https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/issue/feed
วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
2025-09-23T21:26:49+07:00
Open Journal Systems
<p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต (</strong><strong>Aim and Scope)<br /></strong> วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ (Journal of Social Science Panyapat) ISSN : 3027-6748 (Online) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่<strong>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ</strong> ในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ <strong>1) สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 2) สาขาพัฒนาสังคม 3) สาขาศึกษาศาสตร์ 4) สาขาเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ</strong> และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ เผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของวารสาร</strong><br /> 1) แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์เผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน), ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) และได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการออกเผยแพร่บทความเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2565) เป็นต้นมา ปัจจุบันวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม) ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน) ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน) และ ฉบับที่ 4 (ตุลาคม – ธันวาคม)<br /> 2) แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ ISSN : 2773-9805 (Online) และได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็น ISSN : 3027-6748 (Online) โดยจะดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มีนาคม 2567 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับด้านสังคมศาสตร์ และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอแนวคิดใหม่<br /> 3) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิจารณ์หรืออธิบายเหตุผลสนับสนุนในประเด็นที่เห็นด้วย และ มีความเห็นแตกต่างในมุมมองวิชาการ</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร<br /></strong> แต่เดิมวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์เผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน), ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) และได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการออกเผยแพร่บทความเป็นปีละ 4 ฉบับ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2565) เป็นต้นมา ปัจจุบันวารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์ มีกำหนดวงรอบการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ ดังนี้<br /> - ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม<br /> - ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน <br /> - ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน<br /> - ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>อัตราค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ มีอัตราค่าตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาไทย) บทความละ 4,000 บาท<br /> 2) บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) บทความละ 6,000 บาท<br /> โดยผู้เขียนจะต้อง กรอก <strong>“<a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a>”</strong> และชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ภายหลังจากที่กองบรรณาธิการพิจารณาความสมบูรณ์ และความถูกต้องตามรูปแบบแล้ว และส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินพิจารณาบทความ <strong>(เก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เมื่อเข้าสู่กระบวนการ Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) มีขั้นตอนการพิจารรณา ดังนี้<strong><br /></strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้นในด้านคุณภาพของบทความ โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณ 5 วันทำการหากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน</li> <li>บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชานั้น พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน โดยใช้เวลาพิจารณาประมาณอย่างน้อย 20 วันทำการ</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ ภายในเวลา 3 วันทำการ หลังจากได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิครบทั้ง 3 ท่าน</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์ และระยะเวลาการแก้ไขไม่ควรเกิน 15 วันทำการ</li> </ol> <p><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <ol> <li>บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ทางกองบรรณาธิการวารสารจะพิจารณาเบื้องต้น ในด้านคุณภาพของบทความ และการจัดรูปแบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวารสารฯ หากเห็นว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอจะไม่ดำเนินการต่อ หรืออาจส่งให้ปรับแก้ไขก่อน บทความที่พิจารณาแล้วเหมาะสม มีคุณภาพ จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิตามความเชี่ยวชาญของสาขาวิชา พิจารณากลั่นกรอง (Peer review) 3 ท่าน</li> <li>เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ผลเป็นประการใดทางกองบรรณาธิการจะแจ้งให้ท่านทราบ</li> <li>ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านต้องปรับแก้ หากไม่ปรับแก้จะไม่ได้รับการตีพิมพ์</li> <li>เมื่อมีการปรับแก้เป็นไปตามผู้ทรงคุณวุฒิ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบความสมบูรณ์เนื้อหาบทความให้เป็นไปตามรูปแบบของวารสาร และตรวจสอบไฟล์รูปภาพที่ใช้ในบทความที่มีความคมชัดในการจัดพิมพ์ก่อนเผยแพร่บทความ</li> </ol> <p><strong>แนวทางการต่อติดประสานงานและมีความประสงค์ขอตีพิมพ์:</strong></p> <ol> <li>ประสานเจ้าหน้าที่วารสาร เพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น (เช่น รอบการตีพิมพ์, หนังสือตอบรับการตีพิมพ์, ค่าใช้จ่ายฯลฯ) ID Line: ben_lowz โทร. 080-2241454 (นางสาวศิโรรัตน์ ประศรี), 081-6015934 (ผศ. ดร.ประยูร แสงใส)</li> <li>เตรียมต้นฉบับบทความ</li> </ol> <p> - เทมเพลตบทความวิจัย <a href="https://docs.google.com/document/d/1h16I3OrCBS4_-g4hQxRZtzZs87fel49l/edit?usp=drive_link&ouid=101054565910719523625&rtpof=true&sd=true">คลิก</a> <br /> - เทมเพลตบทความวิชาการ <a href="https://docs.google.com/document/d/16Ap1TK9aXhyx9FnYU4f9iM3XMiB0o2f6/edit?usp=drive_link&ouid=101054565910719523625&rtpof=true&sd=true">คลิก</a><br /> - เทมเพลตบทวิจารณ์หนังสือ <a href="https://docs.google.com/document/d/19nzVzFAhIhle9z_lZ8GH1reH9kYy4RAu/edit?usp=drive_link&ouid=101054565910719523625&rtpof=true&sd=true">คลิก</a></p> <ol start="3"> <li>ส่งบทความต้นฉบับในระบบวารสาร <a href="https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/index">https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/index</a></li> <li>กรอก “แบบขอส่งบทความตีพิมพ์” จาก <a href="https://drive.google.com/file/d/13hbKlIcvn6FU_oGAUdjACl0ZMWoudxC_/view?usp=drive_link">คลิก</a></li> <li>ส่งสำเนาเอกสารในระบบ Google forms ที่ <a href="https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit">https://docs.google.com/forms/d/1JFZ6xgC46Gyck7j79RwPpVKy7lU9fKl-gRz5TBrZ7WE/edit</a></li> </ol> <p> 6. สมัครเข้า line กลุ่มวารสาร เพื่อติดต่อประสานงาน ที่ <a href="https://line.me/R/ti/g/Ngfd8WM9U2">https://line.me/R/ti/g/Ngfd8WM9U2</a></p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286124
ความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์และสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอุตสาหกรรมยานยนต์ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย
2025-07-02T19:17:46+07:00
ชวลิต ศุภศักดิ์ธำรง
alit2001@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลของการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่เกิดจากอิทธิพลของความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์และสมรรถนะทรัพยากรมนุษย์กับข้อมูลเชิงประจักษ์ และเพื่อวิเคราะห์อิทธิพลทางตรงของความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ และสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มีต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอุตสาหกรรมยานยนต์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย และความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปฏิบัติงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย จำนวน 400 คน โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า มีความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าดัชนีดังนี้ คือ x<sup>2</sup>/df = 2.236, RMSEA = 0.056, CFI = 0.987, GFI = 0.962, NFI = 0.977, TLI = 0.987, และ RMR = 0.014 และค่าอิทธิพลทางตรงระหว่างตัวแปรความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีค่าเท่ากับ 0.33 และตัวแปรสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มีต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีค่าเท่ากับ 0.46 โดยมีค่าดัชนีดังนี้ คือ x<sup>2</sup>/df = 2.086, RMSEA = 0.052, CFI = 0.988, GFI = 0.960, NFI = 0.988, TLI = 0.982, และ RMR = 0.010 ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้คือ ความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ ควรมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการตัดสินใจอัตโนมัติ การวิเคราะห์และทำนาย การเรียนรู้และการปรับตัว การประมวลผลแบบรวดเร็ว และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ สำหรับประเด็นของสมรรถนะของทรัพยากรมนุษย์ควรมุ่งเน้นด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ด้านเทคนิค ด้านนวัตกรรมและการปรับตัว ด้านการบริหารและภาวะผู้นำ และด้านคุณธรรมและจริยธรรมในการทำงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/283097
The Mediating Role of ESG Management in the Relationships Between Team-Oriented Leadership, Employee Engagement, and Organizational Sustainability
2025-06-02T21:32:46+07:00
Siripong Jeerungsuwan
siripong.je@ku.th
Pornlapas Suwannarat
fbusppsu@ku.ac.th
<p>This study examines the impact of team-oriented leadership and employee engagement on organizational sustainability, with a particular focus on the mediating role of Environmental, Social, and Governance (ESG) management. As organizations face increasing pressure to integrate sustainability into their core strategies, effective leadership and employee commitment are essential for achieving long-term resilience and responsible business practices. By analyzing data from the Corporate Business Development (CBD) unit of Central Group, this research explores how leadership styles and employee engagement contribute to sustainable outcomes. Utilizing SPSS for statistical analysis, the study finds that both team-oriented leadership and employee engagement significantly influence organizational sustainability. Moreover, ESG management acts as a partial mediator, reinforcing its role in strengthening the connection between leadership, engagement, and sustainability performance. These findings highlight the importance of adopting collaborative leadership approaches, fostering employee commitment, and embedding ESG principles into organizational frameworks. By providing insights into the interplay of these factors, this research recommends that organizations should strategically exhibit as well as foster the team-oriented leadership practices, actively engage employees, and integrate robust ESG management frameworks to drive long-term sustainability of their firms. By embedding these approaches, companies can strengthen resilience, build stakeholder trust, and secure a competitive edge in a rapidly evolving business environment.</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/283875
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการทำวิจัยในชั้นเรียนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1
2025-04-22T13:16:00+07:00
นุชรินทร์ อินแฝง
benznucharin@gmail.com
ชำนาญ ปาณาวงษ์
nucharini66@nu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา (2) ศึกษาระดับแรงจูงใจของครูในการดำเนินการวิจัยในชั้นการเรียนรู้ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจของครูในการดำเนินการวิจัยในชั้นการเรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 291 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 18 คน และครู จำนวน 273 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง จากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 โดยทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง แบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของครูในแต่ละอำเภอ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการทำวิจัยในชั้นเรียนของครู สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบสเปียร์แมน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับของผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) ระดับแรงจูงใจของครูในการดำเนินการวิจัยในชั้นการเรียนรู้ ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ของผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจของครูในการดำเนินการวิจัยในชั้นการเรียนรู้ พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก อยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285480
ความสามารถในการแข่งขันและปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย ในช่วงปี 2550-2566 ด้วยกรอบ Diamond Model
2025-07-04T16:33:05+07:00
ธนวัฒน์ ธาดาธนเศรษฐ์
thanawat.thad@ku.th
ปิยะพรรณ ช่างวัฒนชัย
Piyaphan.c@ku.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกข้าวของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนาม และ (2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดโลกและประเทศจีน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม โดยวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกข้าวผ่านกรอบ Diamond Model และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวไทยด้วยแบบจำลองถดถอยพหุคูณ วิธี Prais-Winsten AR(1) จากข้อมูลทุติยภูมิแบบอนุกรมเวลา รายไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2550 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ผลการศึกษาความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกข้าวของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนาม พบว่า ประเทศไทยได้เปรียบด้านต้นทุนทางการเงิน โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์และเทคโนโลยีการผลิต อีกทั้งสามารถใช้โอกาสจากการระงับการส่งออกข้าวของอินเดียในการขยายส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เวียดนามได้เปรียบด้านแรงงาน ทั้งในแง่จำนวนและต้นทุนต่ำ มีผลผลิตต่อพื้นที่สูง และมีความก้าวหน้าในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวรวมถึงบทบาทเชิงรุกของรัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า และผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดโลกและประเทศจีน พบว่า ดัชนีผลผลิตข้าวของไทยเป็นปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวไปยังตลาดโลกและประเทศจีนในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกส่งผลต่อปริมาณการส่งออกข้าวของไทยไปยังตลาดโลกในทิศทางบวก ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตข้าวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถในการส่งออกข้าวของไทย</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285838
ผลกระทบของแซนด์วิชเจนเนอเรชั่นและทักษะทางการเงินที่มีต่อการก่อหนี้เกินตัวของข้าราชการ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
2025-07-04T16:33:27+07:00
กัทลี แซ่ลี้
kantaree.s@ku.th
ธีรศักดิ์ ทรัพย์วโรบล
fecotss@ku.ac.th
ธนา สมพรเสริม
thana.s@ku.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการก่อหนี้เกินตัวของข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ข้อมูลปฐมภูมิจากการเก็บรวบรวมแบบสอบถาม จำนวน 313 ชุด และนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานผ่านแบบจำลองโลจิต (Logit Model) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านประชากรศาสตร์ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และทักษะทางการเงิน กับการก่อหนี้เกินตัว ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อการก่อหนี้เกินตัว ได้แก่ การเป็นแซนด์วิชเจนเนอเรชั่น (ผู้ที่มีภาระทางการเงินในการดูแลสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 2 รุ่น) การมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และการมีรถยนต์ส่วนตัว ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน สถานที่ปฏิบัติงาน ทักษะทางการเงิน และพฤติกรรมทางการเงิน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมให้มีมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มแซนด์วิชเจนเนอเรชั่น เช่น การจัดสรรเงินช่วยเหลือ สิทธิลดหย่อนภาษี และการส่งเสริมทักษะทางการเงิน รวมถึงการจัดตั้งที่ปรึกษาทางการเงินภายในองค์กร เพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงิน ลดความเสี่ยงในการก่อหนี้เกินตัว และยกระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ของบุคลากรภาครัฐอย่างยั่งยืน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286073
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์เปรียบเทียบกับธนาคารออมสิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-07-04T16:33:49+07:00
ทิพมาศ ดารามาศ
tippamas16@gmail.com
วรดี จงอัศญากุล
fecowdj@nontri.ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ กับธนาคารที่เลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย และ (3) ศึกษาและเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับความพึงพอใจในส่วนประสมทางการตลาด 7P’s ในการเลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารอาคารสงเคราะห์กับธนาคารออมสิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ตัวอย่าง ผ่านแบบสอบถาม และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน ทดสอบสมมติฐานด้วย Chi-Square และ t – Test ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากทั้งสองธนาคารมีความแตกต่างกัน โดยผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ แต่ผู้ใช้บริการธนาคารออมสินส่วนใหญ่ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารน้อยกว่า 1 เดือน แต่ผู้ใช้บริการธนาคารออมสินส่วนใหญ่ใช้เวลาในการตัดสินใจ 1 - 3 เดือน และผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ส่วนใหญ่มีวิธีการชำระเงินงวดโดยหน่วยงานหักเงินเดือนนำส่ง ในขณะที่ผู้ใช้บริการธนาคารออมสินส่วนใหญ่มีวิธีการชำระเงินโดย Application ของธนาคาร จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ กับการเลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน พบว่า อาชีพ มีความสัมพันธ์กับธนาคารที่เลือกใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การศึกษาความแตกต่างของระดับความพึงพอใจในส่วนประสมทางการตลาด พบว่า ผู้ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยแต่ละธนาคารมีความพึงพอใจในส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านกระบวนการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจในส่วนประสมทางการตลาด 7 ด้าน พบว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจสูงกว่าธนาคารออมสินในทุกด้าน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285926
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย
2025-07-02T19:47:26+07:00
นิทัศนีย์ เจริญงาม
nitasanee.c@rbru.ac.th
ญาดาภา โชติดิลก
nitasanee.c@rbru.ac.th
นิตยา ทองหนูนุ้ย
nitasanee.c@rbru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย และ (2) สร้างตัวแบบสมการถดถอยพหุคูณที่มีความเหมาะสมในการพยากรณ์มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นรายไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2548 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2567 รวมทั้งหมด 80 ตัว ประกอบไปด้วย มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ อัตราการแลกเปลี่ยนเงินบาทดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีราคาส่งออกสินค้า ราคาน้ำมันดีเซล อัตราดอกเบี้ย มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม อัตราเงินเฟ้อ และค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย จำแนกตามอาชีพ สถิติที่ใช้คือการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีการถดถอยทีละขั้น ผลการศึกษาพบว่า 1) ดัชนีราคาส่งออกสินค้า อัตราดอกเบี้ย และมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย 2) ตัวแบบที่เหมาะสมในการพยากรณ์มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย คือ ln(EXP) = 10.003(EPI) + 0.009(IR) - 0.0045(IEV) สามารถอธิบายความแปรปรวนมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ได้ร้อยละ 61.40 โดยดัชนีราคาส่งออกสินค้าและมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในทิศทางตรงกันข้าม</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286096
พฤติกรรมผู้บริโภคและส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ร้านค้าสหกรณ์การเกษตรเมืองลับแล จำกัด จังหวัดอุตรดิตถ์
2025-07-28T22:56:09+07:00
อังคนึง กูดคล้าย
aung55bandong@gmail.com
อิราวัฒน์ ชมระกา
aung55bandong@gmail.com
ภาศิริ เขตปิยรัตน์
aung55bandong@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมของสมาชิกสหกรณ์ในการเลือกซื้อสินค้า (2) ระดับความสำคัญของส่วนประสมทางการตลาดและการตัดสินใจซื้อสินค้า (3) พฤติกรรมผู้บริโภคและส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของสมาชิก ในร้านค้าสหกรณ์การเกษตรเมืองลับแล จำกัด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรในการวิจัยคือสมาชิกสหกรณ์การเกษตรเมืองลับแล จำกัด โดยศึกษาจากการเลือกสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จำนวน 382 ราย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ซื้อสินค้าส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสามัญ สินค้าที่ต้องการซื้อคือ ปุ๋ย เหตุผลที่ซื้อเนื่องจากได้รับเงินเฉลี่ยคืน ตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง ช่วงเวลาซื้อคือ 08.01 น. - 12.00 น. สาขาที่ซื้อคือ สาขาไผ่ล้อม และซื้อสินค้าเดือนละ 2 – 4 ครั้ง มีความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายมีค่าเฉลี่ยสูงสุดซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านการส่งเสริมการตลาดซึ่งอยู่ในระดับมาก ความคิดเห็นต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการตัดสินใจซื้อมีค่าเฉลี่ยสูงสุดซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านการรับรู้ความต้องการ ด้านการประเมินผลทางเลือก และด้านพฤติกรรมภายหลังการซื้อ ผลการวิเคราะห์พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า คือ ผู้ซื้อสินค้า และสาขาที่ซื้อ ผลการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ พบว่า ส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 4 ตัวแปรส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของสมาชิก โดยร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจซื้อสินค้าของสมาชิกได้ร้อยละ 80.5 ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ตัวแปรที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ การส่งเสริมการตลาด ดังนั้นผู้บริหารจึงควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นให้น่าสนใจ มีการจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าตามเทศกาล เน้นการประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกรับทราบอย่างทั่วถึง ผ่านทางสื่อออนไลน์ ไลน์กลุ่ม หรือเฟสบุ๊คแฟนเพจ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286191
คุณลักษณะของบริษัทผู้ดำเนินการแทนงานแม่บ้านโรงแรมในโรงแรมเครือข่ายนานาชาติระดับ 5 ดาวในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-07-04T17:23:52+07:00
ชลัช กาญจนมา
chaluch2007@gmail.com
ระชานนท์ ทวีผล
chaluch2007@gmail.com
มนัสสินี บุญมีศรีสง่า
chaluch2007@gmail.com
ธีระวัฒน์ จันทึก
chaluch2007@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) คุณลักษณะในการคัดเลือกบริษัทผู้ดำเนินการแทนงานแม่บ้านในโรงแรมเครือข่ายนานาชาติระดับ 5 ดาว ในเขตกรุงเทพมหานคร และ (2) ข้อจำกัดและอุปสรรคในการคัดเลือกบริษัทผู้ดำเนินการแทนงานแม่บ้านในโรงแรมเครือข่ายนานาชาติระดับ 5 ดาว ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ภายใต้วิธีการปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้จัดการแผนกแม่บ้าน จำนวน 12 คน จากโรงแรมในเครือนานาชาติระดับ 5 ดาว ในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของบริษัทผู้ดำเนินการแทนสามารถจำแนกได้ 3 ด้านหลัก ได้แก่ (1) ด้านต้นทุน พิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาวและการลดภาระต้นทุนทางอ้อม (2) ด้านความยืดหยุ่น พิจารณาความสามารถในการปรับจำนวนพนักงานตามอัตราการเข้าพัก และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่ปกติอย่างมีประสิทธิภาพ (3) ด้านความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง พิจารณาประสบการณ์ทำงานในโรงแรมระดับ 5 ดาว การรับรองมาตรฐาน และมีระบบควบคุมคุณภาพ 2) ข้อจำกัดสำคัญที่พบ ได้แก่ คุณภาพของพนักงานที่ขาดประสบการณ์ในบริบทโรงแรมระดับนานาชาติ และทักษะภาษาอังกฤษของแรงงานต่างชาติส่งผลต่อประสิทธิภาพการสื่อสารและคุณภาพการบริการโดยรวม ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเกณฑ์คัดเลือกบริษัทผู้ดำเนินการแทน ตลอดจนช่วยส่งเสริมการพัฒนาแรงงานบริการที่สอดคล้องกับมาตรฐานของโรงแรมเครือข่ายนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285483
การเปรียบเทียบความสามารถการคิดเชิงอนาคตและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน (Phenomenon – Based Learning) ร่วมกับอินโฟกราฟิก
2025-06-19T16:45:05+07:00
ศิริลักษณ์ ช่วยเงิน
siriluk111222@gmail.com
ณัฐพล มีแก้ว
nattame@kku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงอนาคตและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับอินโฟกราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบดังกล่าว การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น (Pre-Experimental Design) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One group pretest-posttest Design) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับอินโฟกราฟิก สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง จำนวน 6 แผนการจัดการเรียนรู้ 8 ชั่วโมง 2) แบบวัดความสามารถการคิดเชิงอนาคต ซึ่งเป็นแบบทดสอบประเภทอัตนัย ชนิดเขียนตอบ จำนวน 5 ข้อ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบประเภทปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและหลังการทดลอง ด้วยการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระ (dependent samples t-test) ผลการศึกษาพบว่า ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับอินโฟกราฟิกมีคะแนนเฉลี่ยของความสามารถในการคิดเชิงอนาคตและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบดังกล่าวในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285528
พฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการก่อหนี้ผ่านบริการ SPayLater ของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-07-04T17:00:22+07:00
สิริเพชร นกแก้ว
siripet.n@ku.th
ธนา สมพรเสริม
thana.s@ku.ac.th
สมหมาย อุดมวิทิต
lbcsmu@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก่อหนี้ผ่านบริการ SPayLater ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ (2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ผ่านบริการดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้เป็นการการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นและโควตาวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) ตามประเภทของสถาบันการศึกษา ได้แก่ (1) มหาวิทยาลัยรัฐไม่จำกัดรับ (2) มหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (3) มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและมหาวิทยาลัยรัฐจำกัดรับ และ (4) มหาวิทยาลัยเอกชน จากนั้นคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีโควตา (Quota Sampling) ประเภทละ 100 คน รวม 400 คน โดยเก็บข้อมูลด้วยการสุ่มแบบบังเอิญ (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าสูงสุด - ต่ำสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการก่อหนี้ผ่านบริการ SPayLater อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระดับรายได้ ระดับรายจ่าย รายได้ที่คาดว่าจะได้รับ จำนวนครั้งในการใช้บริการ และพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบหุนหันพลันแล่น การอ่านและทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ และพฤติกรรมทางการเงิน 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผิดนัดชำระหนี้ผ่านบริการ SPayLater อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุและระดับรายได้ ระดับรายจ่าย พฤติกรรมการก่อหนี้ผ่านบริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง วงเงินกู้ที่ได้รับ และจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระ วิธีการจัดการการชำระเงิน และทัศนคติทางการเงิน จากผลการศึกษาดังกล่าวสามารถเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายได้ว่า ภาคธุรกิจควรพัฒนาระบบชำระหนี้อัตโนมัติและแจ้งเตือน ภาคประชาชนควรได้รับการส่งเสริมทักษะทางการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมก่อหนี้โดยไม่วางแผน และภาครัฐควรบูรณาการความรู้ทางการเงินในระบบการศึกษา พร้อมกำกับสินเชื่อดิจิทัลให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้มีรายได้ไม่แน่นอน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286302
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงินโครงการก่อสร้างถังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว
2025-07-29T15:02:07+07:00
ณพัศ จิตสัมพันธเวช
napat.jit@ku.th
อุ่นกัง แซ่ลิ้ม
fecoakl@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงินและความอ่อนไหวของโครงการในการลงทุนระหว่างภาครัฐดำเนินการเองและภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชน และ (2) ศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสมระหว่างภาครัฐดำเนินการเองและภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการดำเนินโครงการ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือกรณีที่ 1 วิเคราะห์โครงการจากภาพรวมของรายได้และรายจ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด (กรณีฐาน) และกรณีที่ 2 วิเคราะห์โครงการจากรายได้และรายจ่ายต่อการก่อสร้างถังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลวเพียงถังเดียว ผ่านการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงิน การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินและความอ่อนไหว โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการประมาณการมูลค่าการลงทุนก่อสร้างถังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว รายได้ และต้นทุนจากการดำเนินโครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ผลการศึกษาพบว่า 1) จากการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงินทั้งกรณีศึกษาที่ 1 และ 2 การลงทุนในรูปแบบภาครัฐเป็นเจ้าของโครงการ (PSC) มีความคุ้มค่าทางการเงินมากกว่าการลงทุนในรูปแบบภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) เมื่อ PSC ทำการลงทุนจะมีมูลค่าการลงทุนต่ำกว่า PPP ในกรณีที่ 1 เท่ากับ 661.10 ล้านบาท และในกรณีที่ 2 เท่ากับ 745.83 ล้านบาท อีกทั้ง เมื่อทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวพบว่าในกรณีที่ 1 เมื่อรายได้ของโครงการ PSC ลดลงร้อยละ 2.00 และต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.18 ส่งผลให้มูลค่าของโครงการ PSC เทียบเท่ากับโครงการ PPP และในกรณีที่ 2 เมื่อรายได้ของโครงการ PSC ลดลงร้อยละ 3.40 และต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.14 ส่งผลให้มูลค่าของโครงการ PSC เทียบเท่ากับโครงการ PPP 2) จากการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสมระหว่าง PSC และPPP ควรเป็นกรณีที่ 1 จากการพิจารณาผลตอบแทนทางการเงินมีความเหมาะสมมากกว่ากรณีที่ 2 เนื่องจากกรณีที่ 1 มีการพิจารณารายได้รวมทั้งโครงการ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286173
ปัจจัยเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการออมและการลงทุนของเจนเนอร์เรชัน วาย ในประเทศไทย
2025-08-04T18:18:03+07:00
พีระพงศ์ รักชาติ
peerapong.rak@ku.th
นนทร์ วรพาณิชช์
feconov@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อ (1) ปริมาณการออม และ (2) ปริมาณการลงทุนของเจนเนอร์เรชัน วาย ผู้ที่เกิดในช่วง เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2524-2543 โดยใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม (Google Form) ในระหว่างเดือน มกราคม-พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ได้รับการตอบกลับแบบสอบถามจำนวน 587 ชุด ในการศึกษาครั้งนี้แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มที่มีการออม 400 ตัวอย่าง และกลุ่มที่มีการลงทุน 219 ตัวอย่าง โดยผู้วิจัยได้คัดกรองผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ผ่านคำถามคัดกรอง ได้แก่ ผู้ที่ไม่ได้เกิดในช่วงเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2524-2543 และผู้ที่กรอกข้อมูลไม่ถูกต้อง โดยใช้สมการถดถอยแบบเส้นตรงพหุคูณ (Multiple Linear Regression) ในการทดสอบสมมติฐานการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการออมของเจนเนอร์เรชัน วาย ในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสถาบันการเงิน, ความสะดวกสามารถฝาก-ถอนได้ทุกวัน, ออมและการลงทุนเพื่ออนาคต และสถานการณ์ทางการเมือง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการออมของเจนเนอร์เรชัน วาย ในเชิงลบ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ, นโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม, ระยะเวลาในการออม, แหล่งที่ให้คำแนะนำในการออม และมีหนี้สินและรายจ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพียงพอต่อการออม ปัจจัยเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการลงทุนของเจนเนอร์เรชัน วาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในเชิงบวก ได้แก่ ระยะเวลาการลงทุน และปัจจัยเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการลงทุน ในเชิงลบ ได้แก่ ปัจจัยที่เลือกพิจารณาลงทุน ข้อเสนอแนะจากการวิจัยชี้ว่า การส่งเสริมการออมและการลงทุนของเจนเนอร์เรชันวายควรอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ หน่วยงานการเงิน และสถานศึกษา โดยภาครัฐควรกำหนดนโยบายและรณรงค์สร้างวินัยทางการเงิน หน่วยงานการเงินพัฒนาเครื่องมือที่เข้าถึงง่ายและเชื่อถือได้ ขณะที่สถานศึกษาควรบูรณาการความรู้ด้านการเงินในหลักสูตรและกิจกรรมเสริม เพื่อสร้างพฤติกรรมทางการเงินที่ยั่งยืนตั้งแต่วัยเยาว์</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286300
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ หลังเหตุการณ์โควิด-19
2025-07-31T18:20:49+07:00
ธิวาภรณ์ ตรีวงค์
thiwaporn.tr@ku.th
มานะ ลักษมีอรุโณทัย
fecomnl@ku.ac.th
ชิดตะวัน ชนะกุล
fecocwc@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยอ้างอิงแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด และทฤษฎีประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนอายุ 18–60 ปี จำนวน 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha = 0.85 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบทวิ ผลการวิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ ระดับการศึกษา และอาชีพมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพอย่างมีนัยยะสำคัญ ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ช่องทางการจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาดที่ไม่รบกวนการใช้ชีวิต ส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับปัจจัยด้านพฤติกรรม พบว่า การรับรู้ความเสี่ยงและความต้องการความมั่นคงในชีวิตมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพอย่างมีนัยยะสำคัญ ผลการศึกษาดังกล่าวให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกลยุทธ์การตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคหลังโควิด-19</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286342
ทักษะทางบัญชีและแรงจูงใจที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ
2025-07-13T22:14:34+07:00
ปิยากร สุกระมณี
piyakorn.s@oag.go.th
กนกศักดิ์ สุขวัฒนาสินิทธิ์
piyakorn.suk@spumail.net
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ทักษะทางบัญชีที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ และ (2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 388 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) ทักษะทางบัญชีโดยรวมส่งผลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทักษะทางบัญชีบางด้าน เช่น ด้านทักษะทางวิชาการเชิงปฏิบัติและหน้าที่การงาน กลับมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความสำเร็จในการปฏิบัติงานด้านผลงานบรรลุตามเป้าหมายความสำเร็จ 2) แรงจูงใจโดยรวมในการปฏิบัติงานส่งผลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในหน่วยงานภาครัฐ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่แรงจูงใจบางด้าน เช่น ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน กลับมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความสำเร็จในการปฏิบัติงานด้านผลงานบรรลุตามเป้าหมายความสำเร็จ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/283815
ผลของการสอนโดยใช้วิธีการสอน OK5R ที่มีต่อความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-08-04T18:27:39+07:00
สหวัฒน์ แก้วประทับศรี
sahawat.k@tpt.ac.th
เด่นดาว ชลวิทย์
sahawat.k@tpt.ac.th
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ
sahawat.k@tpt.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ OK5R การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองเบื้องต้น (pre-experimental research design) แบบ The One-Group Pretest-Posttest Design โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 จำนวน 40 คน โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซึ่งมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง 0.67 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.79 ค่าความยาก ระหว่าง 0.28 – 0.80 และค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.21 – 0.70 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ OK5R จำนวน 9 แผนการเรียนรู้ แผนละ 1 คาบ คาบละ 55 นาที แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M=4.73) การวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญดำเนินการโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พร้อมทั้งทดสอบค่านัยสำคัญของความแตกต่างโดยใช้ สถิติทดสอบ t-test ผลการศึกษา พบว่า ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ OK5R มีความสามารถในการจับใจความสำคัญหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/284736
ผลของการใช้วิธีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ที่มีต่อความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2025-06-02T21:55:18+07:00
ศรัณย์ พันธ์ปกครอง
saran.sspp9332@gmail.com
เพชร วิจิตรนาวิน
Petch.w@rumail.ru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) และ (2) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ประชากรกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ศึกษาในปีการศึกษา 2567 จำนวน 13 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดความสามารถในการอ่านสะกดคำและแบบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำซึ่งเป็นแบบทดสอบประเภทปรนัย จำนวนแบบทดสอบละ 20 ข้อ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) จำนวน 4 แผน แผนละ 2 คาบ คาบละ 60 นาที ระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวน 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 คาบ รวมทั้งสิ้น 8 คาบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่ามัธยฐานและค่าความเบี่ยงเบนมัธยฐาน (MAD) และทดสอบค่านัยสำคัญของความแตกต่างโดยใช้สถิติทดสอบ Wilcoxon signed - rank test ผลการศึกษาพบว่า ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) มีคะแนนจากค่ามัธยฐานด้านความสามารถในการอ่านสะกดคำสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) มีคะแนนจากค่ามัธยฐานด้านความสามารถในการเขียนสะกดคำหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285045
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชน ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
2025-07-07T18:12:10+07:00
พระเจษฎากร มหาวีโร
jetsadakorn23449@gmail.com
สายัณห์ อินนันใจ
jetsadakorn23449@gmail.com
สมจิต ขอนวงศ์
jetsadakorn23449@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตำบลเหมืองหม้อ (2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตำบลเหมืองหม้อ (3) แนวทางการบรูณาการหลักอปริหานิยธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 379 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตามหลักอปริหานิยธรรม 7 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรม 7 กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3) แนวทางการบูรณาการหลักอปริหานิยธรรม 7 เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนี้ 1) ประชาชนในชุมชนควรร่วมกันกำหนดแนวปฏิบัติที่เพื่อส่งเสริมความเป็นเอกภาพ 2) ควรมีการจัดประชุมอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความพร้อมเพรียงและการสื่อสารที่ชัดเจน รวมถึงเปิดรับเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล 3) ควรยึดมั่นในกฎระเบียบเดิมแต่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ 4) ควรเคารพผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์และคุณธรรม 5) ควรสนับสนุนสิทธิและบทบาทสตรีอย่างเท่าเทียม 6) ควรรักษาวัฒนธรรมประเพณีเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา 7) ควรยกย่องผู้มีคุณธรรมในชุมชนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286516
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับการเป็นโรงเรียนนวัตกรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
2025-08-25T13:17:50+07:00
วรวุฒิ เนื้อทอง
worrawut_n@mail.rmutt.ac.th
ต้องลักษณ์ บุญธรรม
tongluck@rmutt.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร (2) ระดับการเป็นโรงเรียนนวัตกรรม และ (3) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับการเป็นโรงเรียนนวัตกรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 327 คน โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจากตารางสำเร็จรูปของศิริชัย กาญจนวาสี และสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร และการเป็นโรงเรียนนวัตกรรม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .986 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การเป็นโรงเรียนนวัตกรรม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับการเป็นโรงเรียนนวัตกรรมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง (r = .774) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286627
สมรรถนะและการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางบัญชีส่งผลต่อผลสำเร็จในการประกอบวิชาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-08-11T19:01:45+07:00
วันลภา เกิดเต็มภูมิ
baitoeylove@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสมรรถนะส่งผลต่อผลสำเร็จในการประกอบวิชาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร (2) ศึกษาการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางบัญชีส่งผลต่อผลสำเร็จในการประกอบวิชาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่นของเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา (ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน), และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะของนักบัญชีโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยสมรรถนะด้านค่านิยมและทัศนคติทางวิชาชีพอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมา ได้แก่ การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหา ซึ่งมีผลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการประกอบวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ 2) การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านความชำนาญในเทคโนโลยีสารสนเทศและด้านทักษะทางวิชาชีพที่ส่งผลเชิงบวกและมีนัยสำคัญต่อความสำเร็จในวิชาชีพ 3) สมรรถนะและการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีสามารถอธิบายความแปรปรวนของผลสำเร็จในการประกอบวิชาชีพของนักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 69.8 ในมิติการบรรลุเป้าหมาย และร้อยละ 65.1 ในมิติความก้าวหน้าในตำแหน่ง แสดงให้เห็นว่าสมรรถนะและการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชีเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในวิชาชีพบัญชี</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286372
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการชำระค่าบริการโดยใช้ QR Code ของผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ
2025-07-09T17:20:24+07:00
ศิริกัลยา รองนาค
sirikanlaya.rn@gmail.com
ธนารักษ์ เหล่าสุทธิ
fecotrl@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการชำระค่าบริการผ่านระบบ QR Code ในแต่ละช่วงอายุ และ (2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการชำระค่าบริการผ่านระบบ QR Code ในแต่ละช่วงอายุ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่เคยใช้บริการชำระเงินผ่านระบบ QR Code เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ปัจจัยทางประชากรศาสตร์และส่วนประสมทางการตลาด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ (Chi-square) ผลการศึกษาพบว่า 1) พฤติกรรมการใช้ระบบ QR Code แตกต่างกันตามช่วงวัย โดยพบว่า กลุ่มวัยทำงาน (23–60 ปี) เป็นกลุ่มผู้ใช้หลัก โดยพบว่าความสะดวกและรวดเร็วเป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มใช้บริการ QR Code มีอิทธิพลจากเพื่อนเป็นปัจจัยส่งเสริมสำคัญ และธนาคารกรุงไทยเป็นสถาบันการเงินที่ผู้บริโภคเลือกใช้มากที่สุด พฤติกรรมการใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในช่วงหลังเลิกงาน มีความถี่เฉลี่ย 11–30 ครั้งต่อเดือน โดยผู้บริโภคคาดหวังให้ธุรกรรมเสร็จสิ้นภายใน 1 นาที โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และมีป้าย QR Code ที่ชัดเจนพร้อมช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดปัญหา ขณะที่กลุ่มวัยเรียน (3–22 ปี) มีการใช้งานน้อย มักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนหรือครอบครัว และสนใจสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือโปรโมชั่น ส่วนกลุ่มวัยเกษียณ (60 ปีขึ้นไป) ใช้งานน้อยเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยและความซับซ้อนของระบบ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการชำระค่าบริการผ่านระบบ QR Code คือ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ อาชีพ รายได้ บุคคลอ้างอิง และแรงจูงใจซึ่งเป็นปัจจัยภายใน โดยแรงจูงใจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด ส่วนปัจจัยทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้งานอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ปัจจัยด้านกระบวนการ คือ ปัญหาในการใช้งานและปัจจัยด้านการสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ คือ การจัดวางฟังก์ชัน ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา ธนาคารควรพัฒนาระบบการชำระเงินผ่าน QR Code โดยเน้นความสะดวก รวดเร็ว และไม่ซับซ้อน เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้หลักอย่างกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งมีความถี่ในการใช้งานสูง รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของระบบให้ปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อจูงใจกลุ่มวัยเกษียณให้เปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น สำหรับกลุ่มวัยเรียนควรใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด เช่น โปรโมชั่นหรือส่วนลดเพื่อกระตุ้นการใช้งานเพิ่มเติม</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286592
การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองของโมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์
2025-07-19T11:54:36+07:00
ชวลิต ศุภศักดิ์ธำรง
alit2001@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองของโมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์ และ (2) ทดสอบความสอดคล้องของโมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 400 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ทดสอบไคเซอร์-เมเยอร์-โอลกิน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง ผลการวิจัยพบว่า 1) โมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์ ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความท้าทายทางเทคนิค (TEC) ความท้าทายทางจริยธรรม (ETH) ความท้าทายทางทรัพยากรมนุษย์ (HRM) และ ความท้าทายทางข้อปฏิบัติและกฎหมาย (LAW) โดยมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบย่อยของแบบวัดทั้ง 4 องค์ประกอบเป็นไปตามเกณฑ์ และ 2) การทดสอบความสอดคล้องของโมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์ พบว่า มีค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 293.941 ที่ชั้นแห่งความอิสระ df เท่ากับ 126 ค่า CMIN/df เท่ากับ 2.333 ค่าประมาณความคลาดเคลื่อนของรากกำลังสองเฉลี่ย RMSEA เท่ากับ 0.058 ค่าเฉลี่ยของความคลาดเคลื่อน RMR เท่ากับ 0.024 ค่าดัชนีวัดความสอดคล้อง GFI เท่ากับ 0.935 ค่าดัชนีวัดความสอดคล้อง CFI เท่ากับ 0.979 ค่าดัชนีวัดเปอร์เซ็นต์ความกลมกลืน NFI เท่ากับ 0.965 แสดงว่าโมเดลการวัดความท้าทายในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมไมซ์ มีความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286113
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิดของแฮร์โรว์ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติกีตาร์ขั้นพื้นฐาน
2025-07-18T13:14:53+07:00
จิรายุ สุปัตติ
jet191919@gmail.com
สัจธรรม พรทวีกุล
jet191919@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติกีตาร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แนวคิดของแฮร์โรว์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยผ่านกระบวนการวิจัย จำนวน 4 วงรอบ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 คน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ-ยโสธร เขต 28 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิดของแฮร์โรว์ จำนวน 4 แผน รวม 12 ชั่วโมง (2) แบบประเมินทักษะปฏิบัติกีตาร์ขั้นพื้นฐาน และ (3) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมเรียนการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับเหมาะสมมาก มีค่าเฉลี่ย 4.57 และแบบประเมินทักษะปฏิบัติกีตาร์ขั้นพื้นฐานซึ่งครอบคลุมทักษะการปฏิบัติกีตาร์ขั้นพื้นฐาน การวางท่าทางที่ถูกต้อง การจับคอร์ด การดีด การจูนสาย การถ่ายทอดอารมณ์ดนตรี และการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกข้อ กำหนดเกณฑ์ผ่านไว้ที่ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม ผลการศึกษาพบว่า วงรอบที่ 1 และ 2 ยังไม่มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ แต่คะแนนมีแนวโน้มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยวงรอบที่ 3 มีนักเรียน 1 คนผ่านเกณฑ์ และในวงรอบที่ 4 นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ คะแนนเฉลี่ยเพิ่มจากร้อยละ 40–53.33 ในวงรอบที่ 1 เป็นร้อยละ 73.33–86.67 ในวงรอบที่ 4 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกระบวนการจัดกิจกรรมที่วางแผนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะปฏิบัติกีตาร์ของผู้เรียน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286561
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน
2025-08-15T17:58:13+07:00
พระสรวิชญ์ สุทฺธิญาโณ
sorawit372437@gmail.com
พระครูโสภณกิตติบัณฑิต
sorawit372437@gmail.com
สายัณห์ อินนันใจ
sorawit372437@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน (3) นำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ดังนี้ (1) โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 365 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้วิธีการหาค่าถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับบทบาทผู้บริหารท้องถิ่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และหลักสาราณียธรรม กับบทบาทผู้บริหารท้องถิ่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าคาอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน พบว่า หลักสาราณียธรรมส่งผลต่อบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทผู้บริหารท้องถิ่นพบว่า (1) ผู้บริหารท้องถิ่น รับฟังปัญหา และหาวิธีแก้ไขร่วมกันในชุมชน (2) ผู้บริหารท้องถิ่นพูดจาสุภาพอ่อนโยน และสร้างขวัญกำลังใจต่อคนในชุมชน (3) ผู้บริหารท้องถิ่น มีความคิดเป็นระบบในการพัฒนาชุมชน (4) ผู้บริหารท้องถิ่น พัฒนาชุมชนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน (5) ผู้บริหารท้องถิ่นมีการปฏิบัติหน้าที่โดยยึดกรอบ ระเบียบข้อบังคับร่วมกัน และ (6) ผู้บริหารท้องถิ่นเปิดโอกาสให้ประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกมิติ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/285576
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพ ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย อำเภอสอง จังหวัดแพร่
2025-08-29T16:28:16+07:00
วรัญญู นันทเสรี
waranyou110232@gmail.com
สมจิต ขอนวงศ์
waranyou110232@gmail.com
พระครูโสภณกิตติบัณฑิต
waranyou110232@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย (2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 กับบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย และ (3) แนวทางการประยุกต์หลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 เพื่อส่งเสริมบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย อำเภอสอง จังหวัดแพร่ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ดังนี้ (1) การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเก็บข้อมูลจากประชากรกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 374 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย ตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และระดับบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 กับบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทนักการเมืองท้องถิ่นในด้านอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในตำบลห้วยหม้าย พบว่า (1) นักการเมืองท้องถิ่นควรมีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ (2) นักการเมืองท้องถิ่นควรมีวิสัยทัศน์ในการบริหารชุมชน (3) นักการเมืองท้องถิ่นควรมีความสามารถในการบริหารจัดการท้องถิ่น (4) นักการเมืองท้องถิ่นควรมีความสุขตามกำลังทรัพย์ที่หามาได้</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286220
การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ของการลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตปูนซีเมนต์
2025-07-04T16:34:20+07:00
ศิวัช ระกำทอง
siwat.rak@ku.th
สมหมาย อุดมวิทิต
sommai.u@ku.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ทางด้านการเงินและด้านเศรษฐศาสตร์ของการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตปูนซีเมนต์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในการวางแผนและประเมินโครงการลงทุนในอนาคต จากผลการศึกษาข้อมูลการลงทุนในเตาเผาทั้ง 3 เตา ที่มีกำลังการผลิตและสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกแตกต่างกัน ผลการวิเคราะห์ทางด้านการเงินในกรณีฐาน พบว่าในภาพรวมโครงการมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนในทุกเตา โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 3,218,617,440.14 บาท อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เท่ากับร้อยละ 32.92 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ 2.89 และสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 3 ปี 1 เดือน เมื่อพิจารณาในรายเตาเผา พบว่า เตาเผาที่ 2 เป็นเตาเผาที่มี NPV สูงที่สุด เนื่องมาจากเป็นเตาเผาที่มีกำลังการผลิตสูง ทำให้สามารถลดการเชื้อเพลิงถ่านหินลงได้มาก นอกจากนี้ประเภทของเชื้อเพลิงทางเลือกที่นำมาใช้ในเตาเผานี้มีต้นทุนต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเตาเผาอื่น ๆ โดยการตัดสินใจใช้เชื้อเพลิงทางเลือกประเภทต่าง ๆ ในแต่ละเตาเผา จะขึ้นอยู่กับการวางแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิง และข้อกำจัดของแต่ละเตาเผา ทำให้แต่ละเตาเผามีการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่แตกต่างกัน ในขณะที่เตาเผาที่ 3 แม้จะมีกำลังการผลิตสูงที่สุดในการศึกษาครั้งนี้ แต่เนื่องจากประเภทของเชื้อเพลิงทางเลือกที่ใช้ในเตาเผานี้มุ่งเน้นไปที่ขยะชุมชนซึ่งมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทำให้มี NPV น้อยกว่ากว่าเตาเผาที่ 2 ในขณะที่เตาเผาที่ 1 ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด เป็นผลมาจากกำลังการผลิตต่ำที่สุดในการศึกษาครั้งนี้ ในกรณีที่พิจารณาถึงผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรวมถึงมูลค่าของผลกระทบภายนอกจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบว่า ในภาพรวมของโครงการยังคงมีความคุ้มค่า โดยมี NPV เท่ากับ 2,715,957,030.69 บาท และ IRR เท่ากับร้อยละ 30.07 เมื่อพิจารณาในรายเตาเผา พบว่า เตาเผาที่ 2 และเตาเผาที่ 3 ยังคงมีความคุ้มค่าในการลงทุน แม้จะมี NPV ลดลงจากต้นทุนการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่เตาเผาที่ 1 พบว่าไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตปูนซีเมนต์ โดยสรุปในภาพรวมโครงการการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกนี้มีความคุ้มค่าทั้งในเชิงการเงินและเศรษฐศาสตร์ ภายใต้ดัชนีชี้วัด NPV IRR B/C Ratio และ Payback Period โดยเฉพาะในเตาเผาที่มีกำลังการผลิตสูง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการลดการใช้เชื้อเพลิงทางหินได้ในปริมาณที่สูงตามไปด้วย</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286225
ผลของการใช้วิธีการตั้งคำถามแบบโสเครติสที่มีต่อความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์วรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2025-07-18T13:14:30+07:00
กวิสรา เพชรดี
6312610015@rumail.ru.ac.th
เพชร วิจิตรนาวิน
6312610015@rumail.ru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบของการใช้วิธีการตั้งคำถามแบบโสเครติสต่อความสามารถในการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีของนักเรียน โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการนำวิธีการสอนที่ใช้การตั้งคำถามแบบโสเครติสไปใช้ในการเรียนการสอน ประชากรกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งมีจำนวน 43 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการตั้งคำถามแบบโสเครติส จำนวน 12 แผน แผนละ 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที (2) แบบวัดความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์วรรณคดี ซึ่งเป็นปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ dependent t-test ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถในการอ่านเชิงวิเคราะห์วรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการตั้งคำถามแบบโสเครติสมีคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286804
ความรู้ทางวิชาชีพ ทักษะการปฏิบัติงาน และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากรของนักตรวจสอบภาษีในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2025-08-27T19:43:03+07:00
ณลิตา เชาวรกุล
moa.khamlong@gmail.com
พรทิวา แสงเขียว
moa.khamlong@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความรู้ทางวิชาชีพที่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากรของนักตรวจสอบภาษี (2) ทักษะการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากรของนักตรวจสอบภาษี (3) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากรของนักตรวจสอบภาษี ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักตรวจสอบภาษี จำนวน 343 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) ความรู้ทางวิชาชีพโดยรวมมีผลเชิงบวกต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ยกเว้น ความรู้การบัญชีไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร ด้านความทันต่อเวลา และด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง 2) ทักษะการปฏิบัติงาน โดยรวมมีผลเชิงบวกต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ยกเว้น ด้านการตรวจสอบบัญชีไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร ด้านความทันต่อเวลา ด้านการบรรลุเป้าหมายองค์กร และด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง และทักษะการปฏิบัติงานด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร ด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง 3) แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน โดยรวมมีผลเชิงบวกต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้น ด้านความก้าวหน้าในวิชาชีพไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร ด้านความทันต่อเวลา แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ด้านสภาพแวดล้อมการทำงานไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากรด้านการบรรลุเป้าหมายองค์กร และด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านความสำเร็จของงาน ไม่ส่งผลต่อคุณภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภาษีอากร ด้านความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286578
พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชน ตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
2025-08-15T17:57:56+07:00
กิตติพัฒน์ สุวรรณรัตน์
8250takitti@gmail.com
สมจิต ขอนวงค์
8250takitti@gmail.com
พระครูโสภณกิตติบัณฑิต
8250takitti@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชน (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชน และ (3) เสนอแนวทางพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โดยใช้ค่าการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และหลักอปริหานิยธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ มี 7 ด้าน คือ (1) หลักพร้อมเพรียงกันประชุม (2) หลักให้ความดูแลเอาใจใส่ต่อท่านผู้มาเยือน (3) หลักหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ (4) หลักไม่ตั้งกฎระเบียบที่ขัดต่อระเบียบเดิม (5) หลักให้ความเคารพต่อเพศสตรี (6) หลักให้ความเคารพต่อสถานที่ (7) หลักมีความเคารพนับถือต่อผู้บังคับบัญชา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) แนวทางพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาชุมชนประกอบด้วยหลักการสำคัญ 7 ประการ ได้แก่ (1) การประชุมอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วม (2) การเริ่มและสิ้นสุดการประชุมพร้อมเพรียงกัน (3) การไม่ตั้งกฎระเบียบที่ขัดต่อข้อตกลงเดิม (4) การเคารพผู้นำชุมชน (5) การสนับสนุนบทบาทของสตรีในชุมชน (6) การให้ความสำคัญกับสถานที่ดำเนินกิจกรรมพัฒนา และ (7) การดูแลเอาใจใส่ผู้มาเยือน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286796
การศึกษาเส้นทางผู้บริโภค : กรณีศึกษาร้านวัชรไหมไทย
2025-08-19T22:05:31+07:00
ปัณณวิชญ์ ภูวเรืองรัศมิ์
pannawit.ph@ku.th
โสภณ แย้มกลิ่น
sophon.y@ku.ac.th
เออวดี เปรมัษเฐียร
fecoadu@ku.ac.th
กุลฑลรัตน์ ทวีวงศ์
kuntonrat.d@ku.th
สันติ แสงเลิศไสว
santi.sa@ku.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) เส้นทางผู้บริโภค และจุดสัมผัสที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผ้าไหมไทย และ (2) ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผ้าไหมไทย การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์เชิงลึกโดยคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 13 คน ประกอบด้วย ผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าผ้าไหมไทยจากร้านวัชรไหมไทย จำนวน 7 คน และผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าผ้าไหมไทยจากร้านค้าอื่นแต่ไม่เคยซื้อจากร้านวัชรไหมไทย จำนวน 6 คน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และสร้างความเข้าใจต่อประสบการณ์และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าจากร้านวัชรไหมไทยมีจุดสัมผัสการรับรู้แบรนด์ผ่านบุคคลใกล้ชิด ในขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าจากร้านค้าอื่นแต่ไม่เคยซื้อสินค้าจากร้านวัชรไหมไทยมีจุดสัมผัสการรับรู้ผ่าน Facebook โดยก่อนที่จะตัดสินใจซื้อผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่มจะมีการพิจารณาในเรื่องของคุณภาพเนื้อผ้า และราคา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มมีแนวโน้มเลือกซื้อผ่านหน้าร้านจริง เนื่องจากต้องการสัมผัสคุณภาพของสินค้าโดยตรง ปัจจัยด้านคุณภาพของผ้าเป็นจุดสัมผัสสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการซื้อซ้ำและการบอกต่อในทั้งสองกลุ่ม 2) ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มยังมีทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดในด้านผลิตภัณฑ์สอดคล้องกัน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อผ้า ความประณีตของลวดลาย และความเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทย อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เคยซื้อสินค้าจากร้านวัชรไหมไทยมีแนวโน้มให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การบริการของพนักงาน และบรรยากาศในร้าน ในขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าจากร้านค้าอื่นแต่ไม่เคยซื้อสินค้าจากร้านวัชรไหมไทยให้ความสำคัญกับระดับราคาที่เหมาะสมและโปรโมชั่นที่น่าสนใจ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286860
สิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ให้คุณค่าในผลิตภัณฑ์เสื่อกกจันทบูร: กรณีศึกษากลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านเสม็ดงาม จังหวัดจันทบุรี
2025-08-10T18:35:53+07:00
บุษกร อ่อนคำ
busakorn.o@ku.th
เออวดี เปรมัษเฐียร
fecoadu@ku.ac.th
โสภณ แย้มกลิ่น
sophon.y@ku.ac.th
สันติ แสงเลิศไสว
santi.sa@ku.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในด้านของความต้องการ ปัญหา และความคาดหวังที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสื่อกกจันทบูร โดยใช้กรอบแนวคิดสิ่งที่ผู้บริโภคให้คุณค่าในการวิเคราะห์ งานวิจัยนี้เป็นเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 กลุ่ม แบ่งออกเป็น 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสื่อกกจันทบูร 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทกระเป๋า และ 3) กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทของใช้ทั่วไป ซึ่งเป็นผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y จำนวนทั้งสิ้น 38 คน ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเสื่อกกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ให้คุณค่ากับฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน (Functional Jobs) รวมถึงให้ความสำคัญกับคุณค่าทางสังคม เช่น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน (Social Jobs) และคุณค่าทางจิตใจ เช่น การใช้เพื่อมอบเป็นของขวัญ (Emotional Jobs) ลำดับคุณค่าในผลิตภัณฑ์เสื่อกกจันทบูร ได้แก่ ใช้ในกิจวัตรประจำวัน ใช้กับครอบครัว ใช้ในการพักผ่อนขณะที่อุปสรรคหลักที่พบ ได้แก่ ช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่จำกัด ปัญหาด้านคุณภาพ และการขาดการสื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนความคาดหวังหลักคือ ความทนทาน ความสะดวกในการใช้งาน ความสวยงาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286379
ความสัมพันธ์ด้านชลประทานต่อผลผลิตข้าวในประเทศไทย
2025-09-14T19:28:52+07:00
วรรณรัตน์ รู้รักษา
wannarat.ro@ku.th
กนกวรรณ จันทร์เจริญชัย
fecokwc@ku.ac.th
วุฒิยา สาหร่ายทอง
wuthiya.s@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของชลประทาน และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีต่อผลผลิตข้าวนาปีและข้าวนาปรังในประเทศไทย ซึ่งพิจารณาเฉพาะปริมาณผลผลิตโดยรวมของข้าว มิได้จำแนกตามแต่ละสายพันธุ์และกระบวนการการผลิตข้าว โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิแบบอนุกรมเวลา เป็นข้อมูลรายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2563 รวมทั้งหมด 27 ปี ตัวแปรที่นำมาศึกษาประกอบด้วย ปริมาณน้ำเก็บกักเพื่อการชลประทาน พื้นที่ชลประทาน ความผันผวนของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี ปริมาณปุ๋ยเคมีที่ใช้ในการปลูกข้าวนาปีและข้าวนาปรัง ความผันผวนของอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยรายปีของประเทศไทย ความผันผวนของอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยรายปีของประเทศไทย และตัวแปรหุ่น ได้แก่ การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ และการเกิดปรากฏการณ์ลานีญา ทำการทดสอบเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระที่มีต่อผลผลิตข้าวนาปี และผลผลิตข้าวนาปรัง โดยวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณด้วยวิธี Ordinary Least Square (OLS) ผลการประมาณการจากแบบจำลอง OLS ที่เหมาะสม บ่งชี้ว่า ความผันผวนของอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลผลิตข้าวอย่างมีนัยสำคัญ โดยระบบชลประทานสามารถช่วยเก็บกักน้ำเพื่อสนับสนุนการผลิตภาพการผลิตข้าวนาปรังมากกว่าข้าวนาปี อย่างไรก็ตาม การเพิ่มพื้นที่ชลประทานโดยขาดการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมในพื้นที่ไม่สามารถทำให้ผลิตภาพการผลิตข้าวนาปรังเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้น กรมชลประทานจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาระบบส่งน้ำในไร่นา เพื่อกระจายน้ำไปถึงเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการขยายพื้นที่ชลประทานเพียงอย่างเดียว ขณะที่ภาคเกษตรกรและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรที่รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อรับมือต่อความผันผวนของปัจจัยด้านน้ำและสภาพภูมิอากาศ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286532
ผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลรายงานความยั่งยืนและความสามารถในการชำระหนี้ที่มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่มดัชนี SETESG
2025-09-01T13:16:46+07:00
ณัฐธิดา แสงประไพ
nattida.sangprapi@gmail.com
กนกศักดิ์ สุขวัฒนาสินิทธิ์
nattida.sangprapi@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลรายงานความยั่งยืน และ (2) ความสามารถในการชำระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงิน รายงานความยั่งยืน และรายงานประจำปี ในปี พ.ศ. 2564–2566 จากบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดัชนี SETESG จำนวน 67 บริษัท เป็นจำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 201 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิตเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) การเปิดเผยข้อมูลรายงานความยั่งยืน ส่งผลกระทบเชิงบวกและลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG ดังนี้ ด้านบรรษัทภิบาล ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) ความสามารถในการชำระหนี้ ส่งผลกระทบเชิงบวกและลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG พบว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ และอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286683
อิทธิพลของการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในต่อคุณภาพของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2025-09-01T13:19:49+07:00
วชิราภรณ์ สามารถ
wachirapohn.sam@spumail.net
มัตธิมา กรงเต้น
matthima.kr@spu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับอิทธิพลของการควบคุมภายในต่อคุณภาพของรายงานการเงิน และ (2) ระดับอิทธิพลของการตรวจสอบภายในต่อคุณภาพของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจาก ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งนักวิชาการตรวจสอบภายในชำนาญการพิเศษหรือนักวิชาการตรวจสอบภายในชำนาญการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 268 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) การควบคุมภายใน ได้แก่ ด้านกิจกรรมการควบคุม ด้านข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร และด้านการติดตามและประเมินผล มีระดับอิทธิพลเชิงบวกต่อคุณภาพของรายงานการเงิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้น ด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม และด้านการประเมินความเสี่ยง ไม่มีระดับอิทธิพลเชิงบวกต่อคุณภาพของรายงานการเงิน และ 2) การตรวจสอบภายใน ได้แก่ ด้านการวางแผนการตรวจสอบ ด้านการปฏิบัติงานตรวจสอบ และด้านการจัดทำรายงานและติดตามผล มีระดับอิทธิพลเชิงบวกต่อคุณภาพของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281577
ทรรศนะที่ส่งผลต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการในจังหวัดขอนแก่น
2025-09-08T20:44:39+07:00
สุทธิรักษ์ ตาพล
mahakitti2017@gmail.com
พระเจตพล อินฺทปญฺโญ
mahakitti2017@gmail.com
พระเอกนรินทร์ เขมกาโม
mahakitti2017@gmail.com
พระครูปิยสุเมธาภรณ์
mahakitti2017@gmail.com
พระมหากิตติ กิตฺติเมธี
mahakitti2017@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับทรรศนะของข้าราชการ (2) ระดับการดำเนินชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการ และ (3) ข้อเสนอแนะในทรรศนะที่ส่งผลต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้บริหารระดับสูง และข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น รวมทั้งสิ้นจำนวน 182 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทรรศนะของข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 2) ระดับการดำเนินชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของข้าราชการ ภาพรวมระดับการรับรู้อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.74 3) ข้อเสนอแนะการดำเนินงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น พบว่า ใช้หลักการด้านความรู้และคุณธรรมในหน่วยงานของตน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการอย่างมีเหตุผล ประหยัด การมีภูมิคุ้มกัน และการยึดมั่นในหลักคุณธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อยู่ในระดับมาก</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286922
สภาพแวดล้อมในการทำงานและสมรรถนะของผู้ตรวจสอบที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของนักตรวจสอบภาษีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2025-09-04T15:24:46+07:00
มนพัทธ์ รัตน์มณีธรรม
monnaphat.rat@spulive.net
จิรพงษ์ จันทร์งาม
monnaphat.rat@spulive.net
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของนักตรวจสอบภาษี (2) สมรรถนะของผู้ตรวจสอบที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของนักตรวจสอบภาษีพื้นที่กรุงเทพมหานคร การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักตรวจสอบภาษีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 330 คน โดยใช้เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน จากนั้นนำผลการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของนักตรวจสอบภาษีพื้นที่กรุงเทพมหานครในทุกด้าน โดยสภาพแวดล้อมสามารถส่งเสริมทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณผลงานที่แล้วเสร็จ ระยะเวลาที่ใช้ในการทำงาน และจำนวนภาษีที่สามารถเรียกเก็บได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 2) สมรรถนะของผู้ตรวจสอบมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของนักตรวจสอบภาษีพื้นที่กรุงเทพมหานครในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพงาน ปริมาณผลงานที่แล้วเสร็จ ระยะเวลาที่ใช้ในการทำงาน และจำนวนภาษีที่เรียกเก็บได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/286929
ทักษะวิชาชีพและการพัฒนาความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่บัญชีภาครัฐที่ส่งผลต่อคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีของหน่วยที่เบิกเงินจากสำนักงานคลังจังหวัดในสังกัดกองทัพบก
2025-09-04T15:24:40+07:00
เอกวิทย์ ผลิผล
nco.16155.top@gmail.com
ไกรวิทย์ หลีกภัย
nco.16155.top@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาทักษะวิชาชีพบัญชีภาครัฐของเจ้าหน้าที่บัญชีที่ส่งผลต่อคุณภาพข้อมูลการบัญชีภาครัฐของหน่วยที่เบิกเงินจากสำนักงานคลังจังหวัดในสังกัดกองทัพบก (2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่บัญชีที่ส่งผลต่อคุณภาพข้อมูลการบัญชีภาครัฐของหน่วยที่เบิกเงินจากสำนักงานจากคลังจังหวัดในสังกัดกองทัพบก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย เจ้าหน้าที่บัญชีของหน่วยที่เบิกเงิน จากสำนักงานคลังในสังกัดกองทัพบก จำนวน 139 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา โดยการใช้ตารางแจกแจงความถี่ ตารางแบบร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อใช้ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามสมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ทักษะวิชาชีพบัญชีด้านทัศนคติเชิงบวกต่อหน้าที่ความรับผิดชอบมีอิทธิพลเชิงบวกมากที่สุดต่อคุณภาพข้อมูลการบัญชีภาครัฐในทุกด้าน ทั้งด้านความถูกต้องครบถ้วน ความทันต่อเวลา การพิสูจน์ยืนยันได้ และประโยชน์ต่อการนำไปใช้ (อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ) 2) การพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการทำงานเป็นทีมมีอิทธิพลมากที่สุดต่อคุณภาพข้อมูลการบัญชีภาครัฐในทุกด้าน ทั้งด้านความถูกต้องครบถ้วน ความทันต่อเวลา การพิสูจน์ยืนยันได้ และประโยชน์ต่อการนำไปใช้ (อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ)</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/287661
การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลและประสิทธิภาพการทำงาน
2025-09-06T19:14:20+07:00
นัฐพัชร สมงาม
s66567810003@ssru.ac.th
พนิดา นิลอรุณ
panida.ni@ssru.ac.th
ชลภัสสรณ์ สิทธิวรงค์ชัย
cholpassorn.si@ssru.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะด้านดิจิทัลและประสิทธิภาพการทำงาน ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทแทรกซึมอยู่ในการดำนเนินชีวิตประจำวันและในการทำงาน ซึ่งทุกองค์กรมี “คน” เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรพัฒนาเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้องค์กรได้เปรียบทางการแข่งขันสามารถปรับตัวให้เท่าทันกับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้นั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในโลกขององค์กรไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ดังนั้นการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลจะช่วยยกระดับความสามารถของบุคลากรให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยแนวทางการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลที่สำคัญมี 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงทฤษฎีในระดับที่สูงขึ้น การฝึกอบรม เพื่อเพิ่มทักษะเชิงปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงกับงาน และการพัฒนา ซึ่งเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริงเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลเหล่านี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานใน 4 ด้าน ได้แก่ คุณภาพของงาน ปริมาณงาน ระยะเวลาในการทำงาน ค่าใช้จ่ายและทรัพยากร บทความนี้ได้สรุปเป็นกรอบแนวคิดเชิงแผนภาพ ที่เชื่อม การศึกษา การฝึกอบรม การพัฒนา กับ 4 มิติของประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อใช้เป็นแนวทางออกแบบกิจกรรมพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/287347
การวางแผนสืบทอดตำแหน่งเพื่อความสำเร็จขององค์กร: กรอบแนวคิดและแนวทางปฏิบัติ
2025-09-06T19:14:43+07:00
จุฑารัตน์ นาทองบ่อ
Chutarat.na@gmail.com
สยาม อัจฉริยประภา
Chutarat.na@gmail.com
ตระกูล จิตวัฒนากร
Chutarat.na@gmail.com
บุษกร วัฒนบุตร
Chutarat.na@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแนวทางการสืบทอดตำแหน่ง แนวทางสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรให้เกิดความสำเร็จ ผลการศึกษาพบว่า การสืบทอดตำแหน่ง เป็นแนวทางที่ช่วยลดปัญหาในองค์กร ช่วยรักษาความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาความสามารถของคนในองค์กร ทำให้องค์กรได้ “ผู้นำ” ที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละองค์กร ควรมีการคัดเลือก “คนเก่ง” ในองค์กรเข้ามาสู่แนวทางการสืบทอดตำแหน่ง โดยองค์กรควรมีการบริหารจัดการคนเก่งอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาสืบทอดตำแหน่งนั้นควรมีการระบุเป้าหมายของการสืบทอดตำแหน่ง ในแผนขององค์กร พร้อมทั้งกำหนดแนวทางของตำแหน่งงาน คุณสมบัติที่จำเป็นต่อองค์กร จากนั้นควรมีการประเมินศักยภาพของบุคคล และนำบุคลากรที่ได้รับคัดเลือกไปพัฒนาเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง จากนั้นทำการติดตามผลและตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ตามมา โดยแนวทางการสืบทอดตำแหน่งที่ดีนั้นต้องได้รับความร่วมมือของบุคลากรในทุกภาคส่วนขององค์กร ผ่านการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การฝึกอบรมและมุ่งเน้นการเรียนรู้ การสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง การมอบหมายงานที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความท้าทาย พิจารณาผลตอบรับเพื่อพัฒนาตนเองแบบ 360 องศา รวมถึงเรียนรู้ทางออนไลน์ และต้องได้รับการประเมินที่เหมาะสม การดำเนินงานเหล่านี้ส่งผลให้การสืบทอดตำแหน่ง กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของที่มีผลต่อองค์กรเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามแนวทางการสืบทอดตำแหน่งอาจประสบปัญหาได้เนื่องมาจากความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน ระบบอุปถัมภ์ในองค์กรและการขาดความรู้ที่หลากหลายภายในองค์กรได้</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSSP/article/view/281578
อาชญาวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์
2025-09-08T20:07:33+07:00
พระพิทักษ์ ปุญฺญกาโม
mahakitti2017@gmail.com
พระมหาณัฐพันธ์ สุทสฺสนวิภาณี
mahakitti2017@gmail.com
พระมหาสุทธิดล จิตฺตปญฺโญ
mahakitti2017@gmail.com
พระมหากิตติ กิตฺติเมธี
mahakitti2017@gmail.com
พระครูปิยสุเมธาภรณ์
mahakitti2017@gmail.com
<p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์แนวคิดเรื่องความผิดและโทษในพระธรรมวินัยผ่านกรอบทฤษฎีทางอาชญาวิทยา ผลการศึกษาพบว่า อาชญาวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์คือระบบการควบคุมทางสังคมสำหรับคณะสงฆ์ ที่มีองค์ประกอบครอบคลุมทั้ง การป้องกันอาชญากรรม ผ่านการบัญญัติพระวินัยเพื่อสร้างความละอายและเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ), กระบวนการยุติธรรม ผ่านการไต่สวนและวินิจฉัยอาบัติ และ การปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด ผ่านการลงโทษที่เรียกว่า อาบัติ ซึ่งมี 3 ระดับ ได้แก่ ครุโทษ (อาบัติปาราชิก) เป็นโทษสถานหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้และทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ, มัชฌิมโทษ (อาบัติสังฆาทิเสส) เป็นโทษสถานกลางที่แก้ไขได้ด้วยการอยู่กรรม และ ลหุโทษ (อาบัติเบาอื่น ๆ) ที่แก้ไขได้ด้วยการแสดงอาบัติ ข้อค้นพบสำคัญคือ พระธรรมวินัยมิใช่เป็นเพียงบทลงโทษ แต่เป็นกลไกเชิงป้องกันและฟื้นฟูที่มุ่งรักษความบริสุทธิ์ของสงฆ์และให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักการทางอาชญาวิทยาที่มีความลุ่มลึกในพุทธศาสนา</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ปัญญาพัฒน์