https://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/issue/feedวารสารครุศาสตร์ปัญญา2025-11-26T20:33:34+07:00Mr.Samrit Kangphengskangpheng@gmail.comOpen Journal Systems<p><strong>วารสารครุศาสตร์ปัญญา (IEJ) ISSN:</strong> <strong>2822-0218 (Online)</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามหน่วยพัฒนาครู บริษัท ครุศาสตร์ปัญญา จำกัด สถาบันคุรุพัฒนา โดยวารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ วารสารครุศาสตร์ปัญญา เผยแพร่เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร</strong><br />1) บทความวิจัย (research article)</p> <p>2) บทความวิชาการ (academic article)</p> <p>3) บทความเทคนิค (technical article)</p> <p>4) บทความรับเชิญ (Invited Article) หรือบทความอื่นๆ (Other Article)</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong><br />มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ</strong><br />เปิดรับบทความวิจัย (research article) บทความวิชาการ (academic article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความรับเชิญ (Invited Article) หรือบทความอื่นๆ (Other Article) โดยมีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ 4,500 บาทต่อบทความ ยกเว้นบทความรับเชิญไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียม</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความวิจัย (research article) บทความวิชาการ (academic article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความรับเชิญ (Invited Article) หรือบทความอื่นๆ (Other Article) ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br />บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์<br />เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 1-10 วันหลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br />ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วัน</p> <p><br /><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความพิเศษ (selected article) บทความวิจัย (research article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความปริทัศน์ (review article) ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br />เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br />ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br />เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์</strong><br />ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: karusatpanya@gmail.com โทร: 088-5606666 (ผศ.ดร.สัมฤทธิ์ กางเพ็ง)</p>https://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/287958ความสัมพันธ์ของสมรรถนะเชิงบริหารงานบุคคลกับนิเวศวิทยาองค์กรบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 12025-09-01T09:59:56+07:00รังษิยา ชูขันธ์rangsiya@suwan.ac.thในตะวัน กำหอมntawan@hotmail.com<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะเชิงบริหารงานบุคคล 2) ระดับนิเวศวิทยาองค์กร 3) ความสัมพันธ์สมรรถนะเชิงบริหารงานบุคคลกับนิเวศวิทยาองค์กรบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน ได้มาโดยใช้ตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ ตารางของ Krejcie & Morgan เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะเชิงบริหารงานบุคคล โดยภาพรวม อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านลักษณะมุ่งอนาคตและควบคุมตน รองลงมา คือด้านความเชื่ออำนาจในตนในการทำงานวิชาการ ด้านความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน และอันดับสุดท้ายคือด้านทัศนคติต่อการทำงานวิชาการ ตามลำดับ 2) นิเวศวิทยาองค์กร โดยภาพรวม อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านความเข้มแข็งของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ รองลงมา คือด้านการมีสิ่งสนับสนุนการทำงานวิชาการ ด้านการมีตัวแบบที่ดีทางวิชาการ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านบรรยากาศทางวิชาการในโรงเรียน ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ของสมรรถนะเชิงบริหารสมรรถนะเชิงบริหารงานบุคคลกับนิเวศวิทยาองค์กรบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหา นคร เขต 1โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : สมรรถนะเชิงบริหาร, งานบุคคล, นิเวศวิทยาองค์กร</p>2025-11-12T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/288338บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 22025-09-15T10:24:28+07:00บรรจงรัตน์ พุ่มเถื่อนrat.patna@gmail.comธันยนันท์ ทองบุญตาrat.patna@gmail.comบุณยานุช เฉวียงหงส์rat.patna@gmail.com<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยประเภทการวิจัยเชิงเปรียบเทียบเพื่อศึกษาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 กำหนดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 302 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าดัชนีความเที่ยงตรง อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.950 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และตรวจสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่ ผลการวิจัย พบว่า 1. ระดับความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ตัวแปรที่แตกต่างกัน ได้แก่ ตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเมื่อพิจารณาตัวแปรด้านประสบการณ์การทำงานเป็นรายคู่ พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกคู่ ส่วนตัวแปรขนาดสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มาจากขนาดสถานศึกษาที่แตกต่างกัน มีความเห็นต่อบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านก็ไม่มีความแตกต่างกัน</p> <p><strong> </strong><strong>คำสำคัญ:</strong> บทบาท, ผู้บริหารสถานศึกษา, องค์การแห่งการเรียนรู้</p>2025-11-16T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289113ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ตำบลข้าวเม่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา2025-10-09T12:17:49+07:00ชลธิชา สุปัด cholthichasupad@gmail.com<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ตำบลข้าวเม่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยอิงกรอบแนวคิด Health Belief Model (HBM) กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่ขึ้นทะเบียนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลข้าวเม่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 260 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ค่า IOC ระหว่าง 0.67–1.00 และทดสอบความเชื่อมั่นด้วย Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.89 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเฉพาะการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ตำบลข้าวเม่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลเชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ (1) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง (B = .171, p = .004) (2) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเตือนและสัญญาณอันตรายของโรคหลอดเลือดสมอง (B = .128, p = .007) (3) การรับรู้ความเสี่ยง (B = .070, p = .018) และ (4) การรับรู้อุปสรรค (B = .135, p < .001) แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับโรคมากขึ้น รวมทั้งตระหนักถึงความเสี่ยงและอุปสรรคในการป้องกันโรค จะมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมการป้องกันโรคได้ดีกว่าผู้ที่มีความรู้และการรับรู้น้อยกว่า</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: พฤติกรรมการป้องโรค, โรคหลอดเลือดสมอง, ความดันโลหิตสูง</p>2025-11-16T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289993ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี2025-11-14T13:34:11+07:00ภัทรวรรธน์ ปิจจวงค์tasapalo@gmail.comทิวัตถ์ มณีโชติmtiwat@gmail.com<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับความสุขในการทำงานของครู และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงพุทธที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 324 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .945 สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ<br />การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสุขในการทำงานของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านมีวิสัยทัศน์ ด้านมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ และด้านมีความชอบธรรม ส่งผลทางบวกต่อความสุขในการทำงานของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยทั้ง 3 ด้านร่วมกันอธิบายความแปรปรวนความสุขในการทำงานของครูได้ร้อยละ 45.7 (R<sup>2</sup>= .457)</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: ภาวะผู้นำเชิงพุทธ, ผู้บริหารสถานศึกษา, ความสุขในการทำงานของครู</p>2025-11-26T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/287306Digital Leadership and Organizational Climate in Higher Vocational Colleges: Mediating Effects of Organizational Support on Teachers’ Work Performance in Pingdingshan City under Henan Province2025-08-26T10:09:11+07:00Wang Ledr.thiwat@gmail.comPeerapong Tipanarkdr.thiwat@gmail.comPornthep Muangmandr.thiwat@gmail.com<p>-</p>2025-11-26T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/286618Coaching Leadership on Scientific Research Team Innovation Performance in Private Undergraduate Universities in Shaanxi Province 2025-07-08T11:27:04+07:00Wang Jiaodr.thiwat@gmail.comSomsak Chanphongdr.thiwat@gmail.comSutida Howattanakuldr.thiwat@gmail.com<p>The research objectives of this dissertation were: 1) To explore the components and indicators of coaching leadership and scientific research team innovation performance. 2) To study the direct and indirect relationship between coaching leadership and scientific research team innovation performance. 3) To develop practical management guidelines to improve scientific research team innovation performance in private undergraduate universities in Shaanxi Province. This research combined quantitative and qualitative research methods. The sample comprised 283 leaders and members of research teams from 21 private undergraduate universities in Shaanxi. Stratified sampling was used to collect data through IOC tools, five-point scale questionnaires, and focus group interviews. The questionnaire recovery rate was 100% valid. Data analysis was carried out via CFA and SEM to explore the mechanism of CLS on the SRTIP.. Stratified sampling was used to collect data through IOC tools, five-point scale questionnaires, and focus group interviews. The questionnaire recovery rate was 100% valid. Data analysis was conducted using CFA and SEM to explore the mechanism by which CLS affects the SRTIP. The research findings revealed that: 1) The leadership style and scientific research team innovation performance model included four first-level components: coaching leadership, member creativity, dynamic competence, and scientific research team innovation performance, covering 12 second-level components and 51 measurement indicators; 2) CLS directly and positively impacted SRTIP, and also indirectly affected it through MC and DC; 3) Focus-group analysis revealed the management awareness of private universities in Shaanxi under institutional constraints and resource differences. The research confirmed the mechanism of CLS and mediating variables and put forward management guidelines based on this.</p> <p><strong>Keywords:</strong> Coaching Leadership, Scientific Research Team Innovation Performance, Private Undergraduate Universities, Shaanxi Province</p>2025-11-26T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/288331การศึกษาความต้องการจำเป็นการส่งเสริมการบริหารงานวิชาการ สำหรับโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี2025-09-15T09:59:44+07:00นฤปติ บูรณะศิริโชติwaenprakhonx@gmail.comต้องลักษณ์ บุญธรรมwaenprakhonx@gmail.com<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพที่เป็นอยู่จริงและสภาพที่พึงประสงค์ของบริหารงานวิชาการ สำหรับโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานีและ 2) ความต้องการจำเป็นการส่งเสริมการบริหารงานวิชาการ สำหรับโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ประชากรเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 57 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบตอบสนองคู่ โดยแบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 -1.00 และมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.789 และ 0.945 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพที่เป็นอยู่จริงของการบริหารงานวิชาการ สำหรับโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการ สำหรับโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษด้านดนตรี ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความต้องการจำเป็นการส่งเสริมการบริหารงานวิชาการ ตามการจัดลำดับความต้องการจำเป็นมากที่สุด ได้แก่ (1) ด้านกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา การออกแบบและจัดการเรียนรู้รายวิชาสอดคล้องกับการเสริมทักษะทางดนตรี (2) ด้านการวัดประเมินผลของสถานศึกษา การทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐานทางด้านดนตรี (3) ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การจัดทำโครงสร้างหลักสูตรที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะดนตรี ตามลำดับ</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ความต้องการจำเป็น, การบริหารงานวิชาการ, โรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ</p>2025-11-28T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/287018Mediating Effect of Self-Efficacy and Club Learning Engagement between Student Organization Atmosphere and College Student Leadership in Universities of Shandong Province2025-11-26T20:33:34+07:00Wu Yuedr.thiwat@gmail.comSutida Howattanakuldr.thiwat@gmail.comSomsak Chanphongdr.thiwat@gmail.com<p>This study explored the mechanisms through which student organization atmosphere influences college student leadership, focusing on the mediating roles of self-efficacy and club learning engagement. A quantitative approach was adopted, with data collected from 365 students selected through stratified random sampling from 7,102 club members across four universities in Shandong Province, China. The questionnaire employed a five-point Likert scale, and data were analyzed using descriptive statistics, confirmatory factor analysis (CFA), and structural equation modeling (SEM). Results indicated that the organizational atmosphere comprised three dimensions—friendly, innovative, and equitable—and that college student leadership consisted of self-awareness and management, social practice and communication, and personality charm. Club learning engagement included vitality, organizational dedication, and organizational focus, and self-efficacy comprised self-control, confidence in growth, and learning ability. The proposed model demonstrated a good fit with the data (χ² = 156.492, df = 63, GFI = 0.963, AGFI = 0.906, CFI = 0.963, TLI = 0.965, RMR = 0.035, RMSEA = 0.064). Organizational atmosphere had significant direct effects on self-efficacy, club learning engagement, and college student leadership. Both self-efficacy and club learning engagement directly and positively influenced college student leadership. Moreover, organizational atmosphere indirectly affected leadership through both mediators. These findings highlight that a positive, equitable, and innovative organizational atmosphere can enhance students’ self-efficacy and engagement in club learning, thereby promoting their leadership development.</p> <p><strong>Keywords</strong>: Organizational Atmosphere, College Student Leadership, Club Learning Engagement, Self-Efficacy</p>2025-11-28T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/287436Double Qualified Teachers’ Competencies Model in Higher Vocational Colleges in Henan Province2025-08-18T16:19:49+07:00Han Shunadr.thiwat@gmail.comSukhum Moonmuangdr.thiwat@gmail.comSataporn Pruettikuldr.thiwat@gmail.com<p>-</p>2025-11-29T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289236ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี ChatGPT ในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด2025-10-15T10:52:39+07:00พฤทธิกร จันทศรfolk6789@hotmail.comชนะกัญจน์ ศรีรัตนบัลล์folk6789@hotmail.com<p>การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี ChatGPT กรณีศึกษาบริษัท ฮิวแมนิก้าจำกัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ได้แก่ (1) เพื่อศึกษาลักษณะการยอมรับเทคโนโลยี ChatGPT ของพนักงานในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) (2) เพื่อศึกษาปัจจัยการรับรู้ความง่ายต่อการใช้งาน และการรับรู้ถึงประโยชน์ ChatGPT ของพนักงานในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) (3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการใช้ ChatGPT ของพนักงานในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ พนักงานบริษัทบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) จำนวน 228 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) การรับรู้ความง่ายในการใช้งานของ ChatGPT ในบริษัท ฮิวแมนิก้าจำกัด (มหาชน) ภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก 2) การรับรู้ถึงประโยชน์ ChatGPTในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) ภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก 3) ลักษณะการยอมรับเทคโนโลยี ChatGPT ในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 4) บุคลากรที่มีเพศ อายุ การศึกษา ประสบการณ์การทำงาน รายได้ต่อเดือน และฝ่ายงานที่แตกต่างกันมีการยอมรับการใช้ ChatGPT ของพนักงานในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 5) ปัจจัยการรับรู้ความง่ายในการใช้งาน และปัจจัยการรับรู้ถึงประโยชน์ สามารถร่วมกันอธิบายการยอมรับการใช้ ChatGPT ของพนักงานในบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) ได้ร้อยละ 35.50 (Adj. R<sup>2 </sup>= 0.355) โดยปัจจัยการรับรู้ความง่ายในการใช้งาน และปัจจัยการรับรู้ถึงประโยชน์ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: การยอมรับเทคโนโลยี, การรับรู้ความง่าย, การรับรู้ถึงประโยชน์, ChatGPT</p>2025-11-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/288981การพัฒนาโปรแกรมการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 32025-10-07T11:02:54+07:00จุรีรัตน์ ใจเรือง66010581019@msu.ac.thสุรเชต น้อยฤทธิ์66010581019@msu.ac.th<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นด้านภาวะผู้นำทางวิชาการของครู และ2) สร้างและประเมินโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นด้านภาวะผู้นำทางวิชาการของครู ระยะที่ 2 การสร้างและประเมินโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของครู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 322 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) แล้วนําข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสารและแบบสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำทางวิชาการของครูโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำทางวิชาการของครูโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน การพัฒนาตนเองและเพื่อนครู การเป็นแบบอย่างด้านจัดการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมในการพัฒนา และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของครู ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหาและทฤษฎี กิจกรรม และการวัดและประเมินผล โดยแบ่งเป็น 5 Module ได้แก่ การเป็นแบบอย่างด้านจัดการเรียนรู้ การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน การมีส่วนร่วมในการพัฒนา และการพัฒนาตนเองและเพื่อนครู ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> โปรแกรม, ภาวะผู้นำทางวิชาการ, ครู</p>2025-11-30T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/288982การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานสภานักเรียนโดยใช้วงจรคุณภาพของเดมมิ่ง สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ2025-10-07T11:09:47+07:00ศุภชาติ จันทึก66010581080@msu.ac.thลักขณา สริวัฒน์66010581080@msu.ac.th<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการดำเนินงานสภานักเรียน และเพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงานสภานักเรียนโดยใช้วงจรคุณภาพของเดมมิ่ง สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการดำเนินงานสภานักเรียน ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานสภานักเรียนโดยใช้วงจรคุณภาพของเดมมิ่ง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 162 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู โรงเรียนละ 1 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทาง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) แล้วนําข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสารและแบบสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการดำเนินงานสภานักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่สภาพที่พึงประสงค์ฯ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การดำเนินงานส่งเสริมสภานักเรียนและประชาธิปไตยในโรงเรียน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของสภานักเรียนกับชุมชน/องค์กร ภาครัฐและเอกชน การกำหนดโครงสร้างของคณะกรรมการสภานักเรียน การกำหนดที่มาของสภานักเรียน สถานศึกษานิเทศ กำกับติดตาม ประเมินผล รายงานผลการดำเนินงานสภานักเรียน การประชุมคณะกรรมการสภานักเรียนอย่างต่อเนื่อง และการบูรณาการกิจกรรมสภานักเรียน เข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามลำดับ โดยแนวทางการดำเนินงานสภานักเรียนโดยใช้วงจรคุณภาพของเดมมิ่ง ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ 50 ตัวบ่งชี้ 94 แนวทาง ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong> </strong><strong>คำสำคัญ:</strong> แนวทาง, สภานักเรียน, มัธยมศึกษา, วงจรเดมมิ่ง</p>2025-12-01T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289714Effective Transformational Leadership Model For Middle-level Administrators in Private Colleges and Universities under Shaanxi Province2025-11-26T16:04:13+07:00Xue Lindr.thiwat@gmail.comSomsak Chanphongdr.thiwat@gmail.comSutida Howattanakuldr.thiwat@gmail.com<p>The research objectives of this dissertation were: 1) To determine the components and indicators to the effective transformational leadership model for middle-level administrators in private colleges and universities under Shaanxi Province; 2) To propose the effective transformational leadership model for middle-level administrators in private colleges and universities under Shaanxi Province; 3) To develop the guidelines to apply effective transformational leadership model for middle-level administrators in private colleges and universities under Shaanxi Province. This research combined quantitative and qualitative methods. It selected 309 administrative personnel, assistant deans, department heads, and teachers of private colleges and universities in Shaanxi Province. Using a stratified sampling method, data were collected through IOC tools, five-point scale questionnaires, and focus group interviews. The questionnaire response rate was 100% and all were valid. Data analysis was conducted through CFA to explore the effective transformational leadership model of middle-level administrators in private colleges and universities in Shaanxi Province. The research results show: 1) The effective transformational leadership model of middle-level administrators consists of 5 components: Ideal Influence (II), Inspirational Motivation (IM), Intellectual Stimulation (IS), Individualized Consideration (IC), and Learning Innovation (LI), including 41 measurement indicators; 2) Model of effective transformational leadership for middle-level administrators in private colleges and universities under Shaanxi Province was fit with the empirical data;3) Five key guidelines were identified for the effective transformational leadership capabilities of middle-level administrators in private colleges and universities in Shaanxi Province.</p> <p><strong>Keywords:</strong> Effective, Transformational Leadership, Model, Private Colleges and Universities</p>2025-12-06T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/281555Effect of Transformational Leadership and Organizational Justice Toward Teachers’ Job Engagement as Mediated by Teachers’ Job Satisfaction in Universities under Jiangxi Province2025-02-26T22:33:16+07:00Cui Bo6543200006@bkkthon.ac.thPeerapong Tipanarkdr.thiwat@gmail.comSomsak Chanphongdr.thiwat@gmail.com<p>-</p>2025-12-11T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289715Mediating Effects of Teachers’ Job Engagement on the Relationship Between Servant Leadership and Teachers’ Innovative Behavior of Higher Vocational Colleges in Anyang, Henan Province, China2025-11-26T16:17:47+07:00Hu Shaojin751425789@qq.comPornthep Muangmandr.thiwat@gmail.comPeerapong Tipanarkdr.thiwat@gmail.com<p>The purposes of this study were: (1) to develop a mediating model explaining the relationship between servant leadership and teachers’ innovative behavior, with teachers’ job engagement as the mediating variable; and (2) to examine the mediating effect of teachers’ job engagement on this relationship in higher vocational colleges in Anyang City, Henan Province. This study employed a quantitative research design. The target population comprised 2,198 teachers from three higher vocational colleges in Anyang City in 2024. A stratified random sampling technique was used to select 310 participants. Data were collected using a five-point Likert scale questionnaire. Confirmatory Factor Analysis (CFA) and Structural Equation Modeling (SEM) were applied for data analysis. The findings indicated that servant leadership did not have a direct effect on teachers’ innovative behavior but positively influenced teachers’ job engagement. The proposed model demonstrated an excellent fit with the empirical data, with fit indices (Chi-square, GFI, AGFI, CFI, TLI, RMR, and RMSEA) meeting the recommended criteria. Furthermore, servant leadership influenced teachers’ innovative behavior indirectly through teachers’ job engagement. All proposed hypotheses were supported.</p> <p><strong>Keywords:</strong> Servant Leadership, Teachers’ Job Engagement, Innovative Behavior, Mediating Effect, Higher Vocational Colleges, Anyang City</p>2025-12-11T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289716Developing Interdisciplinary Academic Leadership Model for Administrators of Art Colleges and Universities in Hainan Province 2025-11-26T16:41:57+07:00Ling Qiuyue dr.thiwat@gmail.comKamolmal Chaisirithanyadr.thiwat@gmail.comChuanchom Chinatangkulchuanchom.c@university.ac.th<p>This study aimed to develop and validate an interdisciplinary academic leadership model tailored for administrators of art colleges and universities in Hainan Province, the People’s Republic of China. Employing a mixed-methods design, the research integrated qualitative interviews and quantitative surveys. The population consisted of 1,463 administrators and faculty members, and a stratified random sample of 314 participants was selected using Taro Yamane's formula. Data collection involved semi-structured interviews and a five-point Likert scale questionnaire, while data analysis employed descriptive statistics and Confirmatory Factor Analysis (CFA). The findings demonstrated that the proposed model exhibited strong validity and reliability, with fit indices meeting recommended thresholds (χ²/df = 1.336, GFI = 0.928, TLI = 0.987, CFI = 0.989, RMSEA = 0.033). All components achieved AVE values above 0.5 and CR values above 0.7, confirming convergent validity. This model contributes new knowledge by offering a context-specific framework that enhances interdisciplinary collaboration, strategic planning, and sustainable leadership in higher education, providing valuable implications for both local institutions and global academic leadership practices.</p> <p><strong>Keywords: </strong>Interdisciplinary Academic Leadership, Model, Educational Leadership, Administrators, Art Colleges, Universities, Hainan Province</p> <p> </p>2025-12-11T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญาhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/289717Professional Administrations in the Art Universities under Liaoning Province2025-11-26T16:44:33+07:00Guo Tingyuandr.thiwat@gmail.comNitwadee Jirarotephinyodr.thiwat@gmail.comSomsak Chanphongdr.thiwat@gmail.com<p>The objectives of this research were: (1) to explore the components of professional administrators in art universities under Liaoning Province, (2) to validate a professional administrators’ model for art universities under Liaoning Province, and (3) to propose practical guidelines for professional administrators in art universities under Liaoning Province. This study employed a mixed-methods design that combined quantitative and qualitative approaches. The population comprised 1,047 teachers working during the 2023 academic year across eight art universities in Liaoning Province. A stratified random sampling method, based on Krejcie and Morgan’s table, was used to select 285 teachers. Additionally, nine key informants were chosen through purposive sampling for interviews, and a focus group discussion was conducted with seven key informants. Research instruments included semi-structured interview guides, a five-point Likert-scale questionnaire, and a focus group discussion guide. The questionnaire response rate was 100%. Data analysis involved frequency, percentage, mean, standard deviation, confirmatory factor analysis (CFA), and content analysis. The findings revealed that professional administrators in art universities in Liaoning Province consist of four main components: (1) setting action goals, (2) exercising organizational leadership, (3) applying organizational structures effectively, and (4) promoting the active engagement of all organizational members. The validated model comprised 20 indicators across the four components. Furthermore, professional guidelines were proposed, consisting of five guidelines for each component.</p> <p><strong>Keywords</strong>: Professional Administrators, Professional Development, Guidelines, Art Universities, Liaoning Province</p>2025-12-11T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปัญญา