https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/issue/feed
วารสารดนตรีและการแสดง
2025-06-27T14:27:33+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กิตติภัณฑ์ ชิตเทพ
mupa.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />วารสารดนตรีและการแสดงมีวัตถุประสงค์เพื่อ<br />1. เพื่อส่งเสริมทางด้านวิชาการ การค้นคว้าวิจัย และการสร้างสรรค์ทางด้านดนตรี และการแสดง<br />2. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางด้านวิชาการ และวิจัยด้านดนตรีและการแสดง<br />3. เพื่อเป็นการบริการวิชาการแก่สังคม<br />4. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแนวความคิด องค์ความรู้ ความก้าวหน้าในด้านวิชาการ และวิจัยทางดนตรีและการแสดง</p> <p> วารสารดนตรีและการแสดงเปิดรับบทความวิจัย และบทความวิชาการ ของนักวิชาการ ครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับวิชาการด้านดนตรีและการแสดง ได้แก่ ดนตรีไทย ดนตรีตะวันตก นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ตะวันตกศิลปะการละคร การออกแบบเพื่อการแสดง การผลิตสื่อด้านดนตรีและการแสดง หรือบทความที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชาทางด้านดนตรีและการแสดง โดยบทความที่ส่งมาตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น</p> <p> บทความทุกฉบับผ่านการประเมินคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ที่มีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญตรงหรือเกี่ยวเนื่องกับสาขาของบทความ จำนวน 3 ท่านต่อบทความ ผู้ประเมินจะไม่ทราบว่ากำลังพิจารณาบทความของผู้เขียนคนใด พร้อมกันนั้นผู้เขียนบทความจะไม่สามารถทราบว่าใครเป็นผู้พิจารณา (Double Blind Review) ลิขสิทธิ์ของบทความเป็นของเจ้าของบทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นทัศนะของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบบทความนั้น</p> <p> </p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286283
การดำเนินทำนองซออู้เพลงเทพนิมิต สามชั้นออกกราวนอกภาษาในวงเครื่องสายปี่ชวาของครูจีรพล เพชรสม
2025-06-25T08:47:27+07:00
ชุติกาญจน์ กลั่นฤทธิ์
bestchonlapat@gmail.com
พรประพิตร์ เผ่าสวัสดิ์
pornprapit.p@chula.ac.th
<p>วิทยานิพนธ์เรื่องการดำเนินทำนองซออู้เพลงเทพนิมิต สามชั้น ออกกราวนอกภาษาในวงเครื่องสายปี่ชวาของครูจีรพล เพชรสม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามูลบทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินทำนองของซออู้ในวงเครื่องสายปี่ชวาและศึกษาการดำเนินทำนองของซออู้เพลงเทพนิมิต สามชั้น ออกกราวนอกภาษาในวงเครื่องสายปี่ชวาของครูจีรพล เพชรสม โดยใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่าซออู้เป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในวงเครื่องสายปี่ชวา การบรรเลงซออู้ของครูจีรพล เพชรสม ในวงเครื่องสายปี่ชวาต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการปฏิบัติ มีความรู้แตกฉาน มีวุฒิภาวะทางดนตรี สามารถเลือกใช้สำนวนกลอนอย่างเหมาะสม สร้างสีสันให้แก่วง และสร้างปฏิสัมพันธ์ทางดนตรี ผู้บรรเลงต้องแม่นยำในทำนองหลักและมีปฏิภาณไหวพริบที่ต้องตัดสินใจและปฏิบัติรวดเร็ว เนื่องจากวงเครื่องสายปี่ชวาเป็นวงที่มีแนวในการบรรเลงเร็วผู้บรรเลงต้องมีวิธีในการผูกทำนองเพื่อให้การดำเนินทำนองของซออู้มีคุณภาพโดดเด่น และเกิดความสมดุลในการบรรเลงรวมวง เพลงเทพนิมิต สามชั้น ออกกราวนอกภาษาของครูจีรพล เพชรสม ใช้กลวิธีในการดำเนินทำนองซออู้ ได้แก่ การล้วงจังหวะ การย้อยจังหวะ การกล้ำเสียง การย้ำเสียง การรูดนิ้ว การสะบัดคันชัก การสะบัดนิ้ว การพรมนิ้ว ลักษณะดังกล่าวเป็นการดำเนินทำนองเฉพาะของครูจีรพล เพชรสม ในการสร้างเสียงซออู้ที่เป็นเป็นเครื่องดนตรีเสียงทุ้มต่ำให้ปรากฏเสียงดัง ฟังชัด ไพเราะ และอรรถรสในการดำเนินทำนองของซออู้ใน<br />วงเครื่องสายปี่ชวา</p> <p> </p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286285
กลวิธีในการบรรเลงซออู้ในการแสดงหุ่นกระบอก เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนนางวันทองห้ามทัพของคณะหุ่นกระบอกเพาะช่าง
2025-06-25T09:10:38+07:00
สุทธิดา พุทธรักษา
sutthida.op@gmail.com
ขำคม พรประสิทธิ์
pkumkom@yahoo.com
<p>วิทยานิพนธ์เรื่องกลวิธีในการบรรเลงซออู้ในการแสดงหุ่นกระบอก เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนนางวันทองห้ามทัพ ของคณะหุ่นกระบอกเพาะช่าง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและมูลบทที่เกี่ยวข้องกับคณะหุ่นกระบอกเพาะช่างและเพื่อศึกษาหลักการบรรเลงกลวิธีการบรรเลงและทำนองซออู้ที่ใช้กับการแสดงหุ่นกระบอก ผลการศึกษาพบว่า การแสดงหุ่นกระบอกเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้รับความนิยมเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2541 เกิดคณะหุ่นกระบอกเพาะช่างขึ้น ริเริ่มโดย ครูสุขสันต์ พ่วงกลัด ซึ่งครูชื้น สกุลแก้ว เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ที่ชัดเจนทั้งเรื่องของดนตรีประกอบการแสดงที่มีซออู้บรรเลงร่วมกับวงปี่พาทย์จึงเกิดหลักการบรรเลง คือ 1) เทียบเสียงซออู้ ให้เสียงสูงกว่าปี่พาทย์ 1 เสียง เพื่อสะดวกต่อการสีทำนองหุ่นกระบอก 2) สีลดเสียง 1 เสียงในเพลงที่บรรเลงร่วมกับวงปี่พาทย์ พบกลวิธีบรรเลงซออู้ อนึ่ง เมื่อนำมาใช้ในการบรรเลงแล้ว ทำให้เกิดความปลั่งจำเพาะของซออู้อีกทั้งก่อให้เกิดสำเนียงเพลงที่ชัดเจนตามอัตลักษณ์ของเพลงนั้น ๆ โดยพบทั้งหมด 10 กลวิธี ได้แก่ พรมปิด พรมเปิด การเกลื่อน สะบัด สะบัดเสียงเดียว ครั่น กระทบเสียง สีเสียงชิด การประ และการสะบัดเน้นเสียงแรก ทำนองซออู้ที่ใช้กับการแสดงหุ่นจำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ ทำนองหุ่นกระบอก ทำนองในเพลงหน้าพาทย์ ทำนองเพลงเกร็ด และทำนองเพลงร้องสองชั้น</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286286
กลวิธีการบรรเลงซออู้เพลงกราวในสำหรับการเดี่ยวและการแสดงโขน ตอนขับพิเภก ของครูสุริยะ ชิตท้วม
2025-06-25T09:27:42+07:00
วสวัตติ์ ทองรักษ์
wasawat2556@gmail.com
พรประพิตร์ เผ่าสวัสดิ์
pornprapit.p@chula.ac.th
<p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามูลบทของการบรรเลงซออู้เพลงกราวในสำหรับการเดี่ยวและการแสดงโขนตอนขับพิเภก เพื่อศึกษากลวิธีการบรรเลงซออู้เพลงกราวในสำหรับการเดี่ยวและการแสดงโขน ตอนขับพิเภก ของครูสุริยะ ชิตท้วม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า การบรรเลงเดี่ยวเพลงกราวในเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ครูปี่พาทย์ประดิษฐ์ทางเดี่ยวเพลงกราวในขึ้น บรรเลงในอัตราจังหวะสามชั้น ภายหลังจึงเกิดเดี่ยวกราวในสำหรับเครื่องสายทางเดี่ยวซออู้เพลงกราวในของครูสุริยะ ชิตท้วม เป็นทางของหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชีวิน) ที่ได้ถ่ายทอดให้แก่ครูวรยศ ศุขสายชล และครูธีระ ภู่มณีตามลำดับ กลวิธีการบรรเลงซออู้เดี่ยวกราวใน พบว่า ใช้กลุ่มเสียงปัญจมูลทั้งหมด 4 กลุ่มเสียง ได้แก่ ดรมXซลX, ซลทXรมX, ฟซลXดรX และ รมฟXลทX มีการบรรเลงลูกโยนทั้งหมด 9 ลูกโยน ใช้ทั้งหมด 6 เสียง ในการประดิษฐ์ลูกโยน พบการใช้กลวิธีพิเศษจำนวน 14 กลวิธี เช่น พรมเปิด กระทบเสียง พรมจาก เป็นต้น ส่วนการบรรเลงเดี่ยวเพลงกราวในสำหรับการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนขับพิเภก ของครูสุริยะ ชิตท้วม บรรเลงเพียงโยนเดียว เสียงโด โดยใช้วิธีการโอด การครวญ และบรรเลงโดยไม่มีเครื่องกำกับจังหวะ จนกระทั่งพิเภกได้พบกับทหารของพระราม จากนั้นจึงจะบรรเลงด้วยทางเก็บและสิ้นสุดการบรรเลงเพลงกราวในเมื่อตัวลิงรำป้องหน้า พบการใช้กลวิธีที่ใช้จำนวน 12 กลวิธี เช่น กระทบเสียง พรมเปิด คันชักสะอึก เป็นต้น</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286287
การศึกษาทำนองสวดพระมาลัยของการแสดงรำสวดในภาคตะวันออก
2025-06-25T09:36:47+07:00
พงศธร สุธรรม
pondpeenai@gmail.com
สุพรรณี เหลือบุญชู
supunneel@yahoo.com
บำรุง พาทยกุล
bumrung_ptk@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทำนองสวดพระมาลัยของการแสดงรำสวดในภาคตะวันออก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษาตามประเด็น คือ ระเบียบการสวด การรวบรวมทำนอง และการวิเคราะห์ทำนอง จากคณะรำสวด 3 คณะ คือ คณะอรชุน ลูกสุนทรภู่ จังหวัดระยอง คณะวิชัย ราชันย์ จังหวัดจันทบุรี และคณะแม่บุญยิ่ง เจริญวงศ์ จังหวัดตราด ผลการวิจัยพบว่าระเบียบการสวดพระมาลัยจะสวดตามเนื้อหาบางส่วนของคัมภีร์สวดพระมาลัย ฉบับ ส.ธรรมภักดี มี 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเป็นการสวดบทบาลีเริ่มเรื่องพระมาลัย บทประวัติพระมาลัย บทพระมาลัยท่องนรก และช่วงท้ายเป็นการสวดบทเปรตสั่งพระมาลัย การรวบรวมทำนองพบทำนองที่สืบทอดในปัจจุบันทั้งสิ้น 25 ทำนอง การวิเคราะห์ทำนองพบลักษณะเฉพาะ คือ โครงสร้างของทุกทำนองเป็นทำนองสั้น ๆ อาศัยการเปลี่ยนคำสวด ทำนองมีทั้งการเอื้อนสลับกับคำสวด ทำนองสร้อย คำสร้อย แทรกคำ และซ้ำคำสวด บันไดเสียงขึ้นอยู่กับต้นเสียง ทุกทำนองมีลูกตกและเสียงสำคัญไม่เกิน 5 เสียง มีช่วงเสียงไม่เกิน 1 ช่วงเสียงครึ่ง การเคลื่อนที่ของเสียงมีวิถีขึ้นลงแบบย้ำเสียง ยืนเสียง และเคลื่อนที่ไปตามเสียงวรรณยุกต์ของคำสวด กระสวนทำนองมีความยักเยื้อง จังหวะส่วนใหญ่เป็นจังหวะปกติ จังหวะอิสระ และจังหวะพิเศษพบได้บางทำนอง การสวดมักใช้จังหวะสามัญ พบการใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะเฉพาะจังหวัดจันทบุรี</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286288
การศึกษากระบวนการการกํากับการแสดงละครเวทีแนวสุขนาฏกรรมแนวเสียดสี เรื่อง กาลครั้งหนึ่งพี่ฉันมีแฟน
2025-06-25T09:49:40+07:00
ปิยนาฏ เลิศบัญชร
piyanart.le@gmail.com
ดังกมล ณ ป้อมเพชร
Heisacat@yahoo.com
<p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาและสังเคราะห์กระบวนการการกำกับการแสดงละครเวทีแนวสุขนาฏกรรมแนวเสียดสีเรื่อง กาลครั้งหนึ่งพี่ฉันมีแฟน หรือ <em>ยัวร์ซิสเตอร์ฮัสแบนด์</em> ของ อัลเฟียน ซาร์ท เพื่อสามารถสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่เท่าเทียม และเพื่อศึกษากลวิธีการกำกับการแสดงที่สามารถสื่อสารประเด็นหลักของเรื่อง ที่จากเดิมสะท้อนสังคมวัฒนธรรมมาเลย์สิงคโปร์ มาเป็นการสะท้อนผู้หญิงในสังคมไทยได้</p> <p>ผู้วิจัยเริ่มจากศึกษาข้อมูล นำมาสร้างเป็นกรอบคิดเพื่อทำการทดลอง ผู้วิจัยพบว่า การทำให้ผู้ชมเข้าใจสารของเรื่องโดยใช้การนำเสนอแบบละครแนวสุขนาฏกรรมแนวเสียดสีนั้น จะต้องทำงานผ่าน 3 องค์ประกอบดังนี้ 1. การทำงานกับนักแสดง 2. การทำงานกับจังหวะบนเวที และ 3. การทำงานกับภาพบนเวที ผลการวิจัยพบว่าเมื่อทำงานผ่านองค์ประกอบทั้งสามอย่างทำให้ผู้วิจัยได้พบแนวทางการกำกับการแสดงละครเวทีเรื่อง <em>กาลครั้งหนึ่งพี่ฉันมีแฟน</em> หรือ <em>Your Sister's Husband </em>ของ อัลเฟียน ซาร์ท โดยใช้แนวการนำเสนอแบบละครสุขนาฏกรรมแนวเสียดสี ที่สามารถสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อ 'ผู้อื่น' อย่างไม่เท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ และช่วยสื่อสารประเด็นที่จากเดิมสะท้อนสังคมวัฒนธรรมมาเลย์สิงคโปร์ มาเป็นการสะท้อนผู้หญิงในสังคมไทยได้</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286290
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์บทภาพยนตร์ไทย เพื่อการยกระดับสู่ตลาดสากล
2025-06-25T11:00:55+07:00
งามนิส เขมาชฎากร
ngamnis.k@gmail.com
ศราวุฒิ ปิ่นทอง
sarawuthpintong@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาผลกระทบต่อการสร้างสรรค์บทภาพยนตร์ไทย การแยกแยะปัญหา การสืบหาสาเหตุที่บทภาพยนตร์ไทยขาดความพร้อมด้านศักยภาพในระดับสากล เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไข และพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยต่อไป โดยผู้เขียนรวบรวมข้อมูลจากเอกสารด้านภาพยนตร์ ได้แก่ นโยบาย สถิติ บทความ บทสัมภาษณ์ ข่าวสาร มีการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคลากรด้านการเขียนบทภาพยนตร์และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวม 7 คน และมีการเข้าร่วมกิจกรรมเสวนาด้านภาพยนตร์ 1 ครั้ง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์บทภาพยนตร์ไทย นำไปสู่การยกระดับภาพยนตร์สู่ตลาดสากล คือ 1. เนื้อหาภาพยนตร์ (Content) และประเภทของภาพยนตร์ (Genre) ที่ขาดความหลากหลาย แปลกใหม่ มีแนวคิดตั้งต้นที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ 2. ความนิยมในการรับชมภาพยนตร์เปลี่ยนแปลงทั่วโลกในช่วงโควิด-19 จากเดิมนิยมรับชมในโรงภาพยนตร์ เปลี่ยนแปลงสู่รูปแบบ Streaming ทำให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อหามากยิ่งขึ้น 3. ข้อจำกัดในการทำงานของนักเขียนบทภาพยนตร์ด้านเวลา รายได้ และความก้าวหน้าในอาชีพ มีสาเหตุมาจากทัศนคติของผู้อำนวยการสร้างที่ไม่เข้าใจกระบวนการเขียนบทภาพยนตร์อย่างถ่องแท้ รวมไปถึงผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ในตลาดโลก และภาครัฐที่ต้องปรับบทบาทจากผู้ตรวจสอบ เป็นผู้สนับสนุนที่ดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยเข้าใจความเป็นภาพยนตร์อย่างแท้จริง</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286318
วิธีการสร้างทำนองซอสามสาย กรณีศึกษาเพลงครอบจักรวาล สองชั้น
2025-06-26T08:48:21+07:00
สุนทรวินิจ วรสิงห์
sun2129vorasing@gmail.com
พรประพิตร์ เผ่าสวัสดิ์
pornprapit.p@chula.ac.th
<p>บทความเรื่องวิธีการสร้างทำนองซอสามสาย กรณีศึกษาเพลงครอบจักรวาล สองชั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการสร้างทำนองซอสามสาย และเพื่อศึกษากลวิธีการแปรทำนองซอสามสายจากทำนองทางฆ้องกรณีศึกษาเพลงครอบจักรวาล สองชั้น ผลการวิจัยพบว่า 1. วิธีการสร้างทำนองซอสามสายสามารถสร้างทำนองซอสามสายได้โดยวิธีการ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การแปลทำนองฆ้องเป็นทำนองซอสามสาย (Translation) โดยวิธีการถอดทำนองฆ้องเป็นทำนองสารัตถะ จากนั้นพิจารณาทิศทางการดำเนินของทำนองใน 3 รูปแบบคือ วิถีขึ้น (Way Up) วิถีลง (Way Down) และวิถียืนเสียง (Stand Still) การแปลทำนองแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การแปลอย่างจาว (Thin Texture) และการแปลอย่างเก็บ (Thick Texture) ขั้นที่ 2 การแปรทำนองซอสามสาย (Variation) ให้เกิดความหลากหลายของทำนองออกไปจากทำนองอย่างเดิม ขั้นที่ 3 การผูกสำนวนทำนอง (Combination) เรียงร้อยสำนวนทำนองระหว่างมือฆ้องเข้าไว้ด้วยกันโดยใช้ความรู้จากการแปลและการแปรทำนอง ขั้นที่ 4 การสร้างสรรค์ทำนองใช้ความรู้จากทั้ง 3 ขั้นตอนที่ได้กล่าวมารวมทั้งประสบการณ์ในการสร้างทำนองใหม่เพื่อให้เกิดทำนองซอสามสายที่ดีและไพเราะน่าฟัง 2. กลวิธีการแปรทำนองซอสามสาย เสนอไว้ 3 ประการ ประการแรก เสียงซ้ำให้หนี ประการที่สอง เพิ่มเสียงตามกลุ่มเสียงและสร้างความถี่ของโน้ต และประการสุดท้ายทำความผันแปรของทิศทางการดำเนินทำนอง</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286319
คำพรัดโนรา: เล่าเรื่องใหม่ด้วยละครแบบร่วมสร้าง
2025-06-26T08:56:20+07:00
สายฝน ไฝเส้ง
saifon@tsu.ac.th
พรรัตน์ ดำรุง
dpornrat@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายในการศึกษาเพื่อออกแบบและสร้างสรรค์ละครร่วมสมัยเพื่อสื่อสารหลักคำสอนที่แฝงฝังอยู่ในวิถีของโนราอันมีความโดดเด่นในเรื่องการให้คติสอนใจ คุณธรรมจริยธรรม หลักการใช้ชีวิตตามแบบฉบับของโนรา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสร้างสรรค์ทางศิลปะการแสดงที่เน้นการลงมือปฏิบัติ (Practice as Research) ด้วยกระบวนการละครแบบร่วมสร้างด้วยการสะท้อนทรรศนะจากผู้มีส่วนร่วมซึ่งเป็นนิสิตสาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยทักษิณ มีกระบวนการสร้างงานแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ การค้นหาและพัฒนาประเด็น พัฒนาเรื่อง/บท พัฒนาการแสดง และการนำเสนอผลงาน มีกลุ่มผู้ชมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสงขลาทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วยการสนทนากลุ่ม จากการศึกษาพบว่า การนำบทคำพรัดมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ อีกครั้งเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะยังทำให้บทคำพรัดยังมีการใช้-ดำรงอยู่ ทำซ้ำและขยายความเข้าใจในวงกว้าง ก่อให้เกิดการตีความเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่อย่างเช่นละครร่วมสมัยเรื่องนี้มีแก่นสาระหลักของเรื่องคือ ความกตัญญู นำเสนอในรูปแบบละครลูกผสม (Hybrid Performance) ผสมผสานการรำ การร้อง แบบโนรา โดยใช้โครงสร้างการเล่นคำพรัดโนราแบบวิถีเดิมผสมผสานกับการเล่าเรื่องในวิถีใหม่ ทำให้ผู้ชมเกิดการเรียนรู้เรื่องราวของโนราที่มาจากบทคำพรัดได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันละครก็สามารถสื่อสารแก่นเรื่องความกตัญญูได้ แม้จะถูกนำเสนอผ่านการสร้างความหมายใหม่ก็ตาม</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286322
การวิเคราะห์และตีความบทเพลง Poem of Souls and The Cremation สำหรับวงดุริยางค์เครื่องลมและวงดนตรีไทย ของ ปิยวัฒน์ หลุยลาภประเสริฐ
2025-06-26T09:02:49+07:00
จิรายุ ศรีขาว
J.srikhao@gmail.com
ภาวไล ตันจันทร์พงศ์
pawalaitan@gmil.com
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ <em>การวิเคราะห์และตีความบทเพลง </em><em>Poem of Souls and The Cremation สำหรับวงดุริยางค์เครื่องลมและวงดนตรีไทย ของ ปิยวัฒน์ หลุยลาภประเสริฐ </em>เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เก็บข้อมูลจากการศึกษาข้อมูลเอกสารวิชาการและการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ผู้ประพันธ์เพลง มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และตีความบทเพลง โดยกำหนดขอบเขตในการวิจัย 2 หัวข้อ ได้แก่ 1) ภาพรวมของบทเพลง ประกอบด้วย สังคีตลักษณ์ โครงสร้างบทเพลง การเรียบเรียงเสียงวงดนตรี อัตราความเร็ว และอัตราจังหวะ 2) วิเคราะห์และตีความส่วนประกอบหลักของบทเพลง ประกอบด้วย ทำนอง เสียงประสาน และสีสันเสียง</p> <p>บทเพลง Poem of Souls and the Cremation เป็นบทเพลงประเภทดนตรีพรรณนามีสังคีตลักษณ์แบบตอน การประพันธ์มีความซับซ้อน ลึกซึ้ง ผู้ประพันธ์ใช้แนวคิดขั้นคู่เสียงกระด้าง กลุ่มเสียงกัด เสียงรบกวน ประกอบกับสีสันเสียงของดนตรีไทย โดยการสร้างเป็นส่วนย่อยหลายส่วนมาปะต่อกัน มีเนื้อดนตรีที่ซับซ้อน เสียงรวมของบทเพลงให้อารมณ์และความรู้สึกถึงความน่ากลัว ความโศกเศร้า ความโหยหวน ความเงียบสงบ การเดินทาง และพิธีกรรม มีการวิเคราะห์และตีความบทเพลงจนทราบถึงองค์ประกอบทั้งหมด เพื่อให้เข้าใจถึงแนวปฏิบัติสังคีต (Performance Practice) ของบทเพลง และใกล้เคียงกับเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ที่จะนำไปใช้ประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการอำนวยเพลงสำหรับวงดุริยางค์เครื่องลมและวงดนตรีไทย</p> <p> </p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286323
กรรมวิธีการสร้างปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา
2025-06-26T09:10:20+07:00
กรเอก จิตร์กระบุญ
kornaek00dew@gmail.com
ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์
patarawdee.p@chula.ac.th
<p>วิทยานิพนธ์เรื่องกรรมวิธีการสร้างปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามูลบทที่เกี่ยวข้องกับปิน ศึกษากรรมวิธีการสร้างปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา และประเมินคุณภาพเสียงปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา โดยใช้ระเบียบการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่าพ่อครูอินส่วย มูลทา เป็นศิลปินและช่างสร้างเครื่องดนตรีในจังหวัดน่าน มีประสบการณ์สร้างปินผ่านการทดลองและสังเกตปินของศิลปินหลาย ๆ ท่าน จากการศึกษากรรมวิธีการสร้างปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา พบว่ากรรมวิธีการสร้างปินมี 20 ขั้นตอน ในทุกขั้นตอนล้วนมีความพิถีพิถันและมีความใส่ใจในการสร้างปินทุกขั้นตอน พบปัจจัยที่ส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพของปิน 8 ขั้นตอน และพบปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงของปิน 6 ขั้นตอน พบลักษณะเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในกรรมวิธีการสร้างปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา คือ 1. การนำลูกบิดกีตาร์มาใช้แทนลูกบิดแบบดั้งเดิมเป็นคนแรกของจังหวัดน่าน 2. การบากร่องส่วนหัวเพื่อใส่เรซิ่นสำหรับรองสายกันสึก 3.ลวดลายของรูลมทรงหยดน้ำคู่ การประเมินปินของพ่อครูอินส่วย มูลทา โดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 ท่าน พบว่าความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมีความพ้องกันว่าทั้งลักษณะทางกายภาพและคุณภาพเสียงปิน มีมาตรฐานที่ดี คือ ปินสวยงาม สัดส่วนถูกต้อง รูปทรงดีมาก เสียงของปินดังกังวาน เสียงใส ไม่มีเสียงแหบ ไม่มีเสียงเพี้ยน</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286324
กลวิธีการเป่าปี่ชวาในบทเพลงเพื่อการแสดงอาวุธ ของครูปี๊บ คงลายทอง (ศิลปินแห่งชาติ)
2025-06-26T09:18:18+07:00
ธีระรัตน์ คมขำ
teeraratkomkham1@hotmail.com
ขำคม พรประสิทธิ์
kumkom.p@chula.ac.th
<p>วิทยานิพนธ์เรื่องกลวิธีการเป่าปี่ชวาในบทเพลงเพื่อการแสดงอาวุธของครูปี๊บ คงลายทอง (ศิลปินแห่งชาติ) เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทเพลงของวงปี่ชวากลองแขกสำหรับการแสดงอาวุธและกลวิธีการเป่าปี่ชวาในบทเพลงเพื่อการแสดงอาวุธ ผลการวิจัยพบว่าบทเพลงเพื่อการแสดงอาวุธมีจำนวน 6 เพลง ได้แก่ เพลงกระบี่ลีลา สองชั้น เพลงโยนดาบ สองชั้น เพลงมอญรำดาบ สองชั้น เพลงโลม สองชั้น และเพลงลงสรง สองชั้น ซึ่งใช้สำหรับไหว้ครูประจำอาวุธ และเพลงโยน-แปลง ใช้สำหรับการรำเดินแปลงและเข้าต่อสู้ของทุกการแสดง กลวิธีการเป่าปี่ชวา ในบทเพลงเพื่อการแสดงอาวุธ ปี่ชวาต้องปรับกลุ่มเสียงเพื่อให้ดำเนินทำนองได้สะดวกขึ้นทั้งการใช้นิ้วและการใช้ลม อีกทั้งให้ทำนองเอื้อต่ออารมณ์ให้มีความฮึกเหิม เช่น การเป่าเสียงซอล (เสียงฮ่อ) และใช้กลวิธีพิเศษเพื่อเพิ่มอรรถรสให้แก่ทำนอง ได้แก่ การตอดลิ้นโดยเป่าลมสั้น การตอดลิ้นตัดลม การตอดลิ้นติดกัน 2 ครั้ง การตอดลมโดยเป่าลมสั้น การปริบ การโปรยเสียง การตีนิ้ว การสะบัด การรวบทำนอง และการกระทบเสียง ซึ่งกลวิธีการเป่าปี่ชวาในแต่ละบทเพลงจะต้องศึกษาตัวต่อตัวเพื่อให้ได้รับองค์ความรู้ที่ถูกต้องตามแบบแผนเนื่องจากกลวิธีการเป่าปี่ชวามีรายละเอียดที่ซับซ้อน</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286326
การออกแบบกระบวนการฝึกทักษะด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการเต้น สำหรับนักแสดงกลุ่ม MUPA DANCE TROUPE
2025-06-26T09:30:36+07:00
วิสาขา แซ่อุ้ย
visaka@go.buu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบปฏิบัตินำ (Practice-Led Research) ในรูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 1. เพื่อออกแบบกระบวนการฝึกทักษะด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการเต้นสำหรับนักแสดงกลุ่ม MUPA Dance Troupe 2. สร้างสรรค์ผลงานการแสดงต่อสาธารณชน โดยใช้กระบวนการทดลองต่อเนื่อง นำผลการฝึกฝนของนักแสดงรุ่นที่ 1 มาพัฒนาเป็นแนวทางฝึกฝนอย่างเป็นระบบ</p> <p>การออกแบบกระบวนการฝึกเน้นการศึกษาลักษณะทางกายภาพและทักษะพื้นฐานด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการเต้น ควบคู่กับการทบทวนวรรณกรรมเพื่อค้นหาแนวคิดและทฤษฎีที่เหมาะสม โดยออกแบบกระบวนการฝึกฝนเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. ความยืดหยุ่นและความแข็งแรง 2. การเคลื่อนไหวร่างกายและการเต้น และ 3. การใช้ร่างกายในการสื่อความหมาย</p> <p>ผลการวิจัยได้นำไปสู่การพัฒนาแบบฝึกหัดเฉพาะ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. แบบฝึกหัดความยืดหยุ่นและความแข็งแรง 2. MUPA Dance Troupe Workout 3. เกรแฮมเทคนิค และ 4. บัลเลต์เวิร์คเอาท์ ซึ่งสามารถใช้เพื่อปรับพื้นฐานทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับผู้เรียนที่ไม่มีพื้นฐานด้านการเต้นให้สามารถเข้าใจวิธีการใช้ร่างกายในการเต้นรำได้ นอกจากนี้ ยังได้นำผลการฝึกปฏิบัติไปสร้างสรรค์การแสดงชุด Stop Station ซึ่งนักแสดงสามารถถ่ายทอดศักยภาพด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการเต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286284
การวิเคราะห์เพลงประจำวัดสำนักดนตรีไทยครูรวม พรหมบุรี
2025-06-25T09:05:03+07:00
สันติ อุดมศรี
santiudomsri@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเพลงประจำวัดสำนักดนตรีครูรวม พรหมบุรี เป็นบทเพลงพื้นฐานสำคัญของนักดนตรีภายในสำนักต้องเรียนรู้ โดยมีครูรวม พรหมบุรีเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ภายในสำนัก ได้แก่ นายประมวล ครุฑสิงห์ นายสุรินทร์ เจือหอม นายพุ่ม เผยเผ่าเย็นและนายอุดมศักดิ์ พรหมบุรี ทางเพลงนี้ครูรวม พรหมบุรี ได้รับมาจากครูสุ่ม ดนตรีเจริญผู้มีเชื้อสายมอญ</p> <p>จากการวิเคราะห์ทำนองเพลงประจำวัด พบว่า เป็นบทเพลงที่ใช้ 2 กลุ่มบันไดเสียง คือ กลุ่มเสียง ซลทxรมx และกลุ่มบันไดเสียง ดรมxซลx ในด้านการร้อยเรียงรูปแบบการใช้มือฆ้อง พบว่า มีการใช้รูปแบบมือฆ้องหลากหลายรูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะของการบรรเลงฆ้องมอญ สำหรับเรื่องการร้อยเรียงบทเพลงยังพบว่า การบรรเลงเพลงประจำวัด สามารถบรรเลงได้หลายรูปแบบ เช่น รูปแบบที่ 1) บรรเลงแบบปกติ กลับต้นเหมือนบทเพลงทั่วไป 2) บรรเลงแบบออกเพลง คือในเที่ยวกลับต้นนิยมบรรเลงเพลงอื่นที่ไม่ใช่เพลงประจำวัด เช่น แขกมอญบางขุนพรหม มอญรำดาบ สาลิกาเขมร หรืออะแซหวุ่นกี้ เป็นต้น 3) บรรเลงในรูปแบบเพลงทางเปลี่ยนในเที่ยวกลับต้นและแทรกทำนองเพลงย่ำค่ำลงในทำนองเที่ยวเปลี่ยน และ 4) ในเที่ยวกลับต้นเพลงประจำวัดทางใหม่ แทนที่ทำนองเพลงประจำวัดแบบเดิม รูปแบบของโครงสร้างทำนองและรูปแบบของการบรรเลงบทเพลงชี้ให้เห็นว่าเพลงประจำวัดมีความหยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการบรรเลงได้ตามความเหมาะสมของวัฒนธรรมดนตรีแต่ละสำนัก</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286289
ครูกัญญา โรหิตาจล: นักร้องเพลงไทยจากคลองบางใหญ่สู่กรมศิลปากร
2025-06-25T10:54:10+07:00
นรพิชญ์ เลื่องลือ
norapit2556@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอชีวประวัติและบทบาทของครูกัญญา โรหิตาจล ในฐานะนักร้องคนสำคัญของสำนักดนตรีไทยบ้านครูสกล แก้วเพ็ญกาศ แห่งคลองบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรีและคีตศิลปินหญิงคนสำคัญของกลุ่มดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ทางขับร้องประเภทเพลงเถา และเพลงตับของครูกัญญา โรหิตาจลเป็นทางที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูสกล แก้วเพ็ญกาศและครูองุ่น บัวเอี่ยมเป็นหลัก ในส่วนของทางขับร้องประเภทเพลงสำหรับการแสดงโขนและละคร โดยส่วนใหญ่เป็นทางที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูสุดาเขียววิจิตร และครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ ด้วยลักษณะน้ำเสียงอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทำให้ครูกัญญา โรหิตาจลเป็นที่ยอมรับของคนในแวดวงคีตศิลป์ไทยและดนตรีไทยอย่างกว้างขวาง ครูกัญญา โรหิตาจลถือเป็นนักร้องเพลงไทยที่มีบทบาทในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่ขับร้องเพลงไทยและมีบทบาทในด้านการสืบทอดและพัฒนาองค์ความรู้ทางคีตศิลป์ไทยของกรมศิลปากร ด้วยคุณูปการที่มีต่อวิชาคีตศิลป์ไทย จึงควรค่าแก่การศึกษาและเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาทางด้านคีตศิลป์ไทยในอนาคต</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Mupabuujournal/article/view/286325
การถ่ายทอดบทเพลง AUN-AYCF Thailand สู่ประชาคมอาเซียน
2025-06-26T09:24:46+07:00
ลดาวัลย์ อาคาสุวรรณ
ladawan@go.buu.ac.th
<p>บทความวิชาการเรื่อง “การถ่ายทอดบทเพลง AUN-AYCF Thailand สู่ประชาคมอาเซียน” มีจุดมุ่งหมายในการศึกษาบทเพลงประจำกลุ่ม AUN-AYCF Thailand ในด้านแนวคิดในการประพันธ์ และปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า บทเพลงนี้ไม่เพียงเป็นผลงานที่สะท้อนความงามทางดนตรี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือในประชาคมอาเซียน ทั้งในมิติของศิลปวัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยเครือข่าย บทเพลงถูกออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทของผู้ขับร้อง โดยยังคงรักษาแนวคิดเรื่องความหลากหลายที่รวมเป็นหนึ่งเดียวไว้ตลอด ทั้งกระบวนการประพันธ์และการเรียบเรียงเสียงประสานของบทเพลงมีความยืดหยุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นสื่อสร้างสรรค์ที่สามารถปรับเข้ากับ<br>ทุกบริบทของการแสดงได้</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา