> <ul> <li><span class="JsGRdQ">General Social Sciences </span><span class="JsGRdQ">: สังคมศาสตร์ทั่วไป <br /><strong>(การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, วิถีชีวิตของคน ชุมชน ท้องถิ่น, การขับเคลื่อนชุมชนบนฐานนโนบายและวิถีชีวิต)</strong></span></li> <li><span class="JsGRdQ">Communication </span><span class="JsGRdQ">: การสื่อสาร <br /></span></li> <li><span class="JsGRdQ">Education</span><span class="JsGRdQ"> : การพัฒนาทางการศึกษา <br /><strong>(พัฒนาสมรรถนะกำลังคน, ชุมชน ท้องถิ่น, การเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม, การเรียนรู้ตลอดชีวิต)</strong></span></li> <li><span class="JsGRdQ">Development</span><span class="JsGRdQ"> : การพัฒนา <br /><strong>(การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจยกระดับคุณภาพชีวิต ของคน ชุมชน ท้องถิ่น)</strong></span></li> <li><span class="JsGRdQ">Health</span> <span class="JsGRdQ">(Social Sciences)</span><span class="JsGRdQ"> : สุขภาพ (สังคมศาสตร์) <br /><strong>(การพัฒนาสุขภาวะของคนในชุมชน ท้องถิ่นทุกช่วงวัย)</strong></span></li> </ul> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์ <br /></strong> บทความวิจัย</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์<br /></strong> <span lang="TH">ภาษาไทย </span></p> <p><strong><span lang="TH">ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่<br /></span></strong><span lang="TH"> จำนวน <strong>2,000 </strong>บาท<strong> (สำหรับบุคคลภายในมหาวิทยาลัยฯ)<br /></strong> จำนวน <strong>3,500</strong> บาท<strong> (สำหรับบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยฯ)</strong></span></p> <p><span lang="TH"><strong>** ธนาคารกรุงไทย สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เลขที่บัญชี : 661-0-17818-6**<br /><br /></strong><em><strong>หมายเหตุ</strong> : ผู้ส่งบทความต้องชำระค่าธรรมเนียมหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาเบื้องต้น และก่อนจะดำเนินการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) พิจารณาบทความ ทั้งนี้ถ้าบทความ “ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ (Rejected)”กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมให้กับผู้นิพนธ์ในทุกกรณี</em><strong><br /></strong></span></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่<br /></strong> <span lang="TH">ฉบับที่ </span>1 <span lang="TH">มกราคม - มิถุนายน</span><br /> <span lang="TH">ฉบับที่ </span>2 <span lang="TH">กรกฎาคม - ธันวาคม<br /><br /></span><strong><span class="JsGRdQ">การเขียนเอกสารอ้างอิง<br /></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="th"> การอ้างอิงควรเป็นไปตามมาตรฐานที่สรุปของ APA(7)</span></p> <p><span class="Y2IQFc" lang="th"><strong>กระบวนการ Review<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จาก<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน</strong> <strong>จากหลากหลายสถาบัน โดยเป็นการประเมินบทความที่ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อ สังกัดของกันและกัน (Double-blind Review) และผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความดังกล่าวปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยที่หลากหลาย ไม่ได้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยเดียวกับผู้นิพนธ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจาราณาบทความที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</strong> และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ <strong> </strong></span><span class="Y2IQFc" lang="th"><span lang="TH">โดยวารสารมีขั้นตอนดำเนินการจัดพิมพ์ดังนี้</span><br /> 1. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ จะตรวจสอบความสมบูรณ์และถูกต้องของต้นฉบับ</span> <br /> 2. <span lang="TH">จัดส่งต้นฉบับให้ผู้ทรงคุณวุฒิ (</span>Peer Review) <span lang="TH">ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อ่านประเมินต้นฉบับ บทความละ 3</span> <span lang="TH">ท่าน</span> <br /> 3. <span lang="TH">ส่งให้ผู้เขียนแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ (</span>Peer Review) <span lang="TH">สามารถอธิบายหรือชี้แจงข้อสงสัย ผ่านบรรณาธิการ</span> <br /> 4. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ ตรวจสอบความถูกต้อง และจัดพิมพ์ต้นฉบับ</span> <br /> 5. <span lang="TH">จัดส่งต้นฉบับให้กับโรงพิมพ์ ดำเนินการจัดทำรูปเล่ม</span> <br /> 6. <span lang="TH">กองบรรณาธิการวารสารฯ ดำเนินการเผยแพร่วารสาร<br /><br /></span></span><span class="Y2IQFc" lang="th"><strong>บรรณาธิการวารสาร<br /></strong>ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธัญญา จันทร์ตรง<strong><br /></strong>ศูนย์ส่งเสริมบัณฑิตศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต <br />มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์<br />เลขที่ 27 ถนนอินใจมี ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์<br />โทรศัพท์สายตรง: 089-9617457<br />Email: </span>tanyajantrong@gmailcom</p> <h2><strong>Indexed in<br /> <img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/tci_30.png" /> </strong><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/scholar_logo_30.png" /> <a href="https://www.tci-thaijo.org/" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/thai-jo_30x.png" width="164" height="27" /></a> <a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2774-0315" target="_blank" rel="noopener"><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/socjourn/ISSN_150x.png" width="105" height="30" /></a> </h2> th-TH <p><strong>แนวคิดและทัศนะในบทความเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ </strong><strong>การนำบทความหรือส่วนหนึ่งของบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ ให้อ้างอิงแสดงที่มา และข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนบทความ</strong></p> <p> </p> tanyajantrong@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธัญญา จันทร์ตรง (บรรณาธิการ)) lita.litaphat@gmail.com (คุณลิตาพัชร์ ธนเสรีพัฒนชัย) Mon, 06 Oct 2025 13:57:27 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/287877 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการทำการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน ศึกษาวัฒนธรรมชุมชน ศักยภาพชุมชน และทุนทางสังคมที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจการเกษตรของชุมชน พัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน และประเมินกลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา แหล่งข้อมูล ประกอบด้วย เกษตรกร ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จำนวน 354 ครัวเรือน ตัวแทนชนเผ่า 19 คน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการดำเนินธุรกิจของธุรกิจการเกษตร จำนวน 19 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรปฏิบัติการบริหารจัดการทำการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน ในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการบริหารจัดการทำการเกษตรที่มีค่าเฉลี่ยในระดับมาก คือ ด้านลูกค้าและคู่แข่งขัน ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม สำหรับวัฒนธรรมชุมชน ศักยภาพชุมชน และทุนทางสังคมที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจการเกษตรของชุมชนที่โดดเด่น คือ ความรู้ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต ความเชื่อในการทำการเกษตร และกลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชน ตำบลรวมไทยพัฒนา จำนวน 7 กลยุทธ์ ประกอบด้วย การพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น การเสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกร การตลาดครบวงจรที่เชื่อมโยงอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรมและยั่งยืน การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมชุมชน การบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจการเกษตร และพันธมิตรทางธุรกิจสินค้าเกษตร โดยผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตรบนฐานวัฒนธรรมชุมชนตำบลรวมไทยพัฒนา พบว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ มาตรการ และตัวชี้วัด มีความสอดคล้องกันในระดับมาก ถึงมากที่สุด</p> สันติ คู่กระสังข์, เพชรา บุดสีทา, สุกัญญา ธรรมธีระศิษฏ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/287877 Fri, 24 Oct 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการตลาดชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ในเขตชนบทของประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/288206 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารจัดการตลาดชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และศึกษาปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จของการบริหารจัดการตลาดชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารในเขตชนบทของประเทศไทย โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบความมั่นคงทางอาหารและการยกระดับรายได้ของครัวเรือนโดยการเชื่อมโยงศักยภาพพื้นที่ เพื่อรองรับและลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูล 10 จังหวัดที่ครอบคลุมทั้ง 4 เขตภูมิภาคในประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ลำปาง แพร่ ชัยภูมิ สกลนคร สุรินทร์ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ภูเก็ต และสงขลา ซึ่งผู้ให้ข้อมูล แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ หัวหน้าโครงการวิจัยหรือผู้แทน จำนวน 10 คน และคณะกรรมการดำเนินการตลาดชุมชน จำนวน 10 คน ของแต่ละจังหวัด ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบรายงานความก้าวหน้าในการบริหารจัดการตลาดชุมชนฯ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสังเกตการณ์ดำเนินงานตลาดชุมชนฯ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การบริหารจัดการตลาดชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีการดำเนินการที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละพื้นที่ อาทิ เป็นการบริหารจัดการฟื้นฟูตลาดเดิม การสร้างตลาดชุมชนใหม่ หรือการพัฒนาช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ ซึ่งประเด็นสำคัญที่เป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการตลาด คือ การมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกระดับ การพัฒนาตลาดให้เป็นศูนย์กลางของระบบอาหารในชุมชน และการส่งเสริมการเรียนรู้และการสนับสนุนการตลาดชุมชน โดยมี 7 ปัจจัยที่ส่งเสริมความสำเร็จของการบริหารจัดการตลาดชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งประกอบไปด้วย การมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้นำและการบริหารจัดการที่ดี การพัฒนาทักษะและความรู้ การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ และการประเมินผลและการปรับปรุง</p> กนิษฐา ศรีภิรมย์ , ปาจรีย์ ผลประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/288206 Tue, 18 Nov 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเครื่องปั้นดินเผาดุมใหญ่ในการค้าออนไลน์ เพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชน อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/288454 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนดุมใหญ่ ศึกษาการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาสู่การค้าออนไลน์ และประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคที่ใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนทางออนไลน์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ประธานคณะกรรมและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเครื่องปั้นดินเผา 40 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การตลาดดิจิทัลและเทคโนโลยี 3 คน ผู้นำชุมชน 2 คน และผู้บริโภค จำนวน 30 คน รวม 75 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกภาคสนาม การสังเกตและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดหมวดหมู่ การลดทอนข้อมูลหาข้อสรุปและตีความ และการวิเคราะห์เนื้อหา รวมถึงใช้สถิติพรรณนาเพื่อหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านเครื่องปั้นดินเผาดุมใหญ่มีความโดดเด่นในด้านเทคนิคการผลิต เพราะเป็นการขึ้นรูปด้วยมือ มีรูปลักษณ์เฉพาะและความเชื่อที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์วัฒนธรรมอีสานผ่านลวดลาย พื้นถิ่นเช่น ลายเส้นขีด มีการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การใช้แพลตฟอร์ม Facebook ผลิตภัณฑ์ชุมชนของฝาก ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาด ลดข้อจำกัดด้านพื้นที่ และสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคผ่านการเล่าเรื่องและภาพถ่ายจากชุมชน ดุมใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อการตลาดออนไลน์พบว่า ผู้บริโภคมีความพึงพอใจในระดับสูง โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงข้อมูล ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ และการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ การพัฒนาเครื่องปั้นดินเผา การจัดส่ง และการสื่อสารอัตลักษณ์ผ่านช่องทางดิจิทัล เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจชุมชน ยังชี้ให้เห็น เสนอแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ การบริหารจัดการชุมชนแบบดิจิทัล และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ เพื่อยกระดับเครื่องปั้นดินเผาดุมใหญ่สู่ตลาดออนไลน์ และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืน โดยผลการวิจัยเชิงปริมาณ ความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อการตลาดออนไลน์ของเครื่องปั้นดินเผาดุมใหญ่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านการเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ และความสะดวกในกระบวนการตัดสินใจซื้อ โดยรวมผู้บริโภคมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่างมีประสิทธิผล</p> ไมตรี ริมทอง, อโณทัย หาระสาร, บุญฑวรรณ วิงวอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/288454 Tue, 02 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม สำหรับโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/286475 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาและรวบรวมแหล่งเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมของชุมชนอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี 2. พัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม สำหรับโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และ 3. ประเมินศักยภาพของนักเรียนด้านทักษะอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ด้านวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้มี 3 กลุ่ม เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ภูมิปัญญา และผู้นำชุมชน จำนวน 15 คน ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 20 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบประเมินศักยภาพของนักเรียน และแบบประเมินความเหมาะสมของระบบนิเวศการเรียนรู้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า <em>t</em></p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แหล่งเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมของชุมชน มี 6 มิติซอฟต์พาวเวอร์ ได้แก่ อาหารไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมไทย ท่องเที่ยว มูเตลู และหนัง ละครและเพลงไทย สำหรับการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม มี 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การดำเนินงาน หลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ วิธีการจัดการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ด้านวัฒนธรรม การใช้เทคโนโลยี และ ความร่วมมือของเครือข่ายชุมชน โดยระบบนิเวศการเรียนรู้มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลประเมินศักยภาพของนักเรียนด้านทักษะอาชีพเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม พบว่า นักเรียนมีทักษะอาชีพเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม หลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยหลังปฏิบัติอยู่ในระดับมาก</p> พิชยา พรมาลี, นารีรัตน์ สุวรรณวารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/286475 Mon, 06 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในการเพิ่มความรู้ของนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เรื่องการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/286613 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่อง การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) สำหรับนักวิทยาศาสตร์การกีฬาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เปรียบเทียบคะแนนความรู้เฉลี่ยก่อนและหลังการเรียนรู้ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีประสบการณ์ต่างกัน กลุ่มตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ อายุระหว่าง 23-35 ปี จำนวน 90 คน แบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม 1 นักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่พึ่งสำเร็จการศึกษา 1-2 ปี กลุ่ม 2 นักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีประสบการณ์ทำงาน 3-6 ปี กลุ่มที่ 3 นักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 7 ปี กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่อง AED สำหรับนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติสำหรับนักวิทยาศาสตร์การกีฬา ค่า IOC เฉลี่ยเท่ากับ 0.75 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired-t test และ One-way ANOVA test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) สำหรับนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด (82.00/88.33 จากเกณฑ์ 80/80) และส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของผู้เข้าร่วมศึกษาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) สะท้อนถึงประสิทธิผลของสื่อดังกล่าวในการส่งเสริมการเรียนรู้ โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา 1–2 ปี ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่จบมาก่อนหน้านี้อย่างมีนัยสำคัญ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้รับการออกแบบอย่างเป็นระบบ และช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับวิถีการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงและทบทวนได้ทุกที่ทุกเวลา</p> ณภัทร เครือทิวา, ยุภามาณี สวากัลป์, มนตรี วงษ์รักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/GRAURU/article/view/286613 Mon, 06 Oct 2025 00:00:00 +0700