วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ <p>บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาวิชาการ และวิชาชีพระดับสูง ทำการวิจัย ให้บริการวิชาการแก่สังคม ปรับปรุงถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผลิตครูและส่งเสริมฐานะครู มีปรัชญา คือ สร้างผู้นำทางการวิจัย มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาองค์กรสู่สากล สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ จึงเป็นบทบาทและภารกิจสำคัญ ของสำนักงานโครงการบัณฑิตศึกษา เพื่อให้องค์ความรู้ทางการวิชาการ ผลงานวิจัย และงานสร้างสรรค์ได้นำไปใช้ประโยชน์และไปสู่สาธารณชน รวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา ตลอดจนบุคลากรทั่วไป ได้นำองค์ความรู้ไปพัฒนาต่อยอดทางความคิด และการเรียนรู้ รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือทางวิชาการที่แสดงถึงองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ชุมชน ท้องถิ่น และสังคมให้ดียิ่งขึ้น</p> <p>บัณฑิตวิทยาลัย ตระหนักถึงประโยชน์นานัปการในการเป็นสื่อส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ จึงจัดโครงการจัดทำวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ และวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมุ่งเน้นงานวิจัยและบทความวิชาการ ตลอดจนเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษา นักวิชาการอิสระ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม อันจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม</p> บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี th-TH วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 1905-7024 อิทธิพลของกรอบความคิดแบบเติบโตที่มีผลต่อความภักดีของพนักงาน และความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จในงาน ในกลุ่มคนเจนเนอเรชันวายและเจนเนอเรชันซี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/278886 <p>กรอบความคิดเป็นสมมติฐานที่บุคคลยึดถือเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของความสามารถในตนเอง ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบเติบโต คือคนที่เชื่อว่าสติปัญญาและศักยภาพสามารถสร้างได้จากความพยายามทุ่มเท การทำงานหนัก ประสบการณ์ และการเรียนรู้ การศึกษานี้ให้ความสนใจกับบทบาทของกรอบความคิดแบบเติบโต ที่มีต่อความสำเร็จในการทำงาน และ ความภักดีของพนักงาน โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกรอบความคิดแบบเติบโตและความสำเร็จในงาน และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของกรอบความคิดแบบเติบโตที่มีผลต่อความภักดีของพนักงาน ในกลุ่มคนทำงานเจนเนอเรชันวาย และเจนเนอเรชันซี โดยใช้ข้อมูล จากการสำรวจคุณภาพชีวิต ความสุข ความผูกพันองค์กร ระดับประเทศ ปี 2566 ซึ่งสำรวจกลุ่มตัวอย่างคนทำงานทั้งสิ้น 19,563 คน จากองค์กรตัวอย่าง 251 องค์กรทั่วประเทศ โดยการสำรวจวางกรอบตัวอย่างเพื่อให้แน่ใจว่ามีตัวแทนที่เพียงพอในภาคอุตสาหกรรม ตามเกณฑ์การจำแนกประเภทจากการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย (TSIC) และสุ่มรายชื่อองค์กรโดยสำนักงานสถิติ ทั้งนี้ในจำนวนตัวอย่างคนทำงานทั้งหมด ประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่างเจนเนอเรชันวาย 10,167 คน และกลุ่มตัวอย่างเจเนเรชันซี 3,786 คน โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน เพื่อสร้างตัวแปรกรอบความคิดแบบเติบโต และความภักดี จากกลุ่มตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างกรอบความคิดแบบเติบโต และความสำเร็จในงาน ร่วมกับการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบปัจจัยที่มีบทบาทต่อความภักดีของพนักงาน ผลการศึกษา พบว่า คนรุ่นใหม่มีระดับความภักดีที่ต่ำกว่าคนทำงานรุ่นพี่ และกรอบความคิดแบบเติบโตมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในงานของกลุ่มคนทำงานเจนเนอเรชันวาย และเจเนเรชันซี นอกจากนี้กรอบความคิดแบบเติบโตยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลในการเสริมสร้างความภักดี และเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความภักดีสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านอื่น ได้แก่คุณลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยด้านความพึงพอใจ และปัจจัยทางด้านรายได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากรอบความคิดแบบเติบโตเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่</p> จรัมพร โห้ลำยอง พัจนันท์ ศิริรัตน์มงคล วรรณี หุตะแพทย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 14 33 กองทุนบัยตุลมาล: ตัวแบบกลไกการจัดการหนี้สินนอกระบบในชุมชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/278599 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อยกระดับศักยภาพกองทุนมัสยิดในชุมชนสู่การเป็นกองทุนบัยตุลมาลที่ได้มาตรฐานและให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหากลุ่มเปราะบางในชุมชนได้ และ (2) เพื่อออกแบบตัวแบบกลไกการจัดการหนี้สินนอกระบบในชุมชนโดยกองทุนบัยตุลมาลที่พัฒนาขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นการวิจัยประเภทเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนในจังหวัดปัตตานีจำนวนทั้งหมด 5 ชุมชน โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาได้แก่คณะกรรมการมัสยิดทั้ง 5 ชุมชน ที่กำลังบริหารกองทุนมัสยิดชุมชนละ 10 คน รวมทั้งหมด 50 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารจัดการของกองทุนมัสยิดจำนวน 30 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 80 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมและครอบคลุมและเก็บข้อมูลโดยวิธีการผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ร่วมกับการสำรวจและสังเกตุ โดยผลการวิจัยพบว่าการใช้กลไกต้นทุนเดิมที่มีอยู่ในชุมชน เช่น คณะกรรมการและกองทุนมัสยิด และสหกรณ์อิสลามในพื้นที่ ร่วมกับนวัตกรรมกองทุนบัยตุลมาลซึ่งเป็นตัวแบบกลไกการจัดการใหม่ที่นักวิจัยได้พัฒนาขึ้นในการสร้างกลไกการจัดการหนี้สินนอกระบบด้วยกระบวนการบริหารจัดการเงินซะกาตฟิตเราะห์ของกองทุนมัสยิสดในชุมชนในรูปแบบใหม่ ส่งผลให้เกิดการยกระดับศักยภาพกองทุนมัสยิดในชุมชนสู่การเป็นกองทุนบัยตุลมาลที่สามารถวางแผนและแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบในชุมชนได้จริง เป็นระบบ มีแบบแผนและสามารถติดตามผลได้ ตลอดจนสามารถคาดการณ์แนวโน้มโอกาสในการลดลงของจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้สินนอกระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ชุมชนเกิดการพึ่งพาตนเองและจัดการแก้ปัญหาในชุมชนด้วยตนเอง มากกว่าที่จะรอหรือพึ่งพาความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐเพียงอย่างเดียวเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา</p> อนุวัตร วอลี มุฮัมมัดดาวูด บิลร่าหมาน อิฟฟะห์ มะเกะ นาซูฮา บุญญามีน มะดาโอะ ปูเตะ อานัส สามอ ตุลา บินล่าเต๊ะ อับดุรรอฮ์มาน จะปะกิยา อิบตีซัม หะมะ มะฟายซู เจ๊ะแว Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 34 49 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิด ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/272201 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิดและการเรียนแบบปกติระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิดและการเรียนแบบปกติ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนและ 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิด กับการเรียนแบบปกติ ใช้แบบแผนการวิจัย Non-equivalent Control group Pretest-Posttest Design กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนเพ็ญ 3 ในจังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 42 คน เลือกโดยใช้วิธีสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิด 2. แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบปกติ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 4. แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าเฉลี่ยค่าร้อยละ, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, dependent t-test และ MANOVA</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิด และนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิด และนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิดสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เสริมด้วยการใช้แผนผังความคิดและนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติไม่แตกต่างกัน</p> ภาวิณี สุวรักษ์ ชาติชาย ม่วงปฐม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 50 62 การใช้เทคนิคสแคฟโฟลดิงเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/278755 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคสแกฟโฟลดิง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจโดยใช้เทคนิคสแกฟโฟลดิง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านงิ้วมีชัย จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 33 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม แบบแผนของการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถ ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และแบบวัดเจตคติ ต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิคสแกฟโฟลดิง ดำเนินการทดลองใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 24ชั่วโมง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองการวิจัย ได้แก่แบบทดสอบความสามารถในการเข้าใจการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยผู้วิจัยเพื่อทดสอบความสามารถในการเข้าใจการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยการทดสอบก่อนการเรียนและหลังการเรียน โดยการทดสอบเป็นแบบปรนัยจำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากระหว่าง 0.30 - 0.65 และค่าการจำแนกความสามารถระหว่าง 0.21 - 0.74 การตรวจสอบความเชื่อถือได้ของการทดสอบต้องดำเนินการโดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอ-รีชาร์ดสัน โดยคะแนนความเชื่อถือได้สูงกว่า 0.94 สำหรับการทดสอบทั้งหมด และผลการวิจัยสรุปได้ว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 13.09 คิดเป็นร้อยละ 32.73 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 30.39 คิดเป็นร้อยละ 75.99 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 และเมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพบว่าความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และเมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพบว่าความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01และนักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิคสแกฟโฟลดิงอยู่ในระดับดีมาก ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยเน้นถึงศักยภาพการเรียนการสอนโดยการใช้เทคนิคสแคฟโฟลดิงในการพัฒนาความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1</p> <p> </p> เพ็ญพร จูมสวัสดิ์ Napasup Lerdpreedakorn Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 63 79 องค์ประกอบและแนวทางการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/276952 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 2) แนวทางการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ วิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีวิธีดำเนินการ ได้แก่ 1) การศึกษาองค์ประกอบการเป็นองค์กรแห่งความสุข กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 333 คน จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า ทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และ 2) การศึกษาแนวทางการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ด้านร่างกายและจิตใจ ด้านการบริหารของผู้บริหาร ด้านความรู้ความสามารถ ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ และ 2) แนวทางการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา พบว่าประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการดำเนินการ และ 4) เงื่อนไขความสำเร็จ</p> ณัฐกมล ฝีปากเพราะ โสภา อำนวยรัตน์ สันติ บูรณะชาติ น้ำฝน กันมา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 80 91 การฝึกอบรมกลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาจีน ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันมือถือ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/277183 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และตรวจสอบผลกระทบต่อการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ การศึกษาดำเนินการในสามระยะ: ในระยะที่ 1 การฝึกอบรมกลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์สร้างขึ้นจากปัญหาในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักศึกษา สำรวจโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และการทดสอบคำศัพท์จำนวนสองครั้ง ในระยะที่ 2 เป็นการฝึกอบรมกลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์ใช้ระยะเวลา 9 สัปดาห์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งบูรณาการและนำไปใช้ในหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ สำหรับนักศึกษาจีน ชั้นปีที่1 วิชาเอกภาษาอังกฤษ จำนวน 45 คน ในวิทยาลัยชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ในระยะที่ 3 เป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้จากการประเมินโดยแบบสอบถามคำศัพท์ การทดสอบคำศัพท์ 2 ครั้ง และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ประสิทธิผลของการฝึกโดยใช้การทดสอบ T-test (paired sample t-tests and independent sample t-test) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นการพัฒนาที่สำคัญในเรื่องความเชื่อในการเรียนรู้คำศัพท์ของนักศึกษา การใช้กลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์ ด้านความกว้างของคำศัพท์ และความลึกของคำศัพท์ นอกจากนี้ นักศึกษายังแสดงเจตคติเชิงบวกต่อการฝึกอบรมครั้งนี้อีกด้วย การศึกษาครั้งนี้เน้นให้เห็นว่าการฝึกอบรมกลยุทธ์การเรียนรู้คำศัพท์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ จากการพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้กลยุทธ์และความต้องการในการเรียนรู้ของนักศึกษา สามารถพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศได้</p> <p><strong> </strong></p> Panpan Cao Suwaree Yordchim Suphat Sukamolson Sarada Jarupan Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 92 109 การใช้กลยุทธ์การสอนแบบแลกเปลี่ยนบทบาทเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพปี 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/279063 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษของนักศึกษาก่อนและหลังการเรียนโดยใช้กลยุทธ์การสอนแบบรีซิโปรคอล 2) เพื่อศึกษาทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อการสอนความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษโดยใช้กลยุทธ์การสอนแบบรีซิโปรคอล กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษา จำนวน 27 คน จากระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์การสอนแบบรีซิโปรคอล 2) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษ 3) แบบสอบถามเจตคติต่อการสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจในภาษาอังกฤษโดยใช้กลยุทธ์การสอนแบบการสอนแบบรีซิโปรคอล ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนการอ่านเพื่อความเข้าใจในภาษาอังกฤษของนักศึกษาอยู่ที่ 12.15 หรือคิดเป็นร้อยละ 30.37 และ 29.33 หรือคิดเป็นร้อยละ 73.33 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 และคะแนนความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจในภาษาอังกฤษของนักศึกษาสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2) คะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อกลยุทธ์การสอนแบบรีซิโปรคอลอยู่ในระดับที่ดีมาก (4.53)</p> Atichat Uppaphong Worawoot Tutwisoot Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 110 121 3-ACTIVE: แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/276323 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (4Cs) เพื่อนำมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยศึกษาจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องแล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อหาข้อสรุป จนได้แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะในศตวรรษที่ 21 (4Cs) ตามแนวคิด 3-ACTIVE ประกอบด้วย Active Learning, Active Learner และ Active Teacher ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตและมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จำเป็นสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> วิไล ธรรมวาจา สมศิริ สิงห์ลพ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-26 2024-12-26 12 2 1 13