วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ <p>บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาวิชาการ และวิชาชีพระดับสูง ทำการวิจัย ให้บริการวิชาการแก่สังคม ปรับปรุงถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผลิตครูและส่งเสริมฐานะครู มีปรัชญา คือ สร้างผู้นำทางการวิจัย มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาองค์กรสู่สากล สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ จึงเป็นบทบาทและภารกิจสำคัญ ของสำนักงานโครงการบัณฑิตศึกษา เพื่อให้องค์ความรู้ทางการวิชาการ ผลงานวิจัย และงานสร้างสรรค์ได้นำไปใช้ประโยชน์และไปสู่สาธารณชน รวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา ตลอดจนบุคลากรทั่วไป ได้นำองค์ความรู้ไปพัฒนาต่อยอดทางความคิด และการเรียนรู้ รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือทางวิชาการที่แสดงถึงองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ชุมชน ท้องถิ่น และสังคมให้ดียิ่งขึ้น</p> <p>บัณฑิตวิทยาลัย ตระหนักถึงประโยชน์นานัปการในการเป็นสื่อส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ จึงจัดโครงการจัดทำวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ และวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมุ่งเน้นงานวิจัยและบทความวิชาการ ตลอดจนเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษา นักวิชาการอิสระ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม อันจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม</p> th-TH ddna62@gmail.com (ดร.วิไลลักษณ์ ขาวสอาด) graduate@udru.ac.th (เอกภพ โอตาคาร) Fri, 27 Jun 2025 11:03:03 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/281897 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 4) สร้างสมการพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 1 จำนวน 269 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.946 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาทุกด้าน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่สามารถพยากรณ์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา มี 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านโครงสร้างขององค์กร และปัจจัยด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กร สามารถพยากรณ์ความสำเร็จได้ร้อยละ 84.80 ดังสมการพยากรณ์ต่อไปนี้ สมการรูปคะแนนดิบ คือ Y = .761 + .535X<sub>2</sub> + .295X<sub>4</sub> และสมการรูปคะแนนมาตรฐาน คือ Z<sub>y</sub> = .630(Z<sub>2</sub>)+ .642(Z<sub>4</sub>)</p> นิภาวรรณ แก้วตา, โสภา อำนวยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/281897 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมทางกายเพื่อเพิ่มช่วงความสนใจของเด็กที่มีภาวะออทิซึม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/282910 <p>ออทิซึม (Autism) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความบกพร่องทางพัฒนาการ ส่งผลต่อพฤติกรรม การสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เด็กที่มีภาวะออทิซึมมักมีข้อจำกัดในด้านทักษะต่าง ๆ รวมถึงมีปัญหาเกี่ยวกับช่วงความสนใจไม่สามารถจดจ่ออยู่กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้เป็นระยะเวลานาน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมทางกายเพื่อเพิ่มช่วงความสนใจของเด็กที่มีภาวะออทิซึม และ 2) เพื่อเปรียบเทียบช่วงความสนใจของเด็กที่มีภาวะออทิซึม ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมทางกาย กลุ่มตัวอย่างคือเด็กที่มีภาวะออทิซึม จำนวน 5 คน อายุระหว่าง 3–6 ปี ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมทางกายเพื่อเพิ่มช่วงความสนใจ 2) แบบประเมิน SNAP-IV และ 3) แบบประเมินช่วงความสนใจสำหรับครูและผู้ปกครอง รวมถึงการจับเวลาในการทำกิจกรรม การทดลองดำเนินการเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้การทดสอบสมมติฐานด้วย Wilcoxon Signed-Rank Test งานวิจัยนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่ HE663177 </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมทางกายที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัยโดยได้รับการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงถึงความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมในการนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 2) เด็กที่มีภาวะออทิซึมมีช่วงความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังจากการใช้ชุดกิจกรรมทางกายโดยคะแนนช่วงความสนใจหลังการใช้ชุดกิจกรรมอยู่ที่ 708 คะแนน (𝑥̅ = 4.72, S.D. = 0.15) ซึ่งสูงกว่าคะแนนก่อนใช้ชุดกิจกรรมที่อยู่ที่ 204 คะแนน (𝑥̅ = 1.36, S.D. = 0.15)</p> <p> </p> รุ้งฟ้า สิมมา, ชนิตา พิมพ์ศรี, เบญจมาภรณ์ ช้อยเครือ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/282910 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใช้รูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283639 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง เศษส่วน ด้วยรูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เพื่อศึกษาความสามารถการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายของการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลหนองหานวิทยายน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 24 คน โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน จำนวน 12 แผน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ คือ แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แบบสัมภาษณ์ผู้เรียนในท้ายวงจรปฏิบัติการ และแบบทดสอบท้ายวงจรปฏิบัติการ 3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้รับการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใช้รูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 20.46 คิดเป็นร้อยละ 68.19 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 26.21 คิดเป็นร้อยละ 87.36 และนักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน โดยใช้รูปแบบ SSCS เสริมด้วยเทคนิคบาร์โมเดล คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 17.41 คิดเป็นร้อยละ 87.08 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่ น้อยกว่าร้อยละ 75 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> ภัคจิรา นาผล, บุษวรรษ์ แสนปลื้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283639 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283787 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดอันดับความต้องการจำเป็นของการบริหารอาคารสถานที่ และสิ่งแวดล้อม และศึกษาแนวทางการบริหารอาคารสถานที่ และสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 107 คน และกลุ่ม เป้าหมายผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 4 คน และรองผู้อำนวยการสถานศึกษาฝ่ายบริหารทั่วไป จำนวน 3 คน ของโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี จำนวน 7 คน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาสรุปบรรยายแบบพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดอันดับความต้องการจำเป็น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดอันดับความต้องการจำเป็นการบริหารอาคารสถานที่ และสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับปานกลาง 2. แนวทางการบริหารอาคารสถานที่ และสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การประเมินผลการใช้อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม รองลงมา คือการควบคุมอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม การใช้อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม การบำรุงรักษาอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม และการจัดสร้างอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม</p> ณัฏฐ์พงค์ ธรรมชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283787 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารสถานศึกษา โดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับ ผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283854 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี 2) ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี และ 3) ประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษา โดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรัผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี ดำเนินการวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 4,584 คน จาก 224 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู จำนวน 357 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบประเมินแนวทาง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงบรรยาย คือ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาพบว่า ด้านโยบายองค์กรมีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด และด้านวัฒนธรรมองค์กร มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นต่ำที่สุด 2) แนวทางการบริหารสถานศึกษาโดยใช้แนวคิดซอฟต์พาวเวอร์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า สามารถนำไปใช้ได้ทุกแนวทาง และ 3) ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong> </strong></p> วิภาพร สุทธิบริบาล, พิมพ์พร จารุจิตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283854 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย โดยการจัดประสบการณ์แบบมอนเตสซอรี่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/284159 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย โดยการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดมอนเตสซอรี่ ให้นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 85 มีกลุ่มเป้าหมายได้แก่เด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านน้ำคำน้อย ตำบลน้ำคำใหญ่ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่ แบบประเมินพฤติกรรมความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ซึ่งทำการวิจัย 2 วงจรปฏิบัติการ ผลการวิจัยพบว่า วงจรปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมด และวงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 100 ของนักเรียนทั้งหมด</p> ศิริลักษณ์ พวงจันทร์, ปาริชาติ ประเสริฐสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/284159 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283855 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย และ 3) เพื่อประเมินแนวทางการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ (Multi-phase Mixed Method Research) แบ่งเป็น 3 ระยะตามวัตถุประสงค์ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1,087 คน จาก 31 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการบริหารงานงบประมาณ ประกอบด้วย 1. การบริหารการเงิน 2. การบริหารการเงินและบัญชี 3. การบริหารงานพัสดุและสินทรัพย์ และ 4. การประเมินผลการดำเนินงานการเงินและพัสดุ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ประกอบด้วย 1. การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างโค้ชกับผู้รับโค้ช 2. การร่วมมือกันวางแผนและกำหนดเป้าหมายการโค้ช 3. การปฏิบัติการโค้ช 4. การทบทวนไตร่ตรองสะท้อนคิดและสรุปการโค้ช และ 5. การประเมินผล การโค้ช มีผลการยืนยันแนวทางการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ใช้ได้ทุกแนวทาง และ 3) ผลการประเมินแนวทางการบริหารงานงบประมาณ โดยใช้การโค้ช สำหรับสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> กมลชนก อรัญสาร, พิมพ์พร จารุจิตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/283855 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/284354 <p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่งและ 4) ประเมินความพึงพอใจและขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้หลักการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เป็นระเบียบวิธีวิจัย มีขั้นตอนในการดำเนินงาน 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหา (Research : R1) ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบ (Development : D1) ขั้นตอนที่ 3 การวิจัยการนำไปใช้จริง (Research : R2) ขั้นตอนที่ 4 การประเมินและปรับปรุง (Development : D2) กลุ่มตัวอย่างในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้และคู่มือการใช้รูปแบบ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน โดยวิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัญหาและการดำเนินงานโดยนำข้อมูลที่รวบรวมด้วยการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนบ้านนามั่ง คือ นักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจ อีกทั้งครูยังขาดการอธิบายและยกตัวอย่างให้นักเรียนเกิดความเข้าใจอยู่น้อย และไม่เปิดโอกาสให้มีกิจกรรมฝึกทักษะ นอกจากนี้ กิจกรรมการเรียนการสอนยังขาดสื่อการเรียนการสอน และอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรม 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง ได้วิธีสอนแบบ 6 ขั้น พิชิตฝันสร้างสรรค์การเขียน (CSIFPC Model) 6 ขั้น ขั้นที่ 1 ให้คนฟังกังขา (CREATE DOUBT) ขั้นที่ 2 สืบค้นหาข้อมูล (SEARCH FOR INFORMATION) ขั้นที่ 3 ช่วยเพิ่มพูนความคิด (INCREASE THINKING) ขั้นที่ 4 เสวนาแบบมวลมิตร (FRIENDLY DISCUSSION) ขั้นที่ 5 เสนอความคิดกลุ่มใหญ่ (PROPOSE IDEAS TO THE LARGE GROUP) และขั้นที่ 6 มุ่งมั่นไปสู่สังคม (COMMITTED TO SOCIETY) 3. ภายหลังการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง นักเรียนกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคะแนนทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 86.36 จากกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยมีคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนคือ 34.75 คะแนน มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 86.87 โดยคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคะแนนมาตรฐานที่ตั้งไว้คือ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 และ4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 6 ขั้นพิชิตฝัน สร้างสรรค์ การเขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านนามั่ง อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.36 คิดเป็นร้อยละ 87.20</p> สุภาพร ชาวป่า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/UDRUAJ/article/view/284354 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700