https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/issue/feed
มจร การพัฒนาสังคม
2025-03-14T13:50:50+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง
maxkiattipong@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสาร มจร การพัฒนาสังคม </strong><strong>ISSN (Print): 2539-5718, ISSN (Online): 2651-1215 </strong></p> <p>มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ หรือบทความปริทัศน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย โดยเน้นสาขาวิชาการพัฒนาสังคม สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชม เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร</strong></p> <p> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับสาขาวิชาการพัฒนาสังคม สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชม เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ </p> <p> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p> 3) บทความปริทัศน์ (Review Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong></p> <p> วารสาร มจร การพัฒนาสังคม มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม </p> <p><strong>การตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p><strong>วารสาร มจร การพัฒนาสังคม </strong>มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความแบ่งออกเป็น<strong> บทความวิชาการ จำนวน 4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน) และบทความวิจัย จำนวน 4,500 บาท (สี่พันพันห้าร้อยบาทถ้วน) ต่อ 1 บทความ </strong>โดยผู้เขียนบทความจะตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามข้อแนะนำสำหรับผู้แต่ง ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม ข้อตกลงของวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์และไม่คืนเงินในกรณีใดๆทั้งสิ้น</p> <div class="journal-description"> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></p> <p> วารสารมีกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้บทความจากผู้นิพนธ์ภายในหน่วยงานหรือสถาบันของวารสารฯ จะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานหรือสถาบันของวารสารฯ ส่วนบทความจากผู้นิพนธ์ภายนอกหน่วยงานหรือสถาบันของวารสารฯ จะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในหรือภายนอกหน่วยงานหรือสถาบันของวารสารฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในสาขานั้นๆ และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์</p> </div> <section class="cmp_announcements media"><header class="page-header"></header></section> <p>ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นๆ มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282302
การเปลี่ยนแปลงทางสถานะทางศีลธรรมเพศสภาพกับมุมมองพระพุทธศาสนาเถรวาท
2025-03-03T00:42:37+07:00
พระปลัดธนเดช สมจิตฺโต สมบัติมา
makamon62@gmail.com
พระมหามนกมล กิตฺติญาโณ (ดีมีหาญ)
makamon62@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสารโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาขอบเขตและความหมายของเพศสภาพ 2) ศึกษามุมมองพุทธศาสนาเถรวาทกับรสนิยมทางเพศ และ 3) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางเพศสภาพในมุมมองทางพระพุทธศาสนาเถรวาท จากการศึกษาพบว่า 1) เพศ ความหมายทั่วไปของเพศคือ ลักษณะต่าง ๆ ที่บ่งบอกความเป็นชาย (masculinity) และความเป็นหญิง (femininity) แบ่งได้เป็น เพศสรีระ (Sex) เพศภาวะหรือเพศสภาพ (Gender) และ เพศวิถี (Sexuality) 2) พุทธศาสนาเถรวาทกับรสนิยมทางเพศ สามารถอธิบายได้คือประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่มีประชากรชาวพุทธเถรวาทเป็นจำนวนมากตามพุทธประวัติเกี่ยวกับเรื่องเพศ การกระทำและกิเลสทางเพศ เป็นเหตุโดยไม่สมัครใจและไม่ให้เกิดผลกรรมในอนาคตเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมในอดีตและกะเทยถูกห้ามมิให้ออกบวชจนเท่าปัจจุบัน 3) การเปลี่ยนแปลงทางเพศสภาพในมุมมองทางพระพุทธศาสนาเถรวาท สามารถอธิบายได้ว่าการผิดเพศเป็นอกุศลกรรมไว้ ในพระไตรปิฎกแสดงว่าคือการคบชู้ภรรยาผู้อื่นหรือผิดศีลข้อ 3 เพราะผลของกรรมนั้นทำให้ตกนรก และเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เศษของกรรมนั้นก็ทำให้เกิดเป็นกะเทยสัตว์ที่ไม่มีเพศได้รวมทั้งทำให้เกิดเป็นหญิงด้วย ดังนั้นทุกอย่างจึงมีเหตุการณ์เป็นกะเทยจึงเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำมา อีกทั้งการเกิดเป็นเกย์ เป็นกะเทย เป็นทอมนั้นก็เป็นผลจากวิบากกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนด้วยเช่นกัน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282228
การพัฒนาระบบนิเวศ และเครือข่ายการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนวิถีพุทธ
2025-03-01T11:19:13+07:00
ดาวเหนือ บุตรสีทา
goddaonue@gmail.com
พระมหาชาติชาย พุ่มจันทร์
goddaonue@gmail.com
ผดุง วรรณทอง
goddaonue@gmail.com
<p>งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาระบบนิเวศและเครือข่ายการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนวิถีพุทธ” เป็นการวิจัยภายใต้แผนงานวิจัย ยุทธศาสตร์การพัฒนาเครือข่ายการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนวิถีพุทธ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการจัดการสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่วิจัย พัฒนาเครือข่ายและออกแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนยั่งยืนวิถีพุทธ สร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พื้นชุมชนบ้านในแคว ตำบลท่ากว้าง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่วิจัยในครั้งนี้</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนบ้านในแคว ตำบลท่ากว้าง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนขยะมูลฝอยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเพิ่มขึ้นของประชาชนในพื้นที่อย่างรวดเร็ว มีการคัดแยกขยะน้อย ขาดความรู้ในการจัดการขยะอย่างถูกต้อง ขาดการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบต่อสังคมของประชาชน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ สภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน</p> <p> เครือข่ายการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนวิถีพุทธ เกิดจากการรวบตัวของบุคคล ชุมชน องค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ตระหนักถึงประเด็นปัญหาร่วมกัน เพื่อเกิดการแลกเป็นเรียนรู้ร่วมกัน ออกแบบกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ มุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในชุมชนให้เกิดความตระหนักรู้ถึงผลการที่เกิดจากขยะ รู้จักการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี โดยอาศัยพื้นฐานทางความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ของคนหรือสมาชิกในชุมชนเป็นฐาน จึงเกิดเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมขึ้น จุดประเด็นความคิด ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเอาวัด หรือสถาบันทางศาสนา มาเป็นตัวเชื่อมให้กิจกรรมการทำงานเชิงเครือข่าย เกิดเป็นกิจกรรมโครงการ “ขยะสร้างบุญ” เป็นรวบรวมขยะที่คัดแยกแล้วจากสมาชิกในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ หรือนำมาบริจาคทำบุญ จัดตั้งเป็นธนาคารขยะของชุมชน จากนั้น “แปลงบุญเป็นทุน” นำขยะที่รวบรวมได้ไปขาย แล้วนำเงินที่ได้จากการขายขยะมาเป็นทุนในการสร้างสาธารณะประโชน์ จัดสวัสดิการในรูปแบบของสาธารณะสงเคราะห์ สำหรับสมาชิกในชุมชน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความตระหนักรู้ ปลูกจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมชุมชน เกิดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และรู้จักการคัดแยกและจัดการขยะต้นทางอย่างถูกต้อง นำไปสู่การจัดการขยะที่เหมาะสม ลดปัญหามลพิษที่เกิดจากการสะสมของขยะภายในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณให้กับภาครัฐในการจัดการขยะ</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267936
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 รายวิชาพระพุทธศาสนา ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในอำเภอเมืองสุรินทร์
2023-09-25T19:29:42+07:00
พระมหาอภิชาติ อภิญฺญชาโต
apinet1996@gmail.com
พระครูสาธุกิจโกศล
SathukitKosol1122@gmail.com
พระครูวิริยปัญญาภิวัฒน์
Wiriyapanyapiwat2561@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในอำเภอเมืองสุรินทร์ มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนและหลังเรียน ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในอำเภอเมืองสุรินทร์ 3) เพื่อเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในอำเภอเมืองสุรินทร์ <br />ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบาลีสาธิตวัดศาลาลอยสุรินทร์ จำนวนทั้งหมด 25 รูป ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดการคิดแก้ปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และทดสอบสมมติฐานของการวิจัยโดยใช้ค่า t-test แบบ Dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. การจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบาลีสาธิตวัดศาลาลอยสุรินทร์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( ) =58 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <strong>(</strong><strong>S.D.)</strong> = 0.42 มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ขั้นระบุปัญหา หรือทุกข์ 2) ขั้นหาสาเหตุของปัญหา หรือสมุทัย 3) ขั้นหาวิธีแก้ปัญหา หรือนิโรธ 4) ขั้นวิเคราะห์และสรุปผล หรือมรรค</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบาลีสาธิตวัดศาลาลอยสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>การคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบาลีสาธิต วัดศาลาลอยสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ หลังจากการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 วงจรปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนผลการคิกแก้ปัญหา ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 จำนวน 3 รูป และไม่ผ่านตามเกณฑ์ร้อยละ 80 จำนวน 22 รูป และวงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนมีคะแนนผลการคิดแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ทุกรูป และระดับการคิดแก้ปัญหาอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย ( ) =18.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <strong>(</strong><strong>S.D.)</strong> = 0.93</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267855
ภูมิปัญญาหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์
2023-09-22T09:53:28+07:00
พระมหาเอกพันธ์ มะเดื่อ
maduea.3511@gmail.com
ถนัด ยันต์ทอง
Jawjumpa@hotmail.com
ในตะวัน กำหอม
ntawan@hotmail.com
<p> การวิจัยเรื่อง ภูมิปัญญาหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประวัติความเป็นมา ขั้นตอนการปฏิบัติ และองค์ประกอบวิถีชีวิตของชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ 2) ภูมิปัญญาด้านงานหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการความรู้ภูมิปัญญาหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ ประกอบการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ การศึกษาภาคสนาม วิธีการสังเกต สัมภาษณ์และปฏิบัติสถานการณ์จริง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 25 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> วิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ มีประวัติความเป็นมา ขั้นตอนและองค์ประกอบที่ปรากฏ 4 ช่วงชีวิต คือ 1) ช่วงการเกิด 2) ช่วงการแก่ 3) ช่วงการเจ็บ และ 4) ช่วงการตาย ที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละช่วงชีวิต</p> <p> ภูมิปัญญาหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ ปรากฏงานหัตถศิลป์ 4 ประเพณี ดังนี้ 1) ประเพณีบูชาจวมกรูกำเนิด 2) ประเพณีโกนจุก 3) ประเพณีบวชนาคและ 4) ประเพณีการทำบุญศพ และ 3 พิธีกรรม ประกอบด้วย 1) พิธีทำบุญต่ออายุ2) พิธีสะเดาะเคราะห์ และ 3) พิธีมะม็วต</p> <p> แนวทางการในการจัดการความรู้ ได้คู่มือภูมิปัญญาหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ปรากฏในวิถีชีวิตชาวเขมรถิ่นไทยจังหวัดสุรินทร์ ประกอบการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271378
การวิเคราะห์สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา
2024-02-19T20:39:09+07:00
พระครูสังฆรักษ์วิจิตร สุนทราวัตร
wichit.soon@mcu.ac.th
พระมหาปิยะบุตร ปญฺญาวฑฺฒโน
wichit.soon@mcu.ac.th
พระครูโอภาสปัญญาวรคุณ
wichit.soon@mcu.ac.th
พระมหาสหาย กนฺตธมฺโม
wichit.soon@mcu.ac.th
สมภพ สายหยุด
wichit.soon@mcu.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่ปรากฏในปฏิญญาสากล 2) เพื่อศึกษาสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา และ 3) เพื่อวิเคราะห์หลักการและวิธีการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร โดย (1) การวิเคราะห์เชิงพรรณนา (2) การตีความหมาย) และ (3) การสังเคราะห์ การวิเคราะห์สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา มุ่งศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ปรากฏในปฏิญญาสากล อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รัฐธรรมนูญของไทย คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่ปรากฏในปฏิญญาสากลและส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับปฏิญญาสากลนั้น มนุษย์ย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน และมีสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองทั้งระดับบุคคลและระดับสังคม รัฐมีหน้าที่ในการให้สิทธิพลเมืองคุ้มครองและปกป้องประโยชน์ของประชาชนหรือชุมชน</p> <p> สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตามแนวพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยศีลธรรมเป็นความประพฤติที่ดีที่ชอบ สันติภาพเป็นความสงบสุข และความเสมอภาคเป็นการมีความเท่าเทียมกันในสังคม หลักการและวิธีการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่เหมาะสมในการนํามาประยุกต์ใช้ในสังคมไทย ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจพื้นฐานของบุคคลนั้นตามหลักกาลามสูตร เป็นหลักการในการตัดสินใจทางพระพุทธศาสนา และแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่า กรรม 3 คือ ด้านกายกรรม ด้านวจีกรรม และด้านมโนกรรม โดยต้องมีหลักการอันเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ทีเรียกว่า หลักการ 3 อันประกอบด้วย (1) การไม่ทำบาป ทั้งปวง (ศีล) (2) การทำกุศลให้ถึงพร้อม (สมาธิ) และ (3) การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (ปัญญา)</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271698
รูปแบบการจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก
2024-03-01T14:52:47+07:00
จตุพล พรหมมี
jatupon.phr@mcu.ac.th
พระครูปริยัติวรรณาภรณ์
jatupon.phr@mcu.ac.th
พระมหาขุนทอง อคฺควโร
jatupon.phr@mcu.ac.th
พระพรหมพิริยะ ถาวโร
jatupon.phr@mcu.ac.th
พรภิรมย์ ยอดบุญ
jatupon.phr@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่องรูปแบบการจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาองค์ความรู้ พัฒนา และขับเคลื่อนรูปแบบการจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก ส่งเสริมผู้สูงอายุให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสามารถในด้านการมีส่วนร่วมในสังคม โดยใช้เทคนิคแบบผสมผสานเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพแบบผสานวิธี ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยพรรณนาความ ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนิน การเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 353 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย 1. ศึกษาองค์ความรู้การจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong></p> <ol> <li class="show">ศึกษาองค์ความรู้การจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง</li> <li class="show">การพัฒนารูปแบบการจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก ด้านการเจรจาต่อรองและการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน ด้านการให้คำแนะนำปรึกษา ด้านการจัดตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกัน ด้านการจัดทำพันธะสัญญา ด้านการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ร่วมกัน</li> </ol> <p><strong> 3. การขับเคลื่อนรูปแบบการจัดการหุ้นส่วนทางสังคมของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก ด้านการเจรจาต่อรองและการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน ประเด็นที่ 1 การขับเคลื่อนกิจกรรมผู้สูงอายุ ประเด็นที่ 2 การขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ “สานใยรักสามวัย” ประเด็นที่ 3 การขับเคลื่อนขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นต้น ด้านการให้คำแนะนำปรึกษา กิจกรรมตัวอย่าง การจัดกิจกรรม</strong></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272276
การสืบทอดลวดลายหัวสิงโตฝั่งธนบุรีและพัฒนาเครื่องแต่งกาย ประกอบการเชิดสิงโตในยุคโควิด- 19
2024-03-15T20:10:16+07:00
รณกฤต เพชรเกลี้ยง
s58563806016@ssru.ac.th
อิสรีย์ภัค หงส์นิมิตชัย
itsariphak.ho@bsru.ac.th
ปัทมา วัฒนพานิช
pattama.wa@bsru.ac.th
<p>บทความวิจัย เรื่อง การสืบทอดลวดลายหัวสิงโตฝั่งธนบุรีและพัฒนาเครื่องแต่งกายประกอบการเชิดสิงโตในยุคโควิด- 19</p> <p>มีวัตถุประสงค์ 1) การสืบทอดลวดลายหัวสิงโตฝั่งธนบุรี 2) เครื่องแต่งกายประกอบการเชิดสิงโตฝั่งธนบุรีในยุคโควิด-19 ได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทบทวนวรรณกรรมแนวคิด และเก็บรวบรวมข้อมูลสังเคราะห์วิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การสืบทอดลวดลายหัวสิงโตฝั่งธนบุรีของชุมชนตลาดพลู เขตธนบุรี โดยจะปรากฎการแสดงสิงโตตามหลักฐานในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยมีชาวจีนย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนักทำการค้าขายและ ได้นำเอาศิลปะการแสดงสิงโตติดตัวมาด้วย นับแต่นั้นมาการแสดงสิงโตจึงได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีอาจารย์วิชัย รอดเกิด ปราชญ์ท้องถิ่นด้านงานหัตถศิลป์ ประณีตศิลป์ ผู้สืบทอดลวดลายหัวสิงโตฝั่งธนบุรีในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบหัวสิงโตจักรพรรดิ จะมีลักษณะพิเศษคือ บริเวณอวัยวะบนใบหน้าสิงโตจะมีสัตว์มงคลของจีนปรากฎและ การสืบทอดหัวสิงโตกวนอูจะเป็นหัวสิงโตแบบโบราณอีกรูปแบบหนึ่ง โดยหัวสิงโตกวนอู จะมีลักษณะพิเศษคือ จะมีรูปเทพเจ้าปรากฏอยู่ คือ หรืออาจจะนำเอาสีของตัวละครจากตำนานสามก๊ก มาสร้างสรรค์ลวดลาย 2. การพัฒนาเครื่องแต่งกายประกอบการเชิดสิงโตของคณะสิงโตฝั่งธนบุรี ที่ใช้เป็นต้นแบบในการแสดงสิงโตในยุคโควิด-19 การวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง ของ "Golden Mean" แนวความคิดในการออกแบบแต่งกายแต่งกายประกอบการเชิดสิงโตของคณะสิงโตฝั่งธนบุรี ที่มุ่งเน้นความสะดวกสบายในการประกอบการแสดงที่เน้นความคล่องตัว ไม่เป็นอุปสรรคในการแสดง มีความทันสมัย การออกแบบตามแนวคิดและทฤษฎี มีความโดดเด่นสะดุดตาอยู่ในเกณฑ์ มีขนาดเหมาะสมอยู่ในเกณฑ์ดีเหมาะสมกับการประกอบการแสดงอย่างเห็นได้ชัดเจน สามารถใช้เป็นต้นแบบในการแสดงสิงโตในยุคโควิด-๑๙ ให้แก่คณะสิงโตในฝั่งธนบุรีได้</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282278
สมาร์ทฟาร์ม: เทคนิคและรูปแบบการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธจังหวัดเชียงราย
2025-03-02T17:11:55+07:00
พระรัตนมุนี
Kuanchanok.lao@mcu.ac.th
ขวัญชนก เหล่าสุนทร
Kuanchanok.lao@mcu.ac.th
เชษฐกานต์ เหล่าสุนทร
Kuanchanok.lao@mcu.ac.th
<p> การศึกษาเรื่อง Smart Farm: เทคนิคและรูปแบบการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาเทคนิคการจัดการเกษตรวิถีพุทธ ในจังหวัดเชียงราย พัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธ ในจังหวัดเชียงราย และสร้างรูปแบบการพัฒนาเทคนิคและเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธ ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ โรงเรียนชาวนา ไร่เชิญตะวัน แมคนีน่าฟาร์ม เพื่อพัฒนาเทคนิค จำนวน 5 รูป/คน เกษตรกรเครือข่ายเกษตรกรในจังหวัดเชียงราย จำนวน 20 คน และหน่วยงานภาคธุรกิจหรือภาครัฐ จำนวน 10 คน คือ แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson's Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์เส้นทาง (Path analysis) โดยใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ทางสถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</p> <p> เทคนิคและรูปแบบการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธจังหวัดเชียงราย เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวม พบว่า ปัจจัยด้านความมีชื่อเสียงของเจ้าสำนัก(CEL) มีอิทธิพลทางตรงต่อเครือข่ายเกษตรอินทรียวิถีพุทธมากที่สุด โดยมีค่าอิทธิพลทางตรง เท่ากับ 0.356 ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อเครือข่ายเกษตรอินทรียวิถีพุทธ มากที่สุด คือ ด้านภูมิปัญญา(LOC) โดยมีค่าผลรวมอิทธิพล เท่ากับ 0.333 และ ตัวแปรที่มีอิทธิพลรวมทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเครือข่ายเกษตรอินทรียวิถีพุทธ มากที่สุด คือ ด้านศาสนา(BUD) โดย มีค่าผลรวมอิทธิพล เท่ากับ 0.593</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282280
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง
2025-03-02T17:50:32+07:00
พระอุดมบัณฑิต
Somsak.see@mcu.ac.th
ขวัญชนก เหล่าสุนทร
Somsak.see@mcu.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และรูปแบบการจัดการศึกษาของเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ 2) พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มดังกล่าว และ 3) นำเสนอรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในพื้นที่</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p> เยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงในพื้นที่ศึกษาประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในหลายมิติ อาทิ การขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ปัญหาด้านค่าใช้จ่ายและความยากจน อุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม และการขาดแคลนครูและทรัพยากรทางการศึกษา ผู้วิจัยเสนอ "UDOM-Model" เป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่สูง โดยมุ่งเน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชน การพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยอาศัยการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น องค์กรพัฒนา และชุมชน</p> <p> โมเดลดังกล่าวมุ่งหวังที่จะลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่สูง อันจะนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนในระยะยาว</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/276223
การศึกษาสมรรถนะการแนะแนวของครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร
2024-07-27T18:39:16+07:00
ณัฐปุรเชษฐ์ สุขสมบัติวัฒนา
tom77725@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะการแนะแนวของครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับสมรรถนะครูแนะแนวในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อเสนอแนะเชิงนโยบายการแนะแนวในในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร โดยระเบียบวิจัย แบบผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร จำนวน 92 รูป/คน ได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์สถิติในการใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะงานแนะแนวของครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด (x̅= 4.09 , S.D. = 0.77) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า สมรรถนะด้านทักษะ (x̅ = 4.14, S.D. = 0.791) รองลงมา ได้แก่ ด้านคุณลักษณะ (x̅ = 4.10, S.D. = 0.778) และด้านความรู้ (x̅ = 4.04, S.D. = 0.7345) ตามลำดับ 2. ครูที่มีเพศ จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน พบว่าโดยรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานครควรส่งเสริมสมรรถนะให้ครูมีความรู้เกี่ยวกับบริการจัดวางตัวบุคคล มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและพฤติกรรมด้านสติปัญญา มีทักษะการนำข้อมูลที่ได้รับจากการใช้เครื่องมือมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดระบบเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทักษะในบทบาทของผู้ให้คำปรึกษา มีความสุขุม รอบคอบและ พัฒนาความ เข้มแข็ง ครูแนะแนวในสถานศึกษา เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงาน ออกแบบการประเมิน กำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานของครูแนะแนว</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282284
รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว
2025-03-02T19:03:08+07:00
ณัฐต์ธนภณ ใหญ่นิธิศคุณ
krooyai1@hotmail.com
<p> การวิจัย เรื่อง “รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพคุณภาพชีวิตของนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว สำรวจและวิเคราะห์ความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสะแก้ว และพัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว ใช้เทคนิควิธีการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณในรูปแบบสำรวจ ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ และระยะที่ 3 การวิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า </strong></p> <p> คุณภาพชีวิตของนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว อยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะด้านจิตใจ ผู้สูงอายุมีความต้องการหลากหลาย ทั้งสุขภาพกาย จิตใจ เศรษฐกิจและสังคม โรงเรียนผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการ โดยเปิดโอกาสให้เรียนรู้หลักสูตรต่างๆ ทั้งด้านเกษตร การใช้สมาร์ทโฟน ทักษะการสื่อสาร ส่งเสริมพฤติกรรมด้านสุขภาพ สร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พัฒนาจิตใจและการจัดการความเครียด เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรอบด้าน</p> <p> การบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุในจังหวัดสระแก้ว มีแนวทางการพัฒนาตามหลักภาวนา 4 ประการ ได้แก่ กายภาวนา (ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย) จิตภาวนา (ส่งเสริมสุขภาพจิตใจ) ศีลภาวนา (ปฏิบัติตนตามศีลธรรม) และปัญญาภาวนา (พัฒนาปัญญาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง) ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/278849
นวัตกรรมการจัดการป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย
2024-11-02T09:57:52+07:00
พระปิยะ ปริชาโน (ทิพวารี)
narongchailopburi@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพพื้นที่ป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย 2) เพื่อศึกษากระบวนการนวัตกรรการจัดการป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน 3) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวและเครือข่ายในการจัดการป่าชุมชนภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน 4) เพื่อนำเสนอรูปแบบของการจัดการป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยแบบการสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ กลุ่มผู้นำชุมชนและกลุ่มประชากรในพื้นที่ชุมชน จำนวน 20 รูป/คน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง/ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน ๗ รูป/คน และการสนทนากลุ่ม โดยมีผู้ร่วมสนทนากลุ่มทั้งหมด จำนวน 5 รูป/คน ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis) ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) สรุปตามผลแบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">สภาพพื้นที่ป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มี สภาพพื้นที่ป่าเป็นป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าฝนในเขตร้อนมีฝนตกชุกเกือบตลอดปีและมีความชุ่มชื้นในดินค่อนข้างสูงสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ลักษณะเป็นป่ารกทึบจะประกอบด้วยพรรณไม้หลากหลาย มีสัตว์หลายชนิด พื้นที่ป่ามีความสำคัญต่อชุมชนเป็นอย่างมากสำหรับการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน เป็นทั้งแหล่งน้ำในการทำเกษตร ทั้งในด้านการอุปโภคและบริโภค</li> <li class="show">กระบวนการนวัตกรรการจัดการป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 1. เกิดแนวคิดริเริ่ม 2. การจัดการองค์กรป่าชุมชน 3. ความเข้มแข็งของชุมชน 4. การดำเนินกิจกรรมป่าชุมชน 5. การเข้าไปต่อยอดขององค์กรภายนอกชุมชน จนเกิดเป็นนวัตกรรม 4 ด้าน 1. ด้านการดูแลรักษาป่า 2. ด้านการบำรุงและฟื้นฟูป่า 3. ด้านการศึกษาการถ่ายทอดองค์ความรู้ 5. ด้านการกำหนดกฎระเบียบป่าชุมชน</li> <li class="show">การมีส่วนร่วมของชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวและเครือข่ายในการจัดการป่าชุมชนภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยอย่างยั่งยืน มีดังนี้ การมีส่วนร่วมในการจัดการป่าของชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียวภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ประกอบด้วย 4 ด้าน 1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 2. การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และบำรุงรักษา <br>3. การมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล ส่วนเครือข่ายในการจัดการป่าชุมชนรางวัลลูกโลกสีเขียว ประกอบด้วย 2 ประเภท 1. เครือข่ายที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แบ่งออก 2 ประเภท เครือข่ายภายในชุมชน และเครือข่ายภายนอกชุมชน ประกอบด้วย 1. เครือข่ายภายในชุมชน เป็นการเชื่อมโยงของกลุ่มต่าง ๆ ภายในชุมชนที่เกิดขึ้นจากความสมัครใจเข้าไปจัดกับทรัพยากรธรรมชาติภายในชุมชน <br>2. เครือข่ายภายนอกชุมชน เป็นองค์กรภายนอกเข้ามาให้ความสนใจในกิจกรรมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ 2. เครือข่ายป่าชุมชนที่เกิดขึ้นโดยการจัดตั้ง คือ เป็นเครือข่ายที่หน่วยงานรัฐเข้าไปกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดการประสานความร่วมมือมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้และผลักดันให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่ม ในเรื่องการติดต่อสื่อสารประสานงานเครือข่ายป่าชุมชน</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282301
แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนบ้านท่าข้าม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
2025-03-02T23:47:13+07:00
จตุพร หนูดำ
Mzmf43210@gmail.com
ศุภการ สิริไพศาล
S_siripaisan@hotmail.com
ไมตรี อินเตรียะ
Drmaitri2013@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภูมิสังคมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ปัญหาและผลกระทบการท่องเที่ยวชุมชนบ้านท่าข้ามและเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนบ้านท่าข้าม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประชากรและกลุ่มตัวอย่างการวิจัย ประกอบด้วย คณะกรรมบริหารกลุ่ม ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว จำนวน 14 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ( Content analysis)</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ภูมิสังคมการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนบ้านท่าข้าม ไม่มีปัญหาและผลกระทบต่อการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพราะว่า ชุมชนท่าข้าม มีความเป็นมาและพัฒนาการมายาวนาน ลักษณะสภาพทั่วไปของชุมชนปัจจุบันมีสถานภาพเป็นชุมชนชานเมืองสงขลาและหาดใหญ่ ห่างจากสองเมืองใหญ่ประมาณ 21 กิโลเมตร ที่ตั้งและอาณาเขตประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน ร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 10 นับถือศาสนาอิสลามมีวัดและสำนักสงฆ์ 6 แห่ง มัสยิด 1 แห่ง มีโรงเรียน 4 โรง พื้นที่ส่วนใหญ่ทำการเกษตรกรรม ทำสวนยางพารา มีแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนหลากหลาย วิถีชีวิตชุมชน เป็นสังคมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและรับเอาวัฒนธรรมของพุทธศาสนาเป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมทั้งปวง มีผลต่อการหล่อหลอมศาสนิกชนให้มีค่านิยม โลกทรรศน์และขนบประเพณีหลายอย่าง 2. แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนบ้านท่าข้าม มีการขับเคลื่อนและการพัฒนาขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้ามเป็นหลัก และค่อยขยายไปยังผู้ชุมชนที่มีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชนของตนเอง ขยายขอบเขตการท่องเที่ยวให้ขยายไปทั่วทุกชุมชน ชุมชนท่าข้ามมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ควรมีการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นการท่องเที่ยวเชิงวิถีชุมชน การท่องเที่ยวที่เป็นการพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญา วัฒนธรรมประเพณี และการพัฒนาสินค้าชุมชนที่เป็นอัตลักษณ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมอื่นๆในชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว</p> <p> ข้อเสนอแนะการวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนบ้านท่าข้าม ตำบลท่าข้าม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษา ในส่วนภูมิสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์และแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของชุมชนบ้านท่าข้าม ตำบลท่าข้าม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา การนำแนวทางการศึกษาไปปรับใช้ ควรศึกษาภูมิสังคมของชุมชนให้ชัดเจนและแสวงหาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับทุน ทรัพยากร ของชุมชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/277882
ปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์
2024-09-26T09:11:24+07:00
ปุริมปรัชญ์ อำพัน
purimprat.am@vru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ เพื่อศึกษาระดับความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ และเพื่อศึกษาปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวนทั้งหมด 396 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทำการทดสอบสมมติฐาน โดยการใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)</p> <p><strong>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</strong></p> <p> ระดับปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ ของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการขายโดยบุคคลออนไลน์ รองลงมา ด้านการโฆษณาออนไลน์ ด้านการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ ด้านการตลาดทางตรงออนไลน์ (และด้านการส่งเสริมการขายออนไลน์ ตามลำดับ และระดับความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) รองลงมา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) และด้านราคา (Price) ตามลำดับ</p> <p> ปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ คือ ปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ (β=.054) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุ (R) ระหวางชุดตัวแปรอิสระ คือ ปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์(X1) กับตัวแปรตาม (ความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์) เท่ากับ .054 สัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R2) เท่ากับ .003 และสัมประสิทธิ์การอธิบาย (Adjusted R2) เท่ากับ .000 โดยมีประสิทธิภาพร่วมกันในปัจจัยสื่อสารการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความสนใจถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าธุรกิจออนไลน์ ร้อยละ 10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ.01 โดยเขียนเป็นสมการพยากรณ์ (คะแนนดิบ) และสมการพยากรณ์ (คะแนนมาตรฐาน) ได้ดังนี้<br />= 3.699 + .063 X<sub>1 </sub>(คะแนนดิบ) y = .054 Zx<sub>1 </sub>(คะแนนมาตรฐาน)</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272337
การออกแบบบรรจุภัณฑ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากผ้าทอมือพื้นเมืองบ้านท่าโล้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
2024-03-18T14:43:50+07:00
ณัฐอร มหาทำนุโชค
nataorn.mah@mail.pbru.ac.th
โสภาพร กล่ำสกุล
sopaporn.kla@mail.pbru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองบ้านท่าโล้ 2) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่สำหรับผ้าทอมือพื้นเมืองบ้านท่าโล้ 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองบ้านท่าโล้ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยผู้ให้ข้อมูลคือประธานและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอพื้นเมืองบ้านท่าโล้ ตำบลยางหย่อง จังหวัดเพชรบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามผู้บริโภคผลิตภัณฑ์โดยใช้วิธีการสุ่มโดยบังเอิญ เนื่องจากประชากรมีขนาดใหญ่และไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการคำนวณหากลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Cochran (1977) โดยกำหนดระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และค่าความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 ซึ่งขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 384 คน ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้เก็บแบบสอบถามจำนวน 400 ชุด เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์เน้นไปที่การสร้างสรรค์คุณค่าผ่านวัสดุ เอกลักษณ์ ลวดลาย รูปทรง สีสัน ผ่านความสมดุลในการออกแบบและคุณสมบัติการใช้งานที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้สอยของผู้บริโภค นอกจากนี้ ในส่วนของพฤติกรรมการเลือกซื้อของผู้บริโภค พบว่า ผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์มากที่สุด รองลงมาคือปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจัยด้านราคา และปัจจัยด้านส่งเสริมการตลาด</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271090
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนาของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรี
2024-02-08T23:17:58+07:00
ณัฏฐนันท์ พัชรนิวัฒนากุล
natcha.mmilk@gmail.com
สโรชินี ศิริวัฒนา
Srochinee.si@ssru.ac.th
<p>อุตสาหกรรมไมซ์เป็นการจัดงานที่มุ่งเน้นบริการนักธุรกิจที่เข้าร่วมการประชุมและงานแสดงสินค้าเป็นหลักด้วยการนำเสนอการจัดงานและกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานเพื่อเป็นเวทีการจัดงานที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการจัดประชุมและสัมมนาของผู้ใช้บริการ 2) ศึกษาระดับการเลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนาของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรี และ 3) เปรียบเทียบการเลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนาของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและพฤติกรรมการจัดประชุมและสัมมนา</p> <p>ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากผู้ที่ใช้บริการและนักท่องเที่ยวในรูปแบบอุตสาหกรรมไมซ์ของโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรี จำนวน 385 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test</p> <p><strong>ผลการวิจัยแสดงว่า </strong></p> <ol> <li>ผู้ใช้บริการส่วนมากเคยจัดประชุมสัมมนาภายในองค์กร มีการจัดการประชุมไม่เกิน 3 ครั้ง ในการเลือกสถานที่จัดงานส่วนมากผู้มีอำนาจตัดสินใจคือประธานกรรมการหรือหัวหน้าองค์กรคนเดียว จองสถานที่โดยการจองล่วงหน้าโดยไม่ได้ทำสัญญา และส่วนมากจองสถานที่จัดงานล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน <br />2. ผู้ใช้บริการ เลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก</li> <li>ผู้ใช้บริการที่มีรายได้ต่อเดือน และประสบการณ์ในการจัดประชุมต่างกัน <br />เลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนาของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรี แตกต่างกัน ส่วนเพศ อายุ ระดับการศึกษา ไม่แตกต่างกัน และ <br />4. ผู้ใช้บริการที่มีจำนวนการจัดประชุมต่อปี รูปแบบการจองสถานที่ และการจองสถานที่ล่วงหน้า ต่างกัน เลือกใช้บริการการจัดประชุมและสัมมนาของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในจังหวัดชลบุรีแตกต่างกัน ส่วนประเภทของงาน และผู้มีอำนาจตัดสินใจ ไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271091
คุณภาพการให้บริการนักท่องเที่ยวของโรงแรมในจังหวัดชลบุรี
2024-02-08T23:20:23+07:00
ณัฏฐนันท์ พัชรนิวัฒนากุล
Srochinee.si@ssru.ac.th
สโรชินี ศิริวัฒนา
Srochinee.si@ssru.ac.th
<p> การท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ประกอบการโรงแรมจึงพยายามสร้างเอกลักษณ์ของที่พักให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของนักท่องเที่ยว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว (2) ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการนักท่องเที่ยวของโรงแรมในจังหวัดชลบุรี (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยว และ (4) เปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการนักท่องเที่ยวของโรงแรมในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามพฤติกรรมการท่องเที่ยว</p> <p> ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวและเข้าพักโรงแรมในจังหวัดชลบุรี จำนวน 385 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน c<sup>2</sup>, t-test และ F-test</p> <p> ผลการวิจัยแสดงว่า (1) นักท่องเที่ยวส่วนมากท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยไม่เกิน 2,000 บาทต่อวัน โดยตัวเองเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว เดินทางท่องเที่ยวแบบส่วนบุคคล มีระยะเวลาในการท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง 1-2 วัน และรับรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (2) โรงแรมในจังหวัดชลบุรี มีคุณภาพการให้บริการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมากทุกด้าน ดังนี้ ด้านความเห็นอกเห็นใจ ด้านความเป็นรูปธรรม ด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ด้านการให้ความเชื่อมั่น และด้านการตอบสนองความต้องการ ตามลำดับ (3) เพศ และอายุ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท่องเที่ยวทุกด้าน ขณะที่ อาชีพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท่องเที่ยวด้านวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว ลักษณะการท่องเที่ยว แต่ไม่มีความสัมพันธ์ด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ระยะเวลาในการท่องเที่ยวในแต่ละวัน ช่องทางการรับรู้ไม่มีความสัมพันธ์ เช่นเดียวกับระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท่องเที่ยว ด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ด้านระยะเวลาในการท่องเที่ยวในแต่ละวัน และด้านช่องทางการรับรู้ แต่ระดับการศึกษาไม่มีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว และลักษณะการท่องเที่ยว และ (4) นักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวแต่ละวัน บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว ลักษณะการท่องเที่ยว ระยะเวลาในการท่องเที่ยวในแต่ละวัน และช่องทางการรับรู้ ต่างกัน เห็นว่าคุณภาพการให้บริการของโรงแรมในจังหวัดชลบุรีโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน </p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272011
แบบจำลองการจัดการเชิงกลยุทธ์ บรรยากาศองค์การ ประสิทธิภาพปฏิบัติงาน ความสามารถเชิงพลวัต ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของพนักงานธุรกิจหลังคาเหล็กในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2024-03-09T15:52:46+07:00
สุรัญญา วิมุขมนต์
surunya.w@gmail.com
ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว
nattapong.tam@staff.krirk.ac.th
สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย
supat.ter@krirk.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่องแบบจำลองการจัดการเชิงกลยุทธ์ บรรยากาศองค์การ ประสิทธิภาพปฏิบัติงาน ความสามารถเชิงพลวัตส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของพนักงานธุรกิจหลังคาเหล็กในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ระดับ 2)อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมและ 3)สร้างแบบจำลองการจัดการเชิงกลยุทธ์ บรรยากาศองค์การ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานความสามารถเชิงพลวัตที่ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของพนักงานธุรกิจหลังคาเหล็ก โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรคือพนักงานในธุรกิจหลังคาเหล็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิรวม 24 แห่ง และสุ่มตัวอย่างแบบง่ายได้กลุ่มตัวอย่างพนักงานจำนวน 440 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คน โดยเลือกแบบเจาะจง คัดเลือกคุณสมบัติตามเกณฑ์กำหนด วิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาด้วยการสังเกตและสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1)บรรยากาศองค์การ ความได้เปรียบทางการแข่งขัน การจัดการเชิงกลยุทธ์ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและความสามารถเชิงพลวัต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (4.17) 2)ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้รับอิทธิพลทางตรงจากประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและความสามารถเชิงพลวัต ในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีขนาดอิทธิพลทางอ้อมเท่ากับ 0.427 และ 0.405 ตามลำดับ และได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากบรรยากาศองค์การ ในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เท่ากับ 0.244 โดยตัวแปรปัจจัยเหตุทั้ง 4 ตัวแปรสามารถร่วมกันอธิบายความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้ร้อยละ 50.30 และ 3)แบบจำลองการจัดการเชิงกลยุทธ์ บรรยากาศองค์การ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ความสามารถเชิงพลวัต ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของพนักงานธุรกิจหลังคาเหล็ก โมเดลเชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นชื่อว่า SCASW Model พบประเด็นสำคัญที่เกิดจากการกำหนดกลยุทธ์ด้านการเป็นผู้นำ ด้านต้นทุนของธุรกิจหลังคาเหล็กและการปรับตัวของพนักงานอย่างมีพลวัต มีบรรยากาศที่สนับสนุนพฤติกรรมการทำงานของพนักงานส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272010
การเสริมศักยภาพของเกษตรกรด้วยวงจร PDCA ในโครงการจัดตั้งครัวเรือนต้นแบบการเรียนรู้สู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา บ้านสบขุ่น ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา จังหวัดน่าน
2024-03-09T09:04:03+07:00
ปิยะนุช สินันตา
ps_piyanuch@hotmail.com
ศักรินทร์ ณ น่าน
ps_piyanuch@hotmail.com
<p>บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ตามวงจร PDCA ในการเสริมศักยภาพของเกษตรกรและเพื่อจัดตั้งต้นแบบระดับครัวเรือนในชุมชนเป้าหมายให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผู้วิจัยใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพมาดำเนินการศึกษาเกษตรกรบ้านสบขุ่น ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือครัวเรือนเกษตรกรที่ได้รับการเลือกอย่างเจาะจงจำนวน 20 ครัวเรือน และครัวเรือนต้นแบบ 1 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาหลักคือ PDCA ผู้วิจัยเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ การจัดเวทีชุมชน และใช้การพรรณนาวิเคราะห์ เพื่อได้ข้อมูลที่เข้าใจร่วมกันกับชุมชน ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการเรียนรู้ในวงจร PDCA ของเกษตรกร ที่ดำเนินตามขั้นตอนวางแผน (Plan) ลงมือทำ (Do) ติดตาม ประเมินผล (Check) และปรับปรุง พัฒนา (Act) สามารถเสริมศักยภาพของเกษตรกรและนำไปสู่การจัดตั้งครัวเรือนต้นแบบเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนในชุมชนได้<u>. </u></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272120
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานธุรกิจอีเวนต์ ในประเทศไทย
2024-03-12T10:27:58+07:00
ณปภัช อมัติรัตน์
napapata1963@gmail.com
พิทยุช ญาณพิทักษ์
te_pit@hotmail.com
สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย
supat.ter@krirk.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่องโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานธุรกิจอีเวนต์ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ระดับ 2)อิทธิพลการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ความผูกพันต่อองค์การ พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์กร ความพึงพอใจในงานและผลการปฏิบัติงาน 3)สร้างโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานธุรกิจอีเวนต์ในประเทศไทยโดยวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรคือพนักงานธุรกิจอีเวนต์สังกัดสมาคมการค้าผู้ประกอบการธุรกิจไมซ์และออแกไนซ์ภาคเหนือตอนบน สุ่มตัวอย่างแบบระบบรวม 60 แห่ง และแบบง่ายได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 415 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ เชิงคุณภาพใช้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 9 คน โดยวิเคราะห์เนื้อหา เครื่องมือในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าสหสัมพันธ์และการวิเคราะห์ความกลมกลืนของโมเดลสมการโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า 1)ระดับความพึงพอใจในงานมีระดับสูงสุด รองลงมาคือความผูกพันต่อองค์การ ผลการปฏิบัติงานของพนักงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ และกลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2)อิทธิพลของกลยุทธ์การจัดการทรัพยากรมนุษย์มีผลทางตรงต่อความพึงพอใจในงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การและความผูกพันต่อองค์การ ส่วนผลการปฏิบัติงานได้รับอิทธิพลทางตรงจากพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ ความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3)โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานโดยมีค่าดัชนีความกลมกลืนในทุกดัชนีได้แก่ ค่า Chi-square=149.831,Chi-square/ df=1.171,df=128,p=.091,GFI=.965,AGFI=.943,CFI=.991,RMSEA=.020,RMR=.010 โมเดลเชิงสาเหตุที่พัฒนาชื่อ TAJSC Model และข้อค้นพบเกิดจากการฝึกอบรมและการพัฒนาให้สามารถปฏิบัติงานตามการเปลี่ยนแปลงของลักษณะงานที่ทำได้รวมทั้งการมีน้ำใจนักกีฬาส่งผลต่อความผูกพันองค์กรอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272673
แนวทางพัฒนาการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
2024-03-30T10:26:39+07:00
ณัฎฐฏนันท์ วีสกุล
s65563825039@ssru.ac.th
กัญญรัชการย์ เลิศอมรศักดิ์
s65563825039@ssru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานีจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 300 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test ใช้สำหรับการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)</p> <p> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</p> <p> ระดับค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.26), ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเจรจาต่อรองของผู้บริหาร ด้านการเตรียมการ (Preparation) อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.25), ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Information Exchange) อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.26), ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการยื่นข้อเสนอ (Agreement Proposals) อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.27), ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษาด้านข้อสรุปของการเจรจา (Resolution) อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.25)</p> <p> ผลการเปรียบเทียบการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานีด้านการเตรียมการที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านอื่นๆ ไม่มีความแตกต่างกัน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272642
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงปี พ.ศ.2566
2024-03-28T18:02:25+07:00
Rao Yao
s65563825039@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลกับการตัดสินใจมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวจีน ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2566 - 30 เมษายน 2566 จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทำการทดสอบสมมติฐาน โดยการใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</p> <p> ระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในภาพรวม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการส่งเสริมการตลาดมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านผลิตภัณฑ์ตลาด ด้านราคา และด้านสถานที่จัดจำหน่าย</p> <p> ระดับการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงปี พ.ศ.2566 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งต่อการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา การคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วขึ้นมีผลต่อการท่องเที่ยว ความผันผวนทางการเมืองมีผลต่อการท่องเที่ยวมี และมีความนิยมในการท่องเที่ยวมีผลต่อการท่องเที่ยว</p> <p> ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงปี พ.ศ.2566 คือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (β=.885) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุ (R) ระหว่างชุดตัวแปรอิสระ คือ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (X<sub>1</sub>) กับตัวแปรตาม (การตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน) เท่ากับ .885 สัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ .783 และสัมประสิทธิ์การอธิบาย (Adjusted R<sup>2</sup>) เท่ากับ .782 โดยมีประสิทธิภาพร่วมกันในการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน ร้อยละ 29.9 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยเขียนเป็นสมการพยากรณ์ (คะแนนดิบ) และสมการพยากรณ์ (คะแนนมาตรฐาน) ได้ดังนี้ <em> = </em>1.113 + <em>.</em>711 X<em><sub>1</sub></em> <em>(</em>คะแนนดิบ) y = .885 Zx<sub>1</sub> (คะแนนมาตรฐาน)</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272919
ประสบการณ์ความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี
2024-04-10T20:45:22+07:00
ณรัชต์หทัย ล้ำเลิศ
thailamlert@gmail.com
ปรินดา ตาสี
Thailamlert@hotmail.com
<p><sub>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่เข้ารับบริการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในเขตภาคกลาง คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 5 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล ร่วมกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการบันทึกข้อมูลภาคสนาม นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการของ แวน มาเนน ผลการศึกษา พบว่า ประสบการณ์ความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี สามารถสรุปได้ 2 ประเด็นดังนี้ 1. การให้ความหมายกับความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ประกอบด้วย 3 ลักษณะ ได้แก่ เป้าหมาย พลังแห่งแนวทาง และ พลังแห่งความตั้งใจ โดยผู้ให้ข้อมูลสะท้อนความหมายออกมา จำนวน 6 ลักษณะ ดังนี้ 1) การหลุดพ้นจากอาการเจ็บป่วย 2) การมีสุขภาพที่ดี 3) มีจิตใจที่เข้มแข็ง 4) การมีชีวิตที่ยืนยาว 5) มีเป้าหมายในชีวิต และ 6) การคงไว้ของความหวัง 2. ปัจจัยเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ออกมาเป็น 4 ปัจจัย ได้แก่ 1) ความสามารถทางปัญญา 2) แรงสนับสนุนทางสังคม 3) ภาวะสุขภาพกาย และ 4) ประสบการณ์ของความสำเร็จของตนหรือผู้อื่น<br>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้เข้าใจถึงประสบการณ์ความหวังของผู้ที่อยู่ร่วมเชื้อเอชไอวี และสามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการสังคมสงเคราะห์กลุ่ม เพื่อเพิ่มความหมายและคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี</sub></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/279052
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด
2024-11-09T15:25:56+07:00
กรรณิการ์ เกณิกานนท์
kunnika.keni@northbkk.ac.th
ทรงยศ แก้วมงคล
songyos.ka@xn--northbkkac-rw6e.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศึกษา การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา และศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราดจำนวน 302 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ เครจซี่ และ มอร์แกน (Krejcie; & Morgan.) และใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน (Proportional Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 -1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li class="show">การบริหารงานวิชาการของของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li class="show">ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด มีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารมีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/279055
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด
2024-11-09T15:40:35+07:00
ภัทริณญา แพทย์อุดม
phattharinya.titi@northbkk.ac.th
ทรงยศ แก้วมงคล
Songyos.ka@northbkk.ac.th
กุลจิรา รักษนคร
Songyos.ka@northbkk.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา 2) ระดับความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา และ 4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด จำนวน 294 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .983 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราดโดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">2. ความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">ปัจจัยด้านครอบครัวและปัจจัยด้านองค์กรมีความสัมพันธ์กับความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราดโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูง (r<sub>XY</sub>= .777) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">4. ปัจจัยด้านการสนับสนุนจากครอบครัว (X<sub>2</sub>) ปัจจัยด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (X<sub>6</sub>) และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน (X<sub>9</sub>) ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยด้านลักษณะงาน (X<sub>4</sub>) และปัจจัยด้านขวัญและกำลังใจในที่ทำงาน (X<sub>8</sub>) ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนำเสนอเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้</li> </ol> <p> Ẑ<sub>y</sub> = .268Z<sub>x9 </sub> + .214Z<sub>x6</sub>+.193Z<sub>x2</sub>+.181Z<sub>x4</sub>+ 172Z<sub>x8</sub></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282455
การส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธของพระสังฆาธิการจังหวัดประจวบคิรีขันธ์
2025-03-05T20:54:18+07:00
พระครูวิสุทธิ์ธรรมโสภิต
dumsak@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาหลักการบริหารส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธ 2. ศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธ และ 3. เสนอแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธของพระสังฆาธิการ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลสำคัญใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 15 ราย ได้แก่ เจ้าอาวาส เจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ ไวยาวัจกร และผู้นำชุมชนของวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์เนื้อหาบทสัมภาษณ์</p> <p>หลักการบริหารส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธของพระสังฆาธิการ ส่งเสริมให้พระสังฆาธิการเข้าในการบริหารโดยใช้สติแบบอย่างของภาวะผู้นำ นำหลักธรรมบริหารมาใช้ควบคู่ หลัก 6 ด้านของคณะสงฆ์ ให้ดำเนินตามแนวทางหลักปริสธรรม 7 ประการ เพื่อให้ตระหนักรู้ตามแนวทางวิถีพุทธ เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคคลากรของพระพุทธศาสนา</p> <p>ศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธ โดยนำหลักสัปปุริสธรรม 7 มาเป็นกรอบในความคิด ตามหลัก 6 ด้านของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ การพัฒนาตนเองให้รู้จักสาเหตุ ปัจจัย การรู้จักผลที่กระทบทั้งทางบวกและทางลบ เป็นการแสดงความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมแก่ตนเอง (อัตตัตถะ) มีการให้ความสำคัญกับผู้ร่วมงานและชุมชน ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมแก่ผู้อื่น (ปรัตถะ) และมีความยินดีในสภาพการณ์ที่วัดและชุมชนได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน (อุภยัตถะ)</p> <p>แนวทางการส่งเสริมประสิทธิภาพภาวะผู้นำเชิงพุทธ การส่งเสริมให้พระสังฆาธิการ ให้เรียนรู้ในหลักปุริสธรรม 7 มากลั่นกรองตามแนวทาง 6 ด้าน สร้างวิสัยทัศน์ เป้าหมาย ระเบียบ แบบแผน จารีตประเพณี มีความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงคณะสงฆ์ โดยระดมปัญหา ตลอดจน แนวทางในการแก้ไขหาข้อสรุป ทิศทางในการดำเนินการงานต่าง ๆ โดยมีหลักในการจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อคณะสงฆ์เองก็ดี และเพื่อสร้างทัศนคติที่ดี</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282462
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2
2025-03-05T22:33:50+07:00
อัจฉราวดี จันทร์ภักดี
autcharawadee.chan@northbkk.ac.th
ทรงยศ แก้วมงคล
Songyos.ka@northbkk.ac.th
กุลจิรา รักษนคร
autcharawadee.chan@northbkk.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1.ระดับการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2. ระดับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 3.ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศ 4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 จำนวน 303 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามจำนวน 2 ฉบับ โดยมีค่าความเที่ยงตรงอยู่ระหว่าง .60 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .969 และ .970 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li class="show">การบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 โดย ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานวิชาการซึ่งเป็นตัวแปรต้น มีความสัมพันธ์กันเองอยู่ระหว่าง .236 ถึง .871 มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต <em>2</em> อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> <p>4. ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต <em>2</em> ดังนี้ ด้านผู้บริหาร(X<sub>1</sub>) และด้านครูผู้สอน(X<sub>5</sub>)อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนำเสนอเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ <br>Ẑ <sub>y</sub>= .518Z<sub>x1</sub> + .450Z<sub>x5</sub></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282464
การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลให้เป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1
2025-03-05T23:06:13+07:00
อรทิชา บุญญะบุตร
onticha.buny@northbkk.ac.th
กุลจิรา รักษนคร
onticha.buny@northbkk.ac.th
ทรงยศ แก้วมงคล
Songyos.ka@xn--northbkkac-rw6e.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลในสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับของสถานศึกษาที่เป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลกับการเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา และ 4) เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลให้เป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 ได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูผู้สอน จำนวน 311 คน กำหนดจากตารางของ Krejcie and Morgan โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นที่ 0.956 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">1. การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความคุ้มค่า หลักการมีส่วนร่วม และหลักความรับผิดชอบ</li> <li class="show">2. การเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ เทคโนโลยีและการสื่อสาร ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ บรรยากาศสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ร่วม และโครงสร้างองค์กร</li> <li class="show">3. การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเป็นสถานศึกษาที่เป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 อยู่ในระดับสูง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> <p>4. การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 มีจำนวน 4 ด้านที่ส่งผลให้เป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส และหลักการมีส่วนร่วม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.921 สามารถพยากรณ์การเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 ได้ร้อยละ 84.90 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/282819
การนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
2025-03-14T13:50:50+07:00
อรชา คงศิลา
Kongsila1990@gmail.com
ธีระวัฒน์ มอนไธสง
Kongsila1990@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน และ 2) นำเสนอแนวทางการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน วิธีวิจัยมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 จำนวน 113 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอนที่ 2 นำเสนอแนวทางการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้บริหารการศึกษาจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 จำนวน 2 คน นักวิชาการด้านการศึกษา จำนวน 2 คน และผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 2 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li class="show">สภาพการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความตั้งใจของผู้ปฏิบัติ รองลงมา คือ ด้านวัตถุประสงค์และมาตรฐานนโยบาย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านทรัพยากรนโยบาย และ</li> </ol> <p>2. นำเสนอแนวทางการนำนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสู่การปฏิบัติของโรงเรียน ประกอบด้วย 6 ด้าน 26 รายการ ดังนี้ ด้านที่ 1 ด้านวัตถุประสงค์และมาตรฐานนโยบาย มีรายการปฏิบัติจำนวน 5 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ควรทำการวิเคราะห์บริบทของตนเอง และสถานศึกษาในสังกัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้มอบนโยบาย และผู้ดำเนินงานตามนโยบาย ด้านที่ 2 ด้านทรัพยากรนโยบาย มีรายการปฏิบัติจำนวน 5 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ควรมีการวิเคราะห์บริบท ความต้องการของสถานศึกษา และนำมาจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อให้มีแนวทางในการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับสถานศึกษา ด้านที่ 3 ด้านการสื่อสารระหว่างองค์กรและกิจกรรมการเสริมแรง มีรายการปฏิบัติจำนวน 4 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ควรมีบทบาทเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างผู้มอบนโยบายและผู้รับนโยบายสู่การปฏิบัติ ด้านที่ 4 ด้านลักษณะหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ มีรายการปฏิบัติจำนวน 5 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ และสถานศึกษาควรมีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน มีการกำหนดภาระงาน และมีกลไกการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติของสถานศึกษา โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ด้านที่ 5 ด้านเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง มีรายการปฏิบัติจำนวน 3 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ และสถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์บริบทของตนเอง เพื่อจะได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ตรงกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สภาพแวดล้อมและบริบทของตนเอง และด้านที่ 6 ด้านความตั้งใจของผู้ปฏิบัติ มีรายการปฏิบัติจำนวน 4 รายการ เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ควรมีการสร้างสัมพันธภาพ และทัศนคติที่ดีระหว่างผู้มอบนโยบายและผู้ปฏิบัติ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ของผู้ปฏิบัติงาน และนำมาช่วยกันหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สถานศึกษาเป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม