วารสารครุทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER <p>คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีนโยบายมุ่งพัฒนางานวิชาการของคณะและสร้างพื้นที่การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการของคณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งนักศึกษาระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอก จึงได้ดำเนินการจัดทำวารสารครุทรรศน์ (Journal of UBRU Educational Review) ในปี พ.ศ.2564 โดยเริมฉบับปฐมฤกษ์ปีที่ 1 ฉบับที่ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564<br />วารสารครุทรรศน์ เป็นวารสารอีเล็กทรอนิกส์ (Online) ได้รับการอนุมัติ ISSN (Online) จากสำนักหอสมุดแห่งชาติตามลำดับดังนี้<br />-วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ได้รับ ISSN: 2773-9821 (Online) <br />- วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2567 ISSN: 3027-7620 (Online) <br />กองบรรณาธิการจะมุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) จนกว่าจะได้รับการรับรองมาตรฐานในที่สุด</p> th-TH rattana.p@ubru.ac.th (รองศาสตราจารย์ ดร.รัตนะ ปัญญาภา) rattana.p@ubru.ac.th (-) Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การบูรณาการแนวคิดของเดวีส์และสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284458 <p>วิชานาฏศิลป์เป็นวิชาที่มุ่งเน้นในการฝึกทักษะปฏิบัติถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายรูปแบบต่างๆ ที่ลงมือทำด้วยตนเอง ดังนั้น บทความวิชาการนี้ จึงใช้หัวข้อ"การบูรณาการตามแนวคิดของ เดวีส์และสื่อมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์และเสนอมุมมองในองค์ความรู้เกี่ยว ความหมายการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ รูปแบบและขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ บทบาทของครูและบทบาทนักเรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ แนวคิดสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ ทักษะปฏิบัติ การบูรณาการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนผ่านการค้นคว้าจากเอกสารทางวิชาการแล้วเสนอด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและได้แนวทางการจัดทําแผนการบูรณาการรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทการสอนนาฏศิลป์ในยุคดิจิทัลซึ่งบูรณาการแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติเดวีส์กับสื่อมัลติมีเดียเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ</p> ไตรภพ บุญเลิศ, มนตรี วงษ์สะพาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ไตรภพ บุญเลิศ, มนตรี วงษ์สะพาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284458 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ครูยุคใหม่กับการสร้างแรงจูงใจในการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283941 <p>ในทางจิตวิทยาการศึกษาถือว่า แรงจูงใจเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่ครูยุคใหม่จำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจเรื่องแรงจูงใจที่สามารถจูงใจกระตุ้นผู้เรียนได้เป็นอย่างดีและนำไปสู่การออกแบบการสอนและใช้วิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในชั้นเรียนซึ่งทำให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนรู้ บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ความหมายของแรงจูงใจ 2) องค์ประกอบของแรงจูงใจ 3) ประเภทของแรงจูงใจ 4) แนวคิดหลักของแรงจูงใจ และ 5) การประยุกต์ใช้แนวคิดแรงจูงใจในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผลจากการศึกษาสรุปได้ว่า แรงจูงใจของแต่ละคนส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูยุคใหม่ต้องเข้าใจและประยุกต์ใช้แรงจูงใจในการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพของแต่ละคน</p> สมเจตน์ ผิวทองงาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมเจตน์ ผิวทองงาม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283941 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 องค์ประกอบความยืดหยุ่นทางอารมณ์และจิตใจเพื่อส่งเสริมการกลับฟื้นคืนตัว https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283417 <p>ความยืดหยุ่นทางอารมณ์และจิตใจ เป็นอีกหนึ่งในความสามารถ ทักษะ กระบวนการที่จะช่วยป้องกันและแก้ไขภาวะวิกฤติของชีวิต ในขณะที่ต้องเผชิญกับความเครียด ความวิตกกังวลที่เข้ามาคุกคาม โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 องค์ประกอบ คือ ด้านความทนทาน ความมั่นคง ทนต่อแรงกดดันทางอารมณ์ (อึด) ด้านกำลังใจ (ฮึด) และด้านการจัดการกับปัญหา (ต่อสู้เอาชนะอุปสรรค) ประกอบกับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่สำคัญทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านที่ฉันมี ด้านที่ฉันเป็น และด้านที่ฉันสามารถ ซึ่งผลสัมฤทธิ์จะสะท้อนออกมาจากคุณลักษณะทั้ง 6 ประการ คือ ความสามารถทางด้านร่างกาย ความสามารถทางด้านสังคมและสัมพันธภาพ ความสามารถทางด้านการรู้คิด ความสามารถทางด้านอารมณ์ ความสามารถทางด้านคุณธรรม และความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ โดยสรุป ผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์และจิตใจที่ดีนั้น โดยส่วนมาก พบว่า ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ที่จะมีสุขภาพดี มีอารมณ์มั่นคง ร่าเริง แจ่มใส มองโลกในเชิงบวก มีอารมณ์ขันเห็นคุณค่าในตนเอง มีเป้าหมายในชีวิต มีความกระตือรือร้น มีทักษะในการแก้ปัญหา และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งต้องมีพลังอึด พลังฮึด และพลังสู้ เป็นต้น ถือได้ว่าเป็นบททดสอบสำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนตนเองให้มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์และจิตใจ ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับตนเอง มุมมองความคิดของบุคคลรอบข้าง เพื่อให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ</p> สิทธิพร วงศ์ศิริ, ปิยาภรณ์ พิชญาภิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิทธิพร วงศ์ศิริ, ปิยาภรณ์ พิชญาภิรัตน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283417 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา หลักสูตรครุศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284871 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนารูปแบบการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา หลักสูตร ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ใช้วิธีวิจัยและพัฒนา 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับการสร้างรูปแบบจากสังเคราะห์เอกสารรายงานผลการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา ในปีการศึกษา 2561-2565 และสัมภาษณ์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิบัติการ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 11 คน ขั้นตอนที่ 2) การสร้างและตรวจสอบรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 17 คน ขั้นตอนที่ 3) การทดลองใช้รูปแบบกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษาที่ฝึกวิชาชีพในปีการศึกษา 2566 จำนวน 139 คน ขั้นตอนที่ 4) การประเมินรูปแบบการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 69 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบมี 5 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 หลักการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา&nbsp; องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา&nbsp; องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา&nbsp; องค์ประกอบที่ 4 แนวทางการประเมินผลการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา และองค์ประกอบที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติการวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา 2) รูปแบบมีความถูกต้องและความเป็นไปได้ โดยรวม และทุกรายการอยู่ในระดับมาก 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบมีระดับความรู้ ความเข้าใจ และระดับพึงพอใจการใช้รูปแบบโดยรวม และทุกรายการอยู่ในระดับมากที่สุด 4)&nbsp; รูปแบบมีความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวม และทุกรายการอยู่ในระดับมาก</p> สมเกียรติ ตุ่นแก้ว, ไพรภ รัตนชูวงศ์, พูนชัย ยาวิราช, สุวดี อุปปินใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pairop Rattanachuwong, Somkiet Tunkaew, Phoochai Yawirach, Suwadee Ouppinjai4 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284871 Wed, 05 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284827 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรม 3) ทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรมสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 4) ประเมินหลักสูตรฝึกอบรมสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยมุ่น ปีการศึกษา 2567 จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ไ ด้แก่ แบบสัมภาษณ์แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลักสูตรฝึกอบรมฯ คู่มือการใช้หลักสูตรฯ แบบวัดความฉลาดรู้ทางเพศ และแบบสอบถามความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระ ผลการศึกษา พบว่า 1) แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรใช้การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ บทบาทสมมุติ การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน กรณีศึกษา เกมเป็นฐาน และเทคนิคการใช้คำถาม 2) หลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด <em>(</em>= 4.64, S.D. = 0.63) คู่มือการใช้หลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (= 4.47, S.D. = 0.50) ผลการศึกษานำร่องพบว่าหลักสูตรมีความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ 3) นักเรียนมีระดับความฉลาดรู้ทางเพศภาพรวมอยู่ระดับค่อนข้างสูง (= 173.74, S.D. = 25.33) และนักเรียนมีความฉลาดรู้ทางเพศหลังการเข้าร่วมหลักสูตรสูงกว่าก่อนเข้าร่วมหลักสูตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อหลักสูตรฝึกอบรมสริมสร้างความฉลาดรู้ทางเพศภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.05, S.D. = 0.59)</p> กรกช วิบูลย์วัฒนากุล, จักรกฤษณ์ จันทะคุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กรกช วิบูลย์วัฒนากุล, จักรกฤษณ์ จันทะคุณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284827 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดการเรียนรู้ แบบ SSCS ร่วมกับกลวิธีการคิดเป็นภาพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสาร ทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284853 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ (1) ศึกษาประเด็นทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน สำหรับการส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับกลวิธีการคิดเป็นภาพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (3) ทดลองใช้หลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับกลวิธีการคิดเป็นภาพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (4) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีต่อการเข้าร่วมหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับกลวิธีการคิดเป็นภาพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนร้องกวางอนุสรณ์ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน หลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ คู่มือการใช้หลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ แบบวัดความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ และแบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาได้ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน การพัฒนาหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับกลวิธีการคิดเป็นภาพ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับใช้ในการพัฒนาหลักสูตร ในด้านโครงสร้างหลักสูตร ที่มีเนื้อหาสาระ คือ 1) โซดามะนาวรักษามะเร็ง 2) น้ำต้มจากไมโครเวฟอันตราย 3) ยาปฏิชีวนะ ไม่ต้องรับประมานจนหมด และ 4) องุ่นไซน์มัสแคท มีสารพิษ ก่อให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้จากเนื้อหาสาระของโครงสร้างหลักสูตร 2. ผลการสร้างหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ทำให้ได้หลักสูตรที่มีองค์ประกอบ คือ 1) หลักการและเหตุผล 2) จุดมุ่งหมาย 3) โครงสร้างหลักสูตร 4) แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5) แนวทางการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 6) แนวทางการวัดและประเมินผล มีความเหมาะสมของหลักสูตรภาพรวมอยู่ในระดับมาก และคู่มือการใช้หลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ มีความเหมาะสมภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ผลทดลองใช้หลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเรียนมีความสามารถในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ด้านการเขียนและด้านการพูด สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมหลักสูตรกิจกรรมชุมนุมนักสื่อสารวิทยาศาสตร์มีความคิดเห็นภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> กุลนิษฐ์ ทิพย์วังเมฆ, จักรกฤษณ์ จันทะคุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กุลนิษฐ์ ทิพย์วังเมฆ, จักรกฤษณ์ จันทะคุณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284853 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพ ของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283291 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความเลื่อมล้ำทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี 2) ระดับคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี 3) ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 244 คน ใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.955 ค่าอำนาจจำแนกด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 0.946 และค่าอำนาจจำแนกด้านคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี 0.934 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ความเลื่อมล้ำทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรีในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับน้อย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก คือ ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านสภาพแวดล้อมและภูมิลำเนา ด้านสถานที่ตั้งและขนาดของโรงเรียน ด้านวัฒนธรรมครอบครัว ด้านการจัดสรรอัตรากำลัง ผลการวิจัยพบว่า 1.คุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านคุณลักษณะผู้เรียน ด้านการมีสัมพันธ์กับชุมชน ด้านการมีสัมพันธ์กับชุมชน ด้านการมีสัมพันธ์กับชุมชน ด้านการเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียน ด้านความพึงพอใจในงานของบุคลากร 2.ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี คือ ด้านฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม (X<sub>4</sub>) ด้านการจัดสรรอัตรากำลัง (X<sub>2</sub>) ด้านสถานที่ตั้งและโรงเรียน (X<sub>3</sub>) และด้านวัฒนธรรมครอบครัว (X<sub>6</sub>) มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 61.40 และสามารถเขียน สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ ดังนี้ Ŷ<sub>tot</sub>= 4.34 + -113 (X<sub>2</sub>) + -115 (X<sub>3</sub>) + -180 (X<sub>4</sub>) + -101( X<sub>6</sub>)</p> ชิราภรณ์ สุขจิตต์, สัมฤทธิ์ แสงทอง, กาญจนา บุญส่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชิราภรณ์ สุขจิตต์, สัมฤทธิ์ แสงทอง, กาญจนา บุญส่ง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283291 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284421 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา และ 4) เปรียบเทียบการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษากับตัวแปรขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ จำนวน 576 คน ได้มาจากการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามการวิจัย ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.76 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M=3.51, S.D.=1.13) 2) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M=3.53, S.D.=1.13) 3. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r= 0.715) และ 4) สถานศึกษาที่มีขนาดแตกต่างกันมีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสถานศึกษาขนาดใหญ่มีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในแตกต่างจากสถานศึกษาขนาดกลางและขนาดเล็ก ในขณะที่สถานศึกษาขนาดกลางและขนาดเล็กไม่มีความแตกต่างกันในการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน</p> ณัฐพล หงษ์ทอง, ธีรโชติ โลกธาตุ, ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ณัฐพล หงษ์ทอง, ธีรโชติ โลกธาตุ, ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284421 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่ออาชีพอุตสาหกรรมของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี: การวิจัยผสานวิธี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283470 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์เพื่ออาชีพอุตสาหกรรม ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี จำแนกตามสาขาวิชา 2. ศึกษาความต้องการสื่อการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์เพื่ออาชีพอุตสาหกรรม ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี ผู้วิจัยใช้ระเบียบการวิจัยแบบผสานวิธีประเภทเอกซ์พลานาโทรีซีเควนเชียลดีไซน์ ดำเนินการ 2 ขั้นตอน ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาเชิงปริมาณ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาช่างกลโรงงาน จำนวน 62 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.822 ระยะที่ 2 การศึกษาเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ นักเรียนระดับชั้น ปวช.1 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2 คน และนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 สาขาวิชาช่างกลโรงงาน จำนวน 3 คน รวมทั้งหมด 5 คน ที่มีระดับคะแนนการตอบแบบสอบถามด้านสื่อการเรียนรู้ต่ำที่สุด ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักเรียนมีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์เพื่ออาชีพอุตสาหกรรม จำแนกตามสาขาวิชา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 2. การเรียนรู้ในห้องเรียนนักเรียนต้องการเอกสารประกอบการเรียนและสื่อ PowerPoint มีเอกสารสรุปเนื้อหาวิชาสำหรับทบทวนหลังเรียนที่สามารถเรียนรู้ทางออนไลน์ได้</p> อิทธิวัฒน์ ไทยแท้, ธีรวุฒิ เอกะกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อิทธิวัฒน์ ไทยแท้, ธีรวุฒิ เอกะกุล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283470 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้ข่าวสารการประชาสัมพันธ์หลักสูตรของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284852 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การรับรู้ข่าวสารของนักศึกษา 2) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษา และ 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะในการพัฒนาการประชาสัมพันธ์หลักสูตร หลักเกณฑ์ วิธีการรับสมัครนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประจำปีการศึกษา 2560 - 2564 จำนวน 325 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยสุ่มนักศึกษาออกเป็นชั้นปีละ 65 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษามีการรับรู้ข่าวสารการประชาสัมพันธ์ ภาพรวม 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก ( = 4.08, SD = 0.86) 2) ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของการรับรู้ข่าวสาร การประชาสัมพันธ์หลักสูตรของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำแนกตามเพศ ชั้นปีที่กำลังศึกษา ลักษณะของสถานศึกษาที่นสำเร็จการศึกษา ช่องทางการรับรู้ข่าวสาร ภูมิภาคที่อาศัยอยู่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และช่องทางที่สมัครเข้าศึกษา ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ข้อเสนอแนะที่มีต่อการพัฒนาการประชาสัมพันธ์ ควรเน้นการดำเนินงานใน 3 ลักษณะ คือ การส่งเสริมประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์การส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผ่านบุคคล และการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้</p> นัชชา ดีชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นัชชา ดีชัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284852 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283900 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของภาวะผู้นําการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ 2) ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลตัวบ่งชี้ภาวะผู้นําการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษากับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) สร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นําการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.988 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันด้วยโปรแกรม M-plus และประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ ผลการศึกษา พบว่า (1) ภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ มีจำนวน 4 องค์ประกอบ 12 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) การสร้างบรรยากาศการปรับเปลี่ยน มี 3 ตัวบ่งชี้ 2) การทำงานเป็นทีมอย่างสร้างสรรค์ มี 3 ตัวบ่งชี้ 3) วิสัยทัศน์แบบองค์รวม มี 3 ตัวบ่งชี้ และ 4) การพัฒนาทักษะเชิงดิจิทัล มี 3 ตัวบ่งชี้ (2) โมเดลการวัดองค์ประกอบภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งมีค่า (χ<sup>2</sup>) = 50.597, df = 36, P-Value = 0.054, RMSEA = 0.036, SRMR = 0.023, CFI = 0.996, TLI =0.992 และ (3) ผลการเสนอและประเมินรูปแบบภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ พบว่า มีผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ปัจจวรรณ พรหมศิริ, ประมุข ชูสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัจจวรรณ พรหมศิริ, ประมุข ชูสอน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283900 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283568 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21และเพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 5 หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชัยภูมิ วิทยาเขตชลบุรี และวิทยาเขตสุโขทัย จำนวน 586 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำนวน 105 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุด้วยการวิเคราะห์อิทธิพล ผลการวิจัย พบว่า โมเดลสมมติฐานมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ตัวแปรเชิงสาเหตุ ได้แก่ การยอมรับหลักสูตร (ACCEP) ภูมิหลังของนักศึกษา (BACK) คุณลักษณะของผู้สอน (CHARTE) เจตคติต่อวิชาชีพครู (ATTI) และการพัฒนาตนเอง (DEVEL) มีอิทธิพลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกตัวแปร โดยที่ การยอมรับหลักสูตร (ACCEP) มีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ .89 ภูมิหลังของนักศึกษา (BACK) มีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ .89 คุณลักษณะของผู้สอน (CHARTE) มีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ .70 เจตคติต่อวิชาชีพครู (ATTI) มีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ .99 และการพัฒนาตนเอง (DEVEL) มีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ .71 ตามลำดับ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 0.67 แสดงว่า ตัวแปรเชิงสาเหตุสามารถอธิบายความแปรปรวนคุณลักษณะของนักศึกษาครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้คิดเป็นร้อยละ 67.00</p> พิทักษ์ วงแหวน, ประสาท เนืองเฉลิม , วี วงษ์เทียนกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พิทักษ์ วงแหวน, ประสาท เนืองเฉลิม , วี วงษ์เทียนกุล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283568 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลของสมาธิบำบัด SKT ที่มีต่อการจัดการความเครียดของครูผู้สอนเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284952 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิตของครูผู้สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษก่อนและหลังการทำสมาธิบำบัด SKT 2) ศึกษาผลของสมาธิบำบัด SKT ที่มีต่อระดับความเครียดของครูผู้สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และ 3) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมและการประยุกต์ใช้สมาธิบำบัด SKT ในกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะสุขภาพ แบบประเมินระดับความเครียด โปรแกรมฝึกสมาธิบำบัด (SKT ท่าที่ 1 และ 2) และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบ t-test แบบกลุ่มเดียววัดซ้ำ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบภาวะสุขภาพก่อนและหลังทำสมาธิบำบัด พบว่า ภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิตของครูไม่แตกต่างกัน 2) ผลของสมาธิบำบัดต่อการจัดการความเครียด พบว่า ระดับความเครียดของครูลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจากข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า ครูมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม เช่น การนอนหลับดีขึ้น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์เพิ่มขึ้น และการจัดการกับความเจ็บป่วยเรื้อรังดีขึ้น และ 3) ผลของการนำสมาธิบำบัดไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน พบว่าร้อยละ 38.46 ของครูได้นำสมาธิบำบัดไปประยุกต์ใช้ในห้องเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กิจกรรมก่อนเรียน การฝึกหน้าเสาธง และกิจกรรมสำหรับเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมหรือสมาธิสั้น ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ใช้เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา อย่างไรก็ตาม ครูส่วนใหญ่เห็นว่าสมาธิบำบัดมีศักยภาพในการพัฒนาเด็กพิเศษและมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาต่อยอดเป็นโครงการหรืองานวิจัยในชั้นเรียน</p> ภัคภร ขันกสิกรรม, เพ็ญสุดา จิโนการ, อาริยา สอนบุญ, รุ่งรัตน์ ศรีอำนวย, ณัฐธิดา ภูบุญเพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ภัคภร ขันกสิกรรม, เพ็ญสุดา จิโนการ, อาริยา สอนบุญ, รุ่งรัตน์ ศรีอำนวย, ณัฐธิดา ภูบุญเพชร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284952 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ทวีปแอฟริกา เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284398 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ รายวิชา สังคมศึกษา เรื่อง ทวีปแอฟริกา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ รายวิชา สังคมศึกษา เรื่อง ทวีปแอฟริกา กลุ่มที่ศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 14 คน โรงเรียนหนองบัวคุรุรัฐประชาสรรพ์ อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ รายวิชา สังคมศึกษา เรื่อง ทวีปแอฟริกา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.39, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.05) และมีประสิทธิภาพมีค่าเท่ากับ 87.27 / 78.81 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) พัฒนาการการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ระยะที่ 1 ถึง ระยะที่ 4 มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงขึ้น สรุปได้ว่านักเรียนมีพัฒนาการการรู้เรื่องภูมิศาสตร์สูงขึ้น และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.58, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.15) </p> มุกดา เอกมาตร , มนตรี วงษ์สะพาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มุกดา เอกมาตร , มนตรี วงษ์สะพาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284398 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษและแรงจูงใจในการเรียนโดยใช้เทคนิค เกมมิฟิเคชันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284446 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชัน และ 2) เปรียบเทียบแรงจูงใจในการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ED 2202 ภาษาเพื่อการสื่อสารสำหรับครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชัน รวมจำนวน 4 แผน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ รวม 32 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ 3) แบบวัดแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนทดสอบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) แรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษก่อนเรียนเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์อยู่ในระดับ ปานกลาง และหลังเรียนอยู่ในระดับ มาก โดยหลังเรียน (X̅ = 4.21, S.D. = 0.47) สูงกว่าก่อนเรียน (X̅ = 3.11, S.D. = 0.72)</p> วราพร บุญยวงศ์วิวัชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วราพร บุญยวงศ์วิวัชร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284446 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม รายวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284684 <p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน เรื่องโจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม รายวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม รายวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน (Application) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลลืออำนาจ(ชุมชนเปือยหัวดง) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน เรื่องโจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน เรื่องโจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม รายวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80.01/88.07</p> <p>2) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ค่าเฉลี่ยของคะแนนจากแบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยม ก่อนเรียนมีค่า 6.17 คิดเป็นร้อยละ 61.73 หลังเรียนมีค่า 8.81 คิดเป็นร้อยละ 88.07 ซึ่งจะเห็นได้ว่า คะแนนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 26.34 3) ผลจากแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยทั้งหมด คือ 4.86 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.06 ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุขใจดี อุตส่าห์, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์, ปิยาภรณ์ พิชญาภิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุขใจดี อุตส่าห์, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์, ปิยาภรณ์ พิชญาภิรัตน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284684 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับความผูกพันในองค์กรของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษเขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283246 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับความผูกพันในองค์กรของครูในสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับความผูกพันในองค์กรครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอนที่ดำรงตำแหน่งครู ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 จำนวน 321 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.985 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายแบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับความผูกพันในองค์กรของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา กับความผูกพันในองค์กรของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 มีความสัมพันธ์เชิงบวกกันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ผลวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อเสริมสร้างความผูกพันในองค์กรของครูในสังกัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> สุดารัตน์ ศิริวงศ์ , สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง , จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุดารัตน์ ศิริวงศ์ , สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง , จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283246 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะปฏิบัติ : การออกแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ : LCCRA MODEL https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284617 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะปฏิบัติ : การออกแบบการจัดการเรียนรู้ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต : LCCRA MODEL ของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 4 หมู่เรียน รวมทั้งสิ้น 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต : LCCRA MODEL และ 2) แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ กลุ่มทดลองมีสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะปฏิบัติ : การออกแบบการจัดการเรียนรู้ก่อนและหลังการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการจัดการเรียนรู้หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง</p> สุพัตรา คำสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุพัตรา คำสุข https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284617 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเรียนรู้ VARK และผลการสอบวัดระดับภาษาจีนHSK5 ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284651 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเรียนรู้ VARK (Visual, Auditory, Reading/Writing, Kinesthetic) กับผลการสอบวัดระดับความสามารถภาษาจีน HSK5 2) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตามรูปแบบการเรียนรู้ VARK และ 3) เพื่อสำรวจปัจจัยที่ส่งผลต่อการสอบผ่านจากมุมมองของนักศึกษาที่สอบผ่าน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ จำนวน 44 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้แบบสอบถาม VARK จำนวน 16 ข้อ และคะแนนสอบ HSK5 เป็นเครื่องมือวิจัย พร้อมการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่สอบผ่าน ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบเดียว (Unimodal) โดยเฉพาะแบบผ่านเสียง (Auditory) และผ่านการอ่านและเขียน (Reading/Writing) ขณะที่กลุ่มผสม (Multimodal) มีการผสานรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน การเปรียบเทียบคะแนนสอบระหว่างกลุ่มรูปแบบการเรียนรู้พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในคะแนนรวมและคะแนนรายพาร์ท (p &gt; .05) ทั้งในกลุ่ม Unimodal และระหว่างกลุ่ม Unimodal กับ Multimodal อย่างไรก็ตามจากการสัมภาษณ์นักศึกษาที่สอบผ่านวัดระดับภาษาจีนHSK5 เลือกใช้รูปแบบการเรียนรู้VARKที่ตนถนัดเรียนรู้ฝึกฝนด้วยตนเองนอกห้องเรียน การตั้งเป้าหมายและระยะเวลาในการฝึกฝนที่ชัดเจน รวมถึงการได้รับกำลังใจจากผู้สอน มีส่วนช่วยให้นักศึกษาสอบผ่านวัดระดับภาษาจีนHSK5 ดังนั้น ผู้สอนควรให้นักศึกษาเข้าใจรูปแบบการเรียนรู้VARKของตนเอง รวมถึงวิธีเสริมสร้างให้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วตามความถนัดรายบุคคล เพื่อช่วยส่งเสริมการยกระดับความสามารถทางภาษาจีนได้ในเวลาที่รวดเร็วขึ้น</p> สุพิชฌาย์ ทวีธนวิริยา , ปิยวัช วสุสิริกุล, พรรณทิพย์ เดชตระกูลวงศ์, วิทยา สุวรรณากรรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุพิชฌาย์ ทวีธนวิริยา , ปิยวัช วสุสิริกุล, พรรณทิพย์ เดชตระกูลวงศ์, วิทยา สุวรรณากรรัตน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284651 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะการเรียนรู้ตามแนวคิด VARK ของนักเรียนมัธยมปลายอายุ 16–18 ปีในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284036 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะการเรียนรู้ (Visual, Auditory, Read/Write, Kinesthetic: VARK) ของนักเรียนระดับมัธยมปลายอายุ 16–18 ปีในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ค่อยมีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบในระดับนานาชาติ งานวิจัยใช้แบบสอบถาม VARK Learning Questionnaire ในการเก็บข้อมูลจากนักเรียนจำนวน 141 คน โดยแบ่งเป็นประเทศไทย 49 คน สหรัฐอเมริกา 46 คน และแคนาดา 46 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Pearson’s chi-square และ one-way ANOVA เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะการเรียนรู้ระหว่างประเทศ ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะการเรียนรู้หลักไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อวิเคราะห์รายด้าน พบว่านักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยด้านการเรียนรู้ด้วยการฟัง (x̄<u>+</u>SD; 4.29<u>+</u>1.43) สูงกว่านักเรียนจากอีกสองประเทศ (สหรัฐ 2.73<u>+</u>1.92, แคนาดา 2.82<u>+</u>1.70) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p=.000</em>) ขณะที่นักเรียนจากสหรัฐอเมริกา (4.38<u>+</u>1.41) และแคนาดา (3.93<u>+</u>1.71) มีแนวโน้มถนัดการเรียนรู้แบบสัมผัสมากกว่าประเทศไทย (3.42<u>+</u>1.80) (<em>p=.019</em>) นอกจากนี้ งานวิจัยได้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมโดยให้นักเรียนประเมินสัดส่วนของการเรียนในรูปแบบบรรยายและปฏิบัติในแต่ละรายวิชาที่เรียนอยู่จริง เพื่อศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างบริบทการเรียนการสอนกับลักษณะการเรียนรู้ พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนการเรียนแบบบรรยายสูงถึง 71.8% ซึ่งมากกว่าสหรัฐอเมริกา (43.3%) และแคนาดา (60.0%) อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบนี้ช่วยสะท้อนความสัมพันธ์เชิงระบบระหว่างแนวทางการจัดการเรียนการสอนกับแนวโน้มลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละประเทศ และเสนอแนวทางใหม่ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของผู้เรียนในบริบทที่แตกต่างกัน</p> อธิป ไกรวัฒนพงศ์, สันติ อิทธิพลนาวากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อธิป ไกรวัฒนพงศ์, สันติ อิทธิพลนาวากุล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284036 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284021 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียวโดยวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอะคิตะร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.75, S.D. = 0.34)</p> อภิญญา สุขช่วย, ปิยาพัชญ์ นิธิศอัครานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อภิญญา สุขช่วย, ปิยาพัชญ์ นิธิศอัครานนท์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284021 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ความต้องการและปัจจัยส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283220 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบและศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อการวิเคราะห์ความต้องการและปัจจัยส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ซึ่งดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษากลุ่มตัวอย่าง จากครูผู้สอนที่ผ่านการอบรมพัฒนา ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 102 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย () ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสมมติฐานทางสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและครูผู้สอนที่ผ่านการอบรม ผ่านการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า ครูมีความต้องการหลักสูตรอบรมที่หลากหลาย ครอบคลุมกลุ่มสาระต่างๆ มีความยืดหยุ่นในรูปแบบการอบรม ซึ่งเน้นการปฏิบัติจริงและสามารถประยุกต์ใช้ได้ในบริบทของตนเอง ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ ได้แก่ การเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทดลองใช้ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังอบรม และการสร้างเครือข่ายวิชาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลลัพธ์ของการนำประยุต์ความรู้ไปใช้ในชั้นเรียนนั้น ส่งผลให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และพัฒนาทักษะการคิดได้ดีขึ้น ทั้งนี้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาหลักสูตรการอบรม คือ ควรเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ และการนิเทศติดตามระยะยาว เพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาวิชาชีพครู ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา</p> ชนาภัทร แสงงาม, ธีรวุฒิ เอกะกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชนาภัทร แสงงาม, ธีรวุฒิ เอกะกุล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283220 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การอบรมครูแนะแนวแกนนำผ่าน Google Classroom สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1: วิจัยผสานวิธี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283413 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความพึงพอใจตามเพศและตำแหน่งของครูต่อการอบรมครูแนะแนวแกนนำผ่านระบบ Google Classroom 2) เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาครู แนะแนวแกนนำ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากครูผู้เข้าอบรม 121 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงโดยใช้การทดสอบค่า t-test สำหรับการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเพศและตำแหน่ง และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่มกับครูที่ไม่ได้จบวิชาเอกการแนะแนว จำนวน 6 คน ประกอบด้วย ครูเพศชาย 3 คน เพศหญิง 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจที่มีต่อการอบรม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.43) โดยครูมีความพึงพอใจด้านเนื้อหามากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.48) รองลงมาคือด้านวิทยากร (ค่าเฉลี่ย 4.44) ด้านระบบและเทคโนโลยี (ค่าเฉลี่ย 4.43) และด้านการนำไปใช้หลังการอบรม (ค่าเฉลี่ย 4.35) การเปรียบเทียบความพึงพอใจตามเพศ พบว่า เพศหญิงมีความพึงพอใจสูงกว่าเพศชายในด้านเนื้อหาการอบรมและวิทยากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ส่วนการเปรียบเทียบตามตำแหน่ง พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน จากการสนทนากลุ่ม พบว่าครูมีความต้องการในการพัฒนาทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบการอบรม โดยต้องการเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตนักเรียน การแนะแนวสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การแนะแนวในยุคดิจิทัล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาครูให้มีความเหมาะสมและตอบสนองความต้องการของครูแนะแนวในอนาคตต่อไป</p> นพวรรณ ชุมพล, ธีรวุฒิ เอกะกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นพวรรณ ชุมพล, ธีรวุฒิ เอกะกุล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/283413 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับแนวคิดชุมชนเป็นฐานและผังกราฟิกเพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาเรื่อง วิถีชีวิต เศรษฐกิจชุมชน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284541 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับแนวคิดชุมชนเป็นฐานและผังกราฟิกเพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน <br />4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 9 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย คือ 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานร่วมกับแนวคิดชุมชนเป็นฐานและผังกราฟิกเพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา 2) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียน <br />3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจ และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยด้วยค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ 88.89/82.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> ปรเมศ ครองยุติ, เศวตาภรณ์ ตั้งวันเจริญ, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปรเมศ ครองยุติ, เศวตาภรณ์ ตั้งวันเจริญ, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284541 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มแข่งขันร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน เรื่อง ทวีปเอเชีย เพื่อส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284400 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มแข่งขันร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน 2) เปรียบเทียบทักษะการทำงานเป็นทีมก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มแข่งขันร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน เรื่อง ทวีปเอเชีย เพื่อส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้น&nbsp;&nbsp; มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านภักดีเจริญหัวนาโคกช้างมะนาย จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินพฤติกรรมการทำงานเป็นทีม แบบประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มแข่งขันร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชัน มีประสิทธิภาพเท่ากับ เท่ากับ&nbsp; 83.79/81.25 2) ทักษะการทำงานเป็นทีมของนักเรียน&nbsp; ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระแก่กัน</p> สุเมธินี บุญทัน, เศวตาภรณ์ ตั้งวันเจริญ, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุเมธินี บุญทัน, เศวตาภรณ์ ตั้งวันเจริญ, ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284400 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA เพื่อส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมต้นสาธิตวิทยาลัยครูปากเซสาธารณรัฐประชาชนลาว https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284735 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความสำคัญ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนมัธยมต้นสาธิต วิทยาลัยครูปากเซ สาธารณรัฐประชาชนลาว จำนวน 30 คนได้มาโดยการสุ่มแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 12 ชุด และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความสำคัญชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีลักษณะแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตฐานและการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.69/92.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมินัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> แสงมะนีใส แสงบันดิด, กชกร ธิปัตดี, สาวิตรี เถาว์โท ลิขสิทธิ์ (c) 2025 แสงมะนีใส แสงบันดิด, กชกร ธิปัตดี, สาวิตรี เถาว์โท https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JER/article/view/284735 Mon, 08 Dec 2025 00:00:00 +0700