มจร การพัฒนาสังคม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD <h3 data-start="188" data-end="218">วารสาร มจร การพัฒนาสังคม</h3> <p data-start="219" data-end="277"><strong data-start="219" data-end="236">ISSN (Print):</strong> 2539-5718 | <strong data-start="249" data-end="267">ISSN (Online):</strong> 2651-1215</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> <p>เป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ หรือบทความปริทัศน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย โดยเน้นสาขาวิชาการพัฒนาสังคม สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชม เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p data-start="94" data-end="126"><strong data-start="94" data-end="126">ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์ในวารสาร</strong></p> <ol data-start="128" data-end="802"> <li data-start="128" data-end="364"> <p data-start="131" data-end="364"><strong data-start="131" data-end="165">บทความวิจัย (Research Article)</strong><br data-start="165" data-end="168" />เป็นบทความที่นำเสนอผลการค้นคว้าวิจัยในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น การพัฒนาสังคม สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชน เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> </li> <li data-start="366" data-end="557"> <p data-start="369" data-end="557"><strong data-start="369" data-end="405">บทความวิชาการ (Academic Article)</strong><br data-start="405" data-end="408" />เป็นบทความที่เน้นการวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือเสนอแนวคิดใหม่ รวมถึงการสังเคราะห์องค์ความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจหรือมุมมองใหม่ทางวิชาการ</p> </li> <li data-start="559" data-end="802"> <p data-start="562" data-end="802"><strong data-start="562" data-end="631">บทความปริทัศน์ (Review Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</strong><br data-start="631" data-end="634" />เป็นบทความที่มีลักษณะการวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลเพื่อสนับสนุนประเด็นทางวิชาการ ทั้งในด้านที่เห็นด้วยหรือมีความเห็นแตกต่าง โดยใช้มุมมองและหลักวิชาเป็นฐานในการวิเคราะห์</p> </li> </ol> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong></p> <p> วารสาร มจร การพัฒนาสังคม มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม </p> <p><strong>การตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p><strong> วารสาร มจร การพัฒนาสังคม </strong>มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความดังนี้<strong> </strong></p> <p><strong> 1. บทความวิชาการ จำนวน 4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน) ต่อหนึ่งบทความ</strong></p> <p><strong> 2. บทความวิจัย จำนวน 4,500 บาท (สี่พันพันห้าร้อยบาทถ้วน) ต่อหนึ่งบทความ </strong></p> <p> โดยผู้เขียนบทความจะตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามข้อแนะนำสำหรับผู้แต่ง ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม ข้อตกลงของวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์และไม่คืนเงินในกรณีใดๆทั้งสิ้น</p> <div class="journal-description"> <h3 data-start="142" data-end="184">กระบวนการพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ</h3> <p data-start="186" data-end="400">วารสารมีการประเมินคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิก่อนการตีพิมพ์ โดยบทความที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ภายใต้ระบบ <strong data-start="345" data-end="400">การพิจารณาแบบปกปิดสองทาง (Double-blind peer review)</strong></p> <ul data-start="402" data-end="792"> <li data-start="402" data-end="528"> <p data-start="404" data-end="528">บทความจาก <strong data-start="414" data-end="432">ผู้นิพนธ์ภายใน</strong> หน่วยงานหรือสถาบันของวารสาร จะได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิจาก <strong data-start="499" data-end="509">ภายนอก</strong> หน่วยงานหรือสถาบัน</p> </li> <li data-start="529" data-end="792"> <p data-start="531" data-end="792">บทความจาก <strong data-start="541" data-end="560">ผู้นิพนธ์ภายนอก</strong> หน่วยงานหรือสถาบันของวารสาร จะได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในสาขานั้น ๆ ซึ่งอาจมาจาก <strong data-start="683" data-end="702">ภายในหรือภายนอก</strong> หน่วยงานหรือสถาบันของวารสาร ทั้งนี้ผู้ประเมินจะต้อง <strong data-start="755" data-end="779">ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย</strong> กับผู้นิพนธ์</p> </li> </ul> <p data-start="794" data-end="956"><strong data-start="794" data-end="807">หมายเหตุ:</strong><br data-start="807" data-end="810" />ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว <strong data-start="895" data-end="956">ไม่ถือเป็นทัศนะหรือความเห็นของกองบรรณาธิการและคณะผู้จัดทำ</strong></p> <p data-start="958" data-end="1113">กองบรรณาธิการ <strong data-start="972" data-end="988">ขอสงวนสิทธิ์</strong> ในการคัดเลือกบทความเพื่อลงตีพิมพ์ และจะแจ้งผลการพิจารณาให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ทรงคุณวุฒิได้ประเมินบทความเรียบร้อยแล้ว</p> </div> th-TH wason072@gmail.com (ดร.วสันต์ ลิ่มรัตนภัทรกุล) phumiyot.168@gmail.com (พระภูชิสสะ ปญฺญาปโชโต) Sun, 31 Aug 2025 14:05:20 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการส่งเสริมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286586 <p>งานวิจัยเรื่อง แนวทางการส่งเสริมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน เพื่อศึกษากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน 10 ราย ลูกค้า/คนในชุมชน 3 ราย เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. หรือ มอก. ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ของกลุ่มตนกับคู่แข่งในตลาดได้ อีกทั้งยังมีการแข่งขันในตลาด มีคู่แข่งจำนวนมากทำให้การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเป็นเรื่องยาก และการขาดการรับรองมาตรฐานในปัจจุบัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคและเสียเปรียบในเชิงการตลาด 2) กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มสตรีศรีบางปะหัน มีขั้นตอนการผลิตแบบดั้งเดิม แต่ผลิตภัณฑ์บางตัวเริ่มมีการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีพื้นฐานเข้ามาใช้ แต่ถึงกระนั้นขั้นตอนที่ทำก็พิถีพิถันในแต่ละขั้นตอนมาก และเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานที่ดี 3) แนวทางการส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ แนวทางการส่งเสริมการตลาดและการขาย และแนวทางการส่งเสริมการเพิ่มทักษะและการสร้างเครือข่าย</p> ปฏิภาณ สิงห์บุบผา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286586 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายในการเยียวยาความเสียหายแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287121 <p style="font-weight: 400;">งานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาปัญหาและข้อจำกัดของกฎหมายแพ่งไทยในการเยียวยาความเสียหายทางจิตใจ โดยเฉพาะกรณีภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)<br>ซึ่งยังไม่ปรากฏบทบัญญัติที่รองรับอย่างชัดเจนในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้มาตรา 446 จะเปิดช่องให้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงินก็ตาม งานวิจัยวิเคราะห์แนวคำพิพากษาและทฤษฎีทางกฎหมายของต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร เพื่อเปรียบเทียบและประเมินแนวทางการรองรับความเสียหายทางจิตใจในระบบกฎหมายต่างประเทศที่สอดคล้องกับความรู้ทางจิตเวชศาสตร์</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษานำไปสู่ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายของไทย เช่น การเพิ่มเติมถ้อยคำในมาตรา 446 ให้ครอบคลุมความเสียหายทางจิตใจโดยไม่ต้องมีบาดแผลทางกาย การขยายระยะเวลาสงวนสิทธิในมาตรา 444 จาก 2 ปีเป็นอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการวินิจฉัยอาการ ภาวะเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) และการเพิ่มบทบัญญัติในมาตรา 438 เพื่อให้ศาลมีดุลพินิจในการประเมินค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายทางใจอย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังเสนอให้ส่งเสริมกลไกทางเลือกในการเยียวยา เช่น การขอโทษเชิงเยียวยาและกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เพื่อให้การเยียวยาผู้เสียหายทางใจมีความหลากหลายและเป็นธรรมยิ่งขึ้น</p> ประภาภรณ์ โรจน์ศิริรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287121 Wed, 24 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาพื้นที่วิถีวัฒนธรรมบนฐานหนังสือ “ภาพเก่าเล่าขานตำนานตะพานหิน” สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดพิจิตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286913 <p>วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาพื้นที่การท่องเที่ยวเชิงวิถีวัฒนธรรม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อพัฒนาพื้นที่วิถีวัฒนธรรม อำเภอตะพานหิน สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อเสริมสร้างรูปแบบการท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรม บนฐานหนังสือ “ภาพเก่าเล่าขานตำนานตะพานหิน” สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ แบบสัมภาษณ์มีโครงสร้างร่วมกับ วิเคราะห์ข้อมูลด้านเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) คนจีนและไทยพวน กลุ่มแรกๆ เข้ามาพื้นที่อำเภอตะพานหิน มีการรักษาไว้ซึ่งวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิม พร้อมทั้งส่งมอบมรดกวิถีวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยวิธีการทำให้เห็นและแสดงให้ดู สภาพปัญหาปัจจุบัน คือ คนรุ่นใหม่ขาดการตื่นตัว และยังไม่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ สิ่งสำคัญ คือ ขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ตลอดรวมถึงขาดเครือข่ายการมีส่วนร่วมภาคประชาชน</p> <p>2) มีการพัฒนา “คน” รุ่นใหม่ให้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์เรื่องราวของบรรพชน พร้อมกับพัฒนา “กิจกรรม” ตามความเชื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตลอดรวมถึงการรักษาวิถีวัฒนธรรมในรูป “พิธภัณฑ์ชุมชน” สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างสร้างสรรค์</p> <p>3) กิจกรรมเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวจะปรากฏออกมาในรูปของร้านอาหารแบบดั้งเดิม ถนนคนเดิน และกลุ่มชาติพันธ์ไทยพวนซึ่งอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงในรูปของ “ประเพณีกำฟ้า” และผลิตภัณฑ์ชุมชนผ้าทอพื้นบ้าน</p> ณภัทร ณ ลำปาง, สุขเกษม ขุนทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286913 Thu, 11 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาส่งเสริมจริยธรรมของบุคลากรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ปลอดคอร์รัปชัน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/288411 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาส่งเสริมจริยธรรมของบุคลากรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นปลอดคอร์รัปชัน 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อการการพัฒนาส่งเสริมจริยธรรมของบุคลากรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นปลอดคอร์รัปชัน และ 3) เพื่อศึกษาการพัฒนาส่งเสริมจริยธรรมของบุคลากรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นปลอด คอร์รัปชัน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงเอกสารจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำราวิชาการ งานวิจัย และเอกสารหน่วยงาน การวิจัยเชิงคุณภาพโดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง และ การวิจัยเชิงปฏิบัติการผ่านการสนทนากลุ่มเพื่อระดมความคิดเห็นและกำหนดแนวทางจัดการทุนมนุษย์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ นายก อบต. 10 คน ปลัด อบต. 10 คน ผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น 5 คน และนักวิชาการด้านศาสนา/รัฐประศาสนศาสตร์ 5 รูป/คน เครื่องมือได้แก่ แบบสัมภาษณ์ โครงสร้างการสนทนากลุ่ม และ “ชุดปฏิบัติการไตรสิกขา” (ศีล–สมาธิ–ปัญญา) ขั้นตอนเก็บข้อมูล 5 ระยะ ตั้งแต่เตรียมการ สำรวจภาคสนาม สนทนากลุ่ม สังเคราะห์องค์ความรู้ จนถึงเวทีวิชาการและปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา การอุปนัย และการพรรณนาเชิงวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลักไตรสิกขาเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาจริยธรรม: “ศีล” สร้างมาตรฐานพฤติกรรมและความโปร่งใส “สมาธิ” เสริมวินัยอารมณ์และการตัดสินใจที่รอบคอบ และ “ปัญญา” หล่อเลี้ยงวิจารณญาณต่อต้านผลประโยชน์ทับซ้อน องค์ประกอบเอื้อต่อจริยธรรมประกอบด้วย 4 ด้านหลัก (ทักษะ โครงการ วินัย ผู้นำแบบอย่าง) และ 5 ด้านเสริม (ระบบโปร่งใส สวัสดิการ/แรงจูงใจ วัฒนธรรมองค์กร การบังคับใช้กฎหมาย และการมีส่วนร่วมของสังคม–ชุมชน) รูปแบบการพัฒนาที่ได้ยึด 4 หลักการ: การสนับสนุนจากผู้บริหาร การวางแผนเป็นระบบ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจริงจัง และการส่งเสริมการศึกษาต่อ เน้นปลูกฝังค่านิยมสุจริต เปิดเผยข้อมูล สร้างช่องทางร้องเรียนปลอดภัย และบูรณาการหลักธรรมาภิบาลกับไตรสิกขา สรุปว่า การพัฒนาจริยธรรมเชิงบูรณาการดังกล่าวเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและลดคอร์รัปชันของอปท. อย่างยั่งยืน</p> ชัยวัฒน์ ปัญจิต, พิทวัฒน์ มโนรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/288411 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างศักยภาพผู้ถูกคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286590 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทการปฏิบัติงานคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี 2) เสริมสร้างศักยภาพผู้ถูกคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี และ 3) เสริมสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี เป็นงานวิจัยแบบผสานฝังตัว (Embedded Mixed Methods Research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จำนวน 36 ราย อาสาสมัครผู้เข้าร่วมการวิจัยปฏิบัติการกึ่งทดลองจำนวน 32 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ (Interview Guild line) ชุดกิจกรรมอบรม แบบประเมินผลก่อนและหลังการอบรม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติ Paired sample t-test เก็บรวบรวมข้อมูล มกราคม ถึง มีนาคม 2568</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิจัยพบว่า 1) การดำเนินงานคุมประพฤติในลพบุรีต้องการการเสริมสร้างศักยภาพผู้ถูกคุมประพฤติ โดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนมีบทบาทร่วมกันในด้านการให้ความรู้ เพิ่มทักษะ และเสริมพลังชีวิต 2) การเสริมสร้างศักยภาพผู้ถูกคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี ใช้กระบวนการปฏิบัติผ่านชุดกิจกรรมที่ออกแบบเน้นการพัฒนา “ภูมิคุ้มกันทางจิตใจ” ผ่านกิจกรรมกลุ่ม การสะท้อนตน และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเปิด “โอกาสใหม่” และ3) การเสริมสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานคุมประพฤติระบบไตรภาคีในจังหวัดลพบุรี พบว่า การเสริมสร้างเครือข่ายไตรภาคีสะท้อนการผสานพลังระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และชุมชน การเชื่อมโยง 3 ภาคส่วน เครือข่ายระบบไตรภาคีจะมีปัจจัยที่เอื้อต่อการทำงาน 6 มิติ ได้แก่ การแบ่งปัน (Sharing) การเรียนรู้จากสิ่งที่ดี (Yogoten) ความรู้ (Knowledge) การศึกษา (Education) การมีส่วนร่วม (Participation) และไตรภาคี (Tripartite) ทำให้เกิดโมเดลเชิงกระบวนการ “Sykept Model”</p> สุภาพ อุภัยพรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286590 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบ และพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ สำหรับพัฒนาศักยภาพบุคคล และชุมชนในจังหวัดลพบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287174 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาหลักสูตรการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ขององค์กรเรียนรู้ชุมชนในสังคมไทย (2) พัฒนาและออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์สำหรับการพัฒนาศักยภาพบุคคลและชุมชนในจังหวัดลพบุรี และ (3) ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ครอบคลุมการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปฏิบัติการกึ่งทดลอง และการวิจัยเอกสาร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารหลักสูตรและผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้นแบบ 8 คน และประชาชนในชุมชนเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 1 พบว่าการสังเคราะห์จากหลักสูตรต้นแบบ 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรเทคนิคการสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หลักสูตรการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลักสูตรนักส่งเสริมคุณธรรมในพื้นที่ และหลักสูตรการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชน ชี้ให้เห็นแนวทางที่เน้นการบูรณาการพุทธจริยธรรม การพัฒนาภาวะผู้นำ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม วัตถุประสงค์ที่ 2 ได้นำผลการสังเคราะห์มาพัฒนา “หลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้นำสตรีในชุมชน” โดยหลักสูตรมุ่งเน้นการพัฒนาตนเอง ทักษะการบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนสังคม ผ่านการเรียนรู้แบบ Workshop และ Case Study ตลอดจนการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมศักยภาพสตรีให้เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และยั่งยืน วัตถุประสงค์ที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตรนำร่องกับกลุ่มเป้าหมาย 29 คน พบว่าผู้เข้าร่วมมีการยกระดับความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ชัดเจน หลักสูตรช่วยเปลี่ยนบทบาทจากผู้เรียนสู่ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับทักษะศตวรรษที่ 21 และแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต องค์ความรู้สำคัญที่ได้คือการออกแบบหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ที่บูรณาการหลักพุทธธรรมกับทักษะร่วมสมัย สามารถเสริมสร้างผู้นำสตรีที่มีคุณธรรมและศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน</p> วราห์วรรัตน์ ทองเชื้อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287174 Tue, 02 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/283718 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวทางพุทธจริยศาสตร์ของประชาชนในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 40 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบพรรณนาตามหลักอุปนัยวิธี</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า <span style="font-size: 0.875rem;">1. พุทธจริยศาสตร์เป็นข้อปฏิบัติเพื่อควบคุมและพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ตัดสินคุณค่าความดีงามของมนุษย์ และเป็นตัวชี้วัดมาตรฐานทางจริยธรรม จำแนกออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ พุทธจริยศาสตร์ระดับต้น คือ ศีล พุทธจริยศาสตร์ระดับกลาง คือ กุศลกรรมบถ 10 และพุทธจริยศาสตร์ระดับสูง คือ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พฤติกรรมดีและพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมไปพร้อมกับการพัฒนาพฤติกรรม </span><span style="font-size: 0.875rem;">2. พฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พบว่า มีพฤติกรรมละเมิดพุทธจริยศาสตร์ 3 กลุ่ม คือ พฤติกรรมละเมิดกฎเกณฑ์ศีลธรรม ละเมิดเพราะความไม่รู้ และจงใจละเมิด ส่วนการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในตำบลท่าสองคอน ได้พัฒนาตามหลักศีล 5 โดยการพัฒนาพฤติกรรมเบญจศีลและเบญจธรรม พัฒนาพฤติกรรมให้กับกลุ่มที่มีปัญหา การจัดการปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาพฤติกรรม การใช้มาตรการชุมชนมาควบคุมพฤติกรรม และพัฒนาพฤติกรรมสุขภาวะไปด้วย </span><span style="font-size: 0.875rem;">3. แนวทางพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามแนวพุทธจริยศาสตร์ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้พุทธจริยศาสตร์เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและสร้างบรรทัดฐานเพื่อให้เป็นระบบกลไกจริยธรรมชุมชน ประยุกต์พุทธจริยศาสตร์ให้เหมาะสมกับบริบทชุมชน การพัฒนามนุษยธรรมและทักษะการใช้พุทธจริยศาสตร์ พัฒนาพฤติกรรมตามสภาพปัญหา และใช้เป็นหลักประกันทางสังคม รวมทั้งพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมไปพร้อมกับจัดการปัจจัยเอื้อต่อพุทธจริยศาสตร์ ส่งผลให้พฤติกรรมดีงาม การอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล และพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์อย่างมีคุณค่า</span></p> พระปลัดธนเดช สมจิตฺโต (สมบัติมา) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/283718 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 หอเจ้าปู่ตา : การพัฒนากระบวนการการมีส่วนร่วมในการอนุมรักษ์ป่าของพระสงฆ์และชุมชน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286915 <p>การวิจัยเรื่อง หอเจ้าปู่ตา: การพัฒนากระบวนการการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าของพระสงฆ์และชุมชน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับหอเจ้าปู่ตาของชุมชน 2) วิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์และชุมชนในการใช้หอเจ้าปู่ตาเป็นกลไกทางสังคมเพื่อการอนุรักษ์ป่า และ 3) พัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างพระสงฆ์และชุมชนในการอนุรักษ์ป่าผ่านความเชื่อและพิธีกรรมหอเจ้าปู่ตา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม ได้แก่ การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ผ่านการสนทนากลุ่มกับพระสังฆาธิการ ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐ และนักวิชาการ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความเชื่อและพิธีกรรมหอเจ้าปู่ตาเป็นคติความเชื่อดั้งเดิมของชาวอีสานที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและกลไกทางสังคม โดยเชื่อว่าปู่ตาเป็นผู้คุ้มครองหมู่บ้านและปัดเป่าภัยพิบัติ พิธีกรรม เช่น การเลี้ยงผีปู่ตาและพิธีสะเดาะเคราะห์ ช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจ ความสามัคคี และสะท้อนหลักกรรมในพระพุทธศาสนา “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ในด้านการอนุรักษ์ป่า หอเจ้าปู่ตาทำให้พื้นที่รอบ ๆ ถูกยกให้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ห้ามบุกรุก ขณะเดียวกันพระสงฆ์มีบทบาทนำกิจกรรมบวชป่า ปลูกป่า และใช้ป่าเป็นพื้นที่ปฏิบัติธรรม พร้อมเชื่อมโยงพลัง “บวร” (บ้าน–วัด–โรงเรียน–รัฐ) สร้างเครือข่ายการอนุรักษ์ที่เข้มแข็งกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าผ่านหอเจ้าปู่ตาสรุปได้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา การร่วมวางแผน การสร้างกิจกรรม การปฏิบัติการ และการติดตามประเมินผล ส่งผลให้เกิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ความเข้มแข็งของชุมชน และการปลูกฝังคุณค่าด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม โดยสรุป หอเจ้าปู่ตาจึงเป็นกลไกสำคัญที่ผสานความเชื่อท้องถิ่นกับพระพุทธศาสนา และพัฒนาเป็นกลยุทธ์อนุรักษ์ป่าที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> พระปลัดเมธี เขมปญฺโญ (สอนวันดี), สมเจตน์ มีตาบุญ, นรุณ กุลผาย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286915 Fri, 03 Oct 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบบทเพลงธรรมคีตศิลป์ในถิ่นอีสาน สู่การพัฒนาสังคมเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286761 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติ ความเป็นมา และคุณค่าของบทเพลงธรรมคีตศิลป์ในถิ่นอีสาน 2) เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์บทเพลงธรรมคีตศิลป์ในถิ่นอีสานสู่การพัฒนาสังคม 3) เพื่อวิเคราะห์การบูรณาการธรรมคีตศิลป์สู่การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้วิจัยใช้หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง โดยเลือกผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับบทเพลงธรรมคีตศิลป์ในถิ่นอีสาน รวมจำนวน 54 คน แบ่งเป็น พระสงฆ์ ศิลปิน ครูภูมิปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ และชาวบ้านในชุมชนบ้านห้วยข่า จังหวัดอุบลราชธานี การเก็บข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong>1) ธรรมคีตศิลป์สะท้อนวิถีชีวิต ความเชื่อ และศรัทธาของชาวอีสาน โดยใช้ดนตรีเป็นสื่อขับกล่อมธรรมะ ถ่ายทอดคุณค่าทางจิตใจ เช่น ความกตัญญู ความสามัคคี และศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นมรดกวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในชีวิตผู้คน 2) บทเพลงที่สร้างขึ้นทั้ง 3 บทสะท้อนสาระสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเชื่อมโยงพระพุทธศาสนากับวิถีชีวิตของชุมชนบ้านห้วยข่า มีวัดธรรมิกาวาสเป็นศูนย์กลาง สื่อสารอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านเสียงเพลงอย่างลึกซึ้ง 3) ผลการประเมินจากกลุ่มเป้าหมาย 54 ราย ได้แก่ พระสงฆ์ ศิลปิน ครูภูมิปัญญา ผู้เชี่ยวชาญ และชาวบ้านในพื้นที่ พบว่าความพึงพอใจต่อบทเพลงธรรมคีตศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.62) โดยมี 8 ด้านอยู่ในระดับมาก และ 2 ด้านระดับปานกลาง 4) ข้อเสนอแนะคือควรส่งเสริมการผลิตและเผยแพร่บทเพลงผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐ ศาสนา ชุมชน โดยเฉพาะวัดควรมีบทบาทร่วมสร้างสื่อกับศิลปินและเยาวชน พร้อมจัดกิจกรรมในสถานศึกษา งานบุญ และสื่อออนไลน์ อีกทั้งควรสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มนักแต่งเพลงธรรมะและการพัฒนาหลักสูตรหรือการศึกษาวิจัยต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> พระมหาธนัช คมฺภีรญาโณ (สังฆมนญาณ) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286761 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 MORAL CITY : แนวทางการส่งเสริมและขับเคลื่อนการพัฒนาสู่เมืองคุณธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287225 <p>งานวิจัยเรื่อง Moral City: แนวทางการส่งเสริมและขับเคลื่อนการพัฒนาสู่เมืองคุณธรรม เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษารูปแบบและกระบวนการในการส่งเสริมและขับเคลื่อนการพัฒนาคุณธรรมในระดับเมือง (2) เพื่อพัฒนาศักยภาพกลไกการส่งเสริมคุณธรรมเชิงพื้นที่ และ (3) เพื่อสร้างองค์ความรู้และโมเดลการพัฒนาเมืองคุณธรรม (Moral City Model) ที่สามารถนำไปใช้และขยายผลเชิงปฏิบัติในระดับจังหวัดได้ทั่วประเทศ งานวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงเอกสาร การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ</p> <p>การวิจัยเชิงเอกสารเน้นการศึกษาแนวนโยบาย แนวทางสำคัญ และกรณีตัวอย่างจังหวัดคุณธรรมที่ประสบความสำเร็จจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมการศาสนา ศูนย์คุณธรรม และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้กลาง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แนวทางปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ผ่านการศึกษาเอกสาร วารสาร ตำรา และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญอย่างน้อย 5 ราย ได้แก่ ผู้แทนคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ ขณะที่การวิจัยเชิงปฏิบัติการมุ่งจัดทำและทดสอบชุดความรู้กลางในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร จัดฝึกอบรม “นักส่งเสริมคุณธรรมเชิงพื้นที่” สนับสนุนการจัดทำแผนปฏิบัติการ ติดตามผล และจัดตั้ง “Moral Network Center” เพื่อเป็นกลไกกลางในการขับเคลื่อน พื้นที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับนโยบาย (ผู้แทนคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กรมการศาสนา ศูนย์คุณธรรม และกระทรวงมหาดไทย) ระดับจังหวัด (ราชบุรีและบุรีรัมย์) และระดับพื้นที่ปฏิบัติการขยายผล (จังหวัดกำแพงเพชร) โดยใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติในพื้นที่ ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณธรรมต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติและการมีส่วนร่วมของเครือข่ายทางสังคมในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ ชุดความรู้และโมเดล “Moral City” ที่ได้จากงานวิจัยนี้ สามารถใช้เป็นแนวทางเชิงปฏิบัติสำหรับจังหวัดคุณธรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกลไกทางสังคมและขยายผลการพัฒนาเมืองคุณธรรมให้มีความยั่งยืนต่อไป</p> ยงจิรายุ อุปเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287225 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวบนฐานทุนทางวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/283987 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวบนฐานทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเพชรบูรณ์” มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานทุนทางวัฒนธรรมในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานทุนทางวัฒนธรรมในจังหวัดเพชรบูรณ์ 3) เพื่อประเมินผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานทุนทางวัฒนธรรมในจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการศึกษาในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือ รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้นำด้านวัฒนธรรม 2) ผู้นำชุมชน 3) หน่วยงานภาครัฐ 4) ปราชญ์ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยวิธีเจาะจงจำนวนทั้งสิ้น 20 คน และกลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน และนำเสนอผลการศึกษาโดยใช้วิธีพรรณนาวิเคราะห์จากการสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เนื่องจากการดำรงชีวิตของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หญิงจะต้องเป็นคนที่ทำงานในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการทอผ้า ปักผ้า ซึ่งเป็น การแสดงออกหน้าตาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในงานเทศกาลสำคัญ เช่น กิจกรรมปีใหม่ม้ง และการปักผ้าเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างและคิดค้นขึ้น และสืบทอดให้เป็นอัตลักษณ์กันมาจนถึงปัจจุบัน โดยการฝึกลวดลายแบบนับช่องแล้วไขว่เส้นด้ายสลับไปมาตามรูปแบบลวดลายที่ต้องการปัก ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีศักยภาพในการพัฒนาในการนำผ้าลายปักที่มีอยู่ดั้งเดิม มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าคาดเอว หมวก เสื้อผ้า เป็นต้น ที่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ภายในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเน้นการตัดเย็บที่มีคุณภาพและละเอียด เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับนักท่องเที่ยวหรือกลุ่มที่เข้ามาศึกษาดูงานในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นของฝาก ของใช้ หรือของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว</p> สุพล ศิริ, พระมหามนกมล กิตฺติญาโณ (ดีมีหาญ), กษิดิศ รอดน้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/283987 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหายของผู้เสียหาย อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286947 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบังคับใช้กฎหมายการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหายของผู้เสียหาย อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหายของผู้เสียหาย โดยใช้หลักสาราณียธรรม 6 อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสม จำนวน 20 ท่าน และการจัดสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 รูปหรือท่าน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบกฎหมายและโครงสร้างทางสถาบันที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับการป้องกันและแก้ไขปัญหา คือการขาดนิยามทางกฎหมายที่ชัดเจนของการบังคับให้สูญหายในกฎหมายภายใน ตลอดจนการไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความร้ายแรงของการกระทำ 2) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหายของผู้เสียหาย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความตระหนักรู้ในสิทธิของตนเอง ไม่เข้าใจบทบาทของตนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และกิจกรรมรณรงค์สาธารณะ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้ใช้เสียงของตนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ 3) รูปแบบการมีส่วนร่วม “หลักสาราณียธรรม ๖ ช่วยเปลี่ยนผู้เสียหายจากบทบาทผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีต้องสร้างโครงสร้างที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมทั้งทางกฎหมาย นโยบาย ทัศนคติสังคม และความเมตตาในเชิงปฏิบัติ คือพื้นฐานสำคัญของการป้องกันการละเมิดสิทธิในระยะยาวการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะบางทีความคิดเห็นของเราก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือดีที่สุดเสมอไป</p> ถนอม จินาวา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286947 Wed, 24 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมผู้สูงอายุจังหวัดสระบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286789 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดสระบุรี 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดสระบุรี และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมผู้สูงอายุจังหวัดสระบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 24 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลด้านเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สภาพปัญหาการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมของผู้สูงอายุในจังหวัดสระบุรีมีทั้ง จุดแข็ง คือบุคลากรมีความพร้อม มีงบประมาณสนับสนุน และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ แต่ก็มี จุดอ่อน เช่น ผู้สูงอายุมีรายได้ไม่มั่นคง มีหนี้นอกระบบ การเดินทางลำบาก สุขภาพไม่แข็งแรง รวมถึงขาดการรวมกลุ่ม การสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและโอกาสทางศาสนา นอกจากนี้ยังพบ วิกฤต/สภาพปัญหา ด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก และการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทั้งหมดส่งผลกระทบด้านจิตใจของผู้สูงอายุ</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2) การพัฒนาการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมของผู้สูงอายุ แบ่งตาม 5 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ เน้นการบริหารเงินบำนาญ การจัดการหนี้ และส่งเสริมอาชีพเสริม ด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการจัดวางสิ่งของในบ้านให้ปลอดภัย การจัดพื้นที่รอบบ้านและเทคโนโลยีฉุกเฉิน ด้านสุขภาพ เน้นการให้ความรู้การออกกำลังกาย โภชนาการ และการจัดการความเครียด ด้านสังคม เน้นการรวมกลุ่มทำกิจกรรมเยี่ยมเยียนผู้ป่วย และใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ และ ด้านจิตใจ เน้นการเข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาและการฟังธรรม เพื่อพัฒนาจิตใจ</span></p> <p>3) รูปแบบการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมของผู้สูงอายุ เน้นกระบวนการสร้างเครือข่ายทางสังคม ผ่านการจัดตั้งชมรมหรือกลุ่มผู้เกษียณอายุหรือกลุ่มฌาปนกิจ ที่สมัครใจ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ครอบคลุมทั้ง 5 มิติ คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ ด้านสังคม และด้านจิตใจ โดยเน้นบทบาทของผู้นำกลุ่ม การส่งเสริมความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการ และการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร อันจะนำไปสู่ความมั่นคงในชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข</p> วัชรากร เคยบรรจง, สุขเกษม ขุนทอง, สุรศักดิ์ บุญเทียน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286789 Mon, 08 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287316 <p>การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2) เป็นแนวทางในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3<br />ปีการศึกษา 2567 จำนวน 95 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1) การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแยกเป็นรายด้าน พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการส่งเสริมนักเรียน ด้านการส่งต่อนักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการคัดกรองนักเรียน ตามลำดับ</p> <p>2) แนวทางการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านเทอดไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 พบว่า 1) ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล มี 12 วิธีดำเนินการ 2) ด้านการคัดกรองนักเรียน มี 10 วิธีดำเนินการ 3) ด้านการส่งเสริมนักเรียนมี 10 วิธีดำเนินการ 4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา มี 12 วิธีดำเนินการ และ 5) ด้านการส่งต่อนักเรียน มี 10 วิธีดำเนินการ</p> นภัสสร คำลือ, พิสิษฐ์ ยอดวันดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287316 Wed, 17 Sep 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบุคลากร องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านโดยการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/285141 <p>บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของบุคลากรประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านโดยการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรม 2) เพื่อศึกษาผลเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านโดยการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรม 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านโดยการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรม ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 261 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานใช้ค่าเอฟ (F-Test) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ในกรณีตัวแปรต้นตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไป วิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน แล้วนำมาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรขององค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านมีความคิดเห็นว่าการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลใน 7 ด้านตามพันธกิจขององค์กรอยู่ในระดับมาก สะท้อนถึงผลสำเร็จของการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรที่มีการวางแผนล่วงหน้าและสอดคล้องกับแผนพัฒนาอื่น ๆ ขององค์กร 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่าผลโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง แม้การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานจะยังไม่เข้าถึงเต็มที่ในบางด้าน แต่ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนมีการวางแผนพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ 3) แนวทางการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมในการบริหารงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพันธกิจทั้ง 7 ด้านขององค์กร โดยสนับสนุนสมมติฐานทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ</p> จิรายุส สุดหล้า, ธีรทัศน์ โรจกิจจากุล, เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/285141 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบนวัตกรรมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันโดยเครือข่ายภาคประชาสังคม: การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287008 <p>การทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการทุจริต แต่รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการต่อต้านการทุจริตของเครือข่ายภาคประชาสังคมยังขาดการศึกษาอย่างเป็นระบบ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการทำงานของเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการทุจริต 2) เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อการต่อต้านการทุจริต และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการต่อต้านการทุจริตในระดับพื้นที่ การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยและพัฒนาโดยใช้แนวทางทฤษฎีฐานราก ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของประเทศด้านการป้องกันการทุจริต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม ATLAS.ti ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการทำงานของเครือข่ายเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาการทุจริตอย่างลึกซึ้งก่อนพัฒนากลไกการดำเนินงานที่มีการมีส่วนร่วมเป็นหัวใจหลัก การพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเกิดจากการบูรณาการระหว่างกลไกการดำเนินงานและการสร้างจิตสำนึกแบบองค์รวมบนฐานหลักพุทธธรรม ส่งผลให้เกิดรูปแบบนวัตกรรมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันโดยเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ฐานรากหลักพุทธธรรม (อริยสัจ 4 อิทธิบาท 4 สัปปุริสธรรม 7) ชั้นความเข้าใจ ชั้นกลไกการดำเนินงาน ชั้นจิตสำนึกและแรงจูงใจ โครงสร้างเครือข่าย และกระบวนการทำงาน 4 ขั้นตอน องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นคือการบูรณาการหลักพุทธธรรมเข้ากับกลไกการต่อต้านการทุจริตสมัยใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย โดยเฉพาะการใช้หิริโอตตัปปะเป็นนวัตกรรมทางจิตใจและการสร้างระบบนิเวศการต่อต้านการทุจริตแบบองค์รวม ข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้ ได้แก่ การพัฒนาเครื่องมือประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตในระดับพื้นที่ การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการร้องเรียนและเฝ้าระวัง การฝึกอบรมผู้นำเครือข่ายตามหลักพุทธธรรม และการขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ อย่างเป็นระบบ</p> นรภัทร เดโชพยัตชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287008 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 กลไกการจัดการเชิงพื้นที่แบบสร้างสรรค์กรณีศึกษา : ชุมชนบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286834 <p> บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเชิงพื้นที่ของชุมชนบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อพัฒนากลไกการจัดการเชิงพื้นที่ของชุมชนบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบกลไกการจัดการเชิงพื้นที่สร้างสรรค์ของชุมชนบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด คณะกรรมการชุมชน กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเศรษฐกิจบริเวนรอบบึงสีไฟ รวมจำนวน 37 คน และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้านเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. การจัดการเชิงพื้นที่ของชุมชนบึงสีไฟ อาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน และภาคเอกชน โดยมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่บึงสีไฟ อย่างหลากหลาย ซึ่งได้แก่ การประมง การเกษตร การท่องเที่ยว และกิจกรรมวัฒนธรรมชุมชน ในประเด็นการจัดระเบียบพื้นที่ พบว่า มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ขัดแย้งกัน และการขาดกลไกการแก้ปัญหาที่ชัดเจน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลไกการจัดการเชิงพื้นที่ของชุมชนบึงสีไฟ เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ </span><span style="font-size: 0.875rem;">โดยกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน มีการจัดตั้งคณะทำงานหรือศูนย์กลางประสานงานร่วมของชุมชน สนับสนุนการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการตัดสินใจ รวมทั้งพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมที่เปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มมีเสียงในการกำหนดทิศทางของพื้นที่</span></p> <p>3. รูปแบบกลไกการจัดการเชิงพื้นที่สร้างสรรค์ของชุมชนบึงสีไฟ เน้นการบูรณาการ 3 มิติหลัก ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจฐานราก และการท่องเที่ยว เน้นการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน เข้ามาการจัดการพื้นที่ ด้วยการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมใหม่ บนหลักคุณธรรม 5 ประการ (ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบ ความสามัคคี ความพอเพียง และสาธารณะ) ส่งผลให้เกิดรูปแบบกลไกที่สามารถใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน</p> พระปลัดทัศนพล เขมจาโร, สุขเกษม ขุนทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286834 Thu, 11 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาความสำเร็จของพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287359 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสำเร็จของพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนารูปแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในองค์กรต่าง ๆ เพื่อยกระดับความสำเร็จของพนักงาน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย จำนวน 400 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและแบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญเลือกเจาะจง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล หัวหน้างานระดับกลาง ตัวแทนพนักงานผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยความสำเร็จของพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย ด้านบทบาทในการทำงานพนักงานรู้สึกไว้วางใจในความสามารถของตนเองและพอใจกับบทบาทที่รับผิดชอบ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลพนักงานรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมงานที่พร้อมช่วยเหลือทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ด้านการเงินพนักงานพึงพอใจกับสวัสดิการที่ได้รับ ความก้าวหน้าในการเลื่อนตำแหน่งพนักงานที่ว่า ได้รับการไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาในการรับผิดชอบงานสำคัญที่เป็นผู้นำโครงการ 2) อิทธิบาท 4 และคุณภาพชีวิตในการทำงานส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ความสำเร็จของพนักงานในองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย 3) แนวทางการพัฒนารูปแบบองค์กรควรพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งการส่งเสริมคุณธรรมตามหลักอิทธิบาท 4 และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ความผูกพัน และความสำเร็จอย่างยั่งยืนของพนักงาน</p> ตรีมินทร์ เกษมวิรัติพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287359 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์อภิมานงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/285920 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินคุณภาพงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 2) ศึกษาคุณลักษณะของงานวิจัยที่มีผลต่อค่าขนาดอิทธิพล ของนวัตกรรมดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis) จากวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 155 เล่ม ซึ่งจัดทำในช่วงปี พ.ศ. 2553-2564 ผ่านเว็บไซต์ ThaiLIS โดยประเมินคุณภาพด้วยเกณฑ์จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) งานวิจัยส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพดี และ 2) คุณลักษณะของงานวิจัยที่มีผลต่อค่าขนาดอิทธิพลได้แก่ ประเภทของนวัตกรรม รูปแบบการสอน เทคนิคการสอน สื่อการเรียนรู้ และการบูรณาการ ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษานี้นำไปสู่ข้อเสนอแนวทางการเลือกใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและระดับชั้นเรียน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ในระยะยาว</p> อรจิรา พวงมาลัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/285920 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสังคมคุณธรรมต้นแบบเชิงพุทธในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287036 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพชุมชนในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 2) เพื่อศึกษารูปแบบการสร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรม ในอำเภอหล่มสัก จังหวัด เพชรบูรณ์ และ 3) เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรมต้นแบบเชิงพุทธ ในอำเภอหล่มสัก จังหวัดพชรบูรณ์ รูปแบบวิธีวิจัยเป็นรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยทำการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามแบบสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม จำนวน 30 รูป/คน แล้วนำมาเขียนเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพชุมชนในอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จากการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านอาชีพ คือเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ 2) ด้านประเพณี รักษาประเพณีฮีตสิบสองครองสิบสี่ 3) ด้านวัฒนธรรม ชุมชนแต่งกายผ้าไหมไทยท้องถิ่นในงานบุญประเพณีต่าง ๆ และ 4) ด้านเศรษฐกิจ ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นต้นแบบ</p> <p> รูปแบบการสร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรม จากผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการทำกิจกรรม โดยใช้พลัง “บวร” คือ หลักพุทธธรรม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ หลักอนุรักษ์วัฒนธรรม 2) สร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรมเชิงพัฒนา ช่วยเหลือพึงพากัน 3) กิจกรรมของเครือข่าย มีปลูกต้นไม้ร่วมกันในวันสำคัญ และ 4) มีเป้าหมายวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างเครือข่าย โดยมีโครงการคุณธรรมต้นแบบในการสร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรม</p> <p>การพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายชุมชนคุณธรรมต้นแบบเชิงพุทธ ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักการพัฒนา 2) วิธีการดำเนินการ คือ ปรับทุกข์ ผูกมิตร พิชิตคู่ขัดแย้ง โดยสร้างกิจกรรมเครือข่ายและขายของออนไลน์ในช่วงโควิด-19 การฝึกอานาปานสติ มีสติมากขึ้นเสริมสร้างสุขภาพปอดให้แข็งแรง ลดความเครียด ควบคุมอารมณ์สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ดี หลักสังคหวัตถุ 4 คือ การแบ่งปัน วาจาสุภาพ การช่วยเหลือกัน และวางตนเสมอต้นเสมอปลาย และหลักเบญจศีล-เบญจธรรม คือ มีเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีพ สำรวมในกาม จริงใจต่อกัน ลดละเลิกของมึนเมาโดยมีโครงการคุณธรรมต้นแบบเป็นหลัก</p> สราวุฒย์ วิจิตรปัญญา, พระครูสิริพัชรโสภิต, พระปริยัติพัชราภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287036 Wed, 03 Sep 2025 00:00:00 +0700 นโยบายและกลไกการขับเคลื่อนการจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดพิจิตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286902 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพการจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นแบบสู่การจัดการตนเอง 2) เพื่อศึกษากระบวนการจัดการตนเองขององค์กรปกครอง<br />ส่วนท้องถิ่นต้นแบบสู่การจัดการตนเอง 3) เพื่อพัฒนานโยบายและกลไกการขับเคลื่อนขององค์กรปกครอง<br />ส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิจิตรกับการพัฒนาสู่การจัดการตนเอง โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อสำคัญ จำนวน 18 คน และการสนทนากลุ่มเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 25 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นแบบมีศักยภาพในการจัดการตนเองผ่านนโยบายที่เน้นคุณภาพชีวิต การมีส่วนร่วม และธรรมาภิบาล ใช้ทุนทางปัญญา สังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และการเมืองเป็นฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรมภายในองค์กร พร้อมปรับตัวด้วยเทคโนโลยีและระบบประเมินผลอย่างต่อเนื่อง 2) กระบวนการจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นแบบ เน้นการกำหนด นโยบายและบริหารจัดการตามบริบทพื้นที่อย่างอิสระ โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากประชาชน ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการพัฒนางานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความอิสระทางการคลังและบริหาร บุคลากร พร้อมระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและนำไปสู่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการบริหารที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของชุมชนได้จริง 3) การพัฒนานโยบายและกลไกขับเคลื่อนการจัดการตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิจิตร มุ่งเน้นความยั่งยืน โปร่งใส และตอบสนองความต้องการประชาชนอย่าง แท้จริง โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรควบคู่กัน การสร้างเครือข่ายกับภาคประชาชนและการนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ทั้งนี้ การจัดการตนเองต้องอาศัยทุนด้านต่าง ๆ และการบริหารอย่างสมดุลเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งและ พึ่งพาตนเองได้</p> จันทนา กองกันภัย, สุขเกษม ขุนทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286902 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชาจังหวัดสระแก้ว https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287492 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการเข้ามาทำงานในฝั่งประเทศไทยของแรงงานข้ามชาติกัมพูชา 3) เพื่อศึกษาการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมีผลดีผลเสียในการเข้ามาทำงานในประเทศไทย</p> <p>บทความวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการศึกษาเป็นกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้าง กลุ่มเกษตรกรรม กลุ่มห้างร้านค้าพาณิชย์แถบบริเวณชายแดน ได้มาโดยการกำหนดขนาดแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) มีการภาวะการพึ่งพาด้านใช้แรงงานมากกว่าแรงงานด้านทักษะความเชี่ยวชาญ เพราะยังขาดแคลนคนทำงานในระดับการใช้แรงงาน การนำเข้าแรงงานข้ามชาติขึ้นอยู่กับธุรกิจของฝั่งประเทศไทย ถ้าเป็นธุรกิจด้านเกษตรกรรม แรงงงานที่เข้ามาก็จะเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ส่วนธุรกิจห้างร้านพาณิชย์ และ ธุรกิจก่อสร้างนั้นต้องการความต่อเนื่องในการทำงาน ดังนั้นการนำเข้าแรงงานค่อนข้างจะเน้นถึงความถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีกระบวนการนำเข้าแรงงานอย่างชัดเจน และเป็นที่ชัดเจนว่าปัจจุบันแรงงานข้ามชาติล้วนเป็นที่ต้องการในระดับการใช้แรงงานเป็นหลัก 2) ปัจจัยที่มาจากประเทศต้นทางคือความต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ปัจจัย 4 สวัสดิการที่ดีในการทำงาน ด้านประเทศปลายทางมีความต้องการแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานเนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานและต้องการแรงงานที่อดทนต่องานหนักและทำงานได้ต่อเนื่องจึงต้องการแรงงานข้ามชาติมาทำงานในสถานประกอบการ 3) ข้อดีของการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา ทำให้ผู้ประกอบการเกษตรกรรมมีการดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว ถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นจากการที่ได้จ้างแรงงานข้ามชาติ ส่วนข้อเสียนั้น อาจเป็นเรื่องของการสื่อสาร แต่เมื่ออยู่ไปก็สามารถพูดภาษาไทยได้ และข้อเสียอีกอย่างคือ บางครั้งต้องมีการลงทุนเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรับเข้ามาทำงานด้วยซึ่งนายจ้างเองก็อาจโดยลูกจ้างทิ้งงานได้</p> วิชาญชัย บุญแสง, กฤษณ์ รักชาติเจริญ, สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ, ภัทร์ พลอยแหวน, สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์, ธนากร มูลพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287492 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรมในโรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา: กรณีศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตเมืองพระนครศรีอยุธยา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286116 <p>การวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรมในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา 4 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรม รวมถึงนำเสนอแนวทางการพัฒนาวิถีชีวิตประชาธิปไตย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง อายุเฉลี่ย 15.52 ปี กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และอาศัยอยู่กับบิดามารดา โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประชาธิปไตยทั้งด้านการรับรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติ อยู่ในระดับมาก องค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรม ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก คือ ด้านศีล เน้นการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง ผ่านกิจกรรมเช่น การเลือกตั้งสภานักเรียนและงานจิตอาสา ด้านสมาธิ มุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจผ่านการฝึกสมาธิ การสะท้อนคิด และการศึกษาชีวประวัติบุคคลสำคัญ ด้านปัญญา ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้. แนวทางการพัฒนาประชาธิปไตยตามหลักพุทธธรรม มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ตรง ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเลือกตั้งสภานักเรียน การแสดงความคิดเห็น และการทำโครงงานจิตอาสา (ศีล) พัฒนาจิตใจและสติปัญญาผ่านการฝึกสมาธิ การสะท้อนคิด และการศึกษาชีวประวัติบุคคลสำคัญ (สมาธิ) ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจ เช่น แพลตฟอร์มประชาธิปไตยดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยีในการจำลองสถานการณ์ (ปัญญา)</p> พลวัฒน์ ชุมสุข, ลลดาภัทร หมั่นกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286116 Sun, 14 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงสมาธิ ของวัดและประชาชนในจังหวัดลำปาง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287081 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจสภาพการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสมาธิ 2) เพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสมาธิ และ 3) เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอรูปแบบกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสมาธิ ของวัดและประชาชนในจังหวัดลำปาง โดยใช้การวิจัยเชิงผสานวิธี (Mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวจำนวน 165 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำเสนอผลทั้งในรูปแบบตารางและการบรรยาย และการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ พระสงฆ์ ประชาชนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว จำนวน 30 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง รวมถึงผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 12 คน ประกอบด้วยพระสงฆ์ คฤหัสถ์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางพระพุทธศาสนา โดยใช้การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสังเกต และการสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า </strong></p> <p>1) สภาพการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสมาธิของวัดในจังหวัดลำปางอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยด้านสภาพแวดล้อมมีค่าเฉลี่ย ( x̄=4.20) ด้านการให้บริการมีค่าเฉลี่ย (x̄=4.18) ด้านการใช้สื่อและสัญลักษณ์มีค่าเฉลี่ย ( x̄=4.30) และด้านแหล่งเรียนรู้ที่มีสาระประโยชน์มีค่าเฉลี่ย ( x̄=4.30)</p> <p>2) กระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสมาธิ พบว่ามีการส่งเสริมสร้างแรงจูงใจแก่นักท่องเที่ยว มีรูปแบบที่เหมาะสมแก่ผู้มาปฏิบัติธรรม ร่วมกันปรับปรุงสถานที่ใช้รองรับความต้องแก่นักท่องเที่ยว ได้วางแผนการดำเนินงาน: จัดอาคารสถานที่พร้อมสะอาดปลอดภัยรับรองผู้ปฏิบัติธรรม</p> <p>3) รูปแบบกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสมาธิ มีพระวิปัสสนาจารย์ แนะนำประชาชนและนิสิต ทำหลักสูตรการฝึกสมาธิ มีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เป็นสถานที่ฝึกสมาธิ จัดทำสื่อ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ร่วมกับประชาชนแบบมีส่วนร่วมต่อไป</p> พระครูสุตชยาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287081 Tue, 02 Dec 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการสร้างและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์ ของนักเรียนในกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286911 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียนในกรุงเทพมหานคร 2) พัฒนาชุดกิจกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ และ 3) นำเสนอรูปแบบชุดกิจกรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนในกรุงเทพมหานคร การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 9 คน ได้แก่ ผู้บริหาร ครูผู้สอน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ตลอดจนจัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 20 คนในโรงเรียนวัดสุทธิวรารามที่เข้าร่วมโดยสมัครใจ พื้นที่วิจัยประกอบด้วยระดับนโยบายที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 ระดับการบริหารจัดการที่โรงเรียนวัดสุทธิวรารามและโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย และระดับปฏิบัติการที่ครูผู้สอนในโรงเรียนทั้งสองแห่ง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีที่ต้องได้รับการชี้นำและควบคุม เพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบ ขณะเดียวกันโรงเรียนได้นำนโยบายด้านเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบโครงการหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่าน AI และการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ ทำให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจและมีผลงานออนไลน์ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การพัฒนาชุดกิจกรรมช่วยให้นักเรียนมีทักษะเพิ่มขึ้นทั้งด้านการศึกษา การใช้ในชีวิตประจำวัน และการสร้างเครือข่ายสังคม โดยเน้นการสอดแทรกจริยธรรมในมิติความดี ความงาม และความสุข เพื่อปลูกฝังการใช้เทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมและมีวิจารณญาณ</p> <p>นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้หากมีการดูแลและกลั่นกรองข้อมูลจากครอบครัวและโรงเรียนร่วมกัน การอภิปรายผลสะท้อนว่า การจัดการเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้มีทั้งทักษะดิจิทัล ความคิดสร้างสรรค์ และคุณธรรม อันจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต</p> ดวงกมล เจียรวุฒิกุล , สุขเกษม ขุนทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/286911 Mon, 08 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุเชิงพุทธ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287551 <p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุเชิงพุทธ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม รวม 30 รูป/คน แล้วนำมาวิเคราะห์เชิงพรรณนาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาการส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุเชิงพุทธ 2) ศึกษาการส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุเชิงพุทธของโรงเรียนผู้สูงอายุ จังหวัดเพชรบูรณ์ และ 3) นำเสนอการพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุเชิงพุทธในพื้นที่วิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาศักยภาพผู้สูงอายุเชิงพุทธแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านกาย พบความเสื่อมและเจ็บป่วยของร่างกาย 2) ด้านสังคม (ศีล) พบการขาดการรักษาศีล 3) ด้านจิตใจ การมีส่วนร่วมกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุและการฟังพระธรรมเทศนา 4) ด้านปัญญา การเข้าวัดเพื่อนำหลักธรรมมาปรับใช้กับเหตุการณ์ในชีวิต และ 5) ด้านเศรษฐกิจ การมีรายได้ไม่เพียงพอและต้องหาอาชีพเสริม</p> <p>การส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุเชิงพุทธของโรงเรียนผู้สูงอายุ จังหวัดเพชรบูรณ์: พบว่า การนำหลักภาวนา 4 มาปรับใช้ในการส่งเสริมการพัณนาศักยภาพเชิงพุทธ ในด้านกายภาวนา ใช้การนั่งสมาธิ การออกกําลังกาย การฝึกโยคะ, ในด้านสังคม (ศีล) ได้ใช้กลุ่มบําบัด กลุ่มความเอื้ออาทร กลุ่มกัลยาณมิตรผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน, ในด้านจิตใจ ได้ใช้การผ่อนคลายแบบต่าง ๆ การฝึกการหายใจ การใช้ดนตรีช่วยบําบัด, ในด้านปัญญา ใช้การสวดมนต์ การแผ่เมตตา การฝึกสมาธิวิปัสสนา</p> <p>การพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุเชิงพุทธอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์: พบว่า ได้จัดทำแผนการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการส่งเสริมศักยภาพชีวิตผู้สูงอายุ 4 รูปแบบ คือ รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพด้านร่างกาย มีกิจกรรมออกกำลังกาย, รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพด้านสังคม (ศีล) มีกิจกรรมฝึกทักษะพัฒนาคุณภาพชีวิต, รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพด้านจิตใจ มีการนำพาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน, รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพด้านปัญญา มีการฝึกฝนอบรมความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ถูกผิด</p> พระครูประโชติพัชรพงศ์, พระมหาภาคภูมิ ภทฺทเมธี, พระครูปริยัติพัชรธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/287551 Thu, 04 Sep 2025 00:00:00 +0700