https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/issue/feed วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี 2025-06-30T23:40:26+07:00 รศ.ดร.ธเนศ ธนิตย์ธีรพันธ์ journal.fiet@kmutt.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี (JLIT) เป็นวารสารระดับชาติ ตีพิมพ์เผยแพร่ 2 ครั้งต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และนักวิชาการ ในสาขาการศึกษา สาขาครุศาสตร์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีการศึกษา รวมทั้งเทคโนโลยีและสหสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง หรือสาขาด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทำวิจัยหรือทำงานบริการวิชาการ เชิงบูรณาการศาสตร์ ทำให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ใหม่ ๆ สามารถนำผลงานหรือองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ สร้างคุณค่าและมีผลกระทบต่อการพัฒนาสังคม องค์กร โครงการ หรืออุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ </p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/285688 การพัฒนาความตระหนักทางสังคมผ่านการเรียนรู้เชิงประสบการณ์กับคนพิการ: แนวทางสู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 2025-06-09T11:38:02+07:00 ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ passanan.ass@kmutt.ac.th สุทธิพงษ์ เรืองจันทร์ sutthiphong@m.com สุรัตน์ เพชรนิล surat@m.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลสะท้อนกลับของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) ผ่านกิจกรรมร่วมกับคนพิการที่มีต่อการพัฒนาจิตสำนึกทางสังคม (Social Consciousness) และการส่งเสริมแนวคิดสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusive Society) ในนักศึกษา โดยดำเนินการวิจัยกับนักศึกษารายวิชา SSC262 การพัฒนาการเรียนรู้ (Learning Development) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภาคการศึกษาที่ 1/67 รวมจำนวน 71 คน การวิจัยนี้ใช้ ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) ที่รวมทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคมของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน 6 มิติหลัก ได้แก่ (1) การเข้าใจผู้อื่น (Understanding Others), (2) ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy), (3) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility), (4) การสะท้อนตนเอง (Self-Reflection), (5) ความตระหนักในวัฒนธรรม (Cultural Awareness) และ (6) ความครอบคลุม (Inclusiveness) นักศึกษาสะท้อนว่าการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับคนพิการช่วยให้พวกเขาตระหนักถึงความท้าทายที่บุคคลเหล่านี้ต้องเผชิญและส่งเสริมมุมมองที่เปิดกว้างต่อความหลากหลายทางสังคม&nbsp; แนวทางบูรณาการแนวคิด Inclusive Society ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยสามารถปฏิบัติได้ผ่านแนวทางการเรียนรู้เชิงประสบการณ์และการปฏิบัติจริง เช่น การเรียนรู้ผ่านการบริการสังคม (Service-Learning), การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) และการมีส่วนร่วมกับชุมชน (Community Engagement) ควบคู่กับการส่งเสริมมหาวิทยาลัยที่รับผิดชอบต่อสังคม (University Social Responsibility: USR) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการศึกษาแบบครอบคลุม (Inclusive Education) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางสังคมของนักศึกษาและสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/272863 การเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษา เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา 2024-04-22T08:17:15+07:00 อารีรัตน์ ปฐมชัยวาลย์ areerat.pathom@gmail.com อุบลวรรณ ส่งเสริม ubonwan@m.com <p>การเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาเป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาผ่านสถานการณ์จริง โดยเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติ กระบวนการเรียนรู้เริ่มจากการศึกษาปัญหาจากกรณีศึกษา วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและผู้เกี่ยวข้อง นำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาผ่านการตั้งคำถาม การแยกประเด็นสำคัญ การระดมความคิด และการวิเคราะห์ทางเลือก ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พัฒนาแนวทางแก้ไข และประเมินความเป็นไปได้และผลกระทบ ก่อนสรุปและนำเสนอแนวทางที่เหมาะสม การเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาส่งเสริมการเรียนรู้เชิงลึก พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วม การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องเลือกกรณีศึกษาที่สะท้อนสถานการณ์จริง ออกแบบกิจกรรมที่กระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ รวมถึงใช้การประเมินผลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมความเข้าใจทางทฤษฎี กระบวนการแก้ปัญหา การสังเกตพฤติกรรม และการให้ข้อเสนอแนะผ่านการประเมินตนเองและเพื่อนประเมินเพื่อน ตลอดจนการสะท้อนคิดของผู้เรียน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเตรียมผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/278900 การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาการเงินธุรกิจโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาสำหรับผู้เรียนระดับปริญญาตรี 2024-11-13T15:36:18+07:00 พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ pp2552@hotmail.com สุริยะ วชิรวงศ์ไพศาล Suriya@m.com ณัฐชยา สมมาศเดชสกุล Natchaya@m.com อุษณีย์ สีนนลี Autsanee@m.com ปรางทิพย์ เสยกระโทก Prangthip@m.com <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ 1) เพื่อออกแบบและสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาการเงินธุรกิจโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาสำหรับผู้เรียนระดับปริญญาตรี 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผล 4) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง และ 5) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ จำนวน 65 คน โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) แบบประเมินคุณภาพของแพลตฟอร์มโดยผู้เชี่ยวชาญ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้ และ 4) แบบสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาการเงินธุรกิจโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.08/82.04 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.8468 ผู้เรียนที่เรียนด้วยแพลตฟอร์มดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการประเมินคุณภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเห็นว่าแพลตฟอร์มนี้มีความน่าสนใจและเหมาะที่จะใช้กับผู้เรียน ผู้เรียนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากเช่นกัน ผลการวิจัยทำให้ได้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ได้จริงและทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับการเงินธุรกิจตามที่ได้ออกแบบไว้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/281301 การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู 2025-03-10T10:09:10+07:00 ปิยะ ทองมา piyata444@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู 2) วิเคราะห์สาเหตุความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู และ 3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู ตัวอย่างวิจัย คือ ครูระดับมัธยมศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 345 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครู เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยส่งแบบสอบถามออนไลน์ และเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่มแบบเทคนิคสมมุตินัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNImodified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพในด้านเนื้อหาความรู้มากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการรับรู้ทางวัฒนธรรม ด้านการสอน และด้านเทคโนโลยีตามลำดับ 2) สาเหตุความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูที่สำคัญที่สุด คือ ครูขาดทักษะและความรู้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกับการจัดการเรียนรู้ และ 3) แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะทางดิจิทัลระดับมืออาชีพของครูที่สำคัญที่สุด คือ การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/281334 การพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2025-03-10T10:07:40+07:00 พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ pp2552@hotmail.com ณัฐชยา สมมาศเดชสกุล Natchaya@m.com นงคราญ อนุกูล Anukul@m.com <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ 1) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแพลตฟอร์ม 4) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแพลตฟอร์ม และ 5) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้เรียนที่มีต่อแพลตฟอร์ม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย กำหนดขนาดจากการสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพของแพลตฟอร์มโดยผู้เชี่ยวชาญ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแพลตฟอร์ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า แพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 80.88/84.57 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ .8323 นักเรียนที่เรียนด้วยแพลตฟอร์มวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการประเมินคุณภาพของแพลตฟอร์มโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความพึงพอใจของแพลตฟอร์มโดยผู้เรียนอยู่ในระดับมากที่สุด แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริงและก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/281405 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย 2025-02-14T10:20:57+07:00 พรพิไล นิยมถิ่น pornpilainurse@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ในการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) ของบุคลากรในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย และประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรที่สนใจทำ R2R จำนวน 30 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 - มกราคม 2568 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามปัญหาและความต้องการ แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะการวิจัย แบบประเมินความพึงพอใจ และรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักคือ 1) การเรียนแบบเผชิญหน้า 2) การเรียนออนไลน์ 3) การเรียนรู้ด้วยตนเอง และ 4) การเรียนแบบร่วมมือ มีกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ภายหลังการพัฒนา ผู้เข้าร่วมมีความรู้และทักษะการวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สามารถพัฒนาโครงร่างวิจัยและนำไปใช้พัฒนางานประจำได้ มีความพึงพอใจต่อรูปแบบในระดับมาก แสดงให้เห็นแนวทางการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานที่มีประสิทธิผลในการพัฒนาศักยภาพด้าน R2R ของบุคลากร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ ได้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/283380 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในช่วงเจเนอเรชั่นอัลฟ่า ผ่านสื่อปฏิสัมพันธ์การพับกระดาษโอริกามิ 2025-05-01T13:49:35+07:00 ฐานุตรา ม่วงมา Dhanutra.moun@kmutt.ac.th กฤตพร ภู่สงค์ grittapohn.phoo@kmutt.ac.th ณัฐพงษ์ ประเสริฐสังข์ nuttapong.pra@kmutt.ac.th <p>This study is a research and development project aimed at enhancing science learning achievement among Generation Alpha students through an interactive web-based learning medium integrated with origami activities. The integration of origami supports learning efficiency, engagement, and learner concentration, aligning with the learning characteristics of Generation Alpha. The objectives of the study were to: (1) develop origami-based interactive media to enhance science learning achievement among Generation Alpha students; (2) evaluate student achievement in a science project course after using the media; and (3) assess student satisfaction with the origami interactive media. The sample consisted of 24 sixth-grade students (Class 6/1) from Wat Amarintraram School in the 2024 academic year, selected through purposive sampling. The research design employed a one-sample t-test model. Research instruments included: (1) the origami-based interactive media, (2) a science achievement test, and (3) a student satisfaction questionnaire. Data was analyzed using descriptive statistics and t-tests. The findings revealed that: (1) the quality of the origami-based interactive media was rated as excellent, with a mean score of 4.62 (SD = 0.59); (2) student achievement in the science project course exceeded 70%, with statistical significance at the 0.05 level; and (3) student satisfaction with the media was rated at the highest level, with a mean score of 4.56 (SD = 0.68).</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JLIT/article/view/283555 การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการบริหารจัดการข้อสอบออนไลน์สำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา 2025-04-25T20:46:34+07:00 ณัฐที ปิ่นทอง nattee.pi@go.buu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเว็บไซต์เพื่อการบริหารจัดการข้อสอบออนไลน์สำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา และ 2) ประเมินความพึงพอใจเว็บไซต์เพื่อการบริหารจัดการข้อสอบออนไลน์สำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยมีการพัฒนาตามหลักการของวงจรการพัฒนาระบบเอสดีแอลซี และนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา 13 หลักสูตร จำนวน 271 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) เว็บไซต์เพื่อการบริหารจัดการข้อสอบออนไลน์ และ 2) แบบประเมินความพึงพอใจ สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นได้ดำเนินการตามขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบเอสดีแอลซี ทั้ง 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน 2) การวิเคราะห์ 3) การออกแบบ 4) การพัฒนาระบบ และ 5) การบำรุงรักษาระบบ โดยได้เว็บไซต์ที่สามารถใช้งานจริงผ่านโดเมน exam.pinthong.com สำหรับผลการประเมินความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากทีสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.57, S.D.=0.54) พิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการใช้งานอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.60, S.D.=0.55) และด้านการออกแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.50, S.D.=0.58)</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้และเทคโนโลยี