มจร การพัฒนาสังคม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD <p><strong>วารสาร มจร การพัฒนาสังคม </strong><strong>ISSN (Print): 2539-5718, ISSN (Online): 2651-1215 </strong></p> <p>มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ หรือบทความปริทัศน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย โดยเน้นสาขาวิชาการพัฒนาสังคม สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชม เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>บทความที่นำมาตีพิมพ์ในแต่ละฉบับ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์ตามรูปแบบเป็นขั้นแรก แล้วจัดส่งผู้ทรงคุณวุฒิร่วมกลั่นกรอง (Peer Review) จำนวน 3 ท่าน ประเมินบทความตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนดในลักษณะเป็น Double-Blind Peer Review คือ ปกปิดรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้เกี่ยวข้อง</p> <p>บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร</p> <p>ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความวารสารถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นๆ มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการฯ</p> <p>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว</p> th-TH narongchailopburi@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง) narongchailopburi@gmail.com (นายณรงค์ชัย คงเพ็ชร) Sat, 04 May 2024 04:05:17 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มร.สส. https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267701 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อเพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่เรียนในรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้ และ 2) ทดลองใช้และตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนในรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ผลการวิจัย พบว่า 1) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่ได้ คือ&nbsp; แผนการสอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนุสนันทา รายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้ ประกอบด้วย เนื้อหาและรายละเอียดของเนื้อหา วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม วิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน และการวัดและการประเมินผล 2) ผลการพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา พบว่า นักศึกษามีทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมโดยภาพรวมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 77.84 และ 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่มีต่อแผนการสอน อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุดทั้งสองกลุ่มเรียน</p> กัญญ์รัชการย์ เลิศอมรศักดิ์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267701 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ชุมชนแห่งความปึกแผ่น: บทบาทการสร้างบูรณาการทางสังคมของ พระธรรมทูตไทยในสวีเดน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269559 <p>สถานการณ์การย้ายถิ่นของคนไทยไปต่างประเทศถูกให้ความสนใจในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีการศึกษาออกไปอย่างแตกต่างหลากหลาย การศึกษาครั้งนี้ให้ความสนใจไปที่บทบาทการสร้างการ<br>บูรณาการทางสังคมของพระธรรมทูตไทยในสวีเดนที่มีต่อชุมชนคนไทยในประเทศสวีเดน ภายใต้กรอบของวัตถุประสงค์การวิจัยคือ 1) ศึกษาคุณลักษณะของพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ 2) วิเคราะห์บทบาทการสร้างชุมชนคนไทยให้มีความเป็นปึกแผ่นของพระธรรมทูตไทยในสวีเดน และ 3) วิเคราะห์แนวทางการพัฒนาบทบาทพระธรรมทูตไทยในสวีเดน โดยอาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อการทำความเข้าใจด้วยเทคนิคการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและการสนทนากลุ่มจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 25 รูป/คน เมื่อได้รับข้อมูลการวิจัยครบถ้วนแล้ว ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า พระธรรมทูตไทยในสวีเดนมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างการบูรณาการทางสังคมให้กับชุมชนคนไทยในสวีเดนภายใต้คุณลักษณะของพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศที่มุ่งเผยแผ่หลักพุทธธรรมคำสอนและปฏิบัติการการใช้ชีวิตตามแนวพระพุทธศาสนาจนก่อรูปเป็นบทบาทหลัก 3 บทบาท ประกอบด้วย 1) การเป็นหมุดยึดของเครือข่ายคนไทยในสวีเดน 2) การระดมทรัพยากรเพื่อทำกิจกรรมทางศาสนา และ 3) การผู้ประสานของเครือข่ายทางสังคม นอกจากนี้ งานวิจัยครั้งนี้ได้เสนอให้พระธรรมทูตไทยในสวีเดนได้พัฒนาแนวทางและบทบาทของตนด้วยการสร้างเครือข่ายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศสวีเดนและการพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของบทบาทได้ต่อไป</p> ภูเบศ วณิชชานนท์, สายชล ปัญญชิต Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269559 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266187 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษายุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ 2) ศึกษากระบวนการการกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ และ 3) วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และผลลัพธ์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จำนวน 28 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการพรรณนาเชิงวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ยุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ การสร้างความเท่าเทียมกันเสมอภาคกัน การประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความเท่าเทียมกันในสังคมตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยหน่วยงานของรัฐ การลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรม 2. กระบวนการการกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐ การวางแผนกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐการวางแผนยุทธศาสตร์สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจัดทำขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 3. วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และผลลัพธ์การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมโดยหน่วยงานของรัฐยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายสาธารณะลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน โดยรัฐพึงจัดให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทำให้คนมีความเท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มุ่งมั่น ทุ่มเท พัฒนาประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล หลักคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หลักการของ SDGs และการทำงานร่วมกันกับภาคส่วนต่างๆ บนพื้นฐานของการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชน</p> วิภาวี คุปติมาลาธร Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266187 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265803 <p>การศึกษาเรื่อง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน วัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน วัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) เพื่อนำเสนอการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน วัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ครูประจำโรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 9 ท่าน โรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)</p> <p>ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <ol> <li class="show">สภาพทั่วไปการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้ของวิชาลูกเสือเนตรนารี มี 9 อย่าง ประกอบด้วย การปฐมนิเทศ วิชาการบุกเบิก วิชาล่าม การสอนหน้าที่พลเมือง วิชาการฝึกเป็นผู้นำ วิชาการอนุรักษ์ธรรมชาติ วิชานักอุตุนิยมวิทยา วิชาพลาธิการ และการทดสอบภาคทฤษฎี</li> <li class="show">การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 พบว่า มีวิธีการในการแก้ปัญหา เป็นขั้นตอนการคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุผล ซึ่งประกอบไปด้วย 1) ขั้นทุกข์ คือ ปัญหา 2) ขั้นสมุทัย คือ สาเหตุของปัญหานั้น 3) ขั้นนิโรธ คือ ทดลอง และเก็บรวบรวบรวมข้อมูล 4) ขั้นมรรค คือ ขั้นวิเคราะห์ และสรุปผล</li> <li class="show">การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาลูกเสือโดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามหลักอริยสัจ 4 เพื่อพัฒนาระเบียบวินัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า หลักปฏิบัติตามหลักของหัวใจวินัยลูกเสือเนตรนารี 9 ประการ คือ ตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ โหดร้ายไม่มี ทำดีเรื่อยไป การงานผ่องใส่ จิตใจสะอาด และนำพาชีวิตของตนเจริญ</li> </ol> บุญยานุช สุขร่าง, สมชัย ศรีนอก , สายรุ้ง บุบผาพันธ์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265803 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ของนักศึกษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาประจำปี2565 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267197 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องการจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ของนักศึกษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาประจำปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาจีนที่มีต่อการเรียนการสอนออนไลน์ โดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนักศึกษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาจำนวน 200 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย One Way Anova (F-test), Pearson’s product moment correlation coefficient ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาที่มีต่อแผนการสอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนุสนันทา รายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้ พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาจีนที่มีต่อการเรียนการสอนออนไลน์ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.74 ซึ่งเป็นความพึงพอใจในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านวิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.55 รองลงมา คือ ด้านความสอดคล้องกับสถานการณ์ และด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.49 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.77 ด้านปัจจัยที่สนับสนุนการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.81 และด้านครูอาจารย์หรือวิทยากรผู้สอนมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.74</p> กัญญ์รัชการย์ เลิศอมรศักดิ์, นภาวรรณ ลับบัวงาม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267197 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบนวัตกรรมการจัดการขยะแบบยั่งยืนโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271240 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและกระบวนการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน 2) เพื่อศึกษานวัตกรรมด้านการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบนวัตกรรมการจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน (Mix-method Research) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; </strong></p> <ol> <li class="show">การจัดการขยะควรดำเนินการควบคู่กันไปทั้งเรื่องการสร้างจิตสำนึกไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง การสร้างนโยบายสาธารณะที่จะทำให้ชุมชนมีมาตรการของตนเองในการดูแลและก่อให้เกิดผู้นำโดยธรรมชาติของชุมชนจนทำให้เกิดเครือข่ายกลุ่มย่อยและขยายเป็นกลุ่มใหญ่ได้ ปัญหาที่พบ 1) ปริมาณขยะที่เพิ่มมากขึ้นทั้งที่เป็นขยะในพื้นที่และต่างพื้นที่ 2) สถานที่ พื้นที่ในการจัดการขยะหรือทิ้งขยะไม่เพียงพอ <br>3) การสร้างความร่วมมือในชุมชน ชุมชนยังไม่มีระบบการจัดการขยะชุมชนหรือบางชุมชนมีระบบการจัดการขยะชุมชนแต่ยังไม่ได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 4) การปลูกจิตสำนึกของคนในชุมชน นำขยะมาทำเป็นนวัตกรรม และ 5) การจัดสรรงบประมาณ งบประมาณของท้องถิ่นไม่เพียงพอต่อการจัดระบบการจัดเก็บขยะภายในชุมชน</li> <li class="show">นวัตกรรมด้านการจัดการขยะ ได้จัดกิจกรรมธนาคารขยะ โรงเรือนคัดแยกขยะชุมชน กิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิล ได้เรียนรู้จากการดูงานที่จังหวัดระยอง และการต่อยอดโครงการโดยการเลี้ยงไส้เดือน</li> <li class="show">รูปแบบนวัตกรรมการจัดการขยะ ประกอบด้วย 1. การปลูกฝังทัศนคติ 2. การบริหารจัดการเส้นทางการจัดเก็บขยะ 3. การให้ความร่วมมือ 4. งบประมาณ และ 5. นโยบาย</li> </ol> ศิริประภา นิลสยาม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271240 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้งตาม หลักสาราณียธรรม 6 สำหรับโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ลพบุรีเขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273333 <p>การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้ง 2. เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้งตามหลักสาราณียธรรม 6 และ 3. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้ง ตามหลักสาราณียธรรม 6 สำหรับโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 1กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการแจกแบบสอบถาม จำนวน 310 คน สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และดัชนีค่าความต้องการจำเป็น</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong></p> <ol> <li class="show">การศึกษาสภาพคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้ง สำหรับโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 มีโดยการศึกษาหาค่าดัชนีความต้องการจำเป็น PNImodifiedอยู่ระหว่าง 0.42 - 0.49 โดยภาพรวม PNImodified = 0.46 ด้านที่มีความต้องการจำเป็นที่พบว่ามีความสำคัญลำดับที่ 1 คือ ด้านบุคลิกภาพ ลำดับที่ 2 คือ ด้านการบริหารจัดการ ลำดับที่ 3 คือ ด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านความสามารถ ตามลำดับ</li> <li class="show">วิธีการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้งตามหลักสาราณียธรรม 6 โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. เมตตากายกรรม มี 8 วิธี 2. เมตตาวจีกรรม มี 3 วิธี 3. เมตตามโนกรรม มี 9 วิธี 4. สาธารณโภคี มี 12 วิธี 5. สีลสามัญญตา มี 3 วิธี 6. ทิฏฐิสามัญญตา มี 6 วิธี และ</li> <li class="show">แนวทางในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้งตามหลักสาราณียธรรม 6 แบ่งออกได้ 3 ส่วน ดังนี้ 1. คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้ง ได้แก่ บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ (ด้านการบริหารจัดการ) มีบุคลิกภาพที่ดี(ด้านบุคลิกภาพ) ยืดถือในคุณธรรม (ด้านคุณธรรมจริยธรรม) และเป็นผู้นำด้วยความสามารถ (ด้านความสามารถ) 2. ตามหลักสาราณียธรรม 6 และ 3. ขั้นตอนการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารความขัดแย้ง ได้แก่1.การเอาชนะ (Competition=C) มีแนวทางในการพัฒนาตามหลักสาราณียธรรม 6 11 แนวทาง 2.ร่วมมือ(Collaboration=C) มีแนวทางในการพัฒนาตามหลักสาราณียธรรม 6 11 แนวทาง 3.ประนีประนอม(Compromise=C) มีแนวทางในการพัฒนาตามหลักสาราณียธรรม 6 8 แนวทาง 4.หลีกเลี่ยง(Avoidance=A) มีแนวทางในการพัฒนาตามหลักสาราณียธรรม 6 9 แนวทาง 5.ยอมให้ (Accommodation=A) มีแนวทางในการพัฒนาตามหลักสาราณียธรรม 6 8 แนวทาง</li> </ol> ศิริวรรณ พิมาลัย Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273333 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267196 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 397 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย One Way Anova (F-test) ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านการเป็นเจ้าหน้าที่พรรคการเมืองและผู้รณรงค์หาเสียง ด้านการเป็นผู้สื่อข่าวสารทางการเมือง ด้านการเป็นผู้มีบทบาทในชุมชน ด้านการติดต่อกับทางราชการ และด้านการเป็นผู้ประท้วง ตามลำดับ และผลการเปรียบเทียบของระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร&nbsp; จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่าประชาชนที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แตกต่างกัน</p> บารมีบุญ แสงจันทร์, อนันต์ มณีรัตน์, ชานนท์ คันธฤทธิ์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267196 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตของแรงงานไทยวัยมิลเลนเนียล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269726 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตของแรงงานไทยวัยมิลเลนเนียล และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตของแรงงานไทยวัยมิลเลนเนียล ใช้ระเบียบวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยแบบวิจัยภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีงานทำ อายุระหว่าง 19-39 ปี (เกิดในปี 2524-2544) จำนวน 9,247 คน จากชุดข้อมูลระดับย่อยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ เมื่อตุลาคม-ธันวาคม 2563 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณา และสถิติ Chi-square เพื่อทดสอบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตของแรงงานไทยวัยมิลเลนเนียล ผลการวิจัยพบว่า แรงงานไทยวัยมิลเลนเนียลส่วนใหญ่ มีระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 72.8 และไม่มีการทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 13.5 โดยระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตระดับสูงพบในด้านการปฏิบัติงานพื้นฐานและด้านการเข้าถึงข้อมูลร้อยละ 47.4 และ 52.5 ตามลำดับ ส่วนระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตระดับต่ำพบในด้านการสร้างสรรค์เนื้อหา และด้านการสร้างเครือข่ายทางสังคม ร้อยละ 49.3 และ 60.2 ตามลำดับ ทั้งนี้พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการทำงานผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตของแรงงานไทยวัยมิลเลนเนียล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด เขตที่อยู่อาศัย สถานภาพการทำงาน และระดับการใช้อุปกรณ์เพื่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต</p> ปฏิภาณ ผลมาตย์, ดุษฎี อายุวัฒน์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269726 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268865 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรี ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 2) พัฒนารูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 และ 3) เพื่อรับรองรูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรี เป็นแนวทางการพัฒนาผู้นำและทักษะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ของผู้นำสตรีต่อไป ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา พื้นที่ที่ศึกษาคือกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ที่ประกอบด้วย 4 จังหวัด คือ นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาคือ 1) ผู้นำชุมชนในพื้นที่ที่ศึกษาจำนวน 15 คนเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ 2) ผู้นำชุมชนที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ จำนวน 8 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2564 ถึงกันยายน พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สําหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) สภาพการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรีในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 โดยเฉพาะการสื่อสารในการประชุมร่วมกันเป็นกลุ่ม มีอัตราส่วนน้อยกว่าผู้นำชุมชนบุรุษอย่างชัดเจน ทั้งด้านการสื่อสารการแสดงความคิดเห็นและด้านการสื่อสารในการสอบถามข้อสงสัยในที่ประชุม พบว่าผู้นำชุมชนสตรีไม่มั่นใจในการสื่อสารและไม่กล้าพูดสื่อสาร ไม่รู้วิธีพูดสื่อสาร เกรงใจที่ประชุม</p> <p>2) รูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรีที่พัฒนาขึ้น คือ PAR3S Model (พา-สาม-เอส-โม-เดล) มีปัจจัยหลัก 3 ด้านคือ ปัจจัยนำเข้า (Input) ปัจจัยด้านการสื่อสาร (Process) และปัจจัยนำออก (Output) และเส้นของข้อมูลสะท้อนกลับ (Feedback) โดยปัจจัยด้านการสื่อสารมีองค์ประกอบหลัก 6 ด้านคือ ด้านการสื่อสารอย่างมีหลักการ (P: Principle) ด้านการมีทัศนคติที่ดีต่อการสื่อสาร (A: Attitude) ด้านการรับรู้ผลลัพธ์และข้อมูลป้อนกลับ (R: Response and Feedback) ด้านการสื่อสารแบบมีโครงสร้าง (S: Structure) ด้านการสื่อสารแบบเป็นขั้นตอน (S: Step) และด้านการมีทักษะการสื่อสาร การใช้คำพูด (S: Skill) และองค์ประกอบย่อยภายในองค์ประกอบหลักแต่ละด้าน รวม 29 องค์ประกอบ</p> <p>3) การรับรองรูปแบบการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของผู้นำชุมชนสตรี เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะผู้นำด้านอื่นๆ ได้ผลการประเมินความเหมาะสมในการนำไปใช้โดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก</p> นิพัทธ์ กานตอัมพร , วรรณวีร์ บุญคุ้ม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268865 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268866 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแหล่งท่องเที่ยวชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ศึกษาคือชุมชนนาเกลือจังหวัดเพชรบุรี อำเภอบ้านแหลม ประกอบด้วย 5 ตำบล คือ ตำบลบ้านแหลม ตำบลบางขุนไทร ตำบลบางแก้ว ตำบลแหลมผักเบี้ย และตำบลปากทะเล ที่มีพื้นที่ติดทะเลอ่าวไทยและมีการทำนาเกลือ โดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือการวิจัยและพัฒนา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการลงพื้นที่ศึกษา ศึกษาสภาพของแหล่งท่องเที่ยวชุมชนนาเกลือ สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแหล่งการท่องเที่ยว ผู้ให้ข้อมูลและผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาคือ <br>1) ผู้ประกอบการ ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในชุมชนนาเกลือ จำนวน 20 คน เก็บข้อมูลโดยการสังเกต และสัมภาษณ์ 2) ผู้ประกอบการ ผู้นำชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ จำนวน 10 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก เครื่องมือที่ใช้คือ ประเด็นสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า&nbsp; </strong></p> <p>1. แหล่งท่องเที่ยวชุมชนนาเกลือจังหวัดเพชรบุรีเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวที่เป็นอัตลักษณ์ มีภูมิปัญญาการทำนาเกลือ มีทรัพยากรทางธรรมชาติด้านป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่อนุรักษ์นกทะเลและนกอพยพ มีวิถีชีวิตชุมชนนาเกลือและชาวเล ซึ่งแต่ละด้านสามารถส่งเสริมให้เกิดเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนเพิ่มมากขึ้นจากการประกอบอาชีพหลัก ข้อมูลจากการสัมภาษณ์บ่งชี้ว่าควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างความตระหนัก การรับรู้และความเข้าใจในการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนนาเกลือจังหวัดเพชรบุรีรูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรีที่พัฒนาขึ้นคือ “APPA MAC Model” ประกอบด้วย 1) A: Awareness (ความตระหนัก) 2) P: Participative Management (การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม) 3) P: Planning to Sustainability (การวางแผนสู่ความยั่งยืน) 4) A: Attractions (สิ่งดึงดูดใจ) 5) M: Man (คน) 6) A: Amenities (สิ่งอำนวยความสะดวก) และ 7) C: Coordinating (การประสานงาน) โดยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ความตระหนักในคุณค่าบริบททางสังคมและค่านิยม การพึ่งพาตนเอง ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญและผู้นำชุมชนพบว่า รูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรีที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในการนำไปใช้อยู่ในระดับมาก</p> <p>3. ผลการรับรองรูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี ผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นรับรองรูปแบบที่พัฒนาขึ้นว่าสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนนาเกลือสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรีได้</p> ศิรินทร พงษ์หา , วรรณวีร์ บุญคุ้ม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268866 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดนางลือ จังหวัดชัยนาท https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265857 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3&nbsp; โรงเรียนวัดนางลือ จังหวัดชัยนาท&nbsp; 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3&nbsp; โรงเรียนวัดนางลือ จังหวัดชัยนาท&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 รายวิชาพระพุทธศาสตร์ จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ และหาค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน และได้ค่า IOC เท่ากับ 0.99 และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 30 ข้อกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 11 คน</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">การจัดการเรียนรู้ตามหลักอริยสัจ 4 มีขั้นตอนที่ชัดเจน เป็นกระบวนการที่มาประสิทธิภาพนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ช่วยเสริมสร้าง พัฒนาผู้เรียนให้มีบทบาทในการคิดวิเคราะห์ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจกระบวนการสอนช่วยให้นักเรียนพัฒนาผู้เรียน ด้านการมีทักษะในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล ลงมือปฏิบัติ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง นำมาซึ่งคำตอบ ผลลัพธ์อย่างมีกระบวนการเรียนรู้&nbsp; และเกิดองค์ความรู้ใหม่</li> <li class="show">การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักอริยสัจ 4 ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนสูงกว่าก่อนเรียน ศาสนพิธี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย ()= 12.87 / 3.181&nbsp; หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย () = 26.53/1.756&nbsp;&nbsp; และผลการทดสอบค่า t-test ก่อนเรียนและหลังเรียนมีค่าทางสถิติที่ – 29.826 มีค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.000 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> </ol> พระปลัดอนุรักษ์ ขนฺติจิตฺโต Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265857 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดพิจิตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267806 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิทยานิพนธ์ เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดพิจิตรมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จังหวัดพิจิตรโดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้นำชุมชนในจังหวัดพิจิตร จำนวน 340 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน – 15 กรกฎาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์ไคสแควร์ และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง&nbsp; &nbsp;ร้อยละ 42.65 รองลงมา อยู่ในระดับน้อยร้อยละ 36.17 และอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 21.18 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีอิทธิพลและสามารถคาดทำนายการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p - value &lt; 0.05) ได้แก่ แรงจูงใจนโยบายด้านส่งเสริมสุขภาพ ทัศนคติ และความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยสามารถคาดทำนายได้ ร้อยละ 60.80 (R<sup>2</sup> = 0.608)</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้ เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชนในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยสร้างแรงจูงใจ ให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจ และส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องแก่ผู้นำชุมชน</p> ธนัตถ์ภัทร์ ภู่โพธิ์, วิราสิริริ์ วสีวีรสิร์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/267806 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266030 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2) เพื่อประเมินความต้องการเกี่ยวกับระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 3) เพื่อพัฒนาระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 4) เพื่อประเมินและรับรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิของการพัฒนาระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และ5) เพื่อนำเสนอระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยทำการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้าน รวมจำนวนทั้งสิ้น 17 รูป/คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ นำผล การสังเคราะห์ที่ได้พัฒนาระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา วิเคราะหขอมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธี 6’C Technic และใช้การตรวจสอบแบบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล (Methodological triangulation) &nbsp;เพื่อตรวจสอบ และยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และดำเนินการจัดสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) จากผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้าน รวมจำนวนทั้งสิ้น 13 รูป/คน เพื่อตรวจสอบคุณภาพการพัฒนาระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู ให้สมบูรณ์ จากนั้นนำเสนอระบบที่ได้ไปประเมินยืนยันระบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ด้วยการประเมินเฉพาะด้านประเมินความตรง (Validity) ความเที่ยง (Reliability) และการหาฉันทามติ (Consensus) ว่ามีความสมบูรณ์ในเนื้อหาสาระ คุณภาพ คุณลักษณะ คุณค่า ความเหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Connoisseurship) จำนวน 5 ท่าน และสรุปข้อค้นพบ และสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่</p> <p>ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <p>1) คุณลักษณะองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู คือ สภาพทั่วไปที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่นิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพได้เข้าไปฝึก ประกอบด้วย 1) บริบทโรงเรียน 2) หลักสูตร 3) ครูผู้สอน 4) เนื้อหาสาระ และ 5) การจัดการเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติวิชาชีพนิสิตครู คือ การเรียนรู้แก้ไขปัญหาสำหรับการฝึกปฏิบัติวิชาชีพในสถานศึกษาใน 7 ด้าน คือ 1) ด้านการเตรียมการสอนและสื่อการสอน 2) ด้านการดำเนินการสอน &nbsp;3) ด้านนักศึกษา ๔) ด้านอาจารย์นิเทศก์ 5) ด้านครูพี่เลี้ยง 6) ด้านโรงเรียนฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และ 7) ด้านการวิจัยในชั้น และทักษะวิชาชีพ คือ การเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาอย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ ความชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในงานวิจัยนี้ คือ การพัฒนาทักษะความเป็นครูวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 ใน 3 ด้าน คือ 1) ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะด้านสารสนเทศ การสื่อสาร และเทคโนโลยี และ 3) ทักษะด้านชีวิตและอาชีพเข้มแข็งในจรรยาบรรณ คุณธรรมจริยธรรม</p> <p>2) ระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประกอบด้วย มี 4 ประการ คือ 1) ทักษะดี หมายถึง ด้านการสอน ด้านการผลิตสื่อ ด้านการควบคุมชั้นเรียน ด้านการบรรยาย ด้านการคิดสร้างสรรค์ และด้านการปรับตัว 2) มีแผนการสอน หมายถึง มีมาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ และวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ 3) สื่อสารเก่ง หมายถึง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เมธีแตกฉาน วาจาผ่องใส่ ใส่ใจผู้ฟัง สื่อสารตรงเป้าเข้าประเด็น และมีจรรยาบรรณดี และ 4) เด่นเทคโนโลยี หมายถึง การเรียนรู้แบบไฮบริด เทคโนโลยีจากเกม การเรียนรู้แบบไมโคร เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และการเล่าเรื่องผ่านสื่อดิจิทัล</p> <p>3) ผลประเมินและรับรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิของการพัฒนาระบบการพัฒนาทักษะวิชาชีพการสอนสำหรับนิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยพิจารณาจากเกณฑ์ (Rating Scale) 5 ระดับ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมทุกด้าน เท่ากับ 5.00</p> พระมหาอานนท์ อานนฺโท, พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม , พระวิเทศพรหมคุณ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266030 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 สภาพปัจจุบันและปัญหาในอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวเพื่อการบริโภค ในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266646 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในอตุสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวเพื่อการบริโภคในกลุ่ม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน ใช้การสุ่มแบบเจาะจง ใช้กระบวนการตรวจสอบสามเส้าวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความทำการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยการวิเคราะห์เนื้อหาซึ่งได้จากเอกสารและการสัมภาษณ์ โดยคำนึงถึงบริบทและใช้การเขียนข้อความแบบบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและปัญหาในอุตสากกรรมมะพร้าวเพื่อบริโภคในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย&nbsp; ในภาพรวมกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย มีบุคลากรที่มีความรู้ ประสบการณ์ และมีความชำนาญการเฉพาะด้าน&nbsp; ที่จะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวเพื่อการบริโภคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ยังขาดทุนทรัพย์ในการขยายกิจการและการนำเข้าเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแปรรูป</p> ทานตะวัน บุญเล็ก, ชัยวุฒิ จันมา, เกียริติชัย วีระญาณนนท์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266646 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนวัดวังเคียน จังหวัดชัยนาท https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265856 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนวัดวังเคียน จังหวัดชัยนาท 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1&nbsp; โรงเรียนชุมชนวัดวังเคียน จังหวัดชัยนาท เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 รายวิชาพระพุทธศาสนา และหาค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 30 ข้อกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 17 คน</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ผลการศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนวัดวังเคียน จังหวัดชัยนาท พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากหลักอิทธิบาท 4 เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางชัดเจนในการจัดการเรียนรู้ แก้ปัญหาการเรียนการสอนได้ตรงประเด็นความพยายามในการร่วมกิจกรรม เอาใจใส่ในกิจกรรมนั้น รวมไปถึงตรวจสอบความผิดพลาดของตนเองให้สมบูรณ์เป็นการนำเอาหลักธรรมมาใช้</li> <li class="show">ผลการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการจัดการเรียนรู้ตามหลักอิทธิบาท 4 ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนวัดวังเคียน จังหวัดชัยนาท ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย ()= 11.87 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย () = 27.53&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน = 3.120 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) หลังเรียน = 1.560 และผลการทดสอบค่า t-test ก่อนเรียนและหลังเรียนมีค่าทางสถิติที่ – 29.826 มีค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.000 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</li> </ol> พระมหาธีรไนย ปริยตฺติเมธี Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265856 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการพัฒนาสังคมตามหลักฆราวาสธรรมเพื่อการเป็นชุมชนเข้มแข็ง กรณีศึกษาชุมชนบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265843 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่องกระบวนการพัฒนาสังคมตามหลักฆราวาสธรรมเพื่อการเป็นชุมชนเข้มแข็ง กรณีศึกษาชุมชนบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง&nbsp; อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพชุมชนตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาชุมชนตามหลักฆราวาสธรรมเพื่อการเป็นชุมชนเข้มแข็ง กรณีศึกษาชุมชนบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง&nbsp; อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) นำเสนอแนวทางกระบวนการพัฒนาชุมชนตามหลักฆราวาสธรรมเพื่อการเป็นชุมชนเข้มแข็ง กรณีศึกษาชุมชนบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง&nbsp; อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยมีระเบียบวิธีการวิจัยคือ งานวิจัยเชิงผสานวิธี โดยใช้สถิติวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพชุมชนตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจาดเดิมหลากหลายมากขึ้นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปจากชุมชนคือความสามัคคีและการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน 2) กระบวนการพัฒนาสังคมตามหลักฆราวาสธรรมเพื่อการเป็นชุมชนเข้มแข็ง กรณีศึกษาชุมชนบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (&nbsp;=๓.๘๗ ) เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 3) นำเอาหลักของความจริงใจ เชื่อใจ และไว้ใจ มาใช้ในการดำเนินชีวิต ทุกคนต้องมีการข่มใจ การปรับตัว ฝึกตน ข่มจิต มีความอดทนอดกลั้น และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน</p> พระนพดล อนาลโย (บุญประจักษ์) Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265843 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสาธิต ในจังหวัดนครปฐม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271168 <p>บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่องรูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสาธิต ในจังหวัดนครปฐม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียน และ 3) ทดลองใช้ ประเมิน ปรับปรุงรูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียน เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนสาธิต ในจังหวัดนครปฐม รวม 291 คน ได้มาด้วยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ 1) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในโรงเรียนสาธิต 21 คน และ 2) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในโรงเรียนสาธิต 9 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง รวบรวมข้อมูลโดยการสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึก และจัดสนทนากลุ่ม</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong>&nbsp;</p> <p>(1) สภาพกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียนในโรงเรียนสาธิต มีกิจกรรมนันทนาการที่หลากหลาย</p> <p>(2) รูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียนที่พัฒนาขึ้นคือ Dokkaew Moodel (ดอกแก้วโมเดล) มี 7 องค์ประกอบคือ 1) D: Demonstration Demand 2) O: Objective &nbsp;3) K: Knowledge &nbsp;4) K: Keen 5) A: Activity 6) E: Enjoyment และ 7) W: Wise โดยผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่า รูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความสุขของนักเรียนมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด และ</p> <p>(3) ผลการทดลองใช้ ประเมิน ปรับปรุงรูปแบบกิจกรรมนันทนาการแบบมีส่วนร่วมที่พัฒนาขึ้น พบว่า หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการนักเรียนมีความสุขอยู่ระดับในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรกคือ รู้สึกว่ากิจกรรมช่วยลดความเครียด กิจกรรมช่วยให้เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และกิจกรรมทำให้เกิดประสบการณ์ในชีวิต</p> <p>&nbsp;</p> ดวงนภา ศรีนันทวงศ์, คณิต เขียววิชัย , วรรณวีร์ บุญคุ้ม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/271168 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจวิสาหกิจชุมชนตะกร้าอยุธยาศิณีโดยทีมมจร.จิตอาสา กบเจา โครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาค 14 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272828 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจของ<em>วิสาหกิจชุมชนตะกร้าอยุธยาศินี</em> (ABCE) ด้วยเกณฑ์ประเมิน<em>แบบจำลองความสำเร็จในการประกอบการกีเซนอัมสเตอรดัม</em><em> (GSADm)</em> และด้วยเกณฑ์ประเมินของ<em>โครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น </em>(AOSyprt) ในช่วงก่อน (2561) และหลัง (2562) การพัฒนาโดย<em>ทีมมจร.จิตอาสากบเจา</em> (MCUkvt) ใน AOSyprt จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาค 14 &nbsp;2) ศึกษารูปแบบและกระบวนการยกระดับ<em>ศักยภาพทางธุรกิจ</em> (BP) ของ ABCE โดย MCUkvt ทั้ง 5 ด้านคือ 1. การบริหารจัดการ 2. การผลิต/แรงงานและจัดหาวัตถุดิบ 3. การแปรรูปผลิตภัณฑ์และออกแบบบรรจุภัณฑ์ 4. การตลาดและช่องทางจัดจำหน่าย&nbsp; 5. การจัดทำบัญชีธุรกิจ และหลักธรรมในการทำงาน 3) ศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมการยกระดับ BP ของ ABCE ขององค์กรเครือข่าย&nbsp; 4) นำเสนอองค์ความรู้และรูปแบบการยกระดับBP ของ ABCE ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกศึกษากับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 21 คนจาก 3 ฝ่ายคือ MCUkvt, ABCE, และกลุ่มองค์กรเครือข่าย</p> <p>ผลพบว่า สภาพการดำเนินธุรกิจของ ABCE ในช่วงหลังการพัฒนาโดย MCUkvt อยู่ในระดับที่สูง/ดีกว่าในช่วงก่อนการพัฒนาทั้งสองเกณฑ์ประเมิน ส่วนรูปแบบการยกระดับ BP คือ PKBAE ที่เป็นกระบวนการพัฒนา 4 ขั้นในทุกด้านของศักยภาพทางธุรกิจคือ 1) Planning 2) Knowledge &amp; Buddhism 3) Action 4) Evaluation ส่วนรูปแบบการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่ายในการยกระดับ BP ใช้แบบ DIBE คือ 1. Decision Making 2. Implementation 3. Benefits และ 4. Evaluation โดยนำเสนอผลวิจัยในพิธีปิด AOSyprt ปี 2562 และผ่านสื่อออนไลน์ของ ABCE กรมพัฒนาชุมชม ธนาคารออมสิน และมจร.</p> <p>ส่วนผลติดตามการใช้ประโยชน์ผลวิจัยพบว่า ABCE ยังนำองค์ความรู้ รูปแบบและกระบวนการที่ได้เรียนไปใช้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นช่วงโรคระบาดโควิด 19 เกือบ 3 ปี(2563-2565) และอุทกภัยน้ำท่วมพื้นที่เกือบ 3 เดือน (สค.-ตค. 2565) ซึ่งทำให้ชุมชนสามารถทำผลรายได้อย่างน่าพอใจและมีหลักธรรมช่วยให้มีสติและกำลังใจในการดำเนินวิสาหกิจต่อไป</p> อุบลวรรณา ภวกานันท์ , วิวัฒน์ หามนตรี Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/272828 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนในตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273385 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนในตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของชุมชนในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนในตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และ 3. เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกับการแก้ไขปัญหาความยากจนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนในตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้บริหารท้องถิ่น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมจำนวน 12 ท่าน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนในตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ได้ยึดหลักการพัฒนา 5 ประการประกอบด้วย หลักความพอประมาณ หลักการมีเหตุผล หลักการมีภูมิคุ้มกันที่ดี หลักเงื่อนไขความรู้ และหลักเงื่อนไขคุณธรรม โดยผู้นำชุมชนและคนในชุมชนบูรณาการหลักการเหล่านี้มาพัฒนาชุมชนอย่างเต็มศักยภาพ</li> <li class="show">ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของชุมชน ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน ได้แก่ บุคลากร การจัดสรรงบประมาณ กระบวนการบริหารจัดการ ทรัพยากรต่าง ๆ และเทคโนโยลีและนวัตกรรม ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ ด้านสังคม ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ และด้านการเมืองและการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ</li> <li class="show">การวิเคราะห์การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกับการแก้ไขปัญหาความยากจนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยชุมชนอาศัยองค์ประกอบ 4 ประการเข้ามาบริหารจัดการเพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้แก่ การวางแผน การลงมือปฏิบัติ การตรวจสอบการประเมินผล และการปรับปรุงและการพัฒนา</li> </ol> Phra Daooudone Innakhone Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273385 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนในตำบลแสนพันอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273256 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และ 3) เพื่อวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กับการพึ่งพาตนเองของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารท้องถิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 16 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">การพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้าน ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีท้องถิ่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านจิตใจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม มีลักษณะเป็นการรวมตัวกันเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาของตำบล มีการก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ของตำบลเพื่อเป็นแหล่งรวมภูมิปัญญา โดยจัดตั้งกลุ่มงาน 3 กลุ่มคือ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพ และกลุ่มออมทรัพย์ มีลักษณะดำเนินงาน 5 ประการได้แก่ มีความเป็นเจ้าของร่วมกัน มีการตัดสินใจร่วมกัน มีการจัดการทรัพยากรร่วมกัน มีการสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน และมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน</li> <li class="show">ปัจจัยที่มีผลต่อการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มี 2 ประเภท คือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายของรัฐ การส่งเสริมของหน่วยงานภายนอก และการร่วมมือของเครือข่ายภายนอก และปัจจัยภายใน ได้แก่ ภาวะผู้นำของผู้นำชุมชน แผนและยุทธศาสตร์การพัฒนา รูปแบบกิจกรรมของชุมชน และการมีส่วนร่วมของชุมชน</li> <li class="show">การวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กับการพึ่งพาตนเองของชุมชนในตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมตามระบบ TERMS Model พบว่า มีการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ มีระบบเศรษฐกิจที่ดี มีทรัพยากรธรรมชาติที่เพียงพอ มีจิตใจที่พร้อมในงานทุกด้าน และมีสังคมและวัฒนธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน</li> </ol> พระคำไพ สญฺญโม (จันทรังษี) Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273256 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ทุนทางสังคมกับการสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น กรณีศึกษา บ้านเรณู หมู่ 2 ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273258 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุม<br>ชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม 2. เพื่อศึกษากระบวนการและวิธีการจัดการทุนทางสังคมกับการสร้างความเข็มแข็งของชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม และ 3. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการและวิธีการจัดการทุนทางสังคมกับการสร้างความเข็มแข็งของชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้บริหารท้องถิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ประวัติความเป็นมาและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากกลุ่มไทลาว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้ำโขงแยกกลุ่มนี้ออกจากภูไทในภาคเหนือของลาว และญวน ชาวภูไทมีประเพณีวัฒนธรรม การแต่งกาย การละเล่นและอาหารประจำถิ่นของตนเอง นับถือพระพุทธศาสนาและนับถือผีตามบรรพบุรุษ ชาวภูไทมีลักษณะความเป็นอยู่แบบครอบครัวใหญ่ในบ้านเดียวกัน เป็นกลุ่มคนทำงานที่มีความขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ ทำงานได้หลายอาชีพเช่น ทำนา ทำไร่ ค้าวัว ค้าควาย นำกองเกวียนบรรทุกสินค้าไปขายต่างถิ่นเรียกว่า “นายฮ้อย” เผ่าภูไทเป็นกลุ่มที่พัฒนาได้เร็วกว่าเผ่าอื่น มีความรู้ความเข้าใจและมีความเข้มแข็งในการปกครอง มีหน้าตาที่สวย ผิวพรรณดี กริยามารยาทแช่มช้อย มีอัธยาศัยไมตรีในการต้อนรับแขกแปลกถิ่นจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง</li> <li class="show">กระบวนการและวิธีการจัดการทุนทางสังคมกับการสร้างความเข็มแข็งของชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม แบ่งเป็นสองช่วงคือ ช่วงอดีตและปัจจุบัน โดยในอดีตชาวภูไทมีทุนทางสังคมทางธรรมชาติที่ดีมาก ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่าน ดำรงชีพเอื้ออาศัยกัน มีความเป็นอยู่แบบพอเพียง ร้อยรัดด้วยวัฒนธรรมประเพณีที่เข้มแข็ง ในปัจจุบันเมื่อโลกพัฒนาขึ้นชาวภูไทได้ปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ มีกลุ่มงานเกิดขึ้นถึง 24 กลุ่ม แต่ที่มีความโดดเด่นและแก้ปัญหาให้กับชุมชนเป็นรูปธรรมได้แก่ กิจกรรมร้านค้าชุมชน กิจกรรมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนและผู้สูงอายุ และกิจกรรมเวทประชุมสภาหมู่บ้าน</li> <li class="show">ปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการและวิธีการจัดการทุนทางสังคมกับการสร้างความเข็มแข็งของชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ที่พบในชุมชน ได้แก่ ปัญหาคนภายนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ทางเกษตร และปัญหาคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่น โดยชุมชนได้แก้ไขโดยการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เน้นให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ตลอดทั้งกระจายกิจกรรมต่างๆ ให้คนรุ่นใหม่ได้บริหารจัดการ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นผู้นำในการบริหารจัดการ กลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ที่ให้คนรุ่นใหม่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น</li> </ol> Kittiphid oravong Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273258 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268264 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู และ ผู้บริหาร สถานศึกษา จำนวน 384 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ &nbsp;มีค่าความเที่ยง 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน สรุปผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}"> = 4.55, SD = 0.44) &nbsp;ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 4.52, SD = 0.45) 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย ผู้ปกครองและชุมชน (X<sub>3</sub>) ผู้บริหาร (X<sub>1</sub>) การพัฒนาบุคคลากร (X<sub>4</sub>) การนิเทศติดตาม (X<sub>5</sub>) ตามลำดับ สมการพยากรณ์ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในรูปคะแนนดิบ (raw score equation) คือ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;Y<sup>’ </sup>= 0.705 + 0.174X<sub>3 </sub>+ 0.363X<sub>1 </sub>+ 0.200X<sub>4</sub> +0.111X<sub>5</sub></p> <p>ส่วน สมการคะแนนมาตรฐาน (standardized equation) คือ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;Z<sup>’</sup><sub>y</sub>= 0.186Z<sub>3 </sub>+ 0.403Z<sub>1</sub> + 0.237Z<sub>4</sub> +0.139Z<sub>5</sub></p> รชา พูลพ่วง, ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์, อรสา จรูญธรรม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268264 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่องานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268258 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและระดับปัจจัยที่ส่งผลต่องานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่องานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู และ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 384 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเที่ยง 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน สรุปผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">= 4.21, SD = 0.29) &nbsp;ปัจจัยที่ส่งผลต่องานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}">&nbsp;= 4.28, SD = 0.24) 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่องานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย ภาวะผู้นำของผู้บริหาร (X<sub>1</sub>) การติดต่อสื่อสาร (X<sub>3</sub>) โครงสร้างองค์การ (X<sub>5</sub>) ทรัพยากรทางการศึกษา (X<sub>2</sub>) ตามลำดับ โดยสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ (raw score equation) คือ&nbsp;Y<sup>’ </sup>= 0.888 + 0.275X<sub>1 </sub>+ 0.261X<sub>3 </sub>+ 0.159X<sub>5</sub> + 0.095X<sub>2</sub> &nbsp;ส่วน สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน (standardized equation) คือ Z<sup>’</sup><sub>y </sub>= 0.547Z<sub>1 </sub>+ 0.456Z<sub>3 </sub>&nbsp;<sub>&nbsp;</sub>+ 0.204Z<sub>5</sub> + 0.121Z<sub>2</sub></p> พัชรา กาจุลศรี, ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์, อรสา จรูญธรรม Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/268258 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการขยะแบบครบวงจรของเทศบาลเมืองเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273331 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษากระบวนการการจัดการขยะของเทศบาลเมืองเขาสามยอด 2. พัฒนานวัตกรรมการจัดการขยะของเทศบาลเมืองเขาสามยอด และ 3. นำเสนอนวัตกรรมการจัดการขยะที่ยั่งยืนของเทศบาลเมืองเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี เป็นงานวิจัยแบบผสมผสานทั้งการ วิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และเชิงปฏิบัติการ (Action Research)&nbsp; กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานสาธารณสุข ของเทศบาลเมืองเขาสามยอด ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และตัวแทนผู้ให้ข้อมูลจากผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่เทศบาลเมืองเขาสามยอดจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) แบบสนทนากลุ่ม(Focus Group ) และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา&nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</strong></p> <ol> <li class="show">กระบวนการการจัดการขยะของเทศบาลเมืองเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี พบว่า กระบวนการจัดการขยะของเทศบาลเมืองเขาสามยอด เทศบาลประสบปัญหาไม่มีสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย จึงส่งเสริม ให้มีการทิ้งขยะลงถัง และจัดตั้งงบประมาณซื้อถังขยะแจกทั้ง 34 ชุมชนต่อมาหน่วยงานกำหนด นโยบายการจัดการขยะมุ่งสู่ “ชุมชนไร้ถัง”นำคณะศึกษาดูงานองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ และนำไปสู่การประกาศ “ปฏิญญาดอนแก้ว”และส่งมอบคืนถังขยะ ช่วงปี พ.ศ. 2555 ได้มีการประกาศ “ปฏิญญาท่าตอน” โดยเทศบาลเมืองเขาสามยอดได้ดำเนินการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ควบคู่การลดภาวะโลกร้อน และพัฒนากระบวนการจาก “ชุมชนไร้ถัง”ไปสู่ “พลังงานทดแทน” ซึ่ง ปรากฏผลว่าปี พ.ศ. 2557 เทศบาลเมืองเขาสามยอด สามารถพัฒนาเป็นเมืองไร้ถัง และขยายผลต่อ ไปสู่การใช้พลังงานทดแทน และดำเนินการกิจกรรมต่อไปอย่างต่อเนื่องซึ่งจากผลการดำเนินงานดังกล่าว พบว่าปริมาณขยะของชุมชนลดลง 10 ตัน/วัน และปัจจุบันประสบปัญหาในการดำเนินงาน ดังนี้ 1. ปัญหาการคัดแยกขยะต้นทาง 2. ปัญหาปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น 3. การแปรรูปจำเป็นต้องแปรรูป เพิ่มขึ้น 4. ปัญหาด้านจิตสำนึก 5. ปัญหากระบวนการจัดการเทศบาล ต้องใช้งบประมาณ 6. ปัญหา สถานที่และการกำจัดขยะมูลฝอย 7.ปัญหาการมีส่วนร่วมของประชาชน</li> <li class="show">การพัฒนานวัตกรรมการจัดการขยะแบบครบวงจรของเทศบาลเมืองเขาสามยอด พบว่า เทศบาลเมืองเขาสามยอดได้ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา ขยะในชุมชน และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาขยะในชุมชน ตลอดจน สามารถตอบสนองการบริหารงานของเทศบาลให้บรรลุผลสำเร็จในการปฏิบัติงานตามภารกิจอำนาจหน้าที่จน สามารถบรรลุถึงเป้าหมาย ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงกระบวนการ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดนโยบาย การตัดสินใจ การวางแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการติดตามตรวจสอบและประเมินผล โดยการให้ ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน อันจะนำไปสู่การขยายผลสู่การต่อยอดการพัฒนาในการอื่น ๆ และทำให้ชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งโดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร &nbsp;</li> <li class="show">การนำเสนอนวัตกรรมการจัดการขยะที่ยั่งยืนของเทศบาลเมืองเขาสามยอด ได้รูปแบบการจัดการขยะแบบครบวงจร โดยผู้วิจัยนำเสนอผ่านโมเดลต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตามเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SDGs) เน้นให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทั้ง 3 มิติของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบบูรณาการและการมีส่วนร่วม ทั้งยังคงให้ ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ<br>(Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้ เกิดความมั่นคง และยั่งยืนไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโตเกิดการกระจายรายได้ลงสู่ ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน</li> </ol> สายใจ เลิศวิริยะประภา Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273331 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ชุมชนคุณธรรม: ต้นแบบการแก้ไขปัญหาสังคมแบบยั่งยืน: กรณีศึกษา ชุมชนราชทรัพย์ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273386 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและปัญหาอุปสรรคของชุมชนคุณธรรมต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษากระบวนการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาชุมชนต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการแก้ไขปัญหาและตัวชี้วัดความสำเร็จของชุมชนต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร. โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบร่วมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้บริหารชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้องโดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ประวัติความเป็นมาและปัญหาอุปสรรคของชุมชนคุณธรรมต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบว่า ในอดีต เมื่อ 60 ปีที่ผ่านมาเป็นสวนปลูกผลไม้ เช่นกล้วย มะพร้าว สะเดา เมื่อก่อนไม่มีทางเข้าเพื่อการเดินทางมีเพียงแผ่นไม้วางเป็นสะพาน. ยังไม่เจริญคนในชุมชนไม่คอยมีการติดต่อค้าขาย อาศัยการสัญจรทางน้ำ หลังจากมีถนนคอนกรีตในชอยราชทรัพย์ ส่งผลให้เกิดความเจริญอย่างรวดเร็วในชุมชนจากการเลี้ยงชีพด้วยการทำสวนผู้คนในชุมซนเริ่มออกมาทำงานนอกพื้นที่ ใช้วิถีชีวิตแบบคนเมือง มีบ้านพักอาศัยมากขึ้น มีคนต่างถิ่นมาอาศัยจำนวนมากและในปี พ.ศ. 2551 ชุมชนขอดำเนินการจัดตั้งอย่างเป็นทางการจากสำนักงานเขตบางซื่อเป็น “ชุมชนราชทรัพย์”</li> <li class="show">กระบวนการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาชุมชนต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบว่า การทำงานที่คลอบคลุมในทุกด้านมีแนวทางในการพัฒนาและการดำเนินงานของชุมชนอย่างมีทิศทางตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้เป็นไปตามความต้องการและสามารถแก้ปัญหาที่ชุมชนได้ร่วมกันคิด กำหนดแนวทาง กิจกรรมพัฒนาชุมชน โดยยึดหลักการพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพิงภายนอกด้วยการคำนึงถึงศักยภาพทรัพยากร ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมในชุมชน นำปัญหาความต้องการของคนในชุมชนที่ได้จากเวทีประชาคมมาจัดทำแผนงาน/โครงการ มีการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบ เป็นชุมชนที่โดดเด่นในการบริหารงานอย่างเป็นระบบ ประกอบกับมีผู้นำ ที่ได้รับการยอมรับ สมาชิกในชุมชนมีเป้าหมายเดียวกัน มีเครือข่ายร่วมพัฒนาที่เข้มแข็ง ชุมชนมีการวางแผนร่วมกับเครือข่ายในการจัดทำแผนชุมชน มีการวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหา หรือสร้างเครือข่ายที่สามารถเจรจากับชุมชนได้อย่างดีทำให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในชุมชนได้สำเร็จ และด้วยพลังคนในชุมชนที่มีความสามัคคีและมีส่วนร่วม<br>รับรู้ข่าวสาร ร่วมคิดไตร่ตรองและแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจ ร่วมลงมือปฏิบัติ ร่วมประเมินผล มีผู้นำ <br>มีชุมชน.</li> <li class="show">องค์ประกอบการแก้ไขปัญหาและตัวชี้วัดความสำเร็จของชุมชนต้นแบบ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบว่า การมีการศึกษาที่ดี นโยบายที่ดี ผู้นำดี มีภาครัฐส่งเสรีม มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีกิจกรรมร่วมกัน มีวัฒนธรรมชุมชน และชุมชนได้ร่วมกัน ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยราชการเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาแนะนำในการทำงานเท่านั้นส่วนประชาชนสามารถวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนเพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาทั้งในบริบทของพื้นที่และแบบองค์รวมในชุมชน เป็นการร่วมกันจัดการศึกษาตลอดชีวิตแก่ชุมชน สามารถอยู่ในสังคมและการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างมีความสุข</li> </ol> LITSAVANH CHITTAKHAME Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273386 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 ความเสี่ยงของสตรีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสถานบันเทิงในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273634 <p>This research aims to study about the factors that influence the foreign female tourists intention to visit the nightclubs in Bangkok, Thailand. The main aspect of focusing includes the environment of the nightclubs and surrounding areas, the risk perception of the female tourists toward the nightclub. It was conducted for the potential results by applied for quantitative method. The study took a day survey trip in Khao San Road, Bangkok, Thailand through multiple groups of foreign female tourists for a data collection. The findings shown that the group of Asian female tourists age between 18-25 have the highest level of emotional benefit on sexual harassment, security risk perception toward nightclubs in Bangkok. The sexual harassment and security risk influence to emotional benefit for night tourism as 0.01 significant level. This research contributes to tourism research related to foreign female tourists for more data about nightclubs in Bangkok, Thailand. The study potentially identifies the risk and benefits for female tourists that aim to visit the nightclubs. The result of the research can help female tourists acknowledge the risks in the nightclub in order to prevent any damages both physically and mentally. Furthermore, this research will identify the benefits and risks for foreign female tourists about nightclubs in Bangkok, Thailand.</p> ภัทรหทัย โกมลหิรัณย์, สรัลดา จันทวงษ์, รัตนาภรณ์ นันทิ , ศรัณย์ วิทยากรบัณฑิต Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/273634 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 Causal factors affecting the career success of tourism industry entrepreneurs in Thailand https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/270827 <p>This research aimed to analyze the influence of causal factors on an organization towards the success of the hospitality industry career by exploring Bangkok as a case study. The results of this research revealed that work strategy is found most influential on career success, followed by employee commitment to the organization, work competency, and demographic characteristics of employees, respectively. Upon overall consideration, every latent variable was able to describe a high variation in the career success of the employees. These findings further showed that the work strategy is critical to attain career success Therefore, such a factor shall be significantly observed in the organizational management in order to achieve the effective and sustainable development. In addition, all other variables were also found to affect the success of the hospitality industry careers, implying their co-driving force with work strategy for organizational development</p> Norapatra Janpong, Chanantsita Khlibtong, Pruethsan Sutthichaimethee Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/270827 Mon, 27 May 2024 00:00:00 +0700 แบบจำลองปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการคนเก่งกับความภักดีต่อองค์กร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266260 <p>This article aims to provide information derived from a comprehensive analysis of characteristics and factors that will persistently govern and instill confidence in an organisation. During the typical progression of a research, the conclusion will include examining a single review and this study did a meta-synthesis of qualitative research to satisfy its requirements. To clarify, the aim is to provide a conceptual framework that encompasses the behavioural traits that impact the talent management system. We used data obtained from a qualitative investigation. To ensure the effectiveness of research in accomplishing this purpose The primary emphasis should be placed on effectively managing personnel and fostering their loyalty to the organisation.This study examines contemporary methodologies for talent management, in addition to the theoretical body of literature on the subject. Issues pertaining to organisational and behavioural challenges, as well as other subjects related to talent management. This review incorporates theoretical literature on talent management systems. The findings of this research provide unequivocal evidence of a correlation between performance and the implementation of effective people management practises. This study aimed to analyse the people development process, which functions as a connecting mechanism. A correlation may be established between these two aims, which are the acquisition of exceptional people and the improvement of the organisation as a whole.The correlation between organisational performance and people development requires careful management. This is a primary factor that highlights the need of keeping exceptional employees. Talent management solutions are fundamentally essential for many key reasons. Due to the correlation between allegiance to the organisation Developing talent need effective management techniques.</p> ณัฐชยา อุดมชัยรัตน์, นนทิพันธุ์ ประยูรหงษ์ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266260 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การสร้างแบบจำลองของการสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการ กับประสิทธิภาพทางการตลาด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266255 <p>การสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการ (Integrated Digital Marketing Communications – DIMC) เป็นการจัดกิจกรรมสื่อสารการตลาเชิงกลยุทธ์เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าข้อความ ภาพ และเสียงที่สื่อสารการตลาดไปนั้นสอดคล้องกับสินค้าและสร้างผลลัพธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์ และเทคโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้งานอย่างมีนัยสำคัญจึงทำให้การสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการจึงมีความจำเป็นอย่างมากกับธุรกิจที่กำลังมีการพัฒนา บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมการสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการ เพื่ออธิบายถึงความหมายและความเป็นมา องค์ประกอบ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัลตัวแปรที่ได้รับความนิยมได้แก่ สื่อสังคมออนไลน์พฤติกรรมการเลือกใช้และพฤติกรรมการรับรู้ในด้านของการตลาดแบบมุ่งเน้นมีตัวที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การมุ่งเน้นลูกค้าการมุ่งเน้นคู่แข่งขัน และการประสานงานในองค์กร ในด้านของตราสินค้า มีตัวแปรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ องค์ประกอบภายนอกผลิตภัณฑ์ คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ คุณค่าตราสินค้า และตราสินค้า ที่ส่งผลต่อการสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าตัวแปรที่ได้รับความนิยมใช้ศึกษาทางด้านการสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการประกอบด้วย การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานและการตลาดทางตรง โดยจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าการสื่อสารการตลาดดิจิทัลแบบบูรณาการณ์ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อ โดยตัวแปรที่พบว่าที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้แก่ ความรู้สึก ความเชื่อมั่น และทัศนคติ</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> นฤดม ต่อเทียนชัย , วิชิต อู่อ้น Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/266255 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาจิตอาสาเชิงพุทธบูรณาการเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265680 <p>จิตอาสาเชิงพุทธบูรณาการเป็นการเห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวมโดยงดเว้นกระทำให้ทรัพย์สิน ส่วนรวมเสียหาย มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนรวม การเคารพสิทธิของบุคคลอื่นในการใช้ทรัพย์สิน ร่วมกันโดยมุ่งเน้นการให้ การไม่เบียดเบียน และการมุ่งประโยชน์ร่วมกันที่ผสมผสานหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ในการปฏิบัติ ได้แก่ หลักสังคหวัตถุ 4 พรหมวิหาร 4 และหลักการสังเคราะห์ตามแนวพระพุทธศาสนา มีการพัฒนา เชิงระบบ 6 ระยะ ได้แก่ การเตรียมการ การประเมินก่อนดำเนินการ การพัฒนา การฝึกปฏิบัติ การประเมินผลหลังดำเนินการ และการวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน สามารถจัดระเบียบสังคมได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการสร้างจิตสำนึก ความรับผิดชอบ และเป็นแบบอย่างหน้าที่ให้ถูกต้องตามสถานะของบุคล เมื่อต่างคน ต่างทำหน้าที่ให้ถูกต้องตาม สถานะ ย่อมเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมประเทศชาติ และส่งเสริมพัฒนาการทางจิตของปัจเจกบุคลให้ดำเนิน ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข พร้อมทั้งยังผลไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน</p> พระใบฎีกาณพงษกร กนฺตวณโณ (ปิ่นทอง) Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/265680 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 การสร้างแบบจำลองของเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับประสิทธิภาพการดำเนิงานขององค์กร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269855 <p>เทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมเป็นการออกแบบเพื่อให้เกิดประบวนการทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีความสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นเพื่อกำหนดเป็นเครื่องมือในการดำเนินกลยุทธ์ในการดำเนินงานในองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งในด้านการดำเนินงาน การลดเวลา และเพิ่มมาตรฐานของการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เทคโลยีและนวัตกรรมมีความจำเป็นอย่างมากกับธุรกิจที่กำลังมีการพัฒนา บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับผลการดำเนินงาน เพื่ออธิบายถึงความหมายและความเป็นมา องค์ประกอบ ได้แก่ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ตัวแปรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การจัดการอาชีพ การฝึกอบรมและพัฒนา การสรรหาและการคัดเลือก ค่าตอบแทน และการประเมินผลการปฏิบัติงาน ในด้านของภาวะผู้นำแบบผู้ประกอบการ ตัวแปรที่ได้รับความนิยมได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเชิงนวัตกรรม ดำเนินการเชิงรุก วิสัยทัศน์ และความกล้าเสี่ยง ซึ่งส่งผลต่อนวัตกรรมองค์การ ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าตัวแปรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ นวัตกรรมการบริหาร นวัตกรรมกระบวนการ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ในด้านของการจัดการความรู้ ตัวแปรที่ได้รับความนิยมได้แก่ คน กระบวนการ เนื้อหาและข้อมูล การกำกับดูแล กลยุทธ์ และเทคโนโลยี ในด้านของ โดยจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่านวัตกรรมองค์การทำให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานองค์การ <br>ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วริษฐกันย์ ทองดี , วิชิต อู่อ้น Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269855 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700 แบบจำลองปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์กับประสิทธิภาพส่วนบุคคล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269852 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนำเสนอความรู้จากการทบทวนวรรณกรรม ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการการบริหารทรัพยากรมนุษย์กับประสิทธิภาพส่วนบุคคล ซึ่งการวิจัยเชิงคุณภาพถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายของการศึกษานี้ ซึ่งก็คือการสร้างแบบจำลองแนวคิดของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำเช่นนั้น เราใช้ข้อมูลจากการศึกษาเชิงคุณภาพ เพื่อให้การวิจัยมีประสิทธิผลในการบรรลุวัตถุประสงค์นี้ จำเป็นต้องมุ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปที่การจัดการทรัพยากรมนุษย์กับประสิทธิภาพส่วนบุคคล งานวิจัยนี้สำรวจแนวทางสมัยใหม่ในการจัดการความสามารถ ตลอดจนวรรณกรรมทางทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ กฎหมายแรงงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี และหัวข้ออื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ วรรณกรรมเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรมนี้ด้วย ผลการศึกษานี้แสดงข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคลกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยนี้ดำเนินการเพื่อตรวจสอบ ว่าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่เป็นกลไกเชื่อมโยง อาจนำเสนอความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายแรงงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี และประสิทธิภาพ และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมการจัดการทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญ หนึ่งในเหตุผลสำคัญว่าทำไมการจัดการทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญขั้นพื้นฐาน</p> นิโลบล ป้องภัย , ประพันธ์ ชัยกิจอุราใจ Copyright (c) 2024 มจร การพัฒนาสังคม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JMSD/article/view/269852 Sat, 04 May 2024 00:00:00 +0700