วารสารครุทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER <p>คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีนโยบายมุ่งพัฒนางานวิชาการของคณะและสร้างพื้นที่การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการของคณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งนักศึกษาระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอก จึงได้ดำเนินการจัดทำวารสารครุทรรศน์ (Journal of UBRU Educational Review) ในปี พ.ศ.2564 โดยเริมฉบับปฐมฤกษ์ปีที่ 1 ฉบับที่ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564<br />วารสารครุทรรศน์ เป็นวารสารอีเล็กทรอนิกส์ (Online) ได้รับการอนุมัติ ISSN (Online) จากสำนักหอสมุดแห่งชาติตามลำดับดังนี้<br />-วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ได้รับ ISSN: 2773-9821 (Online) <br />- วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2567 ISSN: 3027-7620 (Online) <br />กองบรรณาธิการจะมุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) จนกว่าจะได้รับการรับรองมาตรฐานในที่สุด</p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี th-TH วารสารครุทรรศน์ 3027-7620 ความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/274448 <p>การศึกษางานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อศึกษาความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาและ (2) เพื่อเปรียบเทียบความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาจำนวน 217คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเทียบตารางสำเร็จรูป เครจซี่และมอร์แกน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าค่าความเชื่อมั่นโดยภาพรวม เท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ ค่าที ค่าเอฟโดยวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มโรงเรียนอุบลรัตน์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำแนกตามสถานภาพของตำแหน่งและระดับการศึกษาแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ จำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> กฤษฏิมินทร์ มณีฉาย Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 1 15 ภาวะการติดอินเทอร์เน็ตหลังโควิด: จากการสำรวจแนวโน้มพฤติกรรมของนักศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/272025 <p>การใช้งานอินเทอร์เน็ตมากเกินไปเหมือนจะเป็นกระแสที่พบบ่อยระหว่างและหลังการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากกิจกรรมทุกอย่างต้องทำทางออนไลน์ ทำให้นักเรียนมีโอกาสในกิจกรรมโลกเสมือนจริงที่หลากหลาย เช่น การเรียนรู้ การสื่อสาร และความบันเทิงที่นำไปสู่การติดอินเทอร์เน็ต การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของนักศึกษาคณะครุศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการติดอินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งเสนอแนะมาตรการป้องกันสำหรับปัญหาในยุคหลังโควิด ข้อมูลถูกรวบรวมจากนักศึกษาคณะครุศาสตร์ จำนวน 244 คน จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยใช้แบบทดสอบการติดอินเทอร์เน็ต และการสะท้อนความเห็นรายบุคคล มีการวิเคราะห์การสะท้อนคิดโดยใช้ความถี่ของคำ ผ่านโปรแกรมคลังคำทางภาษาศาสตร์ AntConc ซึ่งเป็นฟรีแวร์สำหรับชุดเครื่องมือวิเคราะห์คลังข้อมูลอเนกประสงค์ ผลลัพธ์เชิงปริมาณพบว่านักศึกษาจำนวน 133 คน (54.5%) ถูกระบุว่าติดอินเทอร์เน็ตในระดับปานกลาง ในขณะที่นักศึกษาจำนวน 4 คน (1.8%) มีการพึ่งพาอินเทอร์เน็ตอย่างรุนแรง นักศึกษาจำนวน 92 คน (37.5%) มีการติดอินเทอร์เน็ตในระดับเล็กน้อย และนักศึกษา จำนวน 16 คน (6.3%) เท่านั้นที่ถูกกำหนดให้เป็นการใช้อินเทอร์เน็ตในระดับปกติ ประเด็นหลักจากความถี่ของคำที่ AntConc เผยให้เห็นว่าการป้องกันที่เป็นไปได้คือ ครอบครัว เพื่อน และกีฬา การรักษาที่เป็นไปได้เหล่านี้ที่รายงานโดยนักศึกษาใหม่นั้นสอดคล้องกับโมเดล CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ที่ใช้ในการรักษาผู้ที่ติดอินเทอร์เน็ต ข้อค้นพบจากการศึกษาครั้งนี้มีประโยชน์สำหรับคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะลดการติดอินเทอร์เน็ตของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย คณาจารย์สามารถใช้ข้อค้นพบเหล่านี้ เพื่อสร้างโปรแกรมการรักษาและการเรียนการสอนที่เน้นประเด็นปัญหาเฉพาะและตัวกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไปของนักศึกษา กลยุทธ์เชิงรุกนี้สนับสนุนความสำเร็จทางวิชาการและการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ดีขึ้น</p> สุภัทร สายรัตนอินทร์ กันทิมา แสงใส ปิยวรรณ กันทอง Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 16 25 ผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี เพื่อยกระดับสมรรถนะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/274362 <p>การศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี เพื่อยกระดับสมรรถนะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี (TPACK Model) 2) ศึกษาสมรรถนะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี (TPACK Model) โดยการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยใช้วงจร PAOR มีกลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ 1) แบบประเมินตนเองด้านการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมเทคโนโลยี และ 2) แบบประเมินสมรรถนะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาตามรูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี มีการวิเคราะห์ข้อมูลค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย (<em>) </em>และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>S.D.) </em>ผลการวิจัย พบว่า 1) ครูผู้สอนมีความรู้ด้านเนื้อหาวิชา (CK) มากที่สุด ( = 4.69, = 0.37) รองลงมาคือ ความรู้ด้านศาสตร์การสอน (PK) ( = 4.50, = 0.38) และความรู้ด้านศาสตร์การสอนผนวกเนื้อหาวิชา (PCK) ( = 4.50, = 0.39) และ 2) ครูผู้สอนมีสมรรถนะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาอยู่ในระดับดีมาก ( = 2.82, = 0.20)</p> <p><strong> </strong></p> นงลักษณ์ วงศ์ถนอม Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-30 2024-08-30 4 2 26 36 การรับรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครูในโครงการพัฒนา นวัตกรทางการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นโดยใช้สมรรถนะเป็นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/274427 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครู และ 2) ศึกษาการรับรู้ความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ของครูที่เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการตามโครงการพัฒนานวัตกรทางการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นโดยใช้สมรรถนะเป็นฐานที่จัดโดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีระหว่างวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2567 จำนวน 169 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงคือครูที่ยินดีให้ข้อมูลและตอบแบบประเมินตนเองผ่าน Google form เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมินการรับรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการออกแบบการเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 16 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.87 ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีผลการประเมินมากที่สุดคือครูมีเจตคติต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้ ส่วนข้อที่มีผลการประเมินน้อยที่สุดคือครูมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัล 2) การรับรู้ความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีผลการประเมินมากที่สุดคือการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนข้อที่มีผลการประเมินน้อยที่สุดคือการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน</p> ปริญา ปริพุฒ Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 37 49 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/271417 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 (2) ศึกษาสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 1 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ มีจำนวน 308 คน ประกอบไปด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 123 คน และครูผู้สอน จำนวน 185 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า (1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (2) สมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ด้านภาพรวมในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ (3) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กับสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ภาพรวมพบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อารักษ์ แตงน้อย เสริมทรัพย์ วรปัญญา สรรชัย ชูชีพ Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 50 60 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง รหัสลำลองและผังงาน วิชาเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) โดยใช้เกมการศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนารีนุกูล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/270418 <p>การวิจัยชั้นเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง รหัสลำลองและผังงาน วิชาเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) โดยใช้เกมการศึกษา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนารีนุกูลและเพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียน เรื่อง รหัสลำลองและผังงาน วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) โดยใช้เกมการศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนารีนุกูล กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/13 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนนารีนุกูล จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เกมการศึกษา และแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่องรหัสลำลองและผังงาน สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) และสถิติ T – test dependent ผลการวิจัยสรุปได้ว่าการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง รหัสลำลองและผังงาน วิชาเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) โดยใช้เกมการศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนารีนุกูล มีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /> </p> อนุรุต เวชกามา ชัชวาล ใจโชติ พีรญา ทองเฉลิม Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 61 69 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติสังกัดมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/271718 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติ สังกัดแอ๊ดเวนติสมิชชัน สังกัดมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติ สังกัดแอ๊ดเวนติสมิชชัน สังกัดมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทยจำแนกตาม วุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 26 คน ครูผู้สอน จำนวน 243 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 ความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟา เท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติ สังกัดแอ๊ดเวนติสมิชชัน สังกัดมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ดังนี้ 1) ด้านความคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต 2) ด้านความคิดเชิงปฏิวัติ3) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ 4) ด้านความคิดความเข้าใจระดับสูงและ5) ด้านการนำปัจจัยต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติ สังกัดแอ๊ดเวนติสมิชชัน สังกัดมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย จำแนกตามวุฒิการศึกษา โดยรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ในภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ</p> เจลจิรา จรูญแสง เสริมทรัพย์ วรปัญญา ภูวดล จุลสุคนธ์ Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 70 83 ผลของการใช้วัฏจักรการสอนการพูดที่มีผลต่อคุณภาพการพูดของนักศึกษา มหาวิทยาลัยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/276697 <p>การวิจัยเรื่องผลของการใช้วัฏจักรการสอนการพูด (Teaching-Speaking Cycle) ที่มีต่อ คุณภาพการพูดของนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้วัฏจักรการสอนการพูดมีผลต่อคุณภาพการพูดมากน้อยเพียงใด ประชากรในการศึกษาคือนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำนวน 62 คน โดยใช้แผนการสอนและวิธีการสอนโดยใช้วัฏจักรการสอนการพูด การสอบพูดและแบบประเมินระดับคุณภาพการพูด โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การใช้วัฏจักรการสอนการพูดมาจัดการเรียนการสอนมีผลต่อคุณภาพการพูดทุกด้านอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.53&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 คุณภาพการพูดเพื่อแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่กำหนด อยู่ในระดับดีเนื่องจากวัฏจักรนี้ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เตรียมความพร้อม ทั้งด้านตัวผู้เรียนเองและด้านข้อมูลนำเข้าเพื่อใช้ในการพูด เช่น คำศัพท์และโครงสร้างประโยค ทำให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาระงาน นอกจากนี้ขั้นตอนการฝึกพูด การเน้นทักษะและกลวิธี และการสะท้อนการเรียนรู้ ยังช่วยให้ผู้เรียนได้ปรับปรุงการพูดให้มีคุณภาพมากขึ้นด้วย</p> ทิวาพร ทาวะรมย์ นภวรรณ ชาติมนตรี ชานนท์ ไชยทองดี Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 84 91 บทความวิชาการ การนำทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์มาใช้ในการจัดการเรียน การสอนและปรับพฤติกรรมผู้เรียน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/275264 <p>ทฤษฎีการเรียนรู้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการเรียนรู้ เพราะการศึกษาแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้จะเป็นแนวทางให้ผู้สอนได้เข้าใจถึงกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่นำไปสู่การเชื่อมโยงและนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมหรือจัดประสบการณ์ต่างๆ ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมในด้านการปรับพฤติกรรมการเรียนรู้ โดยทฤษฎีนี้มีแนวความคิดที่ว่าพฤติกรรมของบุคคลจะแปรเปลี่ยนไปตามผลกรรมที่ ได้รับจากสภาพแวดล้อม ซึ่งการเสริมแรงเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่างไรก็ตามตัวเสริมแรงที่ใช้จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน และผู้สอนควรงดให้การเสริมแรงเมือนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นบทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารวบรวมข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ มาเป็นแนวทางในการนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนและปรับพฤติกรรมของผู้เรียน ประกอบด้วยประวัติ การทดลอง แนวคิด ประเภทของการเสริมแรง ชนิดของการเสริมแรง หลักการเสริมแรง กำหนดการเสริมแรง ลักษณะของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทําและการนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการปรับพฤติกรรม ซึ่งผู้สอนผู้สอน นักการศึกษา หรือผู้ที่สนใจสามารถนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ด้วยการให้การเสริมแรงผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น</p> ไหมไทย ไชยพันธุ์ ฆอซานะห์ อาแว Copyright (c) 2024 วารสารครุทรรศน์ 2024-08-29 2024-08-29 4 2 92 106