https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/issue/feed
วารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ( Journal of Management and Development Ubon Ratchathani Rajabhat University)
2025-06-30T10:28:22+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.อำไพ ยงกุลวณิช
EditorJMD.UBRU@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>ประวัติการดำเนินงาน</strong><br /> วารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เริ่มดำเนินการเผยแพร่ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2557 มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องปีละ 2 ฉบับ <br /> ปี พ.ศ. 2560 วารสารฯ ได้รับการรับรองคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของศูนย์อ้างอิงวารสารไทย กลุ่มที่ 2 (TCI: Thai Journal Citation Index Centre) <br /> ปี พ.ศ. 2563 - 2567 วารสารฯ ได้รับการรับรองคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของศูนย์อ้างอิงวารสารไทย กลุ่มที่ 2 (TCI: Thai Journal Citation Index Centre) จากการประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 4 (พ.ศ. 2563 - 2567)<br /> ปัจจุบัน วารสารฯ ได้รับการรับรองคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของศูนย์อ้างอิงวารสารไทย กลุ่มที่ 1 (TCI: Thai Journal Citation Index Centre) จากการประเมินคุณภาพวารสารในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 (พ.ศ. 2568 - 2572)</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286419
กลยุทธ์การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงราย
2025-06-29T12:26:42+07:00
ดิษย์ฐา กันทะแสน
dittha.research@gmail.com
อรอนงค์ คีรีดุจจินดา
dittha.research@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพร้อมของผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ<br>ในจังหวัดเชียงราย 2) เพื่อศึกษาบริบทด้านการจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่มีผลต่อมาตรฐานบ้านพักผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงราย 3) เพื่อค้นหากลยุทธ์การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงรายซึ่งใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และบุคลากรผู้ให้บริการในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงราย จำนวน 5 แห่ง <br>โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต ซึ่งมีการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ จำนวน 4 คน และบุคลากร จำนวน 1 คน รวมจำนวนเป็น 5 คน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผ่านการตีความจากการสัมภาษณ์ ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการมีความพร้อมด้านการบริหารจัดการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โดยมีการบริหารงานบุคคล การเงิน และการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงในธุรกิจ เช่น การอบรมบุคลากร <br>การจัดซื้อจัดจ้าง และการประกันภัย สำหรับการจัดการห่วงโซ่คุณค่า พบว่า มีการดำเนินการตามมาตรฐานบ้านพักผู้สูงอายุ 6 ด้าน ได้แก่ อาคารสถานที่ ห้องพักอาศัย อนามัยสิ่งแวดล้อม ผู้ให้บริการ การจัดการ และการบริการ โดยมีการนำเทคโนโลยีมาใช้<br>ในการบริหารจัดการ และมีการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงความต้องการของผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า ผู้ประกอบการบางรายยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของมาตรฐานบ้านพักผู้สูงอายุ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากผลการศึกษาสามารถเสนอกลยุทธ์การจัดการ<br>ห่วงโซ่คุณค่าโดยใช้ TOWS Matrix ได้แก่ กลยุทธ์ความเป็นมืออาชีพ กลยุทธ์ความปลอดภัย กลยุทธ์ไร้พรมแดน และกลยุทธ์เพิ่ม<br>ความมั่นใจ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286422
กลยุทธ์การตรวจสอบภายในเชิงรุกและการบริหารความเสี่ยงที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน ของมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
2025-06-29T12:44:10+07:00
โสภิญญา นครกัณฑ์
Sopinya.n@rmutp.ac.th
พัทรียา เห็นกลาง
Sopinya.n@rmutp.ac.th
สุวิทย์ ไวยทิพย์
Sopinya.n@rmutp.ac.th
นิพล แก่นโกมล
Sopinya.n@rmutp.ac.th
<p style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 1.0cm; line-height: 115%;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การตรวจสอบภายในเชิงรุกและการบริหารความเสี่ยงที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ<br>การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รวมถึงศึกษาบทบาทของ<br>ตัวแปรแทรกการสนับสนุนของผู้บริหารต่อความสัมพันธ์ดังกล่าวโดยเก็บข้อมูลจากมหาวิทยาลัย </span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">152 <span lang="TH">องค์กร ผ่านแบบสอบถามที่ได้<br>ตอบกลับโดยผู้ตรวจสอบภายในและหัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายใน </span>123 <span lang="TH">องค์กร คิดเป็นร้อยละ 80.92 ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ <br>ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พร้อมการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเพื่อตรวจสอบอิทธิพลของตัวแปรที่ศึกษา</span></span></p> <p style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 1.0cm; line-height: 115%;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การตรวจสอบภายในเชิงรุก ด้านการบูรณาการและการมีส่วนร่วมส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพ<br>การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</span><span style="font-size: 14.0pt; line-height: 115%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">001 <span lang="TH">ในขณะที่ด้านการบริหารความเสี่ยง พบว่าปัจจัยด้าน<br>การปฏิบัติงาน ด้านการเงิน และด้านการปฏิบัติตามระเบียบ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</span>001 <span lang="TH">สำหรับตัวแปรแทรกการสนับสนุนของผู้บริหารมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความเสี่ยง <br>ด้านการเงินกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</span>05 </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286425
การใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุนและการใช้ข้อมูลทางการบัญชีเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ของธุรกิจโรงสีข้าวที่ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิไทยที่ได้มาตรฐาน
2025-06-29T12:54:53+07:00
ลลิตา พิมทา
lalitapimta@hotmail.com
โชคชัย ศรีชัย
lalitapimta@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุน 2) ศึกษาการใช้ข้อมูลทางการบัญชี และ 3) ศึกษาระดับการให้ความสำคัญในการใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุนและการใช้ข้อมูลทางการบัญชีของผู้ประกอบการธุรกิจโรงสีข้าว กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงสีข้าวที่ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิไทยที่ได้มาตรฐาน จำนวน 115 ราย ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจโรงสีข้าวที่ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิไทยใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุน จำนวน <br>115 ราย คิดเป็นร้อยละ 84.56 ให้ความสำคัญโดยรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการผลิต วางแผนการผลิตและควบคุมการผลิตให้เหมาะสม ด้านการเงิน ลดระยะเวลาการให้เครดิตกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ ด้านการตลาด ลดต้นทุนการตลาดโดยใช้การสร้างเครือข่ายหรือสร้างช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม ด้านการจัดการ ส่งเสริมพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากร พนักงานทุกระดับ และผู้ประกอบการธุรกิจโรงสีข้าวใช้ข้อมูลทาง<br>การบัญชี จำนวน 115 ราย คิดเป็นร้อยละ 84.56 ให้ความสำคัญโดยรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการวางแผน ใช้ข้อมูลรายงาน<br>การสั่งซื้อจากในอดีต ปัจจุบันเพื่อวางแผนสั่งซื้อวัตถุดิบ สินค้า ด้านการสั่งการใช้ข้อมูลสั่งการให้เพิ่มขีดความสามารถกับคู่แข่งขันทางการค้า ด้านการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลคิดค้นหาวิธีในการนำเศษซากวัตถุดิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์และเพิ่มมูลค่า ด้านการควบคุม ใช้ข้อมูลใบสั่งซื้อสินค้าเพื่อควบคุมการตรวจนับสินค้าก่อนที่จะส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286432
การบริหารทรัพยากรที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายการถ่ายโอน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีไปปฏิบัติ
2025-06-29T17:55:47+07:00
เอกราช บุญเริง
eakarat.b@ubu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการบริหารทรัพยากรที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีไปปฏิบัติ 2) ปัญหาในการนำนโยบายการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีไปปฏิบัติ และ 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนานโยบายการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ข้อมูลเชิงปริมาณถูกเก็บด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่โอนย้ายมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี 137 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพถูกเก็บด้วย<br>การสัมภาษณ์ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี 1 คน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 17 คน และผู้อำนวยการเขตสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 10 อุบลราชธานี 1 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารทรัพยากร ด้านกำลังคน ด้านวัสดุอุปกรณ์ และด้านการจัดการส่งผลต่อความสำเร็จ<br>ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 2) ปัญหาส่วนใหญ่ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ กำลังคนมีน้อยและยังขาดแคลน และ 3) แนวทางที่สำคัญในการพัฒนานโยบายการถ่ายโอน เช่น การบรรจุบุคลากรให้เต็มตามกรอบอัตรากำลังที่กำหนดไว้ และการถ่ายโอนควรเป็นไปตามคู่มือการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งนี้ผลการศึกษาสามารถใช้เป็นแนวทาง<br>ในการกำหนดนโยบายการถ่ายโอนให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเป็นแนวทางส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพของบุคลากรที่ถ่ายโอน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286433
การเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์อนุกรมเวลา
2025-06-29T18:01:35+07:00
ศศิจันทร์ ปัญจทวี
Sasijan.tnsu.cmi@gmail.com
นภาวรรณ เนตรประดิษฐ์
Sasijan.tnsu.cmi@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการเคลื่อนไหวของอนุกรมเวลาของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา<br>ในประเทศไทย 2) เปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้ง 3 วิธี ได้แก่ วิธีแยกส่วนประกอบ วิธีทำให้เรียบแบบ<br>เอ็กซ์โปเนนเชียล และวิธีการปรับเรียบเอ็กซ์โปเนียนเชียลแบบวินเทอร์ และ 3) ศึกษาการพยากรณ์ค่าจริงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล่วงหน้าจำนวน 18 เดือน โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 จำนวน 38 ค่า</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะการเคลื่อนไหวของอนุกรมเวลาเป็นแบบวัฏจักร 2) ผลของการเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์<br>ความแม่นยำของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ดีที่สุด คือ วิธีการปรับเรียบเอ็กซ์โปเนียนเชียลแบบวินเทอร์ และ 3) ผลของการพยากรณ์<br>ค่าจริงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวิธีการปรับเรียบเอ็กซ์โปเนียนเชียลแบบวินเทอร์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 <br>ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกเดือน <br>มีค่าความคลาดเคลื่อนเท่ากับ 8.9 และค่าความผิดพลาดสมบูรณ์เท่ากับ 202.5</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286434
การพัฒนาการจัดทำบัญชีครัวเรือนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของชุมชนเสนานิคม เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2025-06-29T18:08:27+07:00
อนุสรา ไชยสาลี
nutsara.c@chandra.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนและพัฒนาการจัดทำบัญชีครัวเรือนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนเสนานิคม เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การอบรมเชิงฝึกปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างเป็นสมาชิกในครอบครัวผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดทำบัญชีครัวเรือน จำนวน 50 ครัวเรือน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ค่าความถี่ และร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือน คือ ไม่สามารถจดจำและจดบันทึกบัญชีครัวเรือนได้ที่เกิดขึ้น<br>ในแต่ละวันได้ ขาดความรู้ความเข้าใจในการทำบัญชีครัวเรือนที่ถูกต้อง ขาดการแนะนำในการจดบันทึกบัญชีครัวเรือน มีความเบื่อหน่ายในการจดบันทึกบัญชี ปรับเปลี่ยนสมุดบัญชีแบบเดิมให้สอดคล้องกับการใช้งานมากยิ่ง และต้องการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดทำบัญชีครัวเรือน และ 2) ผลการพัฒนาการจัดทำบัญชีครัวเรือน โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีครัวเรือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีครัวเรือนหลังการฝึกอบรมมากกว่าก่อนฝึกอบรม <br>และการฝึกปฏิบัติการจัดทำบัญชีครัวเรือนผ่านสมุดบัญชีและแอปพลิเคชันการบันทึกบัญชีตามความต้องการของชุมชนและผู้วิจัยร่วมกันพัฒนาและคัดเลือก พบว่า แบบฟอร์มบัญชีมีการจัดประเภทหรือกลุ่มรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจนเข้าใจง่าย สามารถจดบันทึกบัญชีและวิเคราะห์สรุปรายจ่ายได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และกลุ่มตัวอย่างที่ฝึกปฏิบัติ<br>ผ่านแอปพลิเคชันการบันทึกบัญชี มีการบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ที่สามารถดำเนินการได้ผ่านอุปกรณ์ที่ตนเอง<br>พกติดตัวตลอดเวลา และสะดวกต่อการบันทึกบัญชีประจำวัน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286435
การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาด กรณีศึกษาข้าวหอมนิลจักรพรรดิ์ กลุ่มวิสาหกิจผู้ผลิตสหกรณ์การเกษตรบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
2025-06-29T18:12:00+07:00
ปฐมพงษ์ บำเริบ
Pathompong22@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อข้าวหอมนิลจักรพรรดิ์ของกลุ่มวิสาหกิจผู้ผลิตสหกรณ์การเกษตรบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน 2) ศึกษาปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาด 3) พัฒนาช่องทาง<br>การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามจำนวน 384 ชุด และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยประชากรศาสตร์ ได้แก่ อายุ การศึกษา และอาชีพ มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br>ที่ระดับ .05 โดยกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาปริญญาตรี และทำงานในภาคราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาด เช่น การฝึกอบรมพนักงานขายให้บริการสุภาพ การตลาดทางตรงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การประชาสัมพันธ์คุณประโยชน์ของสินค้า การจัดโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ การจัดจำหน่ายในงานแสดงสินค้า การสร้างเครือข่ายการตลาด และการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok <br>มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 องค์ประกอบเหล่านี้สามารถเพิ่มยอดขายและสร้างการยอมรับ<br>ในตลาดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายและกลยุทธ์<br>การส่งเสริมการตลาดที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายช่วยเพิ่มการเข้าถึงและยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์ข้าวหอมนิลจักรพรรดิ์</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286436
การพัฒนาตลาดเชิงวัฒนธรรมต้นแบบเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ องค์พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
2025-06-29T18:16:15+07:00
ภูธร กอดแก้ว
Phuthorn.k@dru.ac.th
อรวรรณ ลีลาเกียรติวณิช
Phuthorn.k@dru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทตลาดเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่องค์พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และ <br>2) เสนอแนวทางการพัฒนาตลาดเชิงวัฒนธรรมต้นแบบที่บูรณาการความร่วมมือเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่องค์พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และปราชญ์ท้องถิ่น ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ ชุมชนในพื้นที่องค์พระสมุทรเจดีย์ กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มเลือกแบบเจาะจงจำนวน 100 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บริบทของพื้นที่องค์พระสมุทรเจดีย์ประกอบด้วยศาสนวัตถุ เช่น องค์พระสมุทรเจดีย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ <br>ป้อมปราการที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ และประเพณีห่มผ้าแดงที่จัดขึ้นประจำทุกปี ซึ่งทั้งหมดมีศักยภาพในการเชื่อมโยงเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แนวทางการพัฒนาตลาดเชิงวัฒนธรรมต้นแบบมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1) กิจกรรมการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นและการประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 2) การจัดการตลาดเชิงวัฒนธรรม ใช้ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนการพัฒนา 3) การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย การสร้างความร่วมมือระหว่างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และปราชญ์ท้องถิ่น เพื่อสร้างตลาดที่ยั่งยืน และ 4) กระบวนการจัดการสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการบูรณาการทั้ง 4 ด้านดังกล่าวสามารถเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน <br>โดยชุมชนได้รับรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากการพัฒนาตลาด และมีการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็งมากขึ้น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286438
การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อประเมินและติดตามสุขภาวะของนักเรียน นายร้อย (รร.จปร.) สังกัดกองทัพบก
2025-06-29T18:25:26+07:00
เกรียงศักดิ์ รักภักดี
Kriangsak.r@ubru.ac.th
รติ ท่าโพธิ์
Kriangsak.r@ubru.ac.th
ปิยนุช วรบุตร
Kriangsak.r@ubru.ac.th
ศราวุธ ชินาภาษ
Kriangsak.r@ubru.ac.th
พัศรินท์ ก่อเลิศวรพงศ์
Kriangsak.r@ubru.ac.th
สิรพภ แก้วชนิด
Kriangsak.r@ubru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์องค์ประกอบที่เหมาะสมในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อประเมินและติดตาม<br>สุขภาวะของนักเรียนนายร้อย 2) พัฒนาระบบสารสนเทศในรูปแบบเว็บแอพพลิเคชันเพื่อประเมินและติดตามสุขภาวะ 3) ประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศ และ 4) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ โดยการศึกษาใช้กระบวนการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development) ผ่านการเก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานจริง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศ 5 คน และผู้ใช้งานระบบซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยและอาจารย์ที่ปรึกษาจำนวน 20 คน การประเมินคุณภาพระบบสารสนเทศดำเนินการผ่านแบบสอบถามและวิเคราะห์ผลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นสามารถรวบรวม จัดเก็บ และแสดงผลข้อมูลสุขภาวะของนักเรียนนายร้อย<br>ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และปลอดภัย โดยมีคุณสมบัติที่รองรับการติดตามสุขภาวะในมิติต่างๆ และช่วยอำนวยความสะดวกใน<br>การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการวางแผนดูแลสุขภาพของนักเรียนนายร้อย ผลการประเมินคุณภาพของระบบจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่าระบบมีประสิทธิภาพสูง โดยคะแนนเฉลี่ย 4.24 แสดงถึงความแม่นยำ ความปลอดภัย และสามารถรองรับการใช้งานจริง ขณะที่ผล<br>การประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานมีคะแนนเฉลี่ย 4.18 ซึ่งอยู่ระดับมาก โดยเฉพาะในด้านความง่ายในการใช้งาน ความเร็ว<br>ในการประมวลผล และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล ผลจากการวิจัยจึงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงในการช่วยอาจารย์ที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการติดตามสุขภาวะและสนับสนุนการตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของนักเรียนนายร้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br>และยั่งยืน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286442
การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการครามสู่ช่องทางการตลาดออนไลน์ ภายใต้การจัดการผลกระทบจากภัยพิบัติโรคระบาดโควิด 19
2025-06-29T20:02:56+07:00
ศศิกานต์ สังข์ทอง
Chadarporn@snru.ac.th
ชฎาพร แนบชิด
Chadarporn@snru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการของกลุ่มคราม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร และเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการครามด้านการตลาดออนไลน์โดยใช้การวิจัยพัฒนาเชิงปฏิบัติการแบบผสมผสาน มีการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงเป็นผู้ประกอบการเกษตรกรกลุ่มคราม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จำนวน 13 กลุ่มรวม 59 คน ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างในการสัมภาษณ์เชิงลึก ตรวจสอบความสามารถในการนำไปใช้พบว่าเหมาะสม วิเคราะห์ข้อมูลวิธีเชิงอุปมานโดยการบรรยายและนำเสนอผลการศึกษาในรูปแบบการพรรณนา</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรกลุ่มครามเป็นกลุ่มทอผ้าวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายเดียว มีลักษณะเด่นด้านการผลิตและมีทักษะด้านการประกอบธุรกิจ มีความสัมพันธ์เครือข่ายที่เข้มแข็ง มีการใช้เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางไลน์และเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่ยังขาดองค์ความรู้เรื่องการใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการนำเสนอและจำหน่ายสินค้า ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการวิจัยพัฒนาเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มาใช้โดยมีการจัดอบรมพัฒนาความรู้และฝึกทักษะการติดต่อสื่อสารกับเครือข่าย การถ่ายภาพ การไลฟ์สด การโพสต์ขายสินค้า มีการตั้งไลน์กลุ่มและร้านค้าบนเฟซบุ๊กเพื่อทดลองจำหน่ายสินค้าออนไลน์ แม้ว่าผู้ประกอบการครามจะมีทักษะ</span><span style="font-weight: 400;">ในการจำหน่ายสินค้าในตลาดออนไลน์เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากผู้ประกอบการเป็นผู้สูงอายุ จึงมีการใช้กลยุทธ์ ทายาทคราม ที่เป็นลูกหลาน</span><span style="font-weight: 400;">มาช่วยในการบริหารจัดการสินค้าและการขับเคลื่อนตลาดออนไลน์ทำให้ผู้ประกอบการสามารถยกระดับเป็น “นวัตกรครามออนไลน์ต้นแบบ” ที่สร้างเครือข่ายออนไลน์เพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ และสามารถนำนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขี้นไปเผยแพร่สู่สมาชิกเครือข่ายเพื่อให้มาเข้าร่วมเป็นผู้ประกอบการออนไลน์และเกิดการแพร่กระจายนวัตกรรมในชุมชน </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286443
การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานของการเลี้ยงเป็ดปากน้ำของกลุ่มผู้ประกอบการแรงงาน ภาคการเกษตร สมุทรปราการ
2025-06-29T20:16:51+07:00
ธมนวรรณ์ เฟื่องประยูร
tamonwan.o@dru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;"> </span> <span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานของการเลี้ยงเป็ดปากน้ำของกลุ่มผู้ประกอบการแรงงาน</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ภาคการเกษตร 2) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการเลี้ยงเป็ดสายพันธุ์ปากน้ำในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ การวิจัยนี้</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีที่ใช้ทั้งวิธีการเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลคือผู้ประกอบการแรงงาน</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ภาคการเกษตรในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 8 ราย โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก และเครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากรคือผู้ประกอบการแรงงานภาคการเกษตรในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 77 ราย โดยใช้</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">วิธีการสำรวจและเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่พัฒนาจากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบนำเข้าเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ของแต่ละองค์ประกอบในการสร้างความเหมาะสมของการผลิตต่อความต้องการของตลาด </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่าข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมีความสอดคล้องกันในแง่องค์ประกอบของห่วงโซ่อุปทานการเลี้ยงเป็ดปากน้ำ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ต้นน้ำ (การเลี้ยงและการเตรียมสินค้า) กลางน้ำ (การจำหน่าย แปรรูป และขนส่ง) และปลายน้ำ (การกระจายสินค้า) ผลการวิจัยเชิงปริมาณชี้ให้เห็นว่า การสร้างความเหมาะสมระหว่างการผลิตและความต้องการ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ของตลาดมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับผลการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทาน และมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานดังกล่าวจากมากไปน้อย ได้แก่ การบริหารจัดการร่วมกันในห่วงโซ่อุปทาน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การจัดการและวางแผนการผลิต การเพิ่มช่องทางการตลาด และการบริหารจัดการต้นทุน ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ของการประสานงานและความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการปรับปรุงปัจจัยด้านการผลิตและการกระจายสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบห่วงโซ่อุปทาน </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286444
การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์แหนมคีโตของกลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านโป่ง ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
2025-06-29T20:23:27+07:00
พีรยา สมศักดิ์
paipan@rmutl.ac.th
อรไท เขียวชอุ่ม
paipan@rmutl.ac.th
ไพรพันธ์ ธนเลิศโศภิต
paipan@rmutl.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์แหนมคีโต ของกลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านโป่ง ตำบลท่าวังตาล </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ร่วมกับกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการแหนมท้องถิ่นและกลุ่มแม่บ้าน จำนวน 15 คน กลุ่มประชาชนผู้มีประสบการณ์ซื้อผลิตภัณฑ์ จำนวน 15 คน และผู้นำชุมชน 1 คน รวมทั้งหมด 31 คน โดยกระบวนการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาสภาพปัญหาและการมีส่วนร่วมของกลุ่มแม่บ้านและชุมชนเพื่อระดมความคิด 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์แหนมคีโต โดยเน้นการออกแบบตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นในรูปแบบทันสมัย รวมทั้งการคำนวณต้นทุนและกำหนดราคาขายที่เหมาะสม และ 3) การทดสอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์แหนมคีโตผ่านกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มแม่บ้านชุมชนบ้านโป่งมีศักยภาพสูงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แหนมคีโตเพื่อรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ กระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มเริ่มจากการออกแบบตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า การกำหนดราคาขายที่เหมาะสมที่ 99 บาทต่อหน่วย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุจุดคุ้มทุนและสร้างกำไรอย่างยั่งยืน การทดสอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์พบว่าผู้บริโภคมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้การเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น กระบวนการวิจัยครั้งนี้ช่วยให้ชุมชนเกิดองค์ความรู้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มจาก</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การพัฒนาผลิตภัณฑ์แหนมคีโต ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน แต่ยังส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286446
ทัศนคติ ค่านิยม และการยอมรับทางสังคมของบุคคล ที่มีเพศกำเนิดตามอัตลักษณ์ (Cisgender) ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการธุรกิจบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ในประเทศไทย
2025-06-29T20:54:11+07:00
กุลปริยา พิพัฒธนาธร
immyresmk@hotmail.com
ชนากานต์ ศรีเมือง
immyresmk@hotmail.com
ชัญญา เฉลิมเทวี
immyresmk@hotmail.com
ปุณฑริกา ชุมคง
immyresmk@hotmail.com
ทัชชกร สัมมะสุต
immyresmk@hotmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของ ปัจจัยด้านทัศนคติ ได้แก่ ความเข้าใจ ความรู้สึก และพฤติกรรม ปัจจัยด้านค่านิยม ได้แก่ ค่านิยมทางสังคม และค่านิยมส่วนบุคคล และปัจจัยด้านการยอมรับทางสังคมต่อความหลากหลายทางเพศ ของบุคคลที่มีเพศกำเนิดตามอัตลักษณ์ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการธุรกิจบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในประเทศไทย โดยเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่มีเพศกำเนิดตามอัตลักษณ์ (Cisgender) ทั้งเพศชายและหญิง อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 420 คน ใช้แบบสอบถามออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการวิจัย โดยดำเนินการผ่านระบบ Google Forms ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ไม่อาศัยความน่าจะเป็น และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติด้านความเข้าใจ ทัศนคติด้านพฤติกรรม และการยอมรับทางสังคมต่อความหลากหลายทางเพศ ของบุคคลที่มีเพศกำเนิดตามอัตลักษณ์ ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ปัจจัยด้านทัศนคติด้านความรู้สึก ค่านิยมทางสังคม และค่านิยมส่วนบุคคล ของบุคคลที่มีเพศกำเนิดตามอัตลักษณ์ ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการธุรกิจบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย ผลการวิจัยนี้ช่วยให้เข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใช้บริการของผู้บริโภค และเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจบันเทิงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ </span><span style="font-weight: 400;">โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลกำหนดกลยุทธ์และพัฒนาบริการให้ตรงกับความต้องการกลุ่มเป้าหมาย ส่วนหน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลวิจัยไปใช้ในการออกแบบนโยบายหรือโครงการรณรงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการยอมรับ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ในสังคมไทย</span></p>
2025-07-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286447
ทัศนคติต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าบริโภคนำเข้าจากประเทศจีนของผู้บริโภค Generation Z กรณีศึกษา อุตสาหกรรมไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ
2025-06-29T21:20:00+07:00
ตฤณพัฒน สุทธิสุข
trinnapat.su@ku.th
ธิดารัตน์ อ่อนสุระทุม
trinnapat.su@ku.th
พรพิมล จิตตมาศ
trinnapat.su@ku.th
อารยา บุญเรือง
trinnapat.su@ku.th
ทัชชกร สัมมะสุต
trinnapat.su@ku.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทัศนคติต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าบริโภคนำเข้าจากประเทศจีนของผู้บริโภค Generation Z และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าบริโภคนำเข้าจากประเทศจีนของผู้บริโภค Generation Z </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ในอุตสาหกรรมไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือผู้บริโภค Generation Z อายุ 18-26 ปี ที่เคยซื้อไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">จากจีน จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ความถดถอยเชิงพหุ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภค Generation Z มีทัศนคติเชิงบวกต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าบริโภคนำเข้าจากประเทศจีน โดยพบว่าปัจจัยด้านประเทศผู้ผลิต ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาด มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ปัจจัยด้านสินค้ากลับไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภค Generation Z ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของประเทศผู้ผลิต รสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ราคาที่เหมาะสม ความสะดวก</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ในการเข้าถึงสินค้า และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เช่น ส่วนลดและโปรโมชั่น จากผลการศึกษา ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">กับการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศผู้ผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคาที่เหมาะสม และการปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค Generation Z เพื่อเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อสินค้าบริโภคนำเข้าจากประเทศจีน</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286448
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะพื้นฐานของผู้ประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
2025-06-29T22:12:28+07:00
กล้วยไม้ สุมังค์
kluaymaisum@pim.ac.th
ภักดี ใจซื่อ
kluaymaisum@pim.ac.th
สุภชญ ศรีกัญชัย
kluaymaisum@pim.ac.th
ศตวรรษ บุญผสม
kluaymaisum@pim.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;"> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะพื้นฐานของผู้ประกอบวิชาชีพชีพมัคคุเทศก์ไทยเพื่อตอบสนอง</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ความต้องการของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย 2) เพื่อศึกษาและประเมินความต้องการด้านสมรรถนะพื้นฐานของอาชีพของมัคคุเทศก์ไทยในการพัฒนาที่สอดคล้องตามความต้องการของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะพื้นฐานของอาชีพมัคคุเทศก์ไทยที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในการวิจัยเชิงคุณภาพมีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวรวมทั้งมัคคุเทศก์และนักท่องเที่ยวจำนวน 15 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากวิธีการเลือกกลุ่มแบบเจาะจง ร่วมกับการสุ่มตัวอย่างแบบใช้เครือข่าย และการวิจัยเชิงปริมาณ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ที่มีการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามมัคคุเทศก์ที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 400 คน และเป็นการสุ่มแบบโควตา </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และ 2 พบว่าองค์ประกอบของสมรรถนะมีสมรรถนะต่ำกว่าความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระดับช่องว่างของระดับการพัฒนาที่มีช่องว่างระดับเกิน -1.00 ประกอบด้วย 6 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ด้านคุณธรรมจริยธรรมมีจิตบริการและความรับผิดชอบต่อสังคมตามจรรยาบรรณวิชาชีพ ที่ระดับ -1.29 </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">2)</span> <span style="font-weight: 400;">ด้านการดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัย ที่ระดับ </span><span style="font-weight: 400;">-1.25 3) ด้าน</span><span style="font-weight: 400;">ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัลสำหรับ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม ที่ระดับ -1.24 </span><span style="font-weight: 400;"> 4) </span><span style="font-weight: 400;">ด้านความรอบรู้ทางวิชาการ ทักษะทางวิชาชีพ มีความสามารถในการปฏิบัติงาน การให้บริการและบริหารจัดการในระดับสากล ที่ระดับ -1.23 </span><span style="font-weight: 400;">5) ด้าน</span><span style="font-weight: 400;">บุคลิกภาพดี สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในทุกระดับได้อย่างเหมาะสม</span><span style="font-weight: 400;"> ที่ระดับ -.89 และ 6) ด้าน</span><span style="font-weight: 400;">ทักษะการวิเคราะห์สถานการณ์โดยประยุกต์ใช้ความรู้ เหตุผลและวิจารณญาณอย่างเหมาะสมเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ</span><span style="font-weight: 400;"> ที่ระดับ -.89 ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">โดยทั้ง 6 ด้านควรมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้คือ ควรมีการพัฒนาสมรรถนะในทุกด้านโดยเฉพาะด้านความรู้ ด้านทักษะอาชีพและด้านทัศนคติ เพื่อให้มัคคุเทศก์สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพในระดับสากล</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286449
แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี บนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์
2025-06-29T22:24:27+07:00
สุวภัทร ศิริธรรมะสกุล
suwaphat.s@ubu.ac.th
เขมจิรา หนองเป็ด
suwaphat.s@ubu.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อ 1) วิเคราะห์สถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองชายแดน 4 อำเภอของ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">จังหวัดอุบลราชธานี 2) วิเคราะห์ศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีบนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">และ 3) เสนอแนวการพัฒนาการท่องเที่ยวชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีบนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในพื้นที่อำเภอชายแดน 4 อำเภอของ จ.อุบลราชธานี เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมกลุ่มย่อย ผู้ให้ข้อมูลหลัก</span><span style="font-weight: 400;">เป็นผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนักท่องเที่ยว รวม 64 คน โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์ของการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองชายแดน 4 อำเภอ มีการเติบโตเฉลี่ยของรายได้จากการท่องเที่ยวที่ต่อเนื่อง มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นและมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้มีความน่าสนใจ ศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น แต่พบปัญหาในด้านการจัดการสถานที่ท่องเที่ยว สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ขาดระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี</span><span style="font-weight: 400;">ขาดกิจกรรมทางการตลาดที่ดึงเอาทุนทางวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดมูลค่าและคุณค่าทางเศรษฐกิจในชุมชนได้ ดังนั้น แนวทางการพัฒนาพัฒนาการท่องเที่ยวชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีสามารถทำได้โดย การพัฒนาด้านระบบโครงสร้างและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ด้านความปลอดภัย การสร้างจุดเด่นและสร้างอัตลักษณ์ การมีนโยบายและแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองชายแดน การยกระดับศักยภาพของมัคคุเทศก์ท้องถิ่น และการพัฒนาเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวชายแดน จากผลการวิจัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การท่องเที่ยวควรเพิ่มการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ความปลอดภัย นโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยว เส้นทาง</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยว และมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองชายแดน</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286450
ปัจจัย 7S ของแมคเคนซี่ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
2025-06-29T22:32:34+07:00
กิตติพร กมลเวชช
Kittiphon.kamo@gmail.com
พิสมัย เหล่าไทย
Kittiphon.kamo@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)</span> <span style="font-weight: 400;">เพื่อศึกษาระดับของปัจจัย 7S</span> <span style="font-weight: 400;">ของแมคเคนซี่ของบุคลากรในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ 2)</span> <span style="font-weight: 400;">เพื่อศึกษาระดับของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">และ 3)</span> <span style="font-weight: 400;">เพื่อศึกษาปัจจัย 7S</span> <span style="font-weight: 400;">ของแมคเคนซี่ ประกอบด้วย กลยุทธ์ขององค์การ โครงสร้างขององค์การ รูปแบบการบริหารขององค์การ บุคลากรขององค์การ ทักษะบุคลากรขององค์การ ระบบขององค์การ และค่านิยมร่วมขององค์การ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การปฏิบัติงานของบุคลากรในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือบุคลากรโรงพยาบาล</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 135 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสำหรับสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า 1)</span> <span style="font-weight: 400;">ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัย 7S</span> <span style="font-weight: 400;">ของแมคเคนซี่ ในภาพรวมระดับความคิดเห็นมาก เมื่อจำแนก</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านค่านิยมร่วมขององค์การที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .54 2)</span> <span style="font-weight: 400;">ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในโรงพยาบาล ในภาพรวมระดับความคิดเห็นมากที่สุด </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านเวลา โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ .51 </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">3)</span> <span style="font-weight: 400;">ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัย 7S ของแมคเคนซี่ของบุคลากรในโรงพยาบาล ด้านรูปแบบการบริหารขององค์การ </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .62 และด้านระบบขององค์การ โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.07 และ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .70 ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ อย่างมีนัยสำคัญ .05</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286451
ปัจจัยเชิงสาเหตุของการสนับสนุนตราสินค้าในธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีอาหาร
2025-06-29T22:39:11+07:00
ชลธิดา แสวานี
Nataya.Kum@rmuti.ac.th
นทยา กัมพลานนท์
Nataya.Kum@rmuti.ac.th
นัฏพร จิรเจษฎา
Nataya.Kum@rmuti.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการสนับสนุนตราสินค้าในธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีอาหาร </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">กลุ่มตัวอย่างในการศึกษานี้คือผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารในปัจจุบัน หรือเคยใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อาศัย</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ และสมุทรสาคร จำนวน 562 ตัวอย่าง </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">สุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้เทคนิคการสุ่มแบบลูกโซ่ จากนั้นทำการวิเคราะห์โมเดลการวัดด้วยองค์ประกอบ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เชิงยืนยัน (CFA) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่าการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันมีความสอดคล้องดีถึงดีมาก แล้วทำการทดสอบสมมติฐานด้วย</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเป็นผู้นำตราสินค้ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ตราสินค้า </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">และคุณภาพความสัมพันธ์ต่อตราสินค้า และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการสนับสนุนตราสินค้า โดยผ่านตัวแปรกลางที่สำคัญคือ คุณภาพความสัมพันธ์ต่อตราสินค้า 2) ภาพลักษณ์ตราสินค้ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อคุณภาพความสัมพันธ์ต่อตราสินค้า และมีอิทธิพลทางอ้อม</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ต่อการสนับสนุนตราสินค้า โดยผ่านตัวแปรกลางที่สำคัญคือ คุณภาพความสัมพันธ์ต่อตราสินค้า และ 3) คุณภาพความสัมพันธ์ต่อตราสินค้ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อการสนับสนุนตราสินค้า โดยโมเดลสมการโครงสร้างนี้ สามารถอธิบายการสนับสนุนตราสินค้าได้ถึง</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ร้อยละ 74.70 โดยค่าดัชนีความกลมกลืนของโมเดลอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ได้แก่ ค่าไคสแควร์สัมพัทธ์ = 1.505, ค่า GFI = .90, </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ค่า CFI = .982, ค่า RMSEA = .030, และ ค่า SRMR = .0368 ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการวางกลยุทธ์สร้างแบรนด์ โดยเน้น</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การพัฒนาภาพลักษณ์ ความเป็นผู้นำ และความสัมพันธ์กับผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนตราสินค้าในธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีอาหารอย่างยั่งยืน</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286452
ปัจจัยทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภค
2025-06-29T22:52:04+07:00
อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ
Ajcharapan_tan@vu.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;"> การศึกษาปัจจัยทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคในบทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยทัศนคติที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ในจังหวัดนครราชสีมา และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ในจังหวัดนครราชสีมา รูปแบบการวิจัย</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เป็นเชิงปริมาณ ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญกับผู้ใช้/ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 385 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีการนำตัวแปรเข้าสมการพร้อมกัน ภายใต้เงื่อนไข</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ตัวประมาณค่าที่ดีที่สุดเป็นเชิงเส้น และปราศจากอคติ เพื่อตรวจสอบอิทธิพลของปัจจัยทัศนคติ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านความรู้สึก และด้านพฤติกรรม ที่มีต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทัศนคติที่มีต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในด้านความรู้สึก ในเรื่องสถานีชาร์จกำลังจะเป็นที่ต้องการ/นิยมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้านพฤติกรรม ในเรื่องสถานีชาร์จจะมีประโยชน์ เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">และด้านความรู้ ในเรื่องความเข้าใจในวิธีการชำระเงินค่าใช้บริการสถานีชาร์จ สำหรับผลการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ พบว่า ปัจจัยทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา มีเพียง 2 ปัจจัย ได้แก่ </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ด้านความรู้สึก และด้านพฤติกรรม ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการวางและขยายโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคทางด้านสถานีชาร์จ ประโยชน์ต่อภาคเอกชนในการพิจารณาตั้งจุดให้บริการสถานีชาร์จ รวมทั้งกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค</span><span style="font-weight: 400;">เพื่อตอบสนองการให้บริการ</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286453
ปัจจัยในการจัดเก็บภาษีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2025-06-29T22:56:20+07:00
สายธาร สะอาด
saythan.sG64@ubru.ac.th
ประนอม คำผา
saythan.sG64@ubru.ac.th
อัยรดา พรเจริญ
saythan.sG64@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยในการจัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) ประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยในการจัดเก็บภาษีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ4) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">การจัดเก็บภาษี ของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล ตัวอย่างได้แก่ เจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมจำนวน 230 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t การทดสอบค่า F และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ด้วยเทคนิควิธี Stepwise</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ปัจจัยในการจัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านบุคลากร รองลงมา คือ ด้านโครงสร้างภาษี ด้านลักษณะกฎหมายภาษีสรรพสามิต และด้านความสำนึกในหน้าที่ผู้เสียภาษี ตามลำดับ </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ คุณภาพของงาน รองลงมา คือ ด้านเวลา ด้านปริมาณงานและด้านค่าใช้จ่ายตามลำดับ </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ปัจจัยในการจัดเก็บภาษีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าปัจจัยในการจัดเก็บภาษี ด้านโครงสร้างภาษี ด้านความสำนึกในหน้าที่ผู้เสียภาษี ด้านบุคลากร และด้านลักษณะกฎหมายภาษีสรรพสามิต มีอิทธิพลเชิงบวกต่อปัจจัยในการจัดเก็บภาษีที่ส่งผลประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความสามารถในการพยากรณ์ได้ร้อยละ 81 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> เปรียบเทียบประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของสำนักงานสรรพสามิตในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล พบว่าเพศ อายุ ระดับการศึกษา และตำแหน่งที่แตกต่างกันมีประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01</span></li> </ol>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286454
ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการและคุณภาพบริการที่มีอิทธิพลต่อการกลับมาซื้อซ้ำกาแฟ แฟรนไชส์ในจังหวัดนนทบุรี
2025-06-29T23:03:30+07:00
ขวัญ วันทอง
kwanwanthong@gmail.com
สายพิณ ปั้นทอง
kwanwanthong@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการกลับมาซื้อซ้ำกาแฟแฟรนไชส์ในจังหวัดนนทบุรี </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">2) ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการที่มีอิทธิพลต่อการกลับมาซื้อซ้ำ และ 3) ปัจจัยคุณภาพบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อซ้ำของลูกค้า การสุ่มตัวอย่างใช้การสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นจากผู้บริโภคที่ใช้บริการร้านกาแฟแฟรนไชส์ในจังหวัดนนทบุรีและพนักงานบริษัทที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่ม การวิเคราะห์ความแปรปรวน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โมเมนต์ผลคูณอย่างง่ายของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 85.50 มีอายุ 31 - 35 ปี ร้อยละ 47.00 มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 95.50 มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 77.80 และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้ มีอิทธิพลต่อการกลับมาซื้อซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการ ได้แก่ ราคา การส่งเสริมการตลาด บุคคล ลักษณะทางกายภาพ และกระบวนการ มีผลต่อการกลับมาซื้อซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าอิทธิพลของปัจจัยนี้มีประสิทธิภาพคิดเป็นร้อยละ 56.30 ส่วนด้านคุณภาพการบริการพบว่าความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น และการตอบสนองของลูกค้า มีผลต่อการกลับมาซื้อซ้ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าอิทธิพลคิดเป็นร้อยละ 54.80</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286455
วัฒนธรรมองค์กรที่มีอิทธิพลต่อความสุขในการทำงานและความภักดีต่อองค์กร ของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม
2025-06-29T23:13:04+07:00
อรจิรา เนียมนาค
yodornjira@gmail.com
วัชระ เวชประสิทธิ์
Supaluk.j33@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวัฒนธรรมองค์กร ความสุขในการทำงานและความภักดีต่อองค์กรของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม 2) ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่มีอิทธิพลต่อความสุขในการทำงานของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม 3) ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่มีอิทธิพลต่อความภักดีต่อองค์กรของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม และ 4) ศึกษาความสุขในการทำงานที่มีอิทธิพลต่อความภักดีต่อองค์กรของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมองค์กรมุ่งเน้นความสัมพันธ์ วัฒนธรรมองค์กรมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์กรราชการ และวัฒนธรรมองค์กรการตลาด ทั้ง 4 ด้าน มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยูในระดับมาก ส่วนความสุขในการทำงาน และความภักดีต่อองค์กร</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ก็มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเช่นกัน ผลการทดสอบสมมุติฐาน พบว่า วัฒนธรรมองค์กรมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสุขในการทำงานของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </span><span style="font-weight: 400;">วัฒนธรรมองค์กรมีอิทธิพล</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เชิงบวกต่อความภักดีต่อองค์กรของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม </span><span style="font-weight: 400;">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </span><span style="font-weight: 400;">และความสุขในการทำงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความภักดีต่อองค์กรของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดสมุทรสงคราม </span><span style="font-weight: 400;">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286458
ส่วนแบ่งการตลาดมีความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต อัตราส่วนของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และผลการดำเนินงานทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-06-29T23:34:49+07:00
ชุรีพร เมืองจันทร์
Supaluk.j33@gmail.com
สุภลัคน์ จงรักษ์
Supaluk.j33@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์และผลกระทบของความเสี่ยงด้านเครดิต อัตราส่วนของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารและผลการดำเนินงานทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย ตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2566 เก็บข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 11 ธนาคาร รายไตรมาส เป็นจำนวนทั้งสิ้น 440 Firm-Year การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) ด้วยการวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis) ซึ่งใช้หลักการประมาณค่าด้วยความเป็นไปได้สูงสุด (Maximum Likelihood: ML) ในการประมาณค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า ความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีอิทธิต่อส่วนแบ่งการตลาดและมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานทางการเงินส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารที่มีอิทธิต่อผลการดำเนินงานทางการเงิน อัตราส่วนของทุนต่อสินทรัพย์มีอิทธิพลต่อส่วนแบ่งการตลาดและ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการดำเนินงานทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย ความเสี่ยงด้านเครดิตมีความสัมพันธ์เชิงบวก</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ต่อผลการดำเนินงานทางการเงินผ่านส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารพาณิชย์ไทย และอัตราส่วนของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของธนาคารผ่านส่วนแบ่งการตลาดของธนาคารพาณิชย์ไทย ผลการศึกษาส่วนแบ่งการตลาด</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">มีความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต อัตราส่วนของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นประโยชน์สําหรับธนาคาร ผู้จัดการ และหน่วยงานกํากับดูแล ธนาคารควรให้ความสําคัญกับทางเลือกเชิงกลยุทธ์มากขึ้นเพื่อเพิ่ม</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ผลการดําเนินงาน นอกจากนี้ธนาคารต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานการกํากับดูแลอย่างต่อเนื่องผ่านการปรับโครงสร้างอัตราส่วนการใช้เงินทุนและจํานวนเงินสํารองที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านเครดิต</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/286459
อิทธิพลส่งผ่านของความยืดหยุ่นขององค์กรในความสัมพันธ์ระหว่างความสอดคล้อง ระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้และการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ
2025-06-29T23:40:20+07:00
สุนันวดี พละศักดิ์
Nada_Moon2523@hotmail.com
อุณนดาทร มูลเพ็ญ
Nada_Moon2523@hotmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทดสอบอิทธิพลของความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้มีต่อการจัดการ</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">ความต่อเนื่องทางธุรกิจ 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้มีต่อความยืดหยุ่นขององค์กร </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">3) เพื่อทดสอบอิทธิพลส่งผ่านความยืดหยุ่นขององค์กรต่อความสัมพันธ์ระหว่างความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้และการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ กลุ่มตัวอย่าง 450 คน หัวหน้างาน ผู้จัดการ และเจ้าของธุรกิจ เป็นผู้ตอบแบบสอบถาม </span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">เลือกตัวอย่างโดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบ 2 ขั้นตอน สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนาและโมเดลสมการเชิงโครงสร้าง </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัย พบว่า โมเดลสมการโครงสร้างสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ ความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้</span><span style="font-weight: 400;"><br></span><span style="font-weight: 400;">มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความยืดหยุ่นขององค์กร และความยืดหยุ่นขององค์กรมีอิทธิพลส่งผ่านในความสัมพันธ์ระหว่างความสอดคล้องระหว่างบุคคลกับองค์กรที่หัวหน้ารับรู้และการจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจ</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025