วารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ( Journal of Management and Development Ubon Ratchathani Rajabhat University) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU <p>วารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านวิชาการระหว่างนักวิจัย คณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา วารสารเปิดรับบทความประเภทบทความวิจัยและบทความวิชาการ มีขอบเขตด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการและ<br />การบัญชี ด้านการบัญชี ด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ ด้านการจัดการระบบสารสนเทศ และด้านการตลาด ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่สอดคล้องกับบทความ ไม่น้อยกว่าบทความละ 3 ท่าน แบบ Double Blinded โดยผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์</p> คณะบริหารธุรกิจและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี th-TH วารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ( Journal of Management and Development Ubon Ratchathani Rajabhat University) 2351-065X <p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร เป็นงานเขียนของนักวิจัยหรือนักวิชาการแต่ละท่านโดยเฉพาะ มิใช่ความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของกองบรรณาธิการวารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี<br />บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารฯ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการจัดการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องทำการอ้างอิงมายังวารสาร</p> การประยุกต์ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นในการศึกษาปัจจัยที่สำคัญ ต่อระดับกลยุทธ์ของส่วนประสมการตลาด กรณีศึกษาการทำชุดข้าวยำ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269838 <p>การประยุกต์ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นในการศึกษาปัจจัยที่สำคัญต่อระดับกลยุทธ์ของส่วนประสมการตลาดกรณีศึกษาการทำชุดข้าวยำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าน้ำหนักของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ<br>ในการวางแผนกลยุทธ์ของส่วนประสมการตลาด และเพื่อวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการวางแผนกลยุทธ์ของส่วนประสมการตลาด กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการทำชุดข้าวยำ จำนวน <br>5 ราย พื้นที่จังหวัดปัตตานี ผู้วิจัยได้นำหลักการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยหลักที่มีค่าน้ำหนักที่มากที่สุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการขาย และด้านสถานที่ ตามลำดับ และสามารถนำผลการศึกษาเป็นแนวทางในการตัดสินใจวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดต่อไปได้</p> กันต์ธมน สุขกระจ่าง ธนะรัตน์ รัตนกูล พิทยาภรณ์ พัฒโน Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 1 14 การเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่น ของผู้บริโภคในเขตนครชัยบุรินทร์ศรีอุบล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269839 <p>การศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่นของผู้บริโภคในเขตนครชัยบุรินทร์ศรีอุบล มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้องค์ประกอบผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่นของผู้บริโภคในเขตนครชัยบุรินทร์ศรีอุบล สำรวจข้อมูลจากประชากรและกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติในเขตนครชัยบุรินทร์ศรีอุบล การคำนวณโดยไม่ทราบจำนวนประชากรที่แท้จริง ระดับค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้น<br>ร้อยละ 5 ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 385 ตัวอย่าง และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติทดสอบความแตกต่าง Independent Samples t-test การทดสอบช่องทางการซื้อ ประเภทของผ้า ประเภทผลิตภัณฑ์ จำนวนเงินซื้อ และ F-test ในการทดสอบผลิตภัณฑ์แปรรูป ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่นของผู้บริโภคในเขตนครชัยบุรินทร์ศรีอุบล ผลการศึกษาพบว่าการตัดสินใจซื้อพิจารณาจากองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือย้อมสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่น ผ่านช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ ออฟไลน์ ด้านรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ภาพรวม ด้านสัญลักษณ์ ประเภทผ้าฝ้าย ผ้าไหม ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านผลิตภัณฑ์ควบ ประเภทผ้าสีพื้นผ้าและมัดหมี่ ด้านรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ ภาพรวมผู้บริโภคมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อนงค์วรรณ ชิณศรี รัศมีเพ็ญ นาครินทร์ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 15 30 การพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชนบ้านปะอาว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269916 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชน และ3) เพื่อนำเสนอรูปแบบบรรจุภัณฑ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชนบ้านปะอาว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานวิจัย<br>เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ศึกษาแนวคิดอัตลักษณ์ของชุมชน และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นกรอบการวิจัย ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก 50 คน (สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ตัวแทนสมาชิก อาจารย์ และนักศึกษา) นำเสนอเนื้อหาและเขียนบรรยายเชิงพรรณา ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชน ได้แก่ ไข่เค็ม และผ้าไหม มุ่งให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์สิ่งแวดล้อม โดยผลิตภัณฑ์<br>ไข่เค็มยังเป็นถุงพลาสติกสีใส เนื่องจากความสะดวก และประหยัดต้นทุน การจำหน่ายเฉพาะในชุมชนหากใช้<br>บรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลให้การจัดจำหน่ายไข่เค็มทำได้ยาก ส่วนผ้าไหมยังไม่มี<br>บรรจุภัณฑ์แต่มีแนวทางในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ถุงกระดาษเพื่อจัดจำหน่าย 2) การพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าชุมชน 3 ด้าน ได้แก่บรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า และการแสดงข้อมูลบนฉลาก และ3) รูปแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับชุมชน ควรใช้สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ชุมชน ประกอบด้วยไข่เค็ม ควรใช้สัญลักษณ์รูปไข่ และมีสโลแกนว่า “อร่อยเช้า อร่อยเย็น” ผ้าไหม ควรใช้ชื่อ “ผ้าทอบ้านทุ่งนาเพียง” และมีสโลแกนว่า “รักผมเท่าไหน รักไหม เท่านั้น” โดยผลิตภัณฑ์มีกระบวนการผลิตด้วยมืออันเป็นเอกลักษณ์การผลิตของชุมชนบ้านปะอาว อีกทั้งปัญหาของกลุ่มผู้จัดจำหน่าย คือการขาดเงินทุน <br>ดังนั้นควรมีหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนงบประมาณในการลงทุน รวมทั้งชุมชนหรือหน่วยงานได้กำกับ ติดตาม ประเมินผล และมีการพัฒนาหีบห่อบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง</p> บุษยมาส ชื่นเย็น อุมารินทร์ ราตรี จตุพร จันทารัมย์ โชฒกามาศ พลศรี Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 31 48 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการกำกับดูแลกิจการ ลักษณะบริษัทและ ประเภทสำนักงานสอบบัญชีกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269922 <p>&nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการ ลักษณะบริษัทและประเภทสำนักงานสอบบัญชีกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชี และ 2) ศึกษาอิทธิพลของประเภทสำนักงานสอบบัญชีต่อความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชี โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิใน ปี พ.ศ. 2561-2562 และวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่าการ<br>ควบรวมตำแหน่งของกรรมการบริษัท ผลการดำเนินงานและจำนวนบริษัทย่อยมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าการที่กรรมการบริษัทมีอำนาจในการบริหารงาน&nbsp; บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน&nbsp; รวมถึงการมีบริษัทย่อยจำนวนมากจะบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นหรือส่งผลให้ผู้ตรวจสอบบัญชีทำงานได้ยาก จึงใช้ระยะเวลาตรวจสอบนานขึ้น ในขณะที่ ประเภทสำนักงานสอบบัญชีมีความสัมพันธ์เชิงลบกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าสำนักงานสอบบัญชีขนาดใหญ่ให้บริการตรวจสอบบัญชีอย่างมืออาชีพ บุคลากรมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบ ดังนั้น จึงสามารถตรวจสอบงบการเงินได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การวิเคราะห์อิทธิพลของตัวแปรปรับพบว่าประเภทสำนักงานสอบบัญชีมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นอิสระของคณะกรรมการบริษัทกับระยะเวลาการออกรายงานของผู้สอบบัญชี</p> พิชญา อัฒจักร Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 49 65 คุณลักษณะที่เหมาะสมและแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ของแชมพูออร์แกนิคในจังหวัดอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269923 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์คุณลักษณะที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์แชมพูออร์แกนิคที่ผู้บริโภคพึงพอใจ และ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบของบรรจุภัณฑ์ของแชมพูออร์แกนิคให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ประชากรทั่วไปในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 400 คน และกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ผลิตแชมพูออร์แกนิค จำนวน 5 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกซื้อแชมพูออร์แกนิค มาจำแนกกลุ่มผู้บริโภคด้วยวิธีการวิเคราะห์กลุ่มข้อมูล ต่อจากนั้นจึงหาคุณลักษณะที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์แชมพูออร์แกนิคที่ผู้บริโภคพึงพอใจโดยใช้แนวคิดแบบจำลองคาโน พบว่า 1) กลุ่มผู้บริโภคแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มใส่ใจดูแลสุขภาพเส้นผม สาเหตุที่เลือกซื้อเนื่องจากมีส่วนผสมของสมุนไพรแท้ร้อยละ 100 มีคนแนะนำให้ใช้ และกลุ่มเชื่อโฆษณา รีวิวสินค้า สาเหตุที่ซื้อเนื่องจากมั่นใจในคุณภาพของสินค้าตามคำแนะนำ และคุณลักษณะที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์แชมพูออร์แกนิคที่ผู้บริโภคพึงพอใจ ได้แก่ 1.1) ฉลากระบุส่วนประกอบ 1.2) ข้อความบ่งบอกถึงคุณประโยชน์ต่อเส้นผม 1.3) ความเข้มข้นของสมุนไพรแท้ 1.4) ผลิตภัณฑ์มีความสวยงาม 1.5) กลิ่นหอม <br>สีธรรมชาติของสมุนไพร 1.6) มีข้อมูลที่อยู่ของแหล่งผลิต 1.7) ข้อมูลวันเดือนปีที่ผลิต วันเดือนปีที่หมดอายุ และ 2) การพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ของแชมพูออร์แกนิคให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ด้านการจัดเก็บ ด้านความสะดวกในการถือ ด้านความคงทน ด้านการเปิดและปิดใหม่ ด้านการกำจัด และด้านการใช้ซ้ำ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านการถ่ายเทสินค้า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p> อัญญาณี อดทน วลัยพร สุขปลั่ง Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 67 81 แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทย สายทองบ้านลาด ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269924 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด และ 3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ และ แบบสอบถาม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด มีดังนี้ ด้านการโฆษณากิจการมีช่องทางการโฆษณาน้อยและไม่หลากหลาย ด้านการส่งเสริมการขาย กิจการมีกลยุทธ์การส่งเสริมการขายน้อยและเฉพาะกลุ่มเกินไป ด้านการประชาสัมพันธ์กิจการมีกลยุทธ์การด้านการประชาสัมพันธ์น้อยและเฉพาะกลุ่มเกินไป ด้านการขายโดยบุคคลกิจการเน้นกลยุทธ์ ด้านการขายโดยบุคคลและด้านการตลาดทางตรง มีการสื่อสารการตลาดทางตรงกับลูกค้าน้อย 2) องค์ประกอบของกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดแบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.03, S.D. = .54) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการขายโดยบุคคล ด้านการโฆษณา และด้านการประชาสัมพันธ์ตามลำดับ และ 3) แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการของกลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด อันดับหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ คือด้านการขายโดยบุคคลเนื่องจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์งานแฮนเมดหรืองานในกลุ่มโอทอปนั้นควรเน้นไปที่การสื่อสารของบุคคลที่ต้องมีทักษะในการขายและการเล่าถึงเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดีเพื่อดึงดูดใจให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รองลงมาคือ ด้านการโฆษณา กลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาด ควรมีการโฆษณาที่หลากหลายเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และด้านการประชาสัมพันธ์กลุ่มกระเป๋าผ้าไทยสายทองบ้านลาดควรมีการประชาสัมพันธ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกิจการ</p> กฤษณา หอมเชย ภควรรษ วันริโก กิตติชัย เจริญชัย Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 83 96 ปัจจัยเชิงสาเหตุกลยุทธ์ทางการตลาดบริการ ประสบการณ์ และการตัดสินใจ ใช้บริการบริษัทขนส่งสินค้าชั้นนำในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269926 <p>ปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์ทางการตลาดบริการ ประสบการณ์ และการตัดสินใจใช้บริการบริษัทขนส่งสินค้าชั้นนำในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นกลยุทธ์ทางการตลาดบริการ ประสบการณ์ และการตัดสินใจใช้บริการ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ทางการตลาดบริการที่มีต่อประสบการณ์ และการตัดสินใจใช้บริการ เป็นการสำรวจข้อมูลจากผู้บริโภคที่มีประสบการณ์การใช้บริการบริษัทขนส่งมากกว่า <br>1 ครั้งจำนวน 260 คน โดยทำการสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยด้านกลยุทธ์การตลาดบริการ พบว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการบริษัทขนส่งจะให้ความสำคัญต่อช่องทางการจัดจำหน่ายมากที่สุด และประสบการณ์ที่เป็นสิ่งสำคัญคือประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความสบายใจและเชื่อมั่น และส่วนการตัดสินใจใช้บริการของผู้บริโภคตัดสินใจใช้บริการขนส่งบริษัทเพราะการให้บริการดีและมีมาตรฐาน และการศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของกลยุทธ์ตลาดบริการพบว่า กลยุทธ์การตลาดบริการมีความสัมพันธ์ต่อประสบการณ์ผู้บริโภค (B = .70*) ทางบวก และประสบการณ์ผู้บริโภค<br>มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจใช้บริการ (B = .41*) ทางบวก และกลยุทธ์ตลาดบริการมีความสัมพันธ์ทางอ้อม (สัมพันธ์ทางบวก) ต่อการตัดสินใจใช้บริการ (B = .50*) ผ่านประสบการณ์ ซึ่งผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ตลาดบริการให้เหมาะสมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้บริการบริษัทขนส่งโดยเน้นช่องทางที่ติดต่อได้สะดวกที่สุด</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> วรรณนัฎฐา ขนิษฐบุตร Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 97 112 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดของธุรกิจ เพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269928 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดของธุรกิจ เพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุของผู้สูงอายุในประเทศไทย&nbsp; ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงประจักษ์โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุระหว่าง 60-69 ปี จำนวน 460 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิเคราะห์โมเดลวัดค่าสัมประสิทธิ์ระหว่างตัวแปรแฝงมีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างตามสมมติฐาน พบว่า โมเดลจำลองสมการเชิงโครงสร้างมีความเหมาะสมกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 157.445 df = 166 p = .670 RMSEA = .000 <br>CFI = 1.000 CMIN/DF = .948) และมีความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ ได้แก่ 1) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นตลาด และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดของธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยสามารถอธิบายค่าสัมประสิทธิ์การทำนายของตัวแปรตาม R<sup>2</sup> เท่ากับ .523 หรือคิดเป็นร้อยละ 52.30 2) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นตลาด และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยโดยสามารถอธิบายค่าสัมประสิทธิ์การทำนายของ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ตัวแปรตาม R<sup>2</sup> เท่ากับ .309 หรือคิดเป็นร้อยละ 30.90 และ 3) การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยโดยสามารถอธิบาย<br>ค่าสัมประสิทธิ์การทำนายของตัวแปรตาม R<sup>2</sup> เท่ากับ .378 หรือคิดเป็นร้อยละ 37.80</p> มันทนา รังษีกุล ธนากร รัชตกุลพัฒน์ อนงค์ ไต่วัลย์ ศรีสุดา อินทมาศ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 113 133 ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบล ในเขตอำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269937 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบล ในเขตอำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 209 คน โดยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบล ในเขตอำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ มีตัวแปรต้น 9 ตัว ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ด้านความสำเร็จของงาน ด้านความก้าวหน้า ด้านความรับผิดชอบ ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านค่าจ้างและผลตอบแทน ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านความมั่นคงในงาน ด้านสถานะทางอาชีพ และด้านวิธีการปกครองบังคับบัญชา แสดงว่าตัวแปรอิสระทุกตัวสามารถพยากรณ์ตัวแปรตามได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 83</p> เจษฎา ภาดี อนันต์ สุนทราเมทากุล กิตติมา จึงสุวดี Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 135 151 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกิจคาเฟ่ ของผู้บริโภคในอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269939 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกิจคาเฟ่ของผู้บริโภคในเขตอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ที่เคยใช้บริการร้านคาเฟ่ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา โดยเก็บจากธุรกิจคาเฟ่ในเขตอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 36 ร้าน <br>เก็บแบบสอบถามร้านละ 12 คน และคัดแบบสอบถามที่สมบูรณ์ที่สุดจำนวน 400 ชุด เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกิจคาเฟ่ในเขตอำเภอเดชอุดม ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกระบวนการ ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านราคา และด้านผลิตภัณฑ์ ตัวแปรทั้ง 5 ด้านสามารถพยากรณ์ร่วมกันได้ คิดเป็นร้อยละ 64</p> ภานุภัท แข็งกลาง อนันต์ สุนทราเมธากุล กิตติมา จึงสุวดี Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 153 166 ผลกระทบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของ SMEs ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269940 <p>&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และผลการดำเนินงาน 2) เพื่อทดสอบผลกระทบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของ SMEs ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 ชุด จากผู้ประกอบการ SMEs ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการคำนึงถึงการเป็นปัจเจกบุคคล รองลงมาด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 2) ผลการดำเนินงานโดยรวมและรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ รองลงมา ลูกค้ามีความพึงพอใจเพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น มีการเพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าใหม่ <br>มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น และสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงาน และ 3) ผลการทดสอบผลกระทบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของ SMEs ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย พบว่า ด้านการคำนึงถึงการเป็นปัจเจกบุคคล ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ มีผลกระทบเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของ SMEs ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าสหสัมพันธ์พหุคูณกำลังสอง (R<sup>2</sup>) คิดเป็นร้อยละ 62.70 โดยเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้</p> <p><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/jmdubru/a-107.png" alt="" width="310" height="68"></p> พนิดา สัตโยภาส อาชวิน ใจแก้ว เพียงตะวัน พลอาจ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 167 183 พฤติกรรมการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269942 <p>&nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา 2) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา ประชากรเป็นผู้บริโภคมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งไม่ทราบจำนวนและสัดส่วนของประชากรที่แน่นอน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ราย โดยใช้สูตรของ Cochran ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 โดยสุ่มตัวอย่างตามสะดวก ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 25-35 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-15,000 บาท จำนวนสมาชิกที่อยู่ร่วมกันในปัจจุบัน 2-4 คน 2) พฤติกรรมการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อบริโภคเอง มะม่วงดิบที่นิยมบริโภค ได้แก่ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงสุกที่นิยมบริโภค ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงที่นิยมบริโภค ได้แก่ มะม่วงกวน นิยมซื้อในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (มีนาคม-พฤษภาคม) ซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ปริมาณในการซื้อมะม่วง 2-3 กิโลกรัมต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายในการซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงเฉลี่ย 101-150 บาทต่อครั้ง เลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในตลาดผลไม้ คาดว่าในอนาคตจะซื้อมะม่วงสุก 1-2 กิโลกรัมต่อครั้ง ซื้อมะม่วงดิบ 1-2 กิโลกรัมต่อครั้ง 3) ระดับการตัดสินใจเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 4) พฤติกรรมการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ .255 โดยมีค่าประสิทธิภาพในการพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) ในภาพรวมเท่ากับ .065 ตัวแปร 5 ตัว สามารถทำนายการเลือกซื้อมะม่วงและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงในจังหวัดฉะเชิงเทราได้ร้อยละ 65</p> สินีนาถ เริ่มลาวรรณ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 185 198 โมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลการรับรู้คุณค่า ความคุ้นเคย และความเชื่อมั่น ที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269943 <p>การวิจัยเรื่องโมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลการรับรู้คุณค่า ความคุ้นเคย และความเชื่อมั่น ที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลการรับรู้คุณค่า ความคุ้นเคย และความเชื่อมั่น ที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล 2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลการรับรู้คุณค่า ความคุ้นเคย และความเชื่อมั่น ที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากร ผู้บริโภคที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี <br>จำนวน 255 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามแบบปลายปิด แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มาวิเคราะห์ Preliminary Data Analysis และ Confirmatory Factor Analysis: CFA) ผลการวิจัย พบว่า โมเดลเชิงสาเหตุอิทธิพลการรับรู้คุณค่า ความคุ้นเคย และความเชื่อมั่น ที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล ประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การรับรู้คุณค่า 2) ความคุ้นเคย และ3) ความเชื่อมั่น ซึ่งปัจจัยแต่ละตัวส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูล ผลการวิเคราะห์โมเดลเชิงสาเหตุ พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี โดยมีสถิติไคสแควร์เท่ากับ 1640.827 องศาอิสระ (df) เท่ากับ 519 CMIN/Df = 3.164 GFI = .738, CFI = .821, NFI = .773 และ RMSEA = .074 ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการสมุนไพรใช้ข้อมูลจากการวิจัยเป็นแนวทางในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูลให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าให้มากขึ้น ตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาแนวทางการสื่อสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรแคปซูลไปยังกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้น</p> ธิติยา ทองเกิน นันทภัค ธนาอภินนท์ แวววันา ชมพูนุท ณ อยุธยา Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 199 214 แรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269944 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด และเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และเงินเดือน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด จำนวน 172 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ค่าสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br>การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ด้วย t-test, F-test.</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยแรงจูงใจ ด้านความก้าวหน้า ด้านความสำเร็จในงาน ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และด้านความมั่นคงในงาน มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานสัมพันธ์กับตัวแปรตามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในด้านความสำเร็จในงาน และด้านความมั่นคงในงาน ในขณะที่ เพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และเงินเดือน ไม่แตกต่างกัน</p> มลิวรรณ ชาจันโท กิตติมา จึงสุวดี นลินี ทองประเสริฐ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 215 230 แรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269945 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับแรงจูงใจและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2) ศึกษาแรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3) ศึกษาเปรียบเทียบแรงจูงใจที่มีต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา ค่าตอบแทน และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 161 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยประชากร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ การทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับแรงจูงใจและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวขึ้นอยู่กับปัจจัย 5 ด้าน โดยด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ด้านสถานะของอาชีพ และด้านสภาพการทำงาน และด้านค่าตอบแทนที่ได้รับมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ 3) ผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่าเพศที่แตกต่างกัน มีแรงจูงใจต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาพรวมและด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ด้านสถานะของอาชีพ และด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สถานภาพสมรสที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านสภาพการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าตอบแทนที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านสภาพการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อายุที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจในประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านสถานะของอาชีพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานภาพรวมและด้านค่าตอบแทนที่ได้รับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านสภาพการทำงาน ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ระยะเวลาการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาพรวม ด้านสภาพการทำงาน และด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ผ่องมณี พิทักสันติ รัตนภรณ์ แซ่ลี้ พิมุกต์ สมชอบ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 231 250 อิทธิพลของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของนักบัญชี การแบ่งปันความรู้ของนักบัญชี และความชำนาญในวิชาชีพบัญชีของนักบัญชีที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการทำงานของนักบัญชี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269946 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุอิทธิพลของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของนักบัญชี การแบ่งปันความรู้ของนักบัญชี และความชำนาญในวิชาชีพบัญชีของนักบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของนักบัญชี เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับสถิติอนุมานใช้วิเคราะห์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้จัดการสำนักงานบัญชี จำนวน 198 คน</p> <p>โมเดลอิทธิพลของพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของนักบัญชี การแบ่งปันความรู้ของนักบัญชี และความชำนาญในวิชาชีพบัญชีของนักบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของนักบัญชี มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าสถิติ Chi-square = 50.132, df = 63, CMIN/df = .796, p - value = .880, GFI = .966, AGFI = .944, CFI = 1.000&nbsp; RMSEA = .000 และ RMR = .007 มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางของตัวแปร = 1.005 สามารถทำนายได้ร้อยละ 98.70 อย่างมีนัยสำคัญที่ .01 ผลการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพการทำงานของนักบัญชี และสร้างความเชื่อมั่นจากผู้รับบริการ</p> จตุรภัทร วงศ์สิริสถาพร สรัชนุช บุญวุฒิ ฐิฏิกานต์ สุริยะสาร สนธิญา สุวรรณราช สุธีรา ทิพย์วิวัฒน์พจนา ปริยนุช ปัญญา สุพรรณี คำวาสุ ทรงเดช ไชยชนะ ทิพยาภรณ์ ปัดถา Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 215 267 องค์ประกอบเชิงสำรวจและตัวบ่งชี้พฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ของผู้บริโภคในจังหวัดสมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269947 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบเชิงสำรวจและตัวบ่งชี้พฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ของผู้บริโภคในจังหวัดสมุทรปราการ ศึกษาจากผู้บริโภคที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและอาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ทั้งที่มีรายชื่อและไม่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดสมุทรปราการ เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ตามเงื่อนไขของการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor analysis) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิค Exploratory Factor Analysis เลือกวิธีสกัดปัจจัยแบบ Principle Component Analysis (PCA) และหมุนแกนแบบตั้งฉากด้วยวิธี Orthogonal Rotation แบบ Varimax ผลการวิจัยพบว่าองค์ประกอบเชิงสำรวจและตัวบ่งชี้พฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม <br>มี 6 องค์ประกอบ 35 ตัวบ่งชี้ คือ องค์ประกอบที่ 1 ผู้มีความละเอียดรอบคอบ มีจำนวน 11 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 2 ผู้ที่ต้องการความมั่นใจ ภักดีต่อตราสินค้า มีจำนวน 7 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 3 ผู้คำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่า มีจำนวน 6 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 4 ผู้ที่ชอบความสะดวก มีจำนวน 4 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 5 ผู้ที่เอาใจใส่ตัวเองและสังคม มีจำนวน 4 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 6 ผู้ที่ชอบทดลองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีจำนวน 3 ตัวบ่งชี้ จากผลการวิจัยนี้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเลือกตลาดเป้าหมายและนำเสนอกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม</p> บุศชา จำปาไชยศรี ภัทรา สุขะสุคนธ์ Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 269 285 ESG เครื่องมือที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวและยั่งยืนให้กับธุรกิจ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMDUBRU/article/view/269948 <p>จากวิกฤตที่โลกต้องเผชิญในปัจจุบันการอุปโภคบริโภคอย่างสิ้นเปลืองของมนุษย์ส่งผลให้ทรัพยากรทั่วโลกเข้าสู่สภาวะขาดแคลน ประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการเสียสมดุลทางชีวภาพ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ขยายวงกว้างมากขึ้น รวมถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากรายงานความเสี่ยงประจำปี ค.ศ. 2021 จัดทำโดย World Economic Forum (WEF) เผยให้เห็นว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า โลกของเรามีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง ความล้มเหลวของการจัดการด้านสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางโลกไซเบอร์ ซึ่งล้วนส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่กระทบกับภาคประชาชนเท่านั้น ยังส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจอีกด้วย เมื่อการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมที่มุ่งเน้นเฉพาะผลกำไรและการลดต้นทุน อาจไม่ตอบโจทย์กับบริบทของโลกยุคปัจจุบันและอนาคตได้อีกต่อไป จึงจำเป็นจะต้องหาทางรอดและปรับตัวเพื่อให้สามารถเติบโตไปได้อย่างเกื้อกูลแก่ทุกฝ่ายและสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน เป็นที่มาของกรอบแนวคิดที่ใช้ขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งได้เริ่มมีบทบาทและได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 มิติที่สำคัญ ได้แก่ 1) มิติสิ่งแวดล้อม <br>2) มิติสังคม และ 3) มิติธรรมาภิบาล หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ESG (Environmental, Social, Governance) วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความวิชาการครั้งนี้เพื่อให้องค์กรธุรกิจ นักลงทุน ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปถึงภาคประชาชน ให้ร่วมมือกันยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ นำแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) รวมถึงการนำนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องไปปรับใช้ เพื่อช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ</p> ศักดิ์ชายวัฒนา สุทนต์ ฟ้าใส สามารถ ฐิติมา โห้ลำยอง Copyright (c) 2023 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 10 2 287 299