https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/issue/feed
วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
2025-06-30T14:23:36+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมภารธัชธรณ์ ศิโลศรีไช
somphanss387@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong> <br /> 1. เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ด้านศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และผู้สนใจ</span> ได้มีโอกาสเสนอ<br /> ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย และวิทยานิพนธ์ในสาขาวิชาศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ <br /> และสาขาที่เกี่ยวข้อง</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/271741
แนวทางการพัฒนาทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4
2024-07-28T17:27:35+07:00
kesinee fayjampa
kfayjampa@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา โดยจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 123 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากแบบสัมภาษณ์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสรุปเป็นความเรียง ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการวินิจฉัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการใช้คำถาม 2) การเปรียบเทียบทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ 3) แนวทางการพัฒนาทักษะด้านความคิดรวบยอดของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่าผู้บริหารต้องมีความสามารถในการคาดการณ์และวางแผนสำหรับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคต มีทักษะการวิเคราะห์งาน การวิเคราะห์บทบาทหน้าที่ สามารถคิดนอกกรอบ ความคิดใหม่ ๆ มีเทคนิคในการใช้คำถาม รวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้ในการวินิจฉัยอย่างมีประสิทธิภาพ ทำการวินิจฉัยบนพื้นฐานของเหตุผล ประเมินทางเลือกที่มีอยู่และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/273221
การศึกษาระดับการคิดเชิงระบบ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
2024-10-03T09:29:12+07:00
Sahathep Khamsuriya
sahathep2515@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาระดับการคิดเชิงระบบ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ในประเทศไทย ปีการศึกษา 2563 จำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบบหลายขั้นตอน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดการคิดเชิงระบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า ระดับการคิดเชิงระบบ โดยภาพรวม อยู่ในระดับพอใช้ มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 23.57 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 58.93</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/276921
ผลของรูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดชัยภูมิ
2024-09-23T10:25:56+07:00
Lertrit Tungchuvong
Lertrit2014@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดชัยภูมิ โดยใช้วิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลองเชิงปริมาณกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 56 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบบเจาะจงกลุ่ม จำนวน 3 กลุ่ม กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G*power กำหนดแบบทิศทาง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ รูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และ แบบสอบถาม มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน 3) ทัศนคติในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน และ4) พฤติกรรมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการวิจัยพบว่า ผลการนำใช้รูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ใน การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน ทัศนคติในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน และพฤติกรรมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/278280
ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6
2024-10-24T00:56:33+07:00
นายธวัชชัย ภูพลผัน
tawatchai9525@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา2) ศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยใช้วิธีการวิจัยแบบสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บรหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 127 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยใช้อำเภอที่ตั้งของสถานศึกษาเป็นชั้นภูมิ โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตาราง Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันผลการวิจัย พบว่า 1) ทักษะการบริหารในศตรวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนัก งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาราด้านพบว่า ทักษะที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ทักษะการมีมนุษยสัมพันธ์ 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ การเพิ่มบทบาทให้กับบุคลากร 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารในศตรวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .831</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/278265
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5
2024-11-14T16:22:23+07:00
rungtiwa phalatho
ictrungtiwa@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยใช้วิธีการวิจัยแบบสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำนวน 144 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซีและมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในระดับค่อนข้างสูง ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ เท่ากับ .668</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong>: ความสัมพันธ์, ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัล, ประสิทธิผลของสถานศึกษา</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/278344
แนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
2024-10-24T00:53:27+07:00
assanee srikam
assanee38@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 338 คน ใช้วิธีกำหนดกลุ่มตัวอย่าง แบ่งตามขนาดของสถานศึกษา โดยใช้ตารางสำเร็จรูป Krejcie and Morgan เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test independent) ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา พบว่า ครูผู้สอนควรออกแบบการเรียนรู้ทักษะการอ่านและเขียนตามระดับชั้นและมีคู่มือฝึกที่เป็นระบบ ผู้บริหารสถานศึกษาควรเล็งเห็นความสำคัญและสนับสนุนงบประมาณด้านสื่อการสอนและพัฒนาทักษะและเทคนิคการสอนที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน มีการร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชนเพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/278291
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์การนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2024-10-24T00:54:56+07:00
มุกดารัตน์ ใบบ้ง
mukdarat0306@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ความเป็นองค์การนวัตกรรมของสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับความเป็นองค์การนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 317 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ กำหนดขนาดตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปเครซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม 2) ความเป็นองค์การนวัตกรรมของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาบุคลากร 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นองค์การนวัตกรรมของสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในระดับสูงค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .807</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JAS_CPRU/article/view/278614
The การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2024-10-29T10:26:16+07:00
Choradee Kamsirirak
suthidakumsiriruk@yahoo.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายประถม) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 34 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/86.37 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ