https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/issue/feed วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ 2025-06-22T18:31:13+07:00 รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ Vanamdr@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์<br />(</strong><strong>Journal of Buddhist Studies Vanam Dongrak) <br /><br />มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ </strong><br />1) เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา <br />2) เพื่อให้บริการวิชาการด้านด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยาแก่สังคม <br />3) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา <br />4) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยสงฆ์สุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์<br />เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยสงฆสุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ รับตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)<br /><br />วารสารกำหนดการเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ได้แก่<br />-ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน (Vol.1: January - June)<br />-ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม (Vol.2: July – December)</p> <p>ขอบเขตของวารสารดังนี้ คือ เป็นวารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา</p> <p>บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับการประเมินคุณภาพของผลงานทางวิชาการ โดยผู้ประเมินซึ่งเป็น<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน </strong><strong>3 ท่าน</strong> ซึ่งพิจารณา<strong>แบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้ประเมิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง (</strong><strong>Double Blind Review)</strong> ทั้งนี้วารสารจะดำเนินงานตามกรอบจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการ (Publication Ethics) อย่างเคร่งครัด</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมและการชำระค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความ<br /></strong><strong>อัตราค่าตีพิมพ์</strong> ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ <strong>จำนวน </strong><strong>3,500 บาท</strong>/บทความ<br /><strong>การชำระค่าธรรมเนียม</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ เจ้าของบทความจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความได้หลังจากได้รับการตอบกลับจากกองบรรณาธิการให้ชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งทางกองบรรณาธิการจักได้แจ้งรายละเอียดช่องทางการชำระแก่เจ้าของบทความได้ทราบทางอีเมล์ของท่าน</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/279489 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการให้บริการสาธารณะของ องค์การบริหารส่วนตำบลตาถูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-14T22:06:47+07:00 พิสิฐพงศ์ บรรลือทรัพย์ pisitpong.b@gmail.com พระปลัดสุระ ญาณธโร sura2479@hotmail.com พระครูปริยัติปัญญาโสภณ pisitpong.b@gmail.com <p>งานวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อเสนอแนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมวิธี โดยกลุ่มตัวอย่างจำนวน 374 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามและ แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์คำให้สัมภาษณ์ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ระดับความคิดเห็น ความคิดเห็นที่มีต่อการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.62, S.D. = 0.821)</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอ เขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า เพศ อายุ รายได้ต่อเดือน ไม่แตกต่างกัน และ การศึกษา แตกต่างกัน</p> <p>3) แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการให้บริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ด้านการวางแผน ควรส่งเสริมความรู้และสร้างความศรัทธาในงานที่ทำ ด้านการปฏิบัติตามแผน จะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นผู้มีจิตอาสาความรักในงาน ความมีใจที่ตั้งมุ่งมั่น ด้านการตรวจสอบ ควรส่งเสริมให้บุคคลกรมีจิตตะเพราะการมีใจที่จดจ่อและความรับผิดชอบจะทำให้เกิดความรอบรู้และรอบคอบ ด้านการปรับปรุง ต้องมีการจัดระเบียบการให้บริการสาธารณะโดยเรียงลำดับตามความสำคัญ ปฏิบัติภารกิจตามแผนงาน</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/274897 การบริหารตามหลักธรรมมาภิบาลแนวพุทธขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-24T21:26:35+07:00 พระสุวรรณบรรพจ มานิโต jato454545@gmail.com พระมหาวิศิต ธีรวํโส jato454545@gmail.com วรภูริ มูลสิน jato454545@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อนำเสนอการบริหารตามหลักธรรมมาภิบาลแนวพุทธ ขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.901 กับประชากรกลุ่มตัวอย่างจํานวน 380 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เท่ากับ 0.05 และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจํานวน 10 รูปหรือคน ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท นำเสนอเป็นความเรียงประกอบตารางแจกแจงความถี่ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) ระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ระดับความคิดเห็นของประชาชน โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.40)</p> <p>2) ประชาชนที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ มีคิดเห็นต่อการบริหารงานไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมุติฐานการวิจัย</p> <p>3) แนวทางการบริหารตามหลักธรรมมาภิบาลแนวพุทธ พบว่า 1) ด้านการพัฒนาเส้นทางคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐาน มีการขยายเขตไฟฟ้าให้แสงสว่างได้อย่างทั่วถึง 2) ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร และการสร้างรายได้ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือให้มีอาชีพที่เหมาะสม สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น 3) ด้านการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต มีการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ 4) ด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าไม้ 5.ด้านการพัฒนาการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี มีการวางเป้าหมายการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชน</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/274909 การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารงานขององค์การบริหาร ส่วนตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-24T21:18:29+07:00 พระกิตติศักดิ์ กิตฺติสกฺโก kitisakmcu@gmail.com พระมหาวิศิต ธีรวํโส Kitisak@mcugmail.com วรภูริ มูลสิน Kitisak@mcugmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อนำเสนอการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ระเบียบวิธีจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจจากการแจกแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.988 ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จํานวน 380 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสําคัญจํานวน 10 รูปหรือคน ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท นำเสนอเป็นความเรียงประกอบตารางแจกแจงความถี่ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( <strong> </strong>= 3.41)</p> <p>2) ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารงาน ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานของการวิจัย</p> <p>3) แนวทางการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมในการบริหารงาน พบว่า มีความปรารถนาดีทางกายวาจาใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่เลือกปฏิบัติแนะนำข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม บริการสาธารณอย่างเหมาะสมทั่วถึง ยึดหลักความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ รับความเห็นต่างมีความเห็นชอบร่วมกัน ร่วมมือพัฒนาท้องถิ่นสร้างชุมชนสงบสุข</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/277276 วิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในประเพณีบุญข้าวประดับดินของชุมชน ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-21T21:37:05+07:00 พระปรีชา ปิยวณฺโณ (ท่อนแก้ว) patchavat.suk@mcu.ac.th พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ patchavat.suk@mcu.ac.th ภัฏชวัชร์ สุขเสน patchavat.suk@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาคติความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบุญข้าวประดับดินในสังคมไทย 2) ศึกษารูปแบบและพิธีกรรมในประเพณีบุญข้าวประดับดินของชุมชนตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 3) วิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ปรากฎในประเพณีบุญข้าวประดับดินของชุมชนตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก มี 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) พระสงฆ์ จำนวน 5 รูป 2) ผู้บริหาร/ผู้นำชุมชน/ผู้นำท้องถิ่น จำนวน 10 คน 3) ปราชญ์ชาวบ้าน/มัคทายก จำนวน 5 คน 4) ประชาชนในพื้นที่ จำนวน 10 คน รวมทั้งหมด 30 รูป/คน แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>คติความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบุญข้าวประดับดินในสังคมไทย บุญข้าวประดับดินเป็นหนึ่งในประเพณีฮีตสิบสอง คองสิบสี่ เป็นประเพณีของชาวอีสานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงคติความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่น และเป็นกุศโลบายให้ชาวพุทธได้ทำบุญกุศลและบริจาคทาน ประเพณีนี้มีปรากฏในชุมชนชาวตำบลขอนแตกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน</p> <p>รูปแบบและพิธีกรรม การทำบุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีหนึ่งในฮีตสิบสอง นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ เปรต หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดิน ได้แก่ ข้าวและอาหารคาวหวาน พร้อมหมากพลู บุหรี่ที่ห่อด้วยใบตอง กล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้ ตามบริเวณกำแพงวัดบ้าง หรือวางไว้ตามพื้นดิน เรียกว่า "ห่อข้าวน้อย" นำภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุ สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายโดยกรวดน้ำไปให้</p> <p>หลักพุทธธรรมที่ปรากฎในประเพณีบุญข้าวประดับดินของชุมชนตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ คือ 1) บุญกิริยาวัตถุ 3 ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา 2) หลักสามัคคีธรรม 3) หลักทิศ 6 และ 4) หลักปุพพเปตพลี และควรมีการอนุรักษ์สืบสานประเพณีบุญข้าวประดับดินเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/277275 วิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในประเพณีการทำบุญร่วมมิตรของชาวพุทธ ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-21T21:41:02+07:00 พระสุพรรณ์ กิตฺติคุตฺโต (ชฎาแก้ว) patchavat.suk@mcu.ac.th ภัฏชวัชร์ สุขเสน patchavat.suk@mcu.ac.th พระปลัดกิตติ ยุตฺติธโร patchavat.suk@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาบริบทชุมชนชาวพุทธตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2) ศึกษารูปแบบและพิธีกรรมของประเพณีการทำบุญร่วมมิตรของชาวพุทธตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 3) วิเคราะห์หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในประเพณีการทำบุญร่วมมิตรของชาวพุทธตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งประกอบด้วยสองส่วนคือ ภาคเอกสารโดยวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก จานวน 35 รูป/คน แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p> บริบทชุมชนชาวพุทธตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ตำบลขอนแตก ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2514 โดยมีนายแหม แหมทอง และญาติพี่น้องอพยพมาจากนครจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ต่อมาภายหลังมีนายเทียม มณีรัตน์ เป็นกำนันคนแรก ใช้ภาษาส่วยในการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่จนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมประเพณีความเชื่อ ได้แก่ ประเพณีบุญข้าวจี่ ประเพณีบุญผะเหวด และประเพณีการทำบุญร่วมมิตร</p> <p> รูปแบบและพิธีกรรม การทำบุญร่วมมิตรเป็นประเพณีการทำบุญของชุมชนชาวกูยตำบลขอนแตก เพื่อสืบสานวัฒนธรรมการทำบุญของชุมชนชาวกูยที่มีมานานมากกว่า 30 ปี จัดเป็นทานพิธีอย่างหนึ่ง ลำดับขั้นตอนของศาสนพิธี คือ การเตรียมสถานที่ การเตรียมอุปกรณ์ การเตรียมบุคลากร และการเตรียมกำหนดการ ส่วนองค์ประกอบของประเพณีการทำบุญร่วมมิตร มี 4 อย่างคือ พิธีกรรม พิธีการ พิธีกร และกิจกรรมขับร้องทำนองสรภัญญะ</p> <p>หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในประเพณีการทำบุญร่วมมิตร คือ 1) บุญกิริยาวัตถุ 3 ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา 2) หลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา 3) หลักสามัคคีธรรม ส่วนหลักพุทธธรรมอื่นๆ ได้แก่ หลักสาราณียธรรม 6 ได้แก่ 1) สามัคคีทางกาย คือ ให้ความช่วยเหลือแรงกายต่อกัน (เมตตากายกรรม) 2) สามัคคีทางการพูด คือ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อกัน (เมตตาวจิกรรม) 3) สามัคคีทางมโนธรรม คือ ตั้งความปรารถนาดีไว้ในใจตนต่อชุมชน (เมตตามโนกรรม) 4) จัดสรรผลประโยชน์ที่ได้ให้เป็นธรรมต่อสมาชิกในชุมชน(สาธารณโภคี) 5) ร่วมกันทำงานอย่างมีระเบียบวินัยไม่ขัดแย้งกันทางกาย วาจา (สีลสามัญญตา) 6) มีความเห็นร่วมกันทำงานโดยไม่ขัดแย้งด้านความคิดเห็น (ทิฏฐิสามัญญตา) และมีการอนุรักษ์สืบสานประเพณีการทำบุญร่วมมิตรของชาวพุทธตำบลขอนแตกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ทร์ ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ตำบลขอนแตก ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2514 โดยมีนายแหม แหมทอง และญาติพี่น้องอพยพมาจากนครจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ต่อมาภายหลังมีนายเทียม มณีรัตน์ เป็นกำนันคนแรก ใช้ภาษาส่วยในการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่จนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมประเพณีความเชื่อ ได้แก่ ประเพณีบุญข้าวจี่ ประเพณีบุญผะเหวด และประเพณีการทำบุญร่วมมิตร</span></p> <p> รูปแบบและพิธีกรรม การทำบุญร่วมมิตรเป็นประเพณีการทำบุญของชุมชนชาวกูยตำบลขอนแตก เพื่อสืบสานวัฒนธรรมการทำบุญของชุมชนชาวกูยที่มีมานานมากกว่า 30 ปี จัดเป็นทานพิธีอย่างหนึ่ง ลำดับขั้นตอนของศาสนพิธี คือ การเตรียมสถานที่ การเตรียมอุปกรณ์ การเตรียมบุคลากร และการเตรียมกำหนดการ ส่วนองค์ประกอบของประเพณีการทำบุญร่วมมิตร มี 4 อย่างคือ พิธีกรรม พิธีการ พิธีกร และกิจกรรมขับร้องทำนองสรภัญญะ</p> <p>หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในประเพณีการทำบุญร่วมมิตร คือ 1) บุญกิริยาวัตถุ 3 ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา 2) หลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา 3) หลักสามัคคีธรรม ส่วนหลักพุทธธรรมอื่นๆ ได้แก่ หลักสาราณียธรรม 6 ได้แก่ 1) สามัคคีทางกาย คือ ให้ความช่วยเหลือแรงกายต่อกัน (เมตตากายกรรม) 2) สามัคคีทางการพูด คือ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อกัน(เมตตาวจิกรรม) 3) สามัคคีทางมโนธรรม คือ ตั้งความปรารถนาดีไว้ในใจตนต่อชุมชน(เมตตามโนกรรม) 4) จัดสรรผลประโยชน์ที่ได้ให้เป็นธรรมต่อสมาชิกในชุมชน(สาธารณโภคี) 5) ร่วมกันทำงานอย่างมีระเบียบวินัยไม่ขัดแย้งกันทางกาย วาจา(สีลสามัญญตา) 6) มีความเห็นร่วมกันทำงานโดยไม่ขัดแย้งด้านความคิดเห็น(ทิฏฐิสามัญญตา) และมีการอนุรักษ์สืบสานประเพณีการทำบุญร่วมมิตรของชาวพุทธตำบลขอนแตกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/277260 แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธธรรมของพระสังฆาธิการ ในเขตอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-21T21:48:34+07:00 พระครูสังฆรักษ์เสรี อภินนฺโท (พินิจ) patchavat.suk@mcu.ac.th พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ patchavat.suk@mcu.ac.th ภัฏชวัชร์ สุขเสน patchavat.suk@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพุทธธรรม 2) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการในเขตอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 3) ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งประกอบด้วยสองส่วนคือ ภาคเอกสารโดยวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก จานวน 25 คน แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>ภาวะผู้นำตามแนวพุทธธรรม คือผู้นำที่ปฏิบัติตามหลักหลักสัปปุริสธรรม 7 ได้แก่ 1) ธัมมัญญุตา คือ รู้จักเหตุ 2) อัตถัญญุตา คือ รู้จักผล 3) อัตตัญญุตา คือ รู้ตน 4) มัตตัญญุตา คือ รู้จักประมาณ 5) กาลัญญุตา คือ รู้จักเวลา 6) ปริสัญญุตา คือ รู้ชุมชน รู้ 7) ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ รู้จักบุคคลสภาพภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการ พระสังฆาธิการส่วนมากขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก เพราะขาดความรู้พื้นฐานกับหลักการบริหารงานกิจการของคณะสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม</p> <p>แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำตามแนวพุทธธรรมของพระสังฆาธิการควรพัฒนาตามหลัก สัปปุริสธรรม 7 คือ 1) ด้านธัมมัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนาพระสังฆาธิการในเรื่องหลักเกณฑ์ ระเบียบวิธีการปกครองของคณะสงฆ์ไทย 2) ด้านอัตถัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พระสังฆาธิการให้เข้าใจในหลักธรรม อริยสัจ 4 และสอนให้รู้จัก ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว 3) ด้านอัตตัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พระสังฆาธิการ ให้เข้าใจในตนเอง 4) ด้านมัตตัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พระสังฆาธิการให้เข้าใจเรื่อง มัชฌิมปฏิปทา ทางสายกลาง คือวางตนให้พอดี ต้องรู้จักประมาณตนเอง 5) ด้านกาลัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พระสังฆาธิการให้เข้าใจในระเบียบ กฎ กติกา มารยาททางสังคม และธรรมเนียมปฏิบัติ 6) ด้านปริสัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พัฒนาพระสังฆาธิการให้รู้จัก สังคมส่วนรวม 7) ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา ควรมีการอบรม สัมมนา พระสังฆาธิการให้เข้าใจตนเองให้มาก เมื่อเข้าใจตนเองดีแล้ว ย่อมจะเข้าใจผู้อื่นดีด้วย</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/270776 การปรับตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ของกลุ่มวิสาหกิจหมอนฟักทอง บ้านลาดพัฒนา ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม 2024-12-19T10:00:29+07:00 จุฬาลักษณ์ ซ้ายสนาม phukrongpet789@gmail.com พิมพ์พร ภูครองเพชร pimporn.p@msu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวของกลุ่มวิสาหกิจหมอนฟักทอง บ้านลาดพัฒนา ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม อภิปรายกลุ่ม และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวมทั้งสิ้น 26 คน ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เหรัญญิก เลขานุการ สมาชิกกลุ่มและกลุ่มลูกค้า คุณสมบัติเป็นผู้มีประสบการณ์ในการดำเนินงานตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่ม มีความรู้ความเข้าใจและนำความรู้มาใช้กับคนในกลุ่ม ดำเนินการเลือกแบบเจาะจงการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำมาจำแนกข้อมูลจัดเป็นหมวดหมู่ตามประเด็นหัวข้อการศึกษาวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอแบบพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <p>การปรับตัวของกลุ่มวิสาหกิจหมอนฟักทอง บ้านลาดพัฒนา ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สถานการณ์โควิด โดยมีการปรับตัว 4 ด้าน ได้แก่ การปรับตัวด้านร่างกาย มีการดูแลด้านสุขภาพและรักษาความสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ การปรับตัวทางการตลาด กลุ่มวิสาหกิจก็ได้ปรับรูปแบบการตลาดในหลายๆ ช่องทาง เพื่อให้กลุ่มกลับมาตีตลาดอีกครั้ง มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายและการตลาด การจัดทำแผ่นผับ ลด แลก แจก แถม การออกบูทโชว์ผลิตภัณฑ์ ต่างๆ ในหน่วยงานรัฐ และงานเอกชน ที่มีการจัดขึ้น การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ การปรับบทบาทหน้าที่เล็กน้อย ตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม ในการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย และการปรับตัวด้านการผลิต มีการปรับการผลิตมาขึ้น เนื่องจาก มีกลุ่มลูกค้ากลับมาให้ความสนใจ ในผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ขอกลุ่มวิสาหกิจเหมือนเดิมจากการ ประชาสัมพันธ์ใน Facebook Line และการบอกปากต่อปาก</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/273965 แนวทางการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 2025-01-15T12:43:41+07:00 นนธวัฒ อัครกตัญญู wonder.marx10@gmail.com เกษม แสงนนท์ edamcu@mcu.ac.th วิเศษ ชิณวงศ์ wiset17@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 2) ศึกษาวิธีการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ใช้การวิจัยแบบผสมวิธี โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 132 คน ในปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างตามสัดส่วน และใช้แบบสัมภาษณ์เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ 7 รูป/คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) สภาพการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ภาพรวม 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <p>2) วิธีการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ได้แก่ ผู้บริหารจัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักการสร้างแรงจูงใจ การจัดอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ และการกำหนดนโยบายของโรงเรียน </p> <p>3) แนวทางการบริหารงานด้านวิชาการในยุคดิจิทัลตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการสร้างข้อตกลงร่วมกันในการปฏิบัติตามนโยบายของสถานศึกษา ควรจัดให้มีการอบรมพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษา และควรจัดทำรายงานการใช้สื่อนวัตกรรม</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/277268 แนวทางส่งเสริมชุมชนสันติสุขด้วยหลักพุทธธรรม ในตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-21T21:44:31+07:00 พระสมหมาย กตปุญฺโญ (วิเศษชาติ) patchavat.suk@mcu.ac.th พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ patchavat.suk@mcu.ac.th พระครูศรีปรีชากร patchavat.suk@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษาสภาพชุมชนตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2) ศึกษาแนวคิดเรื่องชุมชนสันติสุขตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท 3) เสนอแนวทางส่งเสริมชุมชนสันติสุขในตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มพระสงฆ์ จำนวน 5 รูป 2) กลุ่มผู้บริหารภาครัฐ/ผู้นำท้องถิ่น จำนวน 5 คน 3) กลุ่มปราชญ์ชาวบ้าน/นักวิชาการ จำนวน 5 คน 4) ประชาชนในพื้นที่ จำนวน 10 คน รวมเป็น 25 รูป/คน แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p> สภาพชุมชนตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ในอดีต ตำบลขอนแตกอยู่ในการปกครองของตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ จนถึงปี พ.ศ. 2514 ได้แยกการปกครองเป็นตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ผู้ก่อตั้ง คือ นายเทียม มณีรัตน์ ผู้เป็นกำนันคนแรก สื่อสารด้วยภาษาส่วยอันเป็นภาษาถิ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้</p> <p> แนวคิดเรื่องชุมชนสันติสุขตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท สันติสุข หมายถึง ความสุขที่มีลักษณะแห่งความเงียบ ความสะดวก ความเย็นใจ สุขมี 2 อย่าง คือ 1) สุขทางกาย 2) สุขทางใจ หลักพุทธธรรมสำหรับสร้างสังคมสันติสุข ได้แก่ 1) สาราณียธรรม 6 2) ศีล 5 3) สังคหวัตถุ 4 ส่วนหลักพุทธธรรมอื่นที่มีส่วนในการสร้างสังคมสันติสุข ได้แก่ 1) พรหมวิหาร 2) สามัคคีธรรม 3) มัชฌิมาปฏิปทา</p> <p> แนวทางส่งเสริมชุมชนสันติสุขด้วยหลักพุทธธรรมในตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ชุมชนตำบลขอนแตก ชุมชนมีการบูรณาการหลักพุทธธรรมมีสาราณียธรรม 6 ศีล 5 ในการดำเนินชีวิตเพื่อส่งเสริมชุมชนให้เกิดสันติสุขตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269426 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในอำเภอโขงเจียม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 2024-12-09T21:35:27+07:00 วรัญญา ทองล้วน noonwnttt@gmail.com สุรางคนา มัณยานนท์ noonwnttt@gmail.com สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ noonwnttt@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในอำเภอโขงเจียม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 130 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 97.69 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อ (r) ระหว่าง .49 - .72 และ .47 - .82 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 และ .97 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p> </p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า</strong></p> <ol> <li>ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ รองลงมา คือ ด้านความเป็นเลิศในการปฏิบัติอย่างมืออาชีพ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล</li> <li>แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านลักษณะของงาน รองลงมา คือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้บังคับบัญชากับเรา เรากับเพื่อนร่วมงาน และเรากับผู้ใต้บังคับบัญชา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการยอมรับ</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยรวม มีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อยู่ในระดับมาก</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/268653 การจัดการเรียนรู้ เรื่องปราสาทศีขรภูมิ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ 2024-12-19T06:18:08+07:00 ชลธิชา ไหมทอง anantasak.444@gmail.com อิทธิวัตร ศรีสมบัติ 64054000304@srru.ac.th สิริพัฒถ์ ลาภจิตร 64054000304@srru.ac.th <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติและความเป็นมาปราสาทศีขรภูมิ ตำบล<br />ระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อพัฒนาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ปราสาทศีขรภูมิ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 7 คน และกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน<br />ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขวาวใหญ่วิทยา จำนวน 12 คน โดยเลือกแบบเจาะจง ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยศึกษาจากเอกสาร หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ก่อน-หลังเรียน) แบบวัดความสามารถในการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูล <br />โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า </strong></p> <p>1) ประวัติและความเป็นมาปราสาทศีขรภูมิ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ปราสาทศีขรภูมิถูกสร้างขึ้นเป็นเทวลัยสถานตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูในลัทธิไศวนิกาย ต่อมาได้มีการบูรณะปราสาทขึ้น เป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน สันนิษฐานว่า ปราสาทต้องมีการบูรณะในช่วงพ.ศ.2302 เป็นต้นมา ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นปราสาท 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง ลักษณะทางศิลปกรรม ตรงกับศิลปะแบบนครวัด สมัยเมืองพระนคร</p> <p>2) ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ปราสาทศีขรภูมิ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการสอนโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความสามารถในการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในระดับดีมาก</p> <p>3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้แหล่งเรียนรู้ปราสาทศีขรภูมิ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดเท่ากับ 4.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 คิดเป็นร้อยละ 83.90</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/268651 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง วัฒนธรรมไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-12-19T06:19:34+07:00 ดารา เอียน anantasak.444@gmail.com อิทธิวัตร ศรีสมบัติ 64054000304@srru.ac.th สิริพัฒถ์ ลาภจิตร 64054000304@srru.ac.th <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาองค์ความรู้ เรื่อง วัฒนธรรมไทย 2) พัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง วัฒนธรรมไทย 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่อง วัฒนธรรมไทย 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่อง วัฒนธรรมไทย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนสุรินทร์ศึกษา จำนวน 43 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 19 คน การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ บทเรียนออนไลน์ เรื่องวัฒนธรรมไทย แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 5 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสำรวจความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คะแนนที่ได้มาจากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หาประสิทธิภาพโดยใช้เกณฑ์ E1/E2 (80/80) คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า </strong></p> <p>การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง วัฒนธรรมไทย ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.15/91.84 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังใช้ชุดการสอนและการสอนแบบร่วมมือสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจในเรียน อยู่ในระดับมาก </p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/268650 บายศรีในพิธีกรรมมะม๊วดชาวไทยเชื้อสายเขมร จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-12-19T06:20:24+07:00 พระศรัณย์ สุนฺทโร (ปานะโปย) anantasak.444@gmail.com อิทธิวัต ศรีสมบัติ Sarun2007@gmail.com ธงไชย สุขแสวง Sarun2007@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบขั้นตอนพิธีกรรมมะม๊วดชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาองค์ความรู้ที่ปรากฏจากสัญลักษณ์ในบายศรีพิธีกรรมมะม๊วดชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดบุรีรัมย์และ 3) เพื่อบูรณาการการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเอกสาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า <br />1.องค์ประกอบขั้นตอนพิธีกรรมมะม๊วดชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดบุรีรัมย์พบว่าขั้นเตรียม การห่อข้าวต้มข้าวต้มกรวย การทำขนมฝักบัว ขนมนางเล็ดการเย็บกรวยชนิดต่างๆ การจัดหากล้วยการจัดหาเครื่องสังเวย หัวหมู การจัดเตรียมเครื่องดนตรี การจัดหาสุราขั้นตอนประกอบพิธีกรรม เซ่นเพื่อไหว้บอกกล่าวดวงวิญญาณครูประจำตัวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งให้มาร่วมช่วยดูแลรักษาผู้ป่วยในปรัมพิธี และขั้นเสร็จพิธีมีการผูกแขนและตักบาตรบนจานที่เตรียมไว้</p> <p>2.องค์ความรู้ที่ปรากฏจากสัญลักษณ์ในบายศรีพิธีกรรมมะม๊วดชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ปรากฏการผ่านตัวพานบายศรีพบว่าบายศรี 3 ชั้น เปรียบด้วย สุจริต 3 เพราะมีความเชื่อดั้งในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ว่า สุจริต คือ ความประพฤติดี ประพฤติชอบ บายศรี 5 ชั้น เปรียบด้วยศีล 5 ข้อ เรียกว่า เบญจศีล คือความประพฤติชอบทางกายและวาจา การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย บายศรี 7 ชั้น เปรียบด้วย อริยทรัพย์ 7 ทําให้ชาวบ้านโคกขมิ้นทั้งสองอำเภอ และผู้ประกอบพิธีกรรม เกิดความรู้ความเข้าใจถึงหลักธรรมและภูมิปัญญาชาวบ้าน บายศรี 9 ชั้น ชั้น ด้วย พุทธคุณ 9</p> <ol start="3"> <li>บูรณาการการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมพบว่า เป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถถอดองค์ความรู้ทางปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนโดยแยกออกเป็นสองประเภทได้แก่ การถ่ายทอดหัตถกรรมและการถ่ายทอดด้านพิธีกรรมและศาสนา</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/272118 ผลการใช้โปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตซอล 2025-01-28T13:46:37+07:00 ธนกร แสงสุกวาว theaonza55@hotmail.com เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม theaonza55@hotmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตซอล ก่อนฝึกและหลังฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักกีฬาฟุตซอลต่อการใช้โปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักกีฬาฟุตซอลของโรงเรียนอนุบาลบ้านเหนือเขมราฐ โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการฝึกการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว 2) แบบทดสอบความสามารถทางด้านความคล่องแคล่วว่องไว Agility Run Test รูปแบบ Illinois Agility Run Test และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักกีฬาฟุตซอลต่อการใช้โปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Dependent Samples)</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลการเปรียบเทียบความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตซอลหลังฝึกสูงกว่าก่อนฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง อย่างมีนัยสำคัญสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจของนักกีฬาฟุตซอลต่อการใช้โปรแกรมการฝึกทักษะการวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดยรวมและหัวข้อ อยู่ในระดับดีมาก</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269472 การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค Team games tournament (TGT) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2024-12-09T21:32:25+07:00 นฤมล หมูนคำ naruemon.8369@gmail.com สมร ทวีบุญ naruemon.8369@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค Team Games Tournament (TGT) ตามเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการอ่านและเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค Team Games Tournament (TGT) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 แผนการเรียนศิลป์-ภาษาญี่ปุ่น โรงเรียนสิรินธรวิทยานุสรณ์ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 22 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบการอ่านและเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ4) แบบประเมินความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test (Dependent Samples)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค Team Games Tournament (TGT) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 85.02 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 12.01 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค Team Games Tournament (TGT) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/273961 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 และแนวทางพัฒนาตามหลักทุติยปาปณิกสูตร ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 จังหวัดสุรินทร์ 2024-12-24T22:30:51+07:00 วิภาพร ทวีศักดิ์ wipapron2102@gmail.com ธนู ศรีทอง Wipapron2102@gmail.com สถาพร ภาคพรม Wipapron2102@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการ<br />ศีขรภูมิ 2 จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง ขนาดสถานศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน และ 3) เสนอแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ตามหลักทุติยปาปณิกสูตร ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 157 คน และแบบสัมภาษณ์ มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/ คน สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ การทดสอบค่าที การทดสอบค่าความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.29, S.D.=0.51, t=18.90)</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนในเครือข่ายบริหารสถานศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 จำแนกตามเพศ (t=0.42, sig.=0.61) ตำแหน่ง (t=1.82, sig.=0.07) ขนาดสถานศึกษา (t=1.30=, sig.= 0.20) และประสบการณ์ในการทำงาน (t=1.13, sig.=0.32) ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่าเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะแตกต่างกัน</p> <p>3) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ตามหลัก<br />ทุติยปาปณิกสูตร คือ การอบรม ศึกษาดูงาน และกำหนดนโยบายให้ปฏิบัติงานใช้โดยนำเทคโนโลยี ประยุกต์กับจักขุมา การส่งเสริมให้มีการพัฒนาตนเอง และสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยี ประยุกต์กับ วิธูโร และการกำกับ ติดตาม สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ประยุกต์กับ นิสสยสัมปันโน</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269349 การบริหารงานบุคคลโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในจังหวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2024-12-09T21:42:44+07:00 รัตนาพร นีระมนต์ maikukkik_11@hotmail.com สุรางคนา มัณยานนท์ Maikukkik_11@hotmail.com สุรศักดิ์ หลาบมาลา Maikukkik_11@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคล และข้อเสนอแนะแนวทาง การพัฒนาการบริหารงานบุคคลโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ในจังหวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 23 คน ครูผู้สอน จำนวน 179 คน รวมจำนวน 202 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 198 คน คิดเป็นร้อยละ 98.02 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และข้อคำถามปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า</strong></p> <ol> <li>การบริหารงานบุคคลโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ในจังหวัดอุบลราชธานีสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวางแผนกำลังคน สรรหา และคัดเลือก รองลงมา คือ ด้านการบรรจุ แต่งตั้ง และระบบทะเบียนบุคคล ด้านการประเมินการพัฒนาบุคคลและงานวินัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสวัสดิการและกองทุนบุคลากร ตามลำดับ</li> <li>ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคล มีประเด็นสำคัญที่ควรพัฒนา ดังนี้ 1) ด้านการวางแผนกำลังคน สรรหา และคัดเลือก ผู้บริหารควรแก้ไขกฎหมายด้านการบริหารงานบุคคล เพื่อให้องค์การมีอิสระในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2) ด้านการบรรจุ แต่งตั้ง และระบบทะเบียนบุคคล ผู้บริหารควรกำหนดนโยบายการบรรจุ แต่งตั้ง และระบบทะเบียนบุคคล เพื่อประเมินผลการบรรจุแต่งตั้งตามระเบียบของโรงเรียนเอกชน 3) ด้านการประเมินการพัฒนาบุคคลและงานวินัย ผู้บริหารควรสนับสนุนให้ครู และบุคลากรในโรงเรียน นำสื่อและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการทำงาน เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนเกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล และ 4) ด้านการสวัสดิการและกองทุนบุคลากร ผู้บริหารควรตระหนัก และให้ความสำคัญในเรื่องกระบวนการอัตราค่าตอบแทน กระบวนการรักษาความปลอดภัย และรักษาสุขภาพอนามัยและกระบวนการดำเนินงานเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่าง ๆ ของบุคลากรผู้เข้ามาเป็นสมาชิกในองค์การ</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269292 การพัฒนาทักษะการขายผลิตภัณฑ์เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 2024-12-14T22:46:50+07:00 ปัญจลักษณ์ ใหญ่ผา pensri.k@dtec.ac.th สมร ทวีบุญ panjalak@dtec.ac.th <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพการพัฒนาทักษะการขายผลิตภัณฑ์ เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาทักษะการขายผลิตภัณฑ์ เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.80 และแบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าดัชนีความสอดคล้องทั้งฉบับเท่ากับ 0.77 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติ t (t-test Dependent)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลการหาประสิทธิภาพการพัฒนาทักษะการขายผลิตภัณฑ์ เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีประสิทธิภาพ E<sub>1/</sub>E<sub>2</sub> (82.17/86.96) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (80/80)</li> <li>ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 26.08 คิดเป็นร้อยละ 86.95 ก่อนเรียนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 20.04 คิดเป็นร้อยละ 66.81 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาทักษะการขายผลิตภัณฑ์ เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน โดยรวมและรายด้าน ตามความเห็นของผู้เรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.24, S.D. =0.19) รายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยสามลำดับแรกคือ ด้านบทบาทผู้เรียน ( = 4.29, S.D. =0.38) ด้านบทบาทครูผู้สอน ( = 4.27, S.D. =0.27) และด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( = 4.16, S.D. =0.28)</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/272283 ผลการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ ประกอบแบบฝึกทักษะวิชาฟุตบอล หน่วย การส่งลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านในของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2025-01-23T09:13:55+07:00 ธนเดช มุทาลัย m6253061@rtu.ac.th เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม tanakonbank12345@gmail.com <p><strong> </strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ ประกอบแบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลบ้านเหนือเขมราฐ ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะ 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินทักษะปฏิบัติและ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบแบบ t-test Dependent Samples ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ ประกอบแผนแบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับ 82/88.35 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/276643 การศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ด้านการอ่านภาษาไทย จากวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตในประเทศไทย 2025-01-25T14:26:13+07:00 สถาพร ปุ่มเป้า sathaporn@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้านการอ่านภาษาไทย จากวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ช่วงปี พ.ศ. 2557 – 2566 สืบค้นด้วยระบบฐานข้อมูลงานวิจัย ThaiLIS โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง สรุปข้อมูลบันทึกลงในตารางที่สร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ นำเสนอผลด้วยการสรุปแบบเรียบเรียงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า งานวิจัยระดับดุษฎีบัณฑิตที่นำแนวคิดทฤษฎีมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ด้านการอ่านภาษาไทย มีจำนวน 7 เรื่อง จากมหาวิทยาลัยจำนวน 4 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 เรื่อง มหาวิทยาลัยศิลปากร 2 เรื่อง มหาวิทยาลัยนเรศวร 2 เรื่อง และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1 เรื่อง งานวิจัยทั้งหมด 7 เรื่อง ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้เรียน 2 ระดับชั้น ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 2 เรื่อง และระดับปริญญาตรี จำนวน 5 เรื่อง แนวคิดทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการอ่าน ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอนด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ จำนวน 6 แนวคิดทฤษฎี และ 2) รูปแบบการเรียนการสอนด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ จำนวน 13 แนวคิดทฤษฎี รูปแบบการเรียนการสอนเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269808 การบริหารงานตามหลักพุทธธรรมาภิบาลขององค์การบริหาร ส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ 2025-01-28T13:51:19+07:00 พระมหามานะ ปิยภาณี manasaisorn007@gmail.com พระมหาวิศิต ธีรวํโส manasaisorn007@gmail.com วรภูริ มูลสิน manasaisorn007@gmail.com วัลลภ สุรทศ manasaisorn007@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารงานตามหลักอปริหานิยธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ จากการแจกแบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป/คน และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท นำเสนอเป็นความเรียงประกอบตารางแจกแจงความถี่ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เพื่อสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 378 คน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>ระดับการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ พบว่า โดยภาพรวมอยูในระดับมาก</p> <p>จากการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย จำแนกตามเพศ และรายได้ต่อเดือน พบว่าไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย เมื่อจำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ พบว่า แตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย</p> <p>แนวทางการบริหารงานตามหลักอปริหานิยธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ พบว่า 1) ด้านการประชุมเป็นนิตย์ องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรหมั่นประชุมกันเป็นประจำสม่ำเสมอ 2) ด้านการพร้อมเพียงกันประชุม องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรมีพร้อมเพรียงกันประชุม ควรออกกฎเกณฑ์ข้อบังคับสำหรับการเข้าประชุมอย่างชัดเจน 3) ด้านการไม่บัญญัติหรือไม่ล้มเลิกข้อบัญญัติ องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบ ข้อบังคับ ข้อบัญญัติ หรือความเป็นมาที่องค์การบริหารส่วนตำบลได้ยึดถือปฏิบัติอยู่ 4) ด้านการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาองค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรมีการทบทวนพัฒนาด้านจริยธรรม คุณธรรม เพื่อเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีระหว่างกันให้เกิดขึ้น 5) ด้านการให้เกียรติและคุ้มครองสิทธิสตรี องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรจัดสรรสิทธิประโยชน์ ตำแหน่งงานต่าง ๆ ภายในองค์กรอย่างทัดเทียมทั่วถึง 5) ด้านการส่งเสริม และรักษาวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ควรริเริ่มเพิ่มเติมถึงการให้ความเคารพสักการะ นับถือ บูชาเจติยสถาน โบราณสถานของชุมชน โดยการส่งเสริมและรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น 7) ด้านการอารักขา บำรุง คุ้มครอง ปกป้อง อันชอบธรรม องค์การบริหารส่วนตำบลตะเปียงเตีย ควรตระหนักเป็นอย่างยิ่งในการจัดการให้ความอารักขา บำรุง คุ้มครอง อันชอบธรรม แก่บรรพชิต ผู้ทรงศีลทรงธรรมอันบริสุทธิ์</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/278588 การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษโดยการจัดการเรียนรู้ เทคนิค SQ6R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-12-23T07:07:35+07:00 ฐิติรัตน์ ประสาทศรี aonthiti99@gmail.com ศันสนีย์ บุญเฉลียว aonthiti99@gmail.com เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม aonthiti99@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R สำหรับการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมเด็จ นักเรียน 30 คน ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เลือกโดยใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ แบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้เทคนิค SQ6R สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบ Dependent Samples</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ</li> </ol> <p>เท่ากับ 89.29/84.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณ์ 80/80 ที่กำหนดไว้</p> <ol start="2"> <li>การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เทคนิค SQ6R ภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด (x ̅=4.89, S.D = 0.15)</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/281059 การพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1โดยใช้กระบวนการจิตศึกษา 2025-03-13T15:32:42+07:00 เพ็ญวิไล หุ่นทอง Kraisin1986@gmail.com สิริพัฒถ์ ลาภจิตร Hoonthong.p@gmail.com ประทวน วันนิจ Hoonthong.p@gmail.com สุวัฒน์ อุ่นทานนท์ Hoonthong.p@gmail.com <p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อสำรวจและศึกษาสภาพปัญหาเชิงพฤติกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนบ้านบัวขุนจง (กรป.กลางอุปถัมภ์) 2) เพื่อพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กระบวนการจิตศึกษา 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของการพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กระบวนการจิตศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบัวขุนจง (กรป.กลางอุปถัมภ์) จำนวน 12 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบศึกษาสภาพปัญหาเชิงพฤติกรรมรายบุคคล 2) แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมิน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>ผลการศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบัวขุนจง (กรป.กลางอุปถัมภ์) ผู้ศึกษาสรุปได้ว่าพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบัวขุนจง(กรป.กลางอุปถัมภ์) ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบให้การเรียนไม่บรรลุเป้าหมาย ได้แก่ ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ไม่สามารถเสนอแนวทางการแก้ปัญหาอย่างง่ายได้ ไม่มีสมาธิ ไม่จดจ่อและไม่ใส่ใจ มีการโทษเพื่อนเมื่อเกิดปัญหาไม่เก็บอุปกรณ์ของส่วนรวมให้ถูกที่</li> <li>จากการศึกษาผลการประเมินคุณภาพแฟ้มสะสมผลงานนักเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับที่ ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.56 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.20 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความครบถ้วนขององค์ประกอบแฟ้มสะสมผลงาน อยู่ในระดับที่ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.25 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.87 ด้านการจัดเรียงเนื้อหาสอดคล้องกับความต้องการของกิจกรรม อยู่ในระดับที่ ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.50 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.67 ด้านการพัฒนาผลงานของนักเรียน อยู่ในระดับ ที่ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.83 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.39 และด้านความตั้งใจในการทำผลงาน นักเรียน อยู่ในระดับ ที่ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.67 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.20</li> <li>จากการศึกษาผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรมโดยใช้กิจกรรมจิตศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านครูผู้สอน ในภาพรวมอยู่ในระดับที่ ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.12 ด้านเนื้อหา ในภาพรวมอยู่ในระดับที่ ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.72 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.06 และด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับที่ดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.12</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/272602 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการบริหารการศึกษาของโรงเรียน คำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ศรีสะเกษ ยโสธร 2025-01-21T18:07:46+07:00 ศิรินันท์ สีสรรค์ sirinan37598@gmail.com สุรางคนา มัณยานนท์ sirinan37598@gmail.com <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบ และแนวทางการพัฒนาความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร จําแนกตามอายุ ระดับการศึกษาและอาชีพของผู้ปกครองนักเรียน กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง 327 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) ตามสัดส่วนของผู้ปกครองในแต่ละระดับชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .21 - .79 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เปรียบเทียบรายคู่โดยใช้เทคนิคของเชฟเฟ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ปกครองนักเรียนมีความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารวิชาการ ด้านการบริหารทั่วไป ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงบประมาณ ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ จำแนกตามอายุของผู้ปกครองโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามระดับการศึกษาของผู้ปกครองโดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อจำแนกตามอาชีพของผู้ปกครอง โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาของโรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ ลำดับความถี่ สูงสุดของแต่ละด้าน คือ โรงเรียนควรเพิ่มการจัดการเรียนด้านการใช้สื่อและเทคโนโลยีในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองให้สามารถขยายเครือข่ายความรู้สู่ชุมชนได้ โรงเรียนควรมีการรายงานการใช้งบประมาณประจำปีอย่างเปิดเผยและโปร่งใส ครูควรติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอเพื่อแก้ปัญหานักเรียนรายบุคคล และการจัดบรรยากาศโรงเรียนที่ร่มรื่น มีความปลอดภัยต่อนักเรียน</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/272032 ผลการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2025-01-23T07:52:20+07:00 ธีรวัฒน์ ลอดภัย m6253067@rtu.ac.th เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม Theerawat.lm29@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาผลการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมของนักเรียน ป.3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติทางทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมของนักเรียน ป.3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนและ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ป.3 โรงเรียนอนุบาลบ้านเหนือเขมราฐ จำนวน 28 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย พบว่า</strong></p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ทักษะปฏิบัติทางทัศนศิลป์ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05</li> <li>นักเรียนมีความพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/278183 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัค ติวิสต์และแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2024-12-23T16:48:45+07:00 สมฤทัย มงคล somruthaimongkonkeet2521@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยใช้วิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มี 4 ขั้นตอน กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเสรียง อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 17 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t - test)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน พบว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ ครูมีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสอนแบบบรรยายอย่างเดียว ไม่เห็นความสำคัญของการใช้สื่อ และผู้เรียนเห็นความสำคัญของการเรียนวิชาภาษาอังกฤษน้อยมาก จึงเป็นประเด็นที่ต้องพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน</p> <p>2) ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน มีองค์ประกอบสำคัญ 6 องค์ประกอบ คือ แนวคิด และทฤษฎีพื้นฐาน วัตถุประสงค์ของรูปแบบ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลักการตอบสนอง ระบบสนับสนุน และการวัดและประเมินผล และผลการประเมินรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิมีความเหมาะสมมากที่สุด</p> <p>3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน นักเรียนมีคะแนนทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยรวมอยู่ในระดับดี และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>4) ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอน การประเมินมาตรฐานความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้อง ในระดับมากที่สุด และความพึงพอใจของนักเรียน อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/271258 ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สหวิทยาเขตพระใหญ่เขื่องในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ 2025-01-21T17:55:54+07:00 ศุภาวีร์ ศรีโท jen.7979@hotmail.com สุรางคนา มัณยานนท์ jen.7979@hotmail.com สมหมาย สร้อยนาคพงษ์ jen.7979@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สหวิทยาเขตพระใหญ่เขื่องใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ และ 2) ศึกษาข้อเสนอการพัฒนาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สหวิทยาเขตพระใหญ่เขื่องใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน รวมจำนวน 131 คน มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 129 คน คิดเป็นร้อยละ 98.47 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และข้อคำถามปลายเปิด มีค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อ ระหว่าง .48 - .79 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>พบว่า</p> <ol> <li>ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การสื่อสารดิจิทัล รองลงมาคือ การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการสื่อสารดิจิทัล และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ การรู้สิทธิและความรับผิดชอบทางดิจิทัล</li> <li>ข้อเสนอการพัฒนาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีข้อเสนอการพัฒนาที่สำคัญ ดังนี้ 1) การสื่อสารดิจิทัล ผู้บริหารควรมีทักษะการฟัง พูด อ่านเขียน เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการสื่อสารจูงใจผู้อื่นให้ทำงานด้วยทักษะการสื่อสารอย่างชัดเจน 2) การรู้เท่าทันดิจิทัล ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาประเมินเนื้อหาที่เข้าถึงทางดิจิทัลและแหล่งข้อมูลของสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ ภายใต้หลักคุณค่าพลเมืองประชาธิปไตย 3) การรู้สิทธิและความรับผิดชอบทางดิจิทัล ผู้บริหารควรกระตุ้นให้ครู และบุคลากรทางการศึกษาแยกแยะได้ว่าข้อความและการกระทำชนิดไหน เป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น หรือหมิ่นประมาท และ 4) การเข้าถึงสื่อดิจิทัล ผู้บริหารควรสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าถึงสื่อเทคโนโลยี เครื่องมือและแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณภาพ</li> </ol> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/271009 ผลการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-03-27T18:58:04+07:00 กนกนภา โกกะพันธ์ kanoknapako@gmail.com เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม kanoknapako@gmail.com ประสิทธิ์ นิ่มจินดา kanoknapako@gmail.com <p>ในปีการศึกษา 2560-2563 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช มีคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่า สาระที่ 3 เรื่อง สารและสมบัติของสารเป็นสาระการเรียนรู้ที่ควรเร่งพัฒนา จากข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่า คุณภาพการศึกษาทั้งด้านวิชาการและคุณลักษณะของผู้เรียนยังไม่น่าพอใจในการจัดการศึกษาต้องมีการสร้างเสริมทักษะ สมรรถนะให้กับเด็กและเยาวชนของชาติการจัดเรียนเรียนรู้ที่เน้นเนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือมากเกินไป ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนทำให้ขาดความเข้าใจในเนื้อหาและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1</p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการเรียนนรู้วิทยาศาสตร์และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ปีการศึกษา 2565 จำนวน 46 คน ใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) จำนวน 5 แผน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ พร้อมทั้งประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบประเมินที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ของลิเคอร์ท (Likert) 5 ระดับ พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ควบคู่กับแบบฝึกทักษะ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 และมีค่าเฉลี่ยแต่ละแผนทั้ง 5 แผน ตั้งแต่ 4.33-4.67 ซึ่งมีความเหมาะสมมากที่สุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยมี 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ใช้การประเมินแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) แล้วเลือกข้อสอบที่มีค่าตั้งแต่ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples) ใช้การประเมินแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) แล้วเลือกข้อสอบที่มีค่าตั้งแต่ค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.21-0.68. โดยใช้สูตร Item Total Correlation และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) วัดความพึงพอใจทั้งฉบับมีค่าเท่ากับ 0.81</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิชาวิทยาศาตร์ มีประสิทธิภาพ 80.07/84.42 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ วิชาวิทยาศาสตร์ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาแยกรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด 3 ลำดับแรก ดังนี้ ครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียนและเปิดโอกาสให้ซักถาม กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์และครูมีการเตรียมการสอนและจัดลำดับเนื้อหาอย่างเหมาะสม ตามลำดับ อยู่ในระดับมาก 3 ลำดับสุดท้าย ดังนี้ กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม/ทีม กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่าย และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับเวลา ตามลำดับ</li> </ol> <p>ผลจาการวิจัยพบว่าผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพและยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/269420 อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในวิถีชีวิตของชาวกูยในจังหวัดศรีสะเกษ 2024-12-20T06:37:09+07:00 พระเสกสรรค์ ฐานยุตฺโต (ศรีทน) Seksansriton@gmail.com พระครูปริยัติกิตติวรรณ (กิตฺติวณฺโณ/ได้ทุกทาง) seksansriton@gmail.com พระอธิการอำพน จารุโภ (ดาราศาสตร์) seksansriton@gmail.com พระครูสุตธรรมาภิรัต (สุธมฺมาภิรโต/ยืนยง) seksansriton@gmail.com พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ seksansriton@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวกูยในจังหวัด ศรีสะเกษ และเพื่อวิเคราะห์ประเพณีและวิถีชีวิตของชาวกูยในจังหวัดศรีสะเกษ โดยศึกษาเชิงเอกสารแล้วนำเสนอด้วยวิธีพรรณนาเชิงวิเคราะห์ ผลการศึกษา พบว่า 1) อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวกูยในจังหวัดศรีสะเกษ มีหลากหลายมิติ เช่น ภาษา วัฒนธรรม พิธีกรรม ประเพณี ความเชื่อที่สั่งสมสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ชาวบ้านคิดขึ้นเอง และนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาจึงเป็นการสร้างองค์ความรู้ของชุมชนทั้งทางกว้างและทางลึก โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่ในการแก้ปัญหา และการดำเนินชีวิตได้ยังเหมาะสมกับยุคสมัย 2) วิเคราะห์วิถีชีวิตของชาวกูยในจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า ชาวกูยส่วยใหญ่นับถือศาสนาพุทธควบคู่กับความเชื่อในเรื่องผีที่ก่อให้เกิดภูมิปัญญาของตนเอง ทั้งความเชื่อผี วิญาณ ได้แก่ ผีปู่ตาและผีบรรพบุรุษในสายตระกูล และความเชื่อแบบพราหมณ์หรือไสยศาสตร์นั้น เป็นความเชื่อทั่วไปของคนไทยที่เกี่ยวกับอำนาจเวทมนตร์ คาถาอาคมหรือพลังอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อโชคลาภ ชัยชนะ ความผาสุก ความปลอดภัยในชีวิตและการรักษาผู้ป่วยเป็นต้น</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/274800 ทิศทางการศึกษาไทยเพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล 2025-01-10T10:02:14+07:00 สุทธิพงศ์ เสมสูงเนิน samsungnoen14@gmail.com พระมหาเอกพันธ์ วรธมฺมญฺญู (มะเดื่อ) maduea.3511@gmail.com <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทิศทางการศึกษาไทยจากนโยบายของรัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษา และด้านธุรกิจ ซึ่งความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ในประเด็นเป้าหมาย คนไทยเป็นคนดี คนเก่งมีคุณภาพ ควรมีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สามและอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นมีนิสัยรักการเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถสร้างจุดต่างตามความถนัดและมีความหลากหลายตามพันธกิจและความเชี่ยวชาญภายใต้กลไก 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน 2) การพัฒนาและแสวงหาบุคลากร 3) ความเป็นนานาชาติ 4) การบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม และ 5) การสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือการจัดการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษา โดยมุ่งเน้นเพื่อความต้องการเด็กที่มีสมรรถนะค่อนข้างสูงไม่ว่าจะเป็นการคิด การแก้ไขปัญหา การสื่อสาร การปรับตัว และการอยู่ร่วมกัน ดังนั้น ทิศทางการศึกษาไทยเพื่อให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล ควรส่งเสริมทักษะทางด้าน Hard skill และ Soft skill เพื่อเกิดการพัฒนาความสามารถ ทางด้านสังคม และด้านเทคโนโลยี รวมถึงการเรียนรู้หลักสูตรระยะสั้นเพื่อการนำไปใช้ประกอบอาชีพ การสร้างมูลค่าให้อาชีพตามมารตรฐานของอาชีพ หรือทักษะใหม่ในการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล โดยการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ด้านหลักสูตรที่มีการบูรณาการทักษะด้านดิจิทัล ทั้งนี้ ทิศทางการศึกษาจะต้องมุ่งสร้างแนวคิดการนำนวัตกรรมการเรียนรู้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นต้น</p> 2025-06-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์