https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/issue/feed
วารสารการวัดผลการศึกษา สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา
2025-06-27T13:57:04+07:00
นวรินทร์ ตาก้อนทอง
navarin@g.swu.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารการวัดผลการศึกษา สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา (Journal of Educational Measurement, Educational and Psychological Test Bureau) รับพิจารณาผลงานวิชาการใน 2 ลักษณะ ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย/วิทยานิพนธ์ ในศาสตร์การวัดผล สถิติ การวิจัย และจิตวิทยาการศึกษา มีกำหนดออก ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 ของปี เดือนมกราคม–มิถุนายน ฉบับที่ 2 ของปี เดือนกรกฎาคม–ธันวาคม </p> <p>ISSN 3027-639X (Print) และ ISSN 3027-6683 (Online)</p> <p>*** วารสารฉบับนี้ มีชื่อปรากฏในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) กลุ่ม 2</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/article/view/286361
การพัฒนาแบบวัดความคล่องแคล่วในการใช้คำ ตามทฤษฎีสมรรถภาพทางสมองของเทอร์สโตน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-06-27T13:21:42+07:00
อุไร จักษ์ตรีมงคล
urai@g.swu.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบวัดด้านความคล่องแคล่วในการใช้คำตามทฤษฎีสมรรถภาพทางสมองของเทอร์สโตนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และตรวจสอบคุณภาพรายข้อและรายฉบับของแบบวัดที่สร้างขึ้น ตัวอย่างวิจัยเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 404 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage random sampling) เครื่องมือสำหรับการวิจัยเป็นแบบวัดความถนัดด้านความคล่องแคล่วในการใช้คำ ชนิด 5 ตัวเลือก จำนวน 100 ข้อ ที่สร้างขึ้นตามทฤษฎีสมรรถภาพทางสมองของเทอร์สโตน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า เครื่องมือที่สร้างขึ้นผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณภาพและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC: Index of Item Objective Congruence) ว่าข้อคำถามและตัวเลือกที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับทฤษฎีสมรรถภาพทางสมองของเทอร์สโตนจำนวน 90 ข้อ มีค่าอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 จากการวิเคราะห์ค่าคุณภาพรายข้อทั้งค่าอำนาจจำแนกและค่าความยากง่าย พบว่า ค่าเฉลี่ยดัชนีอำนาจจำแนกเป็น 0.407ค่าเฉลี่ยค่าความยากง่ายเป็น 0.648 และค่าความเชื่อมั่นที่วิเคราะห์ด้วยสูตร KR-21 มีค่าเท่ากับ 0.965</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/article/view/286362
ผลของการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง ลักษณะภาษา ด้วยแนวทางภาษาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2025-06-27T13:35:58+07:00
ไชยวัฒน์ อารีโรจน์
bastscout@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ลักษณะภาษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ลักษณะภาษา ด้านความเที่ยงตรง (Validity) ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ค่าความยากง่าย (Difficulty) และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบ และ 3) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้เรื่อง ลักษณะภาษา ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวทางภาษาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 30 คน ที่ศึกษาในโรงเรียนวิสุทธรังษี อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ลักษณะภาษา 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ Backward Design เรื่อง ลักษณะภาษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การทดสอบค่าที (t – test) แบบ One Sample Test ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ลักษณะภาษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่สร้างและพัฒนาขึ้น จำนวน 1 ฉบับ 30 ข้อ เป็นแบบทดสอบที่มีมาตรฐาน คือ สอดคล้องกับสาระ มาตรฐาน และตัวชี้วัด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 และสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ลักษณะภาษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่สร้างและพัฒนาขึ้นฉบับนี้มีคุณภาพ ดังนี้ มีคุณภาพด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) มากกว่า 0.50 เท่ากับ 1.00 จำนวน 30 ข้อ ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.25 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20 – 0.60 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยมีค่าความเชื่อมั่น (KR – 20) เท่ากับ 0.70 และ (KR – 21) เท่ากับ 0.68 นอกจากนี้มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น (r) เท่ากับ 0.92 และ 3) นักเรียนกลุ่มตัวอย่างชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวทางภาษาศาสตร์ มีค่าความคงทนในการเรียนรู้เรื่อง ลักษณะภาษา เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 21.17 สูงกว่าเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70 อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นงานวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าครูต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต้องมีคุณภาพมาตรฐาน เพราะชั้นเรียนคือหัวใจของการวัดและประเมินผล นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ภาษาไทยให้ทันกับปัจจุบันด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดภาษาศาสตร์ สามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยที่คงทนถาวรและปรับประยุกต์ใช้กับการเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ ได้</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/article/view/286363
แนวทางการพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ เสริมสร้างสมรรถนะการออกแบบการเรียนรู้ ด้วยการคิดเชิงออกแบบของครู
2025-06-27T13:44:00+07:00
ชลากร เจริญผล
chalakornone@gmail.com
อุบลวรรณ ส่งเสริม
ubonwan.su@gmail.com
<p><strong> </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยการคิดเชิงออกแบบของครู ที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของนักเรียน ทำการศึกษาจากประชากร 2 กลุ่ม คือ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสร้างรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ จำนวน 21 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ทำการสุ่มตัวอย่างได้จำนวน 240 คน เก็บข้อมูลได้จริง จำนวน 234 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การดำเนินงานวิจัยมี 4 ขั้นตอนคือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) ร่างพัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ 3) ทำการตรวจสอบร่างรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ และ 4) ทำการประเมินรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ มีองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1 หลักการ ประการที่ 2 วัตถุประสงค์ ประการที่ 3 กระบวนการ โดยใช้กระบวนการ ANSWER MODEL ประการที่ 4 การวัดและประเมินผล ประการที่ 5 เงื่อนไขความสำเร็จ และ ประการที่ 6 ระบบการสนับสนุน</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/article/view/286364
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2564 กับคะแนนการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ ปี พ.ศ. 2565
2025-06-27T13:51:52+07:00
กุมภการ สวัสดิโกมล
wandeesommit13@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างของคะแนนการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 กับ คะแนนผลการประเมินสมรรถนะของนักเรียนในระดับสากล PISA ปี พ.ศ. 2565 การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย ประเภทการวิจัยเชิงความสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เข้ารับการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2564 และเข้ารับการประเมินสมรรถนะของนักเรียนในระดับสากล PISA ปี พ.ศ. 2565 จำนวน 3,403 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิผลการทดสอบ O-NET ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิชาภาษาไทย วิชาคณิตศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา พ.ศ. 2564 จากสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และผลการประเมิน PISA ความฉลาดรู้ด้านการอ่าน ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ และความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ปี พ.ศ. 2565 จากสถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) ผลการศึกษา พบว่า ผลการทดสอบ O-NET กับ ผลการประเมิน PISA มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง – สูง (r= 0.680-0.786) โดยวิชาที่มีความสัมพันธ์มากที่สุด คือ ผลการทดสอบ O-NET วิชาคณิตศาสตร์ กับ PISA ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง (r=.786) รองลงมาคือ ผลการทดสอบ O-NET วิชาภาษาไทย กับ PISA ความฉลาดรู้ด้านการอ่าน มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง (r=.744) และผลการทดสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ และ PISA ความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง (r=.680) ตามลำดับ</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JEMEPTB/article/view/286365
การคิดเชิงประเมิน: แนวคิด องค์ประกอบ และประโยชน์ต่อการประเมินผล
2025-06-27T13:57:04+07:00
กฤษกร พุ่มนวล
plamz.socho@gmail.com
เอื้อมพร หลินเจริญ
aumpornli@nu.ac.th
กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์
krittayakant@nu.ac.th
<p> การคิดเชิงประเมิน เป็นทักษะสำคัญสำหรับนักประเมินที่จะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติในการประเมินสู่ระดับที่ซับซ้อนขึ้น จะช่วยให้นักประเมินแน่ใจหรือมั่นใจว่าผลของการประเมินมีความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยให้การประเมินผล หรือการตีความในการประเมินเป็นไปตามบริบทของสิ่งที่มุ่งประเมิน บนพื้นฐานของหลักฐานและการปฏิบัติจริง ซึ่งการคิดเชิงประเมิน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) การคิดเชิงบริบท (Contextual Thinking) การคิดเชิงปฏิบัติ (Practical Thinking) การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และการสะท้อนคิด (Reflective Practice) โดยหากนักประเมินมีทักษะการคิดเชิงประเมินก็จะช่วยให้ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025