https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/issue/feed วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ 2025-03-29T00:18:45+07:00 Open Journal Systems <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)<br /></strong> วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ (Journal of Social Science Panyapat) ISSN : 3027-6748 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่<strong>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ</strong> ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ <strong>1) สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 2) สาขาพัฒนาสังคม 3) สาขาศึกษาศาสตร์ 4) สาขาเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ</strong> และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ เผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของวารสาร</strong><br /> 1) แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์เผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน), ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) และได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการออกเผยแพร่บทความเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2565) เป็นต้นมา ปัจจุบันวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม) ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน) ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน) และ ฉบับที่ 4 (ตุลาคม – ธันวาคม)<br /> 2) แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ ISSN : 2773-9805 (Online) และได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็น ISSN : 3027-6748 (Online) โดยจะดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์เผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน), ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) และได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการออกเผยแพร่บทความเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2565) เป็นต้นมา ปัจจุบันวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ ดังนี้<br /> - ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม<br /> - ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน <br /> - ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน<br /> - ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) มีขั้นตอนการพิจารรณา ดังนี้<strong><br /></strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1h16I3OrCBS4_-g4hQxRZtzZs87fel49l/edit?usp=drive_link&amp;ouid=101054565910719523625&amp;rtpof=true&amp;sd=true">คลิก</a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/16Ap1TK9aXhyx9FnYU4f9iM3XMiB0o2f6/edit?usp=drive_link&amp;ouid=101054565910719523625&amp;rtpof=true&amp;sd=true">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/19nzVzFAhIhle9z_lZ8GH1reH9kYy4RAu/edit?usp=drive_link&amp;ouid=101054565910719523625&amp;rtpof=true&amp;sd=true">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/index">https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/index</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/Ngfd8WM9U2">https://line.me/R/ti/g/Ngfd8WM9U2</a></p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280765 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าของผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ผ่านช่องทางการถ่ายทอดสดเฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ของห้างสรรพสินค้า 2025-01-13T21:23:53+07:00 ณิชาภัทร บุญอริยะประเสริฐ pannapat@buu.ac.th ภัญนภัส พฤกษากิจ แช่มสุ่น pannapat@buu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ (เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้) และปัจจัยส่วนประสมการตลาดออนไลน์ (เช่น ช่องทางการจัดจาหน่าย การส่งเสริมการตลาด การให้บริการส่วนบุคคล และการรักษาความเป็นส่วนตัว) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าผ่านช่องทางการถ่ายทอดสดเฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ของห้างสรรพสินค้าในจังหวัดจันทบุรี โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริโภคจานวน 385 คน ซึ่งผ่านการเลือกแบบสะดวก (Convenience Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงอนุมาน เช่น T-test, F-test และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยอายุและปัจจัยการให้บริการส่วนบุคคลส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคอายุ 55 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ การรักษาความเป็นส่วนตัวและการส่งเสริมการตลาดยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อการตัดสินใจซื้อ ผลการวิจัยสามารถนาไปใช้ปรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์และการออกแบบบริการเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/278451 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 2024-11-03T13:49:00+07:00 ปริญญา สิทธิปลื้ม parinyalove8148@gmail.com กัญภร เอี่ยมพญา parinyalove8148@gmail.com นิวัตต์ น้อยมณี parinyalove8148@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (2) ระดับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา (3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา (4) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ด้านการสื่อสาร ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการเรียนรู้ดิจิทัล สามารถร่วมทำนายการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 ได้ร้อยละ 75.60</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279555 Factors Influencing Digital Asset Market 2025-01-07T13:31:36+07:00 Thana Sompornserm fecotns@ku.ac.th Saksit Budsayaplakorn fecossb@ku.ac.th <p>Research on the factors influencing the digital asset market mainly comprises two objectives: 1) to examine factors that determine the digital asset market by focusing on six dimensions such as politics, economy, society, technology, environment, and law, 2) to study the relationship between economic variables and the value of the digital asset market. This study applies both qualitative and quantitative analysis. Qualitative analysis using the PESTEL model is used to study factors determining the digital asset market, while quantitative analysis using the Granger Causality test is employed to examine the relationship between economic factors and digital asset market value. This study covers the period from 2017 to 2022. The results suggest that political, economic, social, technological, environmental, and law factors are related to the acceptance of cryptocurrencies. Furthermore, some macroeconomic variables, such as average world headline CPI and world food price have a significant effect on digital asset market capitalization and the market capitalization of Bitcoin. In addition, the market capitalization of major digital assets and Bitcoin also significantly impact the stock markets, particularly on the Dow Jones Industrial Average, S&amp;P 500, and Nasdaq. Therefore, policymakers can mitigate potential contagion risk by implementing robust monitoring and surveillance mechanisms.</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/275685 การศึกษาเส้นทางผู้บริโภคและจุดสัมผัสของน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทย 2024-07-21T10:46:00+07:00 กรภัทร์ เพ็ญสูตร pearl.kus@gmail.com โสภณ แย้มกลิ่น sophon.y@ku.th เออวดี เปรมัษเฐียร fecoadu@ku.ac.th กุณฑลรัตน์ ทวีวงศ์ kuntonrat.d@ku.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาเส้นทางของผู้บริโภคน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทย และ (2) เพื่อศึกษาจุดสัมผัสของผู้บริโภคน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทย ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้เคยซื้อน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 20 ราย เก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การถอดรหัสคำ แล้วนำรหัสคำหาจัดกลุ่มเส้นทางผู้บริโภคและจุดสัมผัส จากผู้บริโภคน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทยจำนวน 20 ราย ผลการศึกษาเส้นทางผู้บริโภคพบว่าเส้นทางผู้บริโภค แบ่งออกเป็น (1) เส้นทางผู้บริโภคและจุดสัมผัสในขั้นตอนการรับรู้ จะรับรู้ผ่านช่องทางออนไลน์สูงที่สุด ตามด้วยรับรู้จากการผ่านหน้าร้าน ตามด้วยรับรู้จากคนรู้จัก ตามลำดับ (2) เส้นทางผู้บริโภคในขั้นตอนด้านการพิจารณา ผู้บริโภคจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์การใช้ และพิจารณาจากกลิ่นมากที่สุด ตามด้วยพิจารณาจากอิทธิพลจากบุคคลอื่น และพนักงานร้านแนะนำ (3) เส้นทางผู้บริโภค และจุดสัมผัสในขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ โดยผู้บริโภคซื้อน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ไทยหน้าร้านมากกว่าซื้อแบบออนไลน์ และมีบางส่วนที่คนอื่นซื้อมาให้ โดยชำระเงินด้วยการโอนจ่ายหรือสแกน บัตรเครดิต และ เงินสด (4) เส้นทางผู้บริโภคในขั้นตอนด้านการซื้อซ้ำ โดยมีคนซื้อซ้ำร้อยละ 75.00 โดยเหตุผลหลักในการซื้อซ้ำจะมีทั้งการซื้อเพื่อใช้งานเนื่องจากต้องการใช้งานต่อจากน้ำหอมเดิมที่หมด และซื้อซ้ำจากอิทธิพลของคนรอบตัว (5) เส้นทางผู้บริโภคด้านการการบอกต่อ โดยมีคนบอกต่อร้อยละ 70.00 ซึ่งจากการสัมภาษณ์ที่ได้ การบอกต่อจะเป็นเรื่อง คุณภาพของกลิ่นที่หอมถูกใจ และเป็นเอกลักษณ์ โดยจุดสัมผัสด้านการบอกต่อจะเป็นทางช่องทางออนไลน์และการบอกต่อแบบปากต่อปาก จากผลการวิจัย สามารถนำข้อมูลที่ได้จากผลการศึกษา ไปปรับใช้ในการกำหนดกลยุทธ์หรือการวางแผนในด้านการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคตามกลุ่มเป้าหมายได้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/278514 แนวทางการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 2024-11-03T13:47:07+07:00 ชัยนันท์ ยะคะเรศ chainan2my559@gmail.com สรรเสริญ หุ่นแสน chainan2my559@gmail.com กัญภร เอี่ยมพญา Chainan2my559@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 และ (2) แนวทางการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู จำนวน 306 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 8 คน คือ ผู้บริหารการศึกษา จำนวน 2 คน ศึกษานิเทศ จำนวน 1 คน ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน และหัวหน้างานบริหารทั่วไปในสถานศึกษา จำนวน 2 คน ด้วยการเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับระดับการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 และการสนทนากลุ่ม สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำข้อมูลที่ได้จากการวิพากษ์ของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านงานอาคารสถานที่ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านงานธุรการ ด้านงานกิจการนักเรียน ด้านงานสัมพันธ์ชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านงานประชาสัมพันธ์ 2) แนวทางการบริหารทั่วไป ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการสนับสนุน ให้ครูมีการบริหารทั่วไปในสถานศึกษา เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างมีคุณภาพ และประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280906 แนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชน ภายใต้บทบาทของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น 2025-01-26T12:47:16+07:00 พวงผกา สีมา puangpaka_n@kkumail.com รสิตา ดาศรี rasida@kku.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่ออธิบายปัญหาการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชนของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น (2) เพื่อประมวลข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชนของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับการค้นคว้าเอกสาร เครื่องมือในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คนประกอบด้วยเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชนของเทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองชุมแพ เทศบาลตำบลกุดน้ำใส เทศบาลเมืองเมืองพล และเทศบาลบ้านไผ่ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชนของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ ปัญหาด้านขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ ปัญหาด้านงบประมาณที่สูง ปัญหาด้านชุมชนที่มีการคัดค้านจากประชาชนและชุมชน ปัญหาด้านขยะไม่เพียงพอต่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าและปัญหาด้านระเบียบกฎหมายที่มีความซับซ้อนและล่าช้า 2) แนวทางในการแก้ไขปัญหาการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมูลฝอยชุมชนของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ ส่งเสริมทักษะและพัฒนาศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนให้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณ การสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการมีส่วนร่วมของประชาชน ประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้เคียง และควรมีระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเร่งกระบวนการอนุมัติและลดข้อผิดพลาดในการดำเนินการ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280175 หนี้ต่างประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ: หลักฐานเชิงประจักษ์ของประเทศไทย 2025-01-07T13:31:15+07:00 ธีรศักดิ์ ทรัพย์วโรบล fecotss@ku.ac.th นนทร์ วรพาณิชช์ feconov@ku.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงดุลยภาพในระยะยาวระหว่างหนี้ต่างประเทศและผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย โดยอาศัยข้อมูลอนุกรมเวลารายไตรมาสในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2548–2564 เพื่อทดสอบความสัมพันธ์เชิงดุลยภาพในระยะยาวตามวิธีของ Johansen &amp; Juselius (1990) โดยการสร้างแบบจำลองจากตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรดัชนีราคาผู้บริโภค หนี้ต่างประเทศระยะสั้น (หรือระยะยาว) ปริมาณเงิน ระดับการเปิดประเทศทางการค้า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ผลการศึกษาพบความสัมพันธ์เชิงดุลยภาพในระยะยาวทั้งในกรณีของหนี้ต่างประเทศระยะสั้นและผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และหนี้ต่างประเทศระยะยาวและผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เมื่อทำการทดสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและหนี้ต่างประเทศโดยอาศัยค่าสถิติ Wald Test พบว่าการก่อหนี้ต่างประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงในลักษณะ Direct Causal Linkage ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย ทั้งในกรณีของหนี้ต่างประเทศระยะสั้นและระยะยาว หากแต่การก่อหนี้ต่างประเทศจะส่งผลกระทบในลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลแบบลูกโซ่ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในหลายรูปแบบความสัมพันธ์ อาทิเช่น รูปแบบความสัมพันธ์ที่การก่อหนี้ต่างประเทศระยะยาวจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง จากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงส่งผลไปยังผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย เป็นต้น</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/272551 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-08-19T17:51:52+07:00 พิชามญชุ์ วงศ์หทัยกุล pichamon180240@gmail.com อรัญ ซุยกระเดื่อง pichamon180240@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน (3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ (3) แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน t - test (Dependent Samples) ผลการศึกษาพบว่า 1) ประสิทธิภาพกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.98/81.23 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 3) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/275285 ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและความผูกพันต่อองค์การที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีในองค์การของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง 2024-07-14T16:25:50+07:00 ปกรณ์ อินสวรรค์ pakorn.ins@ku.th ฐิติมา ไชยะกุล srcttm@ku.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีในองค์การ (2) ปัจจัยความผูกพันต่อองค์การที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีในองค์การ และ (3) ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การ ของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างพนักงานจำนวน 348 คน ซึ่งมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ คือ ด้านการปฏิบัติงาน ด้านความรู้ในงานและโอกาสก้าวหน้า และ ด้านจิตอารมณ์ 2) ปัจจัยความผูกพันต่อองค์การทุกด้านส่งผลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ 3) ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์การ คือ ด้านความรู้ในงานและโอกาสก้าวหน้า ด้านการปฏิบัติงาน ด้านจิตอารมณ์ และ ด้านผลตอบแทนและสวัสดิการ ซึ่งผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริม การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและการสร้างความผูกพันต่อองค์การให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีในองค์การของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/278976 กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ เพื่อการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร 2025-01-25T11:28:57+07:00 ปรียานันท์ ปานเมือง b.fernfern20@gmail.com ญาณิศา บุญจิตร์ b.fernfern20@gmail.com จิณัฐตา สอนสังข์ b.fernfern20@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการ (2) พัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ และ (3) ตรวจสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการเพื่อการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร โดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา การวิจัยแบ่งออก เป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารวิชาการ และครูผู้สอน จำนวน 343 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ กลุ่มเป้าหมายคือผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้างานบริหารวิชาการ จำนวน 132 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องที่ใช้เป็นแบบตรวจสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการ อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.81 2) กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการมี 6 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านที่ 2 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านที่ 3 การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน ด้านที่ 4 การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้านที่ 5 การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษาด้านที่ 6 การนิเทศการศึกษา รวม 32 กลยุทธ์ 3) ประสิทธิภาพของกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการด้านความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279143 ผลกระทบของการตระหนักรู้กฎหมายและกฎระเบียบพื้นฐานด้านการบินต่อพฤติกรรมผู้โดยสารที่ไม่พึงประสงค์บนอากาศยาน: กรณีศึกษาผู้โดยสารไทยกลุ่มเจเนอเรชันซี 2025-01-07T13:31:56+07:00 ณัฐพร ชื่นสุวรรณ์ nattaporn.aviation@gmail.com ปรนิก แตงทองคำ poranix.t@bu.ac.th โกวิท รุ่งเสรีรัช govit.r@bu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการตระหนักรู้กฎหมายและกฎระเบียบพื้นฐานการบินของผู้โดยสารไทยเจนเนอเรชันซี (2) ประเมินการกระทำที่ไม่พึงประสงค์บนอากาศยานของผู้โดยสารไทยเจนเนอเรชันซีและ (3) ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจกฎหมายและกฎระเบียบพื้นฐานการบินของผู้โดยสารไทยเจเนอเรชันซีที่มีอิทธิพลต่อการกระทำที่ไม่พึงประสงค์บนอากาศยาน โดยดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และเก็บข้อมูลด้วยการแจกแบบทดสอบและแบบสอบถามให้กับผู้โดยสารไทยเจนเนอเรชันซีจำนวน 409 คน และใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ผู้โดยสารไทยเจนเนอเรชันซีมีระดับความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบพื้นฐานด้านการบินอยู่ในระดับปานกลาง และมีแนวโน้มต่ำในการแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ขณะเดินทางบนอากาศยาน นอกจากนี้ยังพบว่า ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบพื้นฐานด้านการบินมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อการลดลงของพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบการบินในหมู่ผู้โดยสารไทยเจนเนอเรชันซีสามารถช่วยลดความเสี่ยงของพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศได้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280318 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการ ร้านโลตัส โก เฟรช มินิซูเปอร์มาร์เก็ต อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ 2025-01-13T21:23:24+07:00 สันติ สุพะนาม aoointhailand@gmail.com นลินฉัตร์ ธราสิริวีรภัทร aoointhailand@gmail.com จอมขวัญ ศุภศิริกิจเจริญ aoointhailand@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการ ร้าน โลตัส โกเฟรช มินิซูเปอร์มาร์เก็ต ในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ และ (2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมมติฐานของการวิจัย ด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคุณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ใช้บริการให้ระดับความสำคัญปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในภาพรวม อยู่ที่ระดับความสำคัญมาก พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมา คือ ด้านกระบวนการ ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านบุคลากร และด้านการส่งเสริมการตลาด ตามลำดับ สำหรับกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการในภาพรวม อยู่ในระดับความสำคัญมาก พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ พฤติกรรมภายหลังการซื้อ รองลงมา การประเมินผลทางเลือก การตระหนักถึงความต้องการ การตัดสินใจซื้อ และการค้นหาข้อมูลข่าวสาร ตามลำดับ 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการ ร้านโลตัส โกเฟรช มินิซูเปอร์มาร์เก็ต อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านราคา ด้านกระบวนการ และด้านผลิตภัณฑ์ ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาสภาพแวดล้อมภายในร้าน การออกแบบโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสามารถช่วยเพิ่มความพึงพอใจและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279432 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 2025-01-05T16:58:43+07:00 เบญจวรรณ อาวสันเทียะ benjawan@pkr.ac.th กัญภร เอี่ยมพญา benjawan@pkr.ac.th นิวัตต์ น้อยมณี benjawan@pkr.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู และ (2) เปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา อายุ และประสบการณ์ทำงาน ตามความคิดเห็นของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 308 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามที่ตั้งสถานศึกษาและทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .99 ผลการศึกษาพบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู พบว่า มีค่าเฉลี่ยโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ จำแนกตามเพศ และอายุ โดยรวมแตกต่างกัน</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279076 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของวิศวกรภายในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-11-19T16:03:14+07:00 ไชยภพ สาวทรัพย์ saosap_c@silpakorn.edu ภฤศญา ปิยนุสรณ์ phrutsaya@ms.su.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความคิดเห็นของวิศวกรในบริษัทรับเหมาก่อสร้างในแขตกรุงเทพมหานคร ปัจจัยสภาพแวดล้อมการทำงาน ปัจจัยการบริหารและการจัดการ ปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะในการทำงานและปัจจัยความปลอดภัยในการทำงาน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของวิศวกรในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง (2) อิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงานและการพัฒนาสมรรถนะของวิศวกรต่อประสิทธิภาพในการทำงานของวิศวกรในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง (3) อิทธิพลของการบริหารและการจัดการที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของวิศวกร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับด้านการบริหารการจัดการ แบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) แบบสอบถามเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression) และ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย (Simple Linear Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีระดับความคิดเห็นของวิศวกร อยู่ในระดับมาก ความปลอดภัยในการทำงานมีระดับความคิดเห็นของวิศวกร อยู่ระดับมาก การบริหารการจัดการมีระดับความคิดเห็นของวิศวกร อยู่ในระดับมาก และการพัฒนาสมรรถนะในการทำงานมีระดับความคิดเห็นของวิศวกร อยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงาน และการพัฒนาสมรรถนะของวิศวกร มีอิทธิพลในเชิงบวกที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของวิศวกรในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง 3) การบริหารและการจัดการ มีอิทธิพลในเชิงบวกที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของวิศวกร</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279936 ศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพื้นที่ชุมชนหนองกุงศรี 2025-01-13T20:03:39+07:00 เบญจวรรณ นัยนิตย์ benjawan_n@kkumail.com ดารารัตน์ คำภูแสน darkha@kku.ac.th ธัญญา จันทร์ประสพชัย thacha3@kku.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพื้นที่ชุมชนหนองกุงศรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา จากข้อมูลที่ได้รับจากโครงการย่อย 5 โครงการ ภายใต้โครงการวิจัยการบูรณาการการออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสร้างสรรค์แบบมีส่วนร่วมโดยเกษตรกร วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เอกสาร โดยใช้การประเมินโครงการแบบ CIPP Model (บริบท ข้อมูลนำเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์) ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนหนองกุงศรีมีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) สิ่งดึงดูดใจ การมีทัศนียภาพริมเขื่อนลำปาว ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และวิถีชีวิตเกษตรกรและประมง 2) การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว มีอุปสรรคด้านเส้นทางและบริการขนส่ง 3) สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องน้ำ ป้ายบอกทาง และพื้นที่พักผ่อน 4) กิจกรรมการท่องเที่ยว ที่ยังไม่หลากหลาย เช่น ปลูกผัก ไฮโดรโปนิกส์ เพาะเห็ดนางรม และการแปรรูปปลา และ 5) การบริการที่พัก ที่ยังขาดแคลน เมื่อประเมินโครงการผ่านกรอบ CIPP Model ของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในชุมชน หนองกุงศรี นำมาสู่ข้อเสนอโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในชุมชนหนองกุงศรี ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวระยะยาว และการท่องเที่ยวสายรักษ์สุขภาพ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279918 การพัฒนาระบบการให้บริการผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี 2025-01-07T13:06:37+07:00 ธันยาพร ทองคำเปลว farspp2536@gmail.com ภุชงค์ เสนานุช p.senanuch@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี (2) ศึกษาระบบการให้บริการผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี และ (3) พัฒนาต้นแบบ (Model) ระบบการให้บริการผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างที่เน้นคำถามปลายเปิดเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี รวมถึงนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่งานพยาบาล และเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการพัฒนาระบบการให้บริการผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิง ผลการศึกษาพบว่า 1) สถานการณ์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี ประกอบด้วย ปัญหาด้านสุขภาพเรื้อรัง ความรู้สึกโดดเดี่ยว และข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ ผู้สูงอายุต้องการการดูแลด้านสุขภาพกายและจิตใจที่เหมาะสม รวมถึงต้องการการสนับสนุนทางสังคม และกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต 2) ระบบการให้บริการในปัจจุบันของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี ยังไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ แม้จะมีการปรับตัวบางส่วน เช่น การจัดตั้งทีมสหวิชาชีพและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ แต่ยังคงประสบปัญหาด้านจำนวนบุคลากรเฉพาะทางที่ไม่เพียงพอ ทรัพยากรและงบประมาณที่จำกัด ทำให้การให้บริการไม่ครอบคลุมและไม่ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุได้อย่างเต็มที่ 3) ได้เสนอแนวทางการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี โดยการเพิ่มบุคลากรเฉพาะทาง เช่น นักกายภาพบำบัดและนักจิตวิทยา การจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณที่เพียงพอ การปรับปรุงระบบส่งต่อและประสานงานเพื่อเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โมเดลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี และการจัดทำนโยบายสาธารณะที่ยั่งยืน</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279360 แนวปฏิบัติที่ดีของผู้บริหารเพื่อการพัฒนาคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 2025-03-02T18:32:20+07:00 อดิเรก เยาว์วงค์ sansern.hun@rru.ac.th กฤษฎา พลอยศรี sansern.hun@rru.ac.th สรรเสริญ หุ่นแสน sansern.hun@rru.ac.th อังคณา กุลนภาดล aung-2007@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาคุณธรรมคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และ (2) แนวปฏิบัติที่ดีของผู้บริหารเพื่อการพัฒนาคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามสภาพการพัฒนาคุณธรรมคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 และข้อคำถามการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับปฏิบัติการในสภาพปัจจุบันของการพัฒนาคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ในทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลำดับจากกมากไปน้อย ได้แก่ ด้านผู้บริหาร ด้านผู้สอน ด้านสถานศึกษา และด้านผู้เรียน 2) ผลการศึกษาเพื่อหาแนวปฏิบัติที่ดีของผู้บริหารเพื่อการพัฒนาคุณธรรมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 พบว่า มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสถานศึกษา ด้านผู้บริหาร ด้านผู้สอน และด้านผู้เรียน โดย (1) ด้านสถานศึกษา พบว่า สถานศึกษาควรจะต้องดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับการการพัฒนาครู และนักเรียนให้มีคุณธรรม (2) ด้านผู้บริหาร พบว่า เปิดโอกาสให้ครูได้มีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินการร่วมกับผู้บริหารเพื่อจัดการฝึกอบรม หรือการพัฒนาครู และนักเรียน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในองค์กรต่อการพัฒนาคุณธรรมในสถานศึกษา (3) ด้านผู้สอน พบว่า ครูควรจะให้ความร่วมมือในการฝึกอบรม หรือการพัฒนาครูในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างครูให้เป็นผู้มีคุณธรรม (4) ด้านผู้เรียน พบว่า ควรให้ความมือและตั้งใจเรียนในทุกรายวิชาที่ครูมีการสอนแล้วเชื่อมโยงความรู้และคุณธรรมเข้าด้วยกัน นักเรียนควรนำความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนให้มีคุณธรรม</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280683 ความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการ กรมการจัดหางาน 2025-01-29T17:51:28+07:00 พิชญานิน พยุงสุวรรณ p.phayungsuwan@gmail.com จุฑาทิพ คล้ายทับทิม fsocjtk@ku.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับบรรยากาศองค์การและความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการ กรมการจัดหางาน (2) เปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการ กรมการจัดหางาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการ กรมการจัดหางาน เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับบุคลากรของกรมการจัดหางาน (กระทรวงแรงงาน) ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน จำนวน 400 ราย ใช้สถิติพรรณนา การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้าราชการกรมการจัดหางานส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อการสร้างบรรยากาศขององค์การและความผูกพันต่อองค์การ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยการสร้างบรรยากาศขององค์การด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์การมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และความผูกพันต่อองค์การด้านการคงอยู่กับองค์การ และความผูกพันด้านบรรทัดฐานสังคมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด 2) ข้าราชการกรมการจัดหางานที่มีปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ข้าราชการกรมการจัดหางานที่มีเพศ และระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกัน 3) บรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการ กรมการจัดหางาน ในทิศทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง (r=0.63) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281537 Intercultural Communication Barriers and Strategies of Thai Buddhist Monks with Foreigners at an International Buddhist Center in Thailand 2025-03-05T23:41:41+07:00 Jatuporn Simmali jaee1234567@gmail.com Rutthaphak Huttayavilaiphan rutthaphak.hu@up.ac.th <p>This research explored intercultural communication (IC) barriers and strategies employed by Thai Buddhist monks during interactions with foreign visitors at an International Buddhist Center (IBC) in Thailand. Recognizing the growing importance of English as a lingua franca (ELF), especially in religious and cultural exchanges, the study aimed to investigate how monks manage linguistic and cultural challenges while communicating in English. As monks often serve as cultural ambassadors, effective intercultural communication is crucial for sharing Buddhist teachings and enhancing cross-cultural understanding. This mixed-methods study utilized both quantitative and qualitative approaches. Data was collected through questionnaires and semi-structured interviews with 30 and 10 monks respectively. Data analysis involved descriptive statistics and conceptual content analysis. The findings revealed that language barriers were the most significant challenge for monks, followed by philosophical/religious and cultural barriers. Interviews also highlighted language and cultural barriers, including difficulties with Buddhist vocabulary, pronunciation, and cultural differences. Regarding communication strategies, verbal strategies were most frequently used, followed by non-verbal and interactive strategies.</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/278943 ผลการใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย เพื่อพัฒนาทักษะการคิดคำนวณวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-03-06T15:39:01+07:00 สุชาดา เกื้อเส้ง suchada.k@banthungkhai.ac.th นันทน์ธร บรรจงปรุ nanthon.bun@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาสื่อมัลติมีเดียวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (2) เปรียบเทียบทักษะการคิดคำนวณก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดียวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดียวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย เพื่อพัฒนาทักษะการคิดคำนวณ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (2) สื่อมัลติมีเดีย เรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1) คุณภาพของการพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการคูณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคุณภาพในภาพรวม อยู่ในระดับดีมาก (M = 4.65, S.D.= 0.50) 2) ทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการคูณ โดยการใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดียของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ โดยการใช้เทคนิคทีมเกมทัวร์นาเมนต์ (Teams-Games Tournament: TGT) ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280314 ความสัมพันธ์อัตราส่วนทางการเงินที่มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ 2025-01-07T13:32:24+07:00 จอมขวัญ ศุภศิริกิจเจริญ dr.kwaninvest@gmail.com ฟ้าวิกร อินลวง dr.kwaninvest@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) อัตราส่วนทางการเงิน และราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ และ (2) ความสัมพันธ์อัตราส่วนทางการเงินที่มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ จำนวน 22 บริษัท รวบรวมข้อมูลอัตราส่วนทางการเงินและราคาหุ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2562 ถึง ไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ. 2567 จากฐานข้อมูล SETSMART ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(Stock Exchange of Thailand) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติอนุมานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า (1) อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้ง แสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ มีดังนี้ อัตราส่วนหมุนเวียน (CR) อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE) อัตรากำไรสุทธิ (NPM) อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนราคาตลาดของหลักทรัพย์ต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อัตราราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) อัตราส่วนผลตอบแทนเงินปันผล (DY) และอัตราส่วนราคาตลาดของหลักทรัพย์ต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ในระดับที่สูงมาก และค่าเฉลี่ยราคาหุ้น (Stock Prices) ของกลุ่มธุรกิจการแพทย์มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 2) ความสัมพันธ์อัตราส่วนทางการเงินที่มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ พบว่า อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี(P/BV) อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) อัตราส่วนหมุนเวียน (CR) อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE) อัตรากำไรสุทธิ (NPM) อัตราส่วนผลตอบแทนเงินปันผล (DY) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจการแพทย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280583 การบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง 2025-02-17T15:22:02+07:00 อนงค์นาฎ หน่วยแก้ว tonkrajudse1003@gmail.com นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ 6655701005@nstru.ac.th นพรัตน์ ชัยเรือง tonkrajudse1003@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา (2) ศึกษาความต้องการจำเป็นทางการบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา (3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุงการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 285 คน ได้มาโดยวิธีคัดเลือกใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนี PNI modified ผลการศึกษาพบว่า 1) บริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง โดยรวมอยู่ในระดับมากและสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ความต้องการตามองค์ประกอบหลักในการบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษา พบว่า ด้านการนิเทศการศึกษาของผู้บริหารมีลำดับความต้องการจำเป็นสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านการวัดผลและประเมินผลของผู้บริหาร ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลทางการศึกษาของผู้บริหาร ด้านการพัฒนาหลักสูตรในสถานศึกษาของผู้บริหารตามลำดับ 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ (1) การพัฒนาหลักสูตรในสถานศึกษา ควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและจัดประชุมออนไลน์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ (2) การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลทางการศึกษา ควรสนับสนุนการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะและสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ดิจิทัลที่ทันสมัย (3) การวัดผลและประเมินผล ควรส่งเสริมการใช้ AI ในการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ (4) การนิเทศการศึกษา ควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการรวบรวม วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาการนิเทศอย่างเป็นระบบ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280723 ความต้องการจำเป็นของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2025-01-12T16:54:51+07:00 ภาวิณี จันทร์แดง mawmiawpawinee@gmail.com ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์ mawmiawpawinee@gmail.com อรสา จรูญธรรม mawmiawpawinee@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา (2) ความต้องการจำเป็นของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น โดยดัชนีลำดับความสำคัญ (PNI modified) ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ความต้องการจำเป็นของการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เรียงตามลำดับ ดังนี้ (1) การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (2) การติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา (3) การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (4) การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 5) การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา และ (6) การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา ตามลำดับ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279275 การพัฒนาทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ 11 และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา ร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2025-03-07T12:16:06+07:00 เบญจวรรณ์ เลิศทองคำ krupep@sapa2.ac.th อลงกรณ์ อัศวโสวรรณ krupep@sapa2.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบทักษะการแต่งอินทรวิเชียรฉันท์ 11 และทักษะการคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชัน (2) เปรียบเทียบทักษะการแต่งอินทรวิเชียรฉันท์ 11 และทักษะการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชันกับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชัน กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสภาราชินี 2 จำนวน 70 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชัน 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) แบบวัดทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ 11 4) แบบประเมินทักษะการคิดสร้างสรรค์ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test แบบไม่เป็นอิสระต่อกันและแบบเป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชันมีทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ 11 และทักษะการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชันมีทักษะการแต่งคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ 11 และทักษะการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคเกมมิฟิเคชันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279337 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game – based Learning) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแคลคูลัสเบื้องต้น ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปะเหลียนผดุงศิษย์ 2025-03-07T12:25:45+07:00 จิรพรรณ บุณยาธิการโสภณ chirapan.buny@gmail.com อัมพร วัจนะ chirapan.buny@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างกลุ่มทดลองที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานกับกลุ่มควบคุมที่มีการจัดการเรียนรู้แบบการสอนปกติ และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนกลุ่มทดลองที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-Based Learning) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนปะเหลียนผดุงศิษย์ จำนวน 33 คน ซึ่งเป็นกลุ่มทดลอง และผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนปะเหลียนผดุงศิษย์ จำนวน 35 คน ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุม โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบการสอนปกติ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน วิเคราะห์ความเหมาะสมและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานและแผนการจัดการเรียนรู้แบบการสอนปกติ โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้การทดสอบค่าทีแบบ independent sample t-test เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้การหาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ (RG) วิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานของผู้เรียนกลุ่มทดลอง โดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้เรียนกลุ่มทดลองมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-Based Learning) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281002 ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 2025-02-17T15:22:59+07:00 กัณภิรมย์ นาคแก้ว gunpirom2565@gmail.com นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ gunpirom2565@gmail.com นพรัตน์ ชัยเรือง gunpirom2565@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนของผู้บริหารสถานศึกษา (2) การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา (3) ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา และ (4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหูคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้าน ร่วมกันสามารถพยากรณ์ผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาได้ถึงร้อยละ 77.00 โดยมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ปรากฏผล 5 ด้าน ได้แก่ การกำหนดทิศทางการพัฒนา การปรับปรุงหลักสูตร การประเมินและกำกับติดตามการเรียนการสอน การส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกและความร่วมมือระหว่างคณะครู และการพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพของครู ทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279327 ผลของการใช้โปรแกรมเกมนันทนาการที่มีต่อการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบางคราม 2025-03-07T12:24:13+07:00 สันติพงษ์ คงเพชรธนเดช 6524442240@rumail.ru.ac.th นันทน์ธร บรรจงปรุ 6524442240@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้โปรแกรมเกมนันทนาการที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวก่อนเรียนและหลังเรียน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบางคราม อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมเกมนันทนาการ 2) โปรแกรมเกมนันทนาการ 3) แบบวัดทักษะการเคลื่อนไหว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทีแบบ t-test dependent ผลการศึกษาพบว่า ผลการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281576 การพัฒนาสุขศาลาร่วมใจแบบมีส่วนร่วมบนฐานของชุมชนในพื้นที่จังหวัดน่าน 2025-03-05T19:50:50+07:00 วรินทร์เทพ เชื้อสำราญ warintep@gmail.com ถนัด ใบยา warintep@gmail.com แชน อะทะไชย warintep@gmail.com กมลฉัตร จันทร์ดี warintep@gmail.com วิลาวัณย์ กามินทร์ warintep@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดน่าน (2) พัฒนารูปแบบสุขศาลาร่วมใจแบบมีส่วนร่วมบนฐานของชุมชน และ (3) ประเมินผลลัพธ์ของการดำเนินงานสุขศาลาร่วมใจที่พัฒนาขึ้น โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) เก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย 6 พื้นที่ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก สนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า สุขศาลาร่วมใจที่ใช้แนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนสามารถเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ ลดอุปสรรคด้านระยะทาง และส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของชุมชนในระยะยาว ผลลัพธ์ของการดำเนินงานสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของแนวทางนี้ และข้อเสนอแนะสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนเชิงนโยบายเพื่อบูรณาการสุขศาลาร่วมใจเข้ากับระบบสุขภาพระดับอำเภอ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280560 แนวทางการพัฒนาอาชีพที่ยั่งยืนของกลุ่มปลาส้ม ตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ 2025-01-26T12:27:32+07:00 สุณัฐพิพล เคนเหลื่อม sunatphipon_k@kkumail.com รสิตา ดาศรี rasida@kku.ac.th อุมาวดี เดชธำรง umadet@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาความต้องการ การพัฒนาอาชีพของกลุ่มปลาส้ม ตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ (2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาอาชีพของกลุ่มปลาส้ม ตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ในการยกระดับให้ยั่งยืน งานวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพร่วมกับการวิจัยเอกสาร ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ประกอบด้วย หน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลหัวทะเล สมาชิกชุมชนและกลุ่มปลาส้ม ตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ โดยเก็บข้อมูลในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน พ.ศ.2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดระเบียบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ตามประเด็นที่ศึกษา ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความต้องการแก้ปัญหาของกลุ่มปลาส้ม ต้องการหาตลาดรองรับ การพัฒนากลุ่มอาชีพจะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน ส่งเสริมการตลาดออนไลน์และการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ปลาส้มที่โดดเด่น พร้อมทั้งการพัฒนาทักษะการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนากลุ่มให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการสร้างกลุ่มผู้สืบทอดและเพิ่มแรงงานใหม่ในกลุ่มจะช่วยทำให้กลุ่มอาชีพที่มีศักยภาพอย่างยั่งยืน</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280588 สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2025-02-17T15:20:49+07:00 กิตติยา ดือราแม 6655701011@nstru.ac.th รัฐพร กลิ่นมาลี 6655701011@nstru.ac.th วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ 6655701011@nstru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา (2) คุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา (3) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน และ (4) แนวทางสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูและบุคลากรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 307 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2) ส่วนคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 3) สมรรถนะการมุ่งสู่ความสำเร็จ และสมรรถนะในการบริหารตนเอง ร่วมกันทำนายคุณภาพผู้เรียน ได้ร้อยละ 48.00 อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ปรากฏผล 5 ด้าน (1) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ผู้บริหารสถานศึกษาต้องยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมใช้ในการบริหารจัดการ (2) ด้านการทำงานเป็นทีม เปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการวางแผน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น (3) ด้านการบริหารจัดการ วางแนวทางขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างรอบด้าน (4) ด้านการบริหารตนเอง ให้เกียรติและเคารพสิทธิตนเองและผู้อื่น (5) ด้านการมุ่งสู่ความสำเร็จ บริหารจัดการเชิงระบบ ช่วยให้การบริหารเป็นไปตามวัตถุประสงค์</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/278883 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐาน (Task-Based Learning) บูรณาการร่วมกับโปรแกรมไลน์แช็ตบอต เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-03-06T15:38:31+07:00 สุธาทิพย์ เชยชื่นจิตร 6524442228@rumail.ru.ac.th นันทน์ธร บรรจงปรุ 6524442228@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาโปรแกรมไลน์แช็ตบอต เรื่อง ทักษะการสื่อสารวิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานบูรณาการร่วมกับโปรแกรมไลน์แช็ตบอต (3) เปรียบเทียบทักษะการสื่อสารภาษาไทยของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 และ (4) ศึกษาเจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานบูรณาการร่วมกับโปรแกรมไลน์แช็ตบอต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวัดศรีสุวรรณาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 จำนวน 12 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับโปรแกรมไลน์แช็ตบอตเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (2) โปรแกรม ไลน์แช็ตบอต (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย (4) แบบวัดทักษะการสื่อสารภาษาไทย (5) แบบวัดเจตคติสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที ผลการศึกษาพบว่า 1) คุณภาพของการพัฒนาโปรแกรมไลน์แช็ตบอต มีคุณภาพในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ซึ่งด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดี และคุณภาพด้านการออกแบบอยู่ในระดับดีมาก 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ทักษะการสื่อสารภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) เจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานบูรณาการร่วมกับโปรแกรมไลน์แช็ตบอตอยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280668 ความต้องการจำเป็นของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2025-01-12T16:54:17+07:00 อภิวัชร์ บัวเจริญ apiwat052524@gmail.com ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์ apiwat052524@gmail.com อรสา จรูญธรรม apiwat052524@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และ (2) ความต้องการจำเป็นของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น โดยดัชนีลำดับความสำคัญ (PNI modified) ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ภาพรวม อยู่ในระดับน้อย และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ความต้องการจำเป็นการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เรียงตามลำดับ ดังนี้ (1) การปราบปราม (2) การป้องกัน และ (3) การปลูกฝัง ตามลำดับ</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/275677 การเสริมสร้างสมรรถนะหลักของข้าราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง 2024-07-21T12:16:06+07:00 สรรสนี มาตรศรี sansanee.chan@ku.th ศุภพัชร์พิมล สิมลี sansanee.chan@ku.th เกวลิน ศีลพิพัฒน์ sansanee.chan@ku.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างสมรรถนะหลักของข้าราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง และ (2) เพื่อศึกษาแนวทางสมรรถนะหลักของข้าราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มุ่งเน้นการศึกษาภาคสนามเป็นสำคัญ และสรุปผลเชิงวิเคราะห์และพรรณนาอย่างละเอียด จากผู้ใหข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนระดับสูง (อำนวยการสูง) จำนวน 2 คน ข้าราชการพลเรือนระดับชำนาญการพิเศษ จำนวน 1 คน และข้าราชการพลเรือนระดับชำนาญการ จำนวน 2 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้าราชการมีวางแผนและวางเป้าหมายของงานว่า ประสงค์ต่อผลสัมฤทธิ์ด้านใดบ้างที่จะสามารถตอบสนองต่อผลการทำงานอันจะนำไปสู่ผลสำเร็จ มีการผลงานอย่างต่อเนื่อง มีการให้บริการปรชาชนด้วยความพึงพอใจ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อน มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นให้ได้รับสิ่งที่ดีและเกิดประโยชน์ มีการหมุนเวียนการทำงาน เพื่อให้ได้รับความรู้ที่เกิดจากการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในการทำงานและสายอาชีพ และข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เสียสละ ไม่เลือกปฏิบัติ ถูกต้องตามกฎหมาย และวินัยข้าราชการ เพื่อนำไปสู่การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หลายฝ่าย หลายด้าน และหลายหน่วยงาน ทั้งแบบทางการและไม่ทางการเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย 2) แนวทางการเสริมสร้างสมรรถนะหลักของข้าราชการ คือ การกำหนดสมรรถนะหลักในเชิงนโยบาย การจัดอบรม การจัดการความรู้ และการส่งเสริมเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ นอกจากนี้ ข้าราชการทุกตำแหน่งจะต้องมีการพัฒนาตนเองตามตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ ซึ่งสมรรถนะหลักที่กรมกำหนดไว้รวมถึงการทำงานให้ดียิ่งขึ้นตลอดเวลา และสามารถสร้างบุคลากรให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอันจะนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279318 การพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัยโดยใช้ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” ร่วมกับเทคนิคการเล่านิทาน 2025-03-07T12:24:44+07:00 ปณิดา ชูหนูขาว 6524442241@rumail.ru.ac.th อลงกรณ์ อัศวโสวรรณ 6524442241@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางภาษาก่อนเรียนและหลังเรียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” ร่วมกับเทคนิคการเล่านิทาน (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” ร่วมกับเทคนิคการเล่านิทาน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 โรงเรียนบ้านหนองชุมแสง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 25 คน ได้มาจากการโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ (2) ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” (3) แบบวัดทักษะทางภาษา (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test for dependent) และสถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M.) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลความหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด ผลการศึกษาพบว่า 1) ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 89.14/86.20 2) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา”ร่วมกับเทคนิคการเล่านิทานมีทักษะทางภาษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) เด็กปฐมวัยมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม “รู้คิด พิชิตภาษา” ร่วมกับเทคนิคการเล่านิทานโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279385 การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับเกมออนไลน์แบบผสมผสาน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ และทักษะการเขียน เรื่องประโยคเพื่อการสื่อสารวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหัวหิน จังหวัดตรัง 2025-03-07T12:25:19+07:00 ศิรินทร์ภัทธิ์ เกลี้ยงช่วย sirinphat14@gmail.com นันทน์ธร บรรจงปรุ nanthon.bun@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ร่วมกับเกมออนไลน์แบบผสมผสาน เรื่องประโยคเพื่อการสื่อสาร วิชาภาษาไทย (2) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนวิชาภาษาไทย โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ร่วมกับเกมออนไลน์แบบผสมผสาน เรื่องประโยคเพื่อการสื่อสาร วิชาภาษาไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหัวหิน จำนวน 18 คน สุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ใช้สมองเป็นฐาน จำนวน 7 แผน รวมจำนวน 10 ชั่วโมง (2) เกมออนไลน์ ได้แก่ Plickers, Wordwall, Blooket, Factile (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนัย จำนวน 20 ข้อ และ (4) แบบประเมินทักษะการเขียนประโยคเพื่อการสื่อสารใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยใช้ ค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความยากเท่ากับ 0.2-0.8 และค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.2 ขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตร t - test แบบ Dependent Group ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ร่วมกับเกมออนไลน์แบบผสมผสาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย เรื่องประโยคเพื่อการสื่อสาร วิชาภาษาไทย ของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการเขียนวิชาภาษาไทย โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning) ร่วมกับเกมออนไลน์แบบผสมผสาน เรื่องประโยคเพื่อการสื่อสารของนักเรียน ระดับดี</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279429 ผลการใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับเเชทบอท เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสิเกาประชาผดุงวิทย์ 2025-03-07T12:17:37+07:00 วรรณกานต์ อินทฤทธิ์ wannakarn6683@gmail.com อัมพร วัจนะ wannakarn6683@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเรื่อง "หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต" ระหว่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับแชทบอท กับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแชทบอท การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ได้แก่ (1) กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5Es) ร่วมกับเเชทบอท (2) กลุ่มควบคุม คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแชทบอท เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต (2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต (3) แชทบอท เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต (4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต (5) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแชทบอท สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ Independent sample t-test ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเเชทบอท สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแชทบอท เรื่อง หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280617 ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม 2025-02-17T15:19:43+07:00 นุสรา พยอมหอม nusara.aro@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความคาดหวังของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม (2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม (3) เปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร การประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2567 จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที t-test for Dependent Samples ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) ความคาดหวังของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับมาก 2) ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับมาก 3) ผลการเปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 </p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279401 ผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้มาโครโมเดล (MACRO Model) ร่วมกับเกมออนไลน์ (Roblox) เรื่องMy School Life เพื่อพัฒนาทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2025-03-07T12:16:43+07:00 นุศราภรณ์ คงสุข 6524442234@rumail.ru.ac.th นันทน์ธร บรรจงปรุ 6524442234@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้มาโครโมเดล (MACRO Model) ร่วมกับเกมออนไลน์ (Roblox) เรื่อง My School Life ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ (2) เปรียบเทียบทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้มาโครโมเดล (MACRO Model) ร่วมกับเกมออนไลน์ (Roblox) เรื่อง My School Life ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 21 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านหนองเจ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 ได้มาโดยการสุ่มแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้มาโครโมเดล (MACRO Model) ร่วมกับเกมออนไลน์ (Roblox) เรื่อง My School Life ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (2) เกมออนไลน์ (Roblox) เรื่อง My School Life (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง My School Life วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง My School Life ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ทักษะการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง My School Life สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279872 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง My House ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย 2025-03-07T12:19:01+07:00 อัญชัน มาศวิวัฒน์ anchan320@gmail.com ภาสุดา ภาคาผล anchan320@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง My House ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น ดำเนินการตามแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มตัวอย่างเดียววัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนตรังรังสฤษฎ์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง My House (2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง My House (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง My House และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ dependent sample t-test ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดียมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐานร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง My House โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/272710 การศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 2024-05-01T21:22:42+07:00 ฐิติชญาณ์ วงค์ก่ำ jr.promisekoy@gmail.com กษิฎิฏฏ์ มีพรหม jr.promisekoy@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา และ (2) เปรียบเทียบสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู รวม 2,192 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู รวม 336 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ะการศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านมีระดับสมรรถนะหลักอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280396 สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2025-03-19T16:08:51+07:00 ศิริลักษณ์ คงแก้ว sirilukk996@gmail.com นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ 6655701022@nstru.ac.th นพรัตน์ ชัยเรือง sirilukk996@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (2) การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (3) สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา และ (4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างคือข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2567 จำนวน 335 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารส่งผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา โดยมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงที่คล้อยตามกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับดิจิทัลก่อนนำมาใช้ ต้องส่งเสริมครูและบุคลากรในการนำดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาระบบจัดเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูล และที่สำคัญคือต้องสร้างเจตคติเชิงบวก รวมทั้งส่งเสริม ให้บุคลากรในสถานศึกษาได้เข้ารับการอบรม เรียนรู้การใช้งาน และเห็นข้อดีของการนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/280625 ภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจที่ส่งผลต่อคุณภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2025-03-19T16:06:35+07:00 มาเรียม ชิงชัย 6655701006@nstru.ac.th นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ 6655701006@nstru.ac.th นพรัตน์ ชัยเรือง 6655701006@nstru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับของภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารสถานศึกษา (2) คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา (3) ภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา (4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจที่ส่งผลต่อคุณภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งหมด 307 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจและคุณภาพของสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา ในภาพรวมและรายด้าน มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 โดยมีค่าความสัมพันธ์ทางบวกโดยมีค่าความสัมพันธ์ในระดับเชิงบวกในระดับสูง เท่ากับ .895 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา พบว่า (1) บริหารแบบร่วมแรงร่วมใจ เพื่อสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล (2) กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน ระหว่างผู้บริหาร คณะครู และบุคลากร พร้อมพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง (3) สนับสนุนการบริหารจัดการโรงเรียน ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ พร้อมกำกับติดตามและประเมินผล (4) ปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงาน (5) ส่งเสริมการพัฒนาครูและสร้างขวัญกำลังใจ ให้บุคลากรอย่างเหมาะสม และ (6) เชื่อมั่นในความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา ในการนำองค์กรบรรลุเป้าหมาย</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281630 ความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกา 2025-03-05T19:39:23+07:00 ขวัญชนก ศรีคำนวล kwanchanok.sr@ku.th จุฑาทิพ คล้ายทับทิม kwanchanok.sr@ku.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกา (2) ศึกษาเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกาจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรที่ปฏิบัติงานในศาลฎีกา โดยใช้วิธีทำการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Taro Yamane’s และสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิและหาสัดส่วนได้จำนวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกาอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน ประเภทตำแหน่ง ส่วนงานที่สังกัด แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกัน ส่วนระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) บรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการศาลยุติธรรมและบุคลากรในศาลฎีกาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281835 กลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลอำพรสู่มาตรฐานสากล 2025-02-28T16:13:01+07:00 กันตธี ถีระแก้ว kantateethee@gmail.com สมเกียรติ ตุ่นแก้ว kantateethee@gmail.com ศิวภรณ์ สองแสน kantateethee@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของโรงเรียนอนุบาลอำพร (2) ศึกษาองค์ประกอบของการจัดการศึกษาปฐมวัยสู่มาตรฐานสากล (3) สร้างกลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยสู่มาตรฐานสากลของโรงเรียนอนุบาลอำพร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม (Focus group) จากคณะกรรมการบริหารโรงเรียน 6 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนผู้ปกครอง และผู้แทนครู และการใช้กระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (AIC) จากคณะกรรมการบริหารโรงเรียน 6 คน และผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ผลการศึกษาพบว่า จุดแข็ง ใช้ Active Learning, Holistic Approach, เทคโนโลยี, PLC ครูมีความเชี่ยวชาญ ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ จุดอ่อน ขาดกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมและภาษาต่างประเทศ ขาดแผนพัฒนาครูด้านเทคโนโลยี ระบบประกันคุณภาพยังไม่เป็นเครื่องมือหลัก โอกาส เงินอุดหนุนช่วยลดภาระ เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนการเรียนรู้ Active Learning และมารยาทไทยเป็นที่นิยม อุปสรรค นโยบายรัฐเปลี่ยนบ่อย เศรษฐกิจถดถอย ค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีสูง อัตราการเกิดลดลง กฎหมายใหม่เพิ่มภาระ ส่วนองค์ประกอบของการจัดการศึกษาปฐมวัยสู่มาตรฐานสากล ประกอบด้วย (1) การบริหารงานวิชาการ (2) การบริหารบุคลากร (3) การจัดประสบการณ์ (4) การส่งเสริมพัฒนาการ และ (5) การมีส่วนร่วม กลยุทธ์การบริหารจัดการศึกษาระดับปฐมวัยของโรงเรียนอนุบาลอำพรสู่มาตรฐานสากล ประกอบด้วย (1) การยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนสู่มาตรฐานสากล (2) การพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (3) การส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (4) การพัฒนาพัฒนาการของเด็กในทุกมิติให้มีคุณธรรมและทักษะชีวิต และ (5) การส่งเสริมความร่วมมือจากผู้ปกครองและชุมชน</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279011 ผลการใช้บอร์ดเกม เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-03-06T15:39:12+07:00 นภาพร คำปา namnapaporn2537@gmail.com นันทน์ธร บรรจงปรุ namnapaporn2537@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับเทคนิค TGT เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีไทย และ (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาดนตรีไทยก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับดนตรีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนบ้านหนองชุมแสง จำนวน 31 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้เทคนิค TGT ร่วมกับบอร์ดเกม (2) บอร์ดเกม (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีไทย วิเคราะห์คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้และบอร์ดเกม และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ค่าสถิติ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพความเหมาะสมของบอร์ดเกมโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 6 เรื่องอยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด และผลการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกม เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาดนตรีไทย เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดนตรีไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/270392 แนวทางการสอนศาสนาเพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองโลก: บทเรียนสำคัญของครูสังคมศึกษา 2024-09-27T16:01:10+07:00 พระครูปภัสสรกิตติคุณ ชุมโคตร ajsdp9900@gmail.com วิทยา ทองดี ajsdp9900@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งเน้นอธิบายภาวะพลเมืองโลกซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการตระหนักและเข้าใจกันเป็นอย่างดีในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ภาวะความเป็นพลเมืองโลกจึงเป็นกุญแจชิ้นสำคัญในการปลดสลักความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในมุมมองต่าง ๆ ที่ยาวนาน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากภาวะพลเมืองโลกเป็นการมุ่งเน้นให้แต่ละคนตระหนักถึงการเป็นส่วนหนึ่งในฐานะมนุษย์ร่วมกันในโลกนี้ ภาวะพลเมืองโลกจึงมีพลังในตัวมันเอง และก่อให้เกิดความต่อเนื่องของการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ในระดับการพัฒนา ภาวะพลเมืองโลกถูกหยิบยื่นเข้ามาให้ระบบการศึกษาสานต่อและปลูกฝังภาวะพลเมืองโลกให้กับปัจเจกบุคคลทั่วไป ในระดับการศึกษาการมุ่งสู่ภาวะพลเมืองโลกด้วยการส่งเสริมภาวะดังกล่าวนี้มุ่งไปที่การสร้างหลักสูตรสังคมศึกษาที่สอดคล้องกับเป้าหมายภาวะพลเมืองโลก เนื่องจากการสอนศาสนาถือเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างภาวะพลเมืองโลกอย่างมีประสิทธิภาพในแง่มุมของการเข้าใจความหลากหลายและภูมิหลังของความเชื่อที่แตกต่างกัน บทความนี้เสนอแนวทางการสอนศาสนาสำหรับครูสังคมศึกษาเพื่อส่งเสริมภาวะพลเมืองโลก โดยมุ่งเน้นไปที่กรอบการพัฒนาภาวะพลเมืองโลกคือ 1) การสร้างความรู้ความเข้าใจในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม 2) การสอนทักษะการวิพากษ์จากจุดยืนที่มีอยู่สู่ความเชื่ออื่น ๆ และ 3) การสอนศาสนาเพื่อความเข้าใจคุณค่าและมีทัศนคติที่ดี การสอนสาระศาสนาสำหรับครูสังคมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาวะพลเมืองโลกที่ดีได้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/279643 ความหลากหลายทางเพศต่อการสร้างครอบครัวระหว่างเพศเดียวในสังคมไทย 2025-01-05T17:42:36+07:00 พรพิรุณ ชลาชัย pornpiroon.ch@kkumail.com รักชนก ชำนาญมาก c.rukchanok@kkumail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายทางเพศต่อการสร้างครอบครัวระหว่างเพศเดียวกันในสังคมไทย ถึงความจำเป็นต่อการมีกฎหมายสมรสระหว่างเพศเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงต่อการใช้ชีวิตร่วมกันของคู่รักความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย จากกฎหมายการสมรสระหว่างเพศเดียวกัน และวิเคราะห์ถึงปัญหา และข้อจำกัดของความหลากหลายทางเพศต่อการดำรงชีวิตร่วมกันของคู่รักความหลากหลายทางเพศต่อสังคมไทย ตลอดจนการมีกฎหมายการสมรสระหว่างเพศเดียวกัน พบว่ากฎหมายการสมรสระหว่างเพศเดียวกัน ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวทางสังคม และมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเรื่อยมา พบว่าพบว่าข้อจำกัดด้วยเหตุแห่งเพศ และการจำแนกเพศคือหลักการสำคัญในการจำกัดสิทธิ์จากการศึกษาสามารถสรุปได้ 3 ประการ 1) การจำแนกเรื่องเพศมีผลต่อสิทธิ์ในระบบกฎหมาย 2) การจำแนกเรื่องเพศสะท้อนให้เห็นถึงการผลิตซ้ำในระบบความเชื่อแบบสองเพศ หรือความรักต่างเพศระหว่างชายและหญิงเท่านั้นที่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ 3) การจำแนกเพศมีผลต่อการได้รับสิทธิและสวัสดิการ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตคู่ระหว่างเพศเดียวกันเมื่อมีการแบ่งแยกกฎหมายการได้รับสิทธิต่าง ๆ ในฐานะเป็นคู่รักเพศเดียวกันจึงมีข้อกำจัดที่สำคัญหลายประการ การเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นผลสะท้อนการต่อสู้ของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศจากความไม่เสมอภาคต่อกฎหมายการสมรสระหว่างเพศเดียวกัน ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทำให้เห็นถึงข้อจำกัด และเงื่อนไขที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตร่วมกันของคู่รักเพศเดียวกัน อย่างไรก็ตามการยอมรับในสังคมนั้นยังมีเรื่องของความเชื่อค่านิยมทางสังคม รวมถึงทัศนคติของปัจเจกบุคคลที่มีต่อคู่รักความหลากหลายทางเพศนั้น เป็นเรื่องที่กฎหมายการสมรสระหว่างเพศเดียวกันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อ และทัศนคติเหล่านั้นได้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281718 ความรู้จากมุมมองของญาณวิทยาเชิงสังคม: การแลกเปลี่ยนความรู้ในสังคมออนไลน์ 2025-03-11T23:39:53+07:00 ปรีชา บุตรรัตน์ b.preecha@kkumail.com <p>บทความนี้ศึกษาความรู้จากมุมมองของญาณวิทยาเชิงสังคม โดยเน้นที่กระบวนการการแลกเปลี่ยนความรู้ในสังคมออนไลน์ ได้เสนอเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการเลือกกรอบทางสังคมที่ส่งผลต่อการยอมรับของข้อมูลซึ่งเป็นการพิจารณาผ่านมุมมองทางญาณวิทยาเชิงสังคม 3 ประเด็น ประกอบด้วยการพิจารณาแหล่งที่มาของข้อมูล ความโปร่งใสและความเป็นกลางของข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับของข้อมูลสำหรับ และพบว่ากรอบทางสังคมที่ส่งผลต่อการยอมรับของข้อมูลจะพิจารณาถึงการตีความข้อมูลผ่านมุมมองหรือค่านิยมที่มีอยู่ในสังคมที่นำมาสู่การยอมรับหรือปฏิเสธข้อมูลทั้งนี้การเลือกกรอบทางสังคมได้รับอิทธิพลจาก วัฒนธรรม ความเชื่อส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ในกลุ่มสังคม อุดมการณ์ทางการเมือง จากเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อและกรอบทางสังคมทำให้ผู้ที่แลกเปลี่ยนความรู้ในสังคมออนไลน์มีเกณฑ์ในการพิจารณาความรู้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและนำไปสู่ความรู้ที่จริงได้</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/271667 การสอนประวัติศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 2025-03-04T16:03:15+07:00 พระครูปภัสสรกิตติคุณ ชุมโคตร ajsdp9900@gmail.com วิทยา ทองดี ajsdp9900@gmail.com <p>การสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานเป็นรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งโดดเด่นด้วยความเป็นอิสระของนักเรียน การสืบสวนอย่างสร้างสรรค์ การตั้งเป้าหมาย การทำงานร่วมกัน การสื่อสาร และการสืบค้นด้วยการปฏิบัติจริง การสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานมักใช้ในหลากหลายสาขาวิชาการสอน แต่ยังไม่ค่อยพบมากนักในการสอนประวัติศาสตร์ บทความนี้นำเสนอการสอนประวัติศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย การสอนประวัติศาสตร์นั้นมีเป้าหมายทั่วไปประกอบด้วย 1) การสอนเพื่อสอบ 2) การสอนเพื่อสร้างจิตสำนึกและอุดมการณ์ 3) การอสอนประวัติศาสตร์เพื่อเข้าใจปัจจุบัน 4) การสอนเพื่อเข้าใจกระบวนการทางประวัติศาสตร์ และ 5) การสอนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกการคิดเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์ การสอนประวัติศาสตร์ในเป้าหมายที่ 3, 4 และ 5 จะนำไปสู่เป้าหมายที่ 1 และ 2 ด้วยตัวมันเอง ดังนั้น การสอนประวัติศาสตร์เพื่อเป็นไปในเป้าหมายที่ 3, 4 และ 5 จึงจำเป็นต้องอาศัยการสอนด้วยวิธีการใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อฝึกการสืบสวนหาความรู้ด้วยตนเอง ฝึกการวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีหลักการและเหตุผล วิธีการนี้มีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการสอนมัธยมศึกษาตอนปลายอันเนื่องมาจากภระงานที่ได้รับมอบหมายค่อนข้างจะเป็นภาระงานที่ซับซ้อน ทั้งนี้ผู้สอนอาจะต้องพิจารณาแนวทางการสอนให้เข้ากับบริบทของผู้เรียนและชั้นเรียนรวมถึงหลักสูตรด้วย</p> 2025-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์