วารสารครุศาสตร์ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ <p><strong>วารสารครุศาสตร์ปัญญา (IEJ) ISSN:</strong> <strong>2822-0218 (Online)</strong> เป็นวารสารวิชาการหลักอย่างเป็นทางการที่จัดทำในนามหน่วยพัฒนาครูครุศาสตร์ปัญญา สถาบันคุรุพัฒนาโดยวารสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านศึกษาและสหวิทยาการที่เกี่ยวข้อง สำหรับนักการศึกษา นักวิจัย นักพัฒนา และนักปฏิบัติ โดยวารสารดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านการศึกษาและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาผ่านกระบวนการพิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณภาพตามมาตรฐานสากลของวารสารวิชาการ วารสารครุศาสตร์ปัญญา เผยแพร่เผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร</strong><br />1) บทความพิเศษ (selected article)<br />2) บทความวิจัย (research article)<br />3) บทความเทคนิค (technical article)<br />4) บทความปริทัศน์ (review article)</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong><br />มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ ดังนี้<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน <br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ</strong><br />เปิดรับบทความพิเศษ (selected article) บทความวิจัย (research article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความปริทัศน์ (review article) โดยมีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ 4,500 บาทต่อบทความ ยกเว้นบทความพิเศษไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียม</p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความพิเศษ (selected article) บทความวิจัย (research article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความปริทัศน์ (review article) ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน<br />บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ<br />เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน<br />ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</p> <p><br /><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความพิเศษ (selected article) บทความวิจัย (research article) บทความเทคนิค (technical article) และบทความปริทัศน์ (review article) ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน<br />เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ<br />ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์<br />เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์</strong><br />ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ ฯลฯ) e-mail: karusatpanya@gmail.com โทร: 088-5606666 (ดร.สัมฤทธิ์ กางเพ็ง)</p> Social Science and Education th-TH วารสารครุศาสตร์ปัญญา 2822-0218 การประเมินความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/285039 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครู ปีการศึกษา 2567 จำนวน 322 คน &nbsp;&nbsp;ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.28-0.96 และค่าความเชื่อมั่น 0.95-0.97 และแบบสอบถามแนวทางในการส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบจิตสาธารณะของนักเรียนมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) จิตสาธารณะต่อสังคม 2) จิตสาธารณะต่อผู้อื่น และ3) จิตสาธารณะต่อตนเอง โดยทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. สภาพที่เป็นจริงเกี่ยวกับจิตสาธารณะของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่ควรจะเป็นเกี่ยวกับจิตสาธารณะของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียน เรียงตามลำดับจากสูงไปต่ำ ดังนี้ จิตสาธารณะต่อสังคม จิตสาธารณะต่อผู้อื่น และจิตสาธารณะต่อตนเอง ตามลำดับ 4. แนวทางในการส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนในโรงเรียน มี 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้ของส่วนรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และด้านการดูแลรักษาสิ่งของส่วนรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง</p> วีรยุทธ สาขามุละ วัลนิกา ฉลากบาง บุญมี ก่อบุญ Copyright (c) 2025 2025-05-19 2025-05-19 4 3 1 13 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการบวกและการลบ จำนวนนับไม่เกิน 1,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Open Approach) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/IEJ/article/view/285072 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการบวกและ การลบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Open Approach) (2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่ 2 จำนวน 16 คน โรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง จังหวัดขอนแก่น ประจำภาคเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 8 แผนการเรียนรู้ 8 ชั่วโมง (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 &nbsp;เป็นแบบเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน 20 ข้อ และ (3) แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนคณิตศาสตร์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ ผลการวิจัย (1) คะแนนผลสัมฤทธิ์เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีการแบบเปิดหลังเรียน พบว่า จำนวนนักเรียนที่มีคะแนนตั้งแต่ร้อยละ 70 มีจำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 93.75 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย (2) ความพึงพอใจทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน พบว่าความพึงพอใจทางการเรียนเรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 1,000 ของผู้เรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวิธีการแบบเปิดในการส่งเสริมการเรียนรู้และทัศนคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์</p> พรพิมล ชูสอน สมหวัง นิลพันธ์ อารีย์ พาวัฒนา Copyright (c) 2025 2025-05-19 2025-05-19 4 3 14 26