https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/issue/feed วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ 2024-12-30T13:14:47+07:00 รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ Vanamdr@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong> วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ (</strong><strong>Journal of Buddhist Studies Vanam Dongrak) </strong>มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1) เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา 2) เพื่อให้บริการวิชาการด้านด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยาแก่สังคม 3) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา ๔) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยสงฆ์สุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์</p> <p> เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยสงฆสุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ รับตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p> วารสารกำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ได้แก่<br /> - ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม - มิถุนายน<br /> - ฉบับที่ 2 ประจำเดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p> ขอบเขตของวารสารดังนี้ คือ เป็นวารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา</p> <p> บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับการประเมินคุณภาพของผลงานทางวิชาการ โดยผู้ประเมินซึ่งเป็น<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน </strong><strong>3 ท่าน</strong> ซึ่งพิจารณา<strong>แบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้ประเมิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง (</strong><strong>Double Blind Review)</strong> ทั้งนี้วารสารจะดำเนินงานตามกรอบจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการ (Publication Ethics) อย่างเคร่งครัด</p> <p> <strong>ค่าธรรมเนียมและการชำระค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</strong></p> <p><strong> อัตราค่าตีพิมพ์</strong> ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ <strong>จำนวน </strong><strong>3,500 บาท</strong>/บทความ </p> <p><strong> การชำระค่าธรรมเนียม</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ เจ้าของบทความจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความได้หลังจากได้รับการตอบกลับจากกองบรรณาธิการให้ชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งทางกองบรรณาธิการจักได้แจ้งรายละเอียดช่องทางการชำระแก่เจ้าของบทความได้ทราบทางอีเมล์ของท่าน</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/275176 อันเนื่องกับทางไท 2024-12-09T22:20:53+07:00 ปฐมพงศ์ บูชาบุตร pathompong.butara@gmail.com <p class="7"><span lang="TH">หนังสือที่นำมาวิจารณ์มีชื่อว่า “อันเนื่องกับทางไท” เขียนโดย เขมานันทะ (นามปากกา) ชื่อจริง นายโกวิท อเนกชัย หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 9 บท 240 หน้า เป็นการรวบรวมบทความและบทบรรยายในสถานที่ต่าง ๆ ของผู้เขียน ประกอบด้วยบทบรรยายเรื่อง “ตะวันตก-ตะวันออก” และบทบรรยายเรื่อง “ข้อเสนอแนะบางประการต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ” มีเนื้อหาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสุนทรียภาพในงานศิลปะตะวันตก-ศิลปะตะวันออก โดยผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวความคิด คติความเชื่อ และการแสดงออกทางศิลปะของคนในยุคสมัยอดีต ส่วนบทความเรื่อง “ระเบียบความงามทางพุทธประติมา” เกิดขึ้นในงานสัมมนาระหว่างชาติ ณ กรุงไทเป เนื้อหาจะอธิบายถึงแนวคิดคติความเชื่อของนายช่างผู้สร้างสรรค์พุทธประติมาเพื่อให้เป็นที่สักการะบูชา เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน อธิบายถึงแง่มุมทางจิตวิญญาณของนายช่างผู้สร้างสรรค์งานพุทธประติมาในสมัยอดีต หนังสืออันเนื่องกับทางไทนี้มีความน่าสนใจในทัศนะของศิลปินที่เป็นอิสระจากแนวความคิดทฤษฎีของชาวตะวันตก ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อแสดงให้เห็นว่าศิลปะตะวันออกมิได้ด้อยไปกว่ากันเลย แต่เป็นไปในความต่างกันทางคติความเชื่อวิถีวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยศิลปกรรม ความงามนั้นจึงทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางจิตใจและเกิดความศรัทธาต่อสิ่งที่ดีงามขึ้นภายในใจ</span></p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/271422 บทบาทใหม่ของผู้บริหารการศึกษาในโลกที่พลิกผัน 2024-12-09T22:13:20+07:00 พระครูชัยรัตนากร puysound1@hotmail.com บรรจง ลาวะลี puysound1@hotmail.com <p>จากสภาวะโลกที่พลิกผันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ๆ บางครั้ง เราเรียกว่า VUCA world ว่า The New Normal หรือ ความเป็นปกติแบบใหม่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำในองค์กรต้องสามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง สร้างศักยภาพ ความสามารถ และพัฒนาพนักงานให้มีความพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดจนการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ภายใต้สภาวะ The New Normal หรือ ความเป็นปกติแบบใหม่ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับบทบาทใหม่ของผู้บริหารการศึกษาในโลกที่พลิกผัน ดังนี้ ผู้บริหารการศึกษาต้องมีวิสัยทัศน์ใหม่ในการบริหารจัดการให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องชัดเจน ต้องมีความสามารถสูง ทั้งการกำกับดูแลช่วยเหลือ ชี้แนะและให้การสนับสนุน และมีความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องปรับแนวคิดในการบริหารจัดการบูรณาการที่เน้นการแก้ปัญหาและดำเนินการพัฒนาที่ผสมผสานชัดเจนทั้งเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ สามารถสร้างความเข้าใจร่วมกับบุคลากรและประสานสัมพันธ์กับบุคลากรทุกฝ่ายได้ด้วยดี เพื่อการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269253 วิพากษ์ปัญหาของพุทธศาสนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2024-12-09T14:25:35+07:00 กรฤทธ์ ปัญจสุนทร korarid1991@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิพากษ์ปัญหาของพุทธศาสนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้แนวคิดที่เป็นพื้นฐานสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในมุมมองของนักอนุรักษ์มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย ประการแรก ธรรมชาติและสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติมีคุณค่าในตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองความต้องการหรือเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ประการที่สอง ความหลากหลายในธรรมชาติล้วนมีคุณค่าในตัวเองต้องส่งเสริมรักษา ประการที่สาม สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ มีลักษณะที่เป็นองค์รวม ทำให้พบปัญหา 3 ประการ 1. พุทธศาสนามีท่าทีที่ให้คุณค่ามนุษย์เหนือกว่าสิ่งอื่นในธรรมชาติ 2. ถึงจะยอมรับในคุณค่าในตัวเองของสัตว์ แต่ก็ให้คุณค่าทางศีลธรรมแก่สัตว์แต่ละชนิดไม่เท่ากัน และ 3. พืชและทรัพยากรที่ไม่มีชีวิตในธรรมชาติไม่มีจิต จึงไม่มีคุณค่าในตัวเองและอยู่นอกเหนือขอบเขตทางศีลธรรมของพุทธศาสนา ถึงจะมีข้อปฏิบัติทางศีลธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็อยู่บนฐานของการป้องกันความเดือดร้อนของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุกับภิกษุณีเท่านั้น ไม่รวมถึงอุบาสกหรืออุบาสิกา</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/273585 วิเคราะห์รูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร 2024-12-09T14:32:58+07:00 พระปลัดสุระ ญาณธโร sura2479@hotmail.com พระครูปริยัติปัญญาโสภณ sura2479@hotmail.com พระมหาวิศิต ธีรวํโส sura2479@hotmail.com วรภูริ มูลสิน sura2479@hotmail.com พระครูใบฎีกาวิชาญ วิสุทฺโธ sura2479@hotmail.com <p><strong> </strong></p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร 2) สร้างรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร และ 3) ประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพและปัญหาการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร โดยการศึกษาเอกสารอ้างอิงและการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ โดยการสุ่มเลือกแบบเจาะจง จำนวน 15 คน ขั้นตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร ด้วยเทคนิคเดลฟาย จำนวน 3 รอบ โดยสอบถามความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ โดยการสุ่มเลือกแบบเจาะจง จำนวน 17 คน ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอไทล์</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p> 1) ผลการศึกษาสภาพการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร พบว่า การจัดการความรู้ด้านการแสวงหาความรู้ของเกษตรกรส่วนใหญ่จะสังเกตสมาชิกกลุ่มเกษตรอินทรีย์หรือบุคคลที่ทำเกษตรอินทรีย์ ด้านการจัดเก็บความรู้ มีการจัดเก็บความรู้แบบการจดจำมากกว่าการจดบันทึก ด้านการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ จะเป็นการพูดคุย ปรึกษา แลกเปลี่ยนความรู้กันภายในครอบครัว ชุมชน และเครือข่าย</p> <p> 2) ผลการสร้างรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร พบว่า รูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร ประกอบด้วย 4 ด้าน 28 ตัวชี้วัด โดยมีค่ามัธยฐาน เท่ากับ 4.00-5.00 และมีค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ เท่ากับ 0.00-1.00</p> <p> 3) ผลการประเมินรูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร พบว่า รูปแบบการจัดการความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.33) และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ( = 4.36)</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/279927 การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา 2024-12-14T17:07:25+07:00 นันธิกา เรือนไทย nuntikapraew39@gmail.com จิรายุ ทรัพย์สิน Nuntikapraew39@gmail.com วันชัย สุขตาม Nuntikapraew39@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตาม ปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้การศึกษาวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งการวิจัยเชิงปริมาณ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 362 ราย ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามที่จัดทำขึ้นเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ลักษณะของแบบสอบถามเป็นทั้งปลายปิด และปลายเปิดมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเชิงปริมาณเท่ากับ 0.947 ทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที (t) ค่าเอฟ (F) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ในกรณีที่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จะทำการวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยวิธีผลต่างนัยสำคัญน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In – Depth Interview) เป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 10 ราย โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมาโดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 3.80 )</li> <li>ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน พบว่า ประชาชนที่มีเพศ อายุ การศึกษา และรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นโดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> <li>แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต้องให้ความสำคัญและความรู้ให้แก่ประชาชนและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในด้านต่างๆ เพื่อที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนในท้องถิ่นและส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน</li> </ol> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/279990 กลยุทธ์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์กับการพัฒนาท้องถิ่น 2024-12-19T06:08:18+07:00 น้ำฝน เครือแก้ว namforn.ku@srru.ac.th วิเชียร พรมแก้ว wichian.p@srru.ac.th <p>มหาวิทยาลัยราชภัฏได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2547 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ดำเนินงานตามพันธกิจหลักที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสนับสนุนการพัฒนาสังคมอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้เป็น “สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ กลยุทธ์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์กับการพัฒนาท้องถิ่น การศึกษาครั้งนี้เป็นการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบริบทของจังหวัดสุรินทร์ สนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน มี 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ 2) ด้านการสนับสนุนชุมชนด้วยนวัตกรรม 3) ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น 4) ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 5) ด้านการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/279963 แนวทางการสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน 2024-12-19T09:52:03+07:00 อธิมาตร เพิ่มพูน athimat.p36@gmail.com จิรายุ ทรัพย์สิน wanchai2526@srru.ac.th วันชัย สุขตาม wanchai2526@srru.ac.th สิริพัฒถ์ ลาภจิตร wanchai2526@srru.ac.th ศศิธร ศูนย์กลาง wanchai2526@srru.ac.th นพฤทธิ์ จิตรสายธาร wanchai2526@srru.ac.th ชัย สมรภูมิ wanchai2526@srru.ac.th วิเชียร พรมแก้ว wanchai2526@srru.ac.th อนุรัตน์ พรหมฤทธิ์ wanchai2526@srru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 คน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมการและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้นำชุมชนและปราชญ์ชาวบ้าน และนักวิชาการ โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาพรรณนารายละเอียด ตีความ และอธิบายความ ผลการวิจัย พบว่า 1) ศักยภาพของการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงบ้านทุ่งโก ตำบลหนองเมธี อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ มี 6 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านทรัพยากร ปัจจัยด้านองค์ความรู้ ปัจจัยด้านความร่วมมือ ปัจจัยด้านการบริหารจัดการ ปัจจัยด้านการตลาด และปัจจัยด้านเทคโนโลยี และ 2) การสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตามกรอบคุณลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นตอนที่ 1 การมีส่วนร่วมในการวางแผน เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางและกรอบการดำเนินงานในการสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 2) ขั้นตอนที่ 2 การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินการสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่การร่างข้อบังคับ การปรับปรุงข้อบังคับ และการลงมติรับรองข้อบังคับ 3) ขั้นตอนที่ 3 การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแนวทางการกระจายผลประโยชน์จากการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ 4) ขั้นตอนที่ 4 การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยในแต่ละด้านได้กำหนดขั้นตอนและกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในทุกขั้นตอนของการสร้างข้อบังคับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ดังนั้น กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในแต่ละด้านมีขั้นตอนที่ชัดเจน โดยเน้นให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน การการดำเนินงาน การติดตามและประเมินผล ไปจนถึงการปรับปรุงข้อบังคับ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็งและประสบความสำเร็จได้</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/275668 รูปแบบการบริหารจัดการรมณียสถานเชิงพุทธ 2024-12-09T21:48:19+07:00 พระมหาเตวิช โชติญาโณ thavit.12@gmail.com พระมหาเอกพันธ์ วรธมฺมญฺญู (มะเดื่อ) maduea.3511@gmail.com พระมหาฉัตรชัย ธมฺมวรเมธี (ทันบาล) maduea.3511@gmail.com <p> วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในการบริหารจัดการรมณียสถานเชิงพุทธ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมกับการบริหารจัดการ และนำเสนอปัญหา อุปสรรค รวมถึงข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับหลักพุทธธรรมในการบริหารรมณียสถานเชิงพุทธ การวิจัยดำเนินการโดยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ประกอบด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 8 รูป/คน และการแจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่าง 360 คน ซึ่งได้มาจากการคำนวณตามสูตรของทาโร่ ยามาเน่ จากประชากรในตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจในภาพรวมของการบริหารจัดการรมณียสถานเชิงพุทธอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.22) โดยเฉพาะด้านการบริหารทรัพยากรกายภาพที่ได้รับค่าเฉลี่ย 4.25 ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมกับการบริหารจัดการ พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง (R=0.956**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สำหรับปัญหาและอุปสรรค พบว่าควรจัดพื้นที่ในวัดให้เป็นสัดส่วน เช่น การตั้งกุฏิในที่มิดชิด อากาศถ่ายเทสะดวก และมีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำเพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรม</p> <p>องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการบริหารจัดการรมณียสถาน โดยมุ่งส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่สงบ ร่มรื่น และเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ ควรปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความสะอาดและความรับผิดชอบต่อพื้นที่แก่ผู้ปฏิบัติธรรมและผู้มาเยือน เพื่อสร้างความยั่งยืนในการบริหารจัดการรมณียสถานเชิงพุทธอย่างแท้จริง</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/272046 ผลของโปรแกรมการปรึกษากลุ่มที่มีต่อกรอบความคิดเติบโต ของพยาบาลพี่เลี้ยง 2024-12-09T22:24:34+07:00 ศิวดล ประพันธ์พิบูลย์ tun.hemo@gmail.com ประยุทธ ไทยธานี tun.hemo@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรึกษากลุ่มที่มีต่อกรอบความคิดเติบโตของพยาบาลพี่เลี้ยง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พยาบาลพี่เลี้ยง ของกลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 20 คน จากพยาบาลพี่เลี้ยงทั้งหมด 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการปรึกษากลุ่ม โดยจัดกิจกรรมทั้งหมด 8 วัน ในการจัดกิจกรรมแต่ละวัน จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง และแบบประเมินกรอบความคิดเติบโต วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลพี่เลี้ยงกลุ่มทดลองที่ได้เข้าร่วมโปรแกรมการปรึกษากลุ่มมีคะแนนกรอบความคิดเติบโต สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หลังการทดลอง พยาบาลพี่เลี้ยงกลุ่มทดลองมีคะแนนกรอบความคิดเติบโตสูงกว่าพยาบาลพี่เลี้ยงกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269424 ผลการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประสม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2024-12-09T21:38:12+07:00 ศิรัณญา ลีลาชัย siranya_tumtim@hotmail.com เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม siranya_tumtim@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประสม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนจากการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประถม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประถม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนวัดเวตวันวิทยาราม จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน ด้วยค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประสม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 80/80 เท่ากับ 80.11/80.83</li> <li>เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนจากการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประถม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับสื่อประถม วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง หลักธรรม ศีลห้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/275909 การจัดการเกษตร การปรับตัว ของพุทธยุวเกษตรกรภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ ในจังหวัดบุรีรัมย์ 2024-12-20T06:29:04+07:00 วิรัตน์ ภูทองเงิน kraisin1986@gmail.com อิสรพงษ์ ไกรสินธุ์ Kraisin1986@gmail.com นิกร พลเยี่ยม kraisin1986@gmail.com กิตติธัช นาชัย kraisin1986@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาการจัดการเกษตร การปรับตัว ของพุทธยุวเกษตรกรภายใต้ชีวิตวิถีใหม่จังหวัดบุรีรัมย์ 2.เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเกษตร การปรับตัว ของพุทธยุวเกษตรกรภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 40 รูป/คน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>การจัดการเกษตร การปรับตัว ของพุทธยุวเกษตรกรภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า กลุ่มพุทธยุวเกษตรดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในด้านหลักการ ประกอบด้วย (1) พอประมาณ (2) มีเหตุผล (3) มีภูมิคุ้มกันและด้านเงื่อนไขประกอบด้วย(1) ความรู้ (2) คุณธรรม (3) ระดับความรู้ความเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ (4) ระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (5) ความคิดเห็นในการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ จากการศึกษา จะเห็นได้ว่ามีตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของพุทธยุวเกษตรวิถีพุทธคือ พฤติกรรมของสมาชิกในแต่ละด้านโดยมี หลักการประกอบด้วย 1) ความรู้ 2) คุณธรรม 3) ระดับความรู้ความเข้าใจ 4) ระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตตามหลักพอเพียง แต่กลับเพิ่มมูลค่าขึ้นได้ ลดอัตราความเสี่ยงความประพฤติการใช้จ่ายลงได้ จึงสร้างความมั่นคง และความยังยืนในครอบครัวและสมาชิกในกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้กลุ่มพุทธยุวเกษตร</li> <li>แนวทางการจัดการเกษตร การปรับตัว ของพุทธยุวเกษตรกรภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ จังหวัดบุรีรัมย์การจัดการกระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ให้เป็น Young Smart Farmer เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผ่านการประเมินคุณสมบัติเป็น มีการบริหารจัดการการเกษตรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม มีการเชื่อมโยงเครือข่าย และเป็นผู้นำทางการเกษตรในท้องถิ่นสามารถ ทดแทนเกษตรกรผู้สูงอายุ และสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่หันมาประกอบอาชีพเกษตรกรรม</li> </ol> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/274644 ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้นำท้องที่ในการให้บริการประชาชนเขตตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-14T17:14:40+07:00 พระมหาทวี โกสโล phramahathawee.2517@gmail.com พระครูปริยัติปัญญาโสภณ Kosalo@live.com พระปลัดสุระ ญาณธโร Kosalo@live.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้นำท้องที่ในการให้บริการประชาชนเขตตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้นำท้องที่ในการให้บริการประชาชนเขตตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 3) เพื่อนำเสนอภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้นำท้องที่ในการให้บริการประชาชนเขตตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ตามหลักสังคหวัตถุธรรม 4 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิจัยเชิงปริมาณ และวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ประชาชนจำนวน 382 คน โดยใช้การสุ่มแบบง่าย และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .67-1.00 และความเที่ยงเท่ากับ .97 แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ในกรณีตัวแปรต้นสองกลุ่ม และการทดสอบค่าเอฟ ด้วยวิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โดยรวมประชาชนมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำของผู้นำท้องที่ในการให้บริการประชาชนเขตตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมาก ประชาชนที่เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ แตกต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่านมีรายได้แตกต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกัน และควรอำนวยความสะดวกข้อราชการและกิจกรรมชุมชนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ของหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอ หามาตรการป้องกันและบำบัดยาเสพติด ควรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เคารพกฎหมาย จัดทำแผนพัฒนาหมู่บ้านให้ครบคลุม จัดสรรพื้นที่ริมหนองน้ำสาธารณะหมู่บ้านให้ประชาชนเพาะปลูกพืชผักสวนครัว เอาใจใส่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ ควรสร้างกิจกรรมปลูกฝั่งจิตสำนึกรักษาทรัพยากรธรรมชาติแก่ประชาชน ควรฝึกอบรมเตรียมความพร้อมประชาชนรับมือภัยพิบัติต่าง ๆ และควรรณรงค์ให้ประชาชนกำจัดขยะให้ถูกวิธีควรสนับสนุนเด็กเยาวชนในการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ควรจัดหาทุนสนับสนุนปราชญ์ชาวบ้านให้ถ่ายทอดองค์ความรู้แขน่งต่าง ๆ</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/275293 การบริหารงานตามหลักพุทธธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-14T17:13:17+07:00 พระมหาจารึก จิรธมฺโม prajaruea2567@hotmail.com พระมหาวิศิต ธีรวํโส Siradanai1986@gmail.com พระครูปริยัติปัญญาโสภณ Siradanai1986@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชดจังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานตามหลักพุทธธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ วิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 กับประชากรกลุ่มตัวอย่างจํานวน 126 โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดหมู่บ้าน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถาม ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เท่ากับ 0.05 และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีแบบการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ จํานวน 12 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีจํานวน 126 คน ส่วนมากผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิง จำนวน 71 คน คิดเป็นร้อยละ 56.3 และเพศชาย จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 43.7 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ( = 3.48, S.D = 0.524) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269315 ชุมชนชาวพุทธต้นแบบด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: กรณีศึกษาชุมชนบ้านกันตวจระมวล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-20T06:35:26+07:00 พระครูปริยัติกิตติวรรณ pramahaweera@gmail.com พระครูสุตธรรมาภิรัต (สุธมฺมาภิรโต/ยืนยง) pramahaweera@gmail.com พระเสกสรรค์ ฐานยุตฺโต (ศรีทน) pramahaweera@gmail.com พระอธิการอำพน จารุโภ (ดาราศาสตร์) pramahaweera@gmail.com ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม thanarat.mcusr@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาแนวคิดวิถีชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2) ศึกษาชุมชนบ้านกันตวจระมวลด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 3) วิเคราะห์วิถีชีวิตชุมชนชาวพุทธต้นแบบบ้านกันตวจระมวล ด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม นําเสนอเชิงพรรณนาวิเคราะห์ </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า<br />1) แนวคิดวิถีชุมชนสอดคล้องกับระบบธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การที่ทุกคนในครอบครัว ชุมชน มีการศึกษาทำความเข้าใจ เกิดจิตสำนึกตระหนักรับผิดชอบประกอบตนอยู่ในคุณธรรม จริยธรรม มีการตั้งกฎระเบียบ มติประชาคม ข้อตกลง อย่างมีส่วนร่วม เพื่อช่วยการดูแลรักษา ป้องกัน แก้ไข ลดปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกับองค์กร หน่วยงาน ทั้งภาครัฐ เอกชน ในจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงจัดว่าเป็นวิถีชีวิตชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม<br />2) ชุมชนบ้านกันตวจระมวลมีพัฒนาการด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นเพราะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่มีการยกระดับวิสัยทัศน์การพัฒนาเชิงพื้นที่ด้านการความสะอาด และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน เมื่อมีการจัดตั้งเทศบาลตำบลกันตวจระมวล เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2552 ซึ่งมีนโยบายที่ชัดเจน ในการกำหนดโครงการ และกิจกรรมต่อเนื่อง ส่งผลให้บ้านกันตวจระมวลมีความพร้อมทั้งด้านกายภาพ และด้านคนที่มีศักยภาพสูง ชุมชนกันตวจระมวลมีวัฒนธรรมที่ผ่านการเพาะบ่มทัศนคติเชิงบวกเป็นสำคัญ คือทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม กระทั่งได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะด้านการจัดการชุมชนปลอดขยะ<br />3) ชาวบ้านกันตวจระมวลมีวิถีชีวิตแบบธรรมาภิบาล มีการกระจายบทบาทความรับผิดชอบ แบ่งผู้นำเป็น 16 คุ้ม เขียนป้ายคณะกรรมการคุ้ม ป้ายศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญา ป้ายที่พักโฮมสเตย์ แสดงพฤติกรรมที่ประกอบด้วยคุณธรรมหลักธรรม เช่น ร่วมกันตั้งปณิธานทำงานจัดการขยะให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีความเพียรในการประชุมปรึกษาหารือกันในหมู่บ้านต่อเนื่องทุกวันภายใน 1 เดือนแรก จนเกิดประชาคมมีมติเข้าไปช่วยจัดการทำความสะอาดครัวเรือนเป้าหมาย และช่วยจัดระเบียบบ้านเรือน </p> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269111 รูปแบบการพัฒนาวัดที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กรณีศึกษาวัดปราสาททามจาน อำเภอปรางกู่ จังหวัดศรีสะเกษ 2024-12-20T06:36:20+07:00 พระเสกสรรค์ ฐานยุตฺโต (ศรีทน) Seksansriton@gmail.com พระครูปริยัติกิตติวรรณ (กิตฺติวณฺโณ/ได้ทุกทาง) seksansriton@gmail.com พระอธิการอำพน จารุโภ (ดาราศาสตร์) seksansriton@gmail.com พระครูสุตธรรมาภิรัต (สุธมฺมาภิรโต/ยืนยง) seksansriton@gmail.com ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม thanarat.mcusr@gmail.com ฟ้าดล สมบรรณ seksansriton@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนวัดปราสาททามจานที่ยั่งยืน 2) เพื่อศึกษาแนวคิดพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและสร้างภูมิคุ้มกันด้านวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และ 3) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการพัฒนาวัดที่ยังยืนเพื่อส่งเสริมการท่องที่ยวเชิงวัฒธรรมวัดปราสาททามจาน อำเภอปรางกู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มเฉพาะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเนื้อหาประกอบบริบท</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>1. รูปแบบการพัฒนาวัดที่ยังยืนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒธรรม พบว่า รูปแบบการพัฒนาวัดปราสาททามจาน อำเภอปรางกู่นั้นอยู่ในระดับดีมาก เพราะมีโบราณสถานขอมที่มีอายุไม่น้อยกว่า 800 ปี โดยมีการนับถือโบราณสถานที่สืบทอดกันมานับตั่งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ทั้งนี้ เพราะด้านความเหมาะสมทั้งประติมากรรม วิถีชีวิตผู้คนที่เป็นรูปแผนในการพัฒนาวัด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม</li> <li>2. แนวคิดการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและสร้างภูมิคุ้มกันด้านวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนายั่งยืน พบว่า การสร้างความเข้มแข็งภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนผ่านการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้มา ได้แก่ 1) ด้านการวางแผน 2) ด้านการจัดองค์กร 3) ด้านการบริหารงานบุคคล 4) ด้านการอำนวยการ 5) ด้านการกำกับดู เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพในการเติบโตบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น </li> <li>3. วิเคราะห์รูปแบบการพัฒนาที่ยังยืนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมวัดปราสาททามจาน อำเภอปรางกู่ จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า ประวัติศาตร์ความเป็นมาที่สำคัญ ประกอบกับมีสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปะ หรือเป็นโบราณวัตถุ โบราณสถาน ตลอดจนการบริหาร เพื่ออำนวยประโยชน์แก่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ด้านบุคลากร ด้านการส่งเสริมการศึกษา ด้านการเป็นสถานสงเคราะห์ ด้านเป็นที่พักคนเดินทาง ด้านการเป็นสถานที่ไกล่เกลี่ยพิพากษา ด้านการเป็นสถานพยาบาล ด้านวัดเป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม</li> </ol> 2024-12-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์