https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/issue/feed วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ 2023-12-27T19:07:37+07:00 รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ [email protected] Open Journal Systems <p><strong>คำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์บทความ</strong></p> <p><strong>(ปรับปรุง เริ่มใช้ในการพิมพ์ ฉบับที่</strong><strong> 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) พ.ศ. 2564)</strong></p> <ol> <li><strong>1.</strong> <strong>สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับบทความ</strong></li> </ol> <p> บัณฑิตศึกษา ห้อง 412 ชั้น 1 อาคารพระพรหมบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ 305 หมู่ 8 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์</p> <p>โทรศัพท์ 09-4514-1161, 08-3374-8741, 086-4654195, 08-1725-8693</p> <ol start="2"> <li><strong>2. ขอบเขตวารสาร ประเภท การส่ง ตรวจสอบ การเตรียม และการคัดเลือกบทความ</strong></li> </ol> <p> วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ มีขอบเขตวารสาร ประเภท การส่ง ตรวจสอบ การเตรียม และการคัดเลือกบทความตีพิมพ์ในวารสาร ดังนี้</p> <p><strong>2.</strong><strong>1 ขอบเขตวารสาร </strong></p> <p> วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ เป็นวารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเน้นองค์ความรู้ในมิติศาสนา ปรัชญา การศึกษา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา</p> <p> <strong>2.2 ประเภทบทความ</strong></p> <p> วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ ตีพิมพ์บทความประเภทต่างๆ ดังนี้</p> <p><strong> </strong>1) บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ บทความที่เขียนขึ้นเป็นผลงานที่ได้จากการทำวิจัย ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดๆ มาก่อน รูปแบบบทความวิจัยโดยทั่วไปประกอบด้วย ชื่อบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้เขียนบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หน่วยงานต้นสังกัด บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คำสำคัญภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนำ วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ผลของการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ และเอกสารอ้างอิง</p> <p><strong> </strong>2) บทความวิชาการ (Academic Article) ได้แก่ บทความที่เสนอเนื้อหาความรู้ ลักษณะวิเคราะห์ วิจารณ์ โดยใช้แนวคิด ทฤษฎี หรือนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เพื่อเป็นความรู้สำหรับผู้สนใจทั่วไป ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดๆ มาก่อน รูปแบบบทความวิชาการโดยทั่วไปประกอบด้วย ชื่อบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้เขียนบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หน่วยงานต้นสังกัด บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คำสำคัญภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนำ เนื้อหา สรุป และเอกสารอ้างอิง</p> <p><strong> </strong>3) บทความในลักษณะอื่น เช่น<em> (1) บทความพิเศษ (</em><em>Special Article)</em> ได้แก่ บทความที่นำเสนอเนื้อหาความรู้วิชาการ อย่างเข้มข้น และผ่านการอ่านและการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการวิชาการหรือวิชาชีพ <em>(</em><em>2)</em> บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) การเขียนบทวิจารณ์หนังสือ คือ การค้นหาจุดเด่นและจุดอ่อนของหนังสือเรื่องที่จะวิจารณ์ชี้ให้เห็นจุดอ่อน พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขให้เป็นจุดเด่นขึ้นมา เป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์<em> (</em><em>3) บทความปริทรรศน์ (Review Article)</em> ได้แก่ บทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ วารสาร จากผลงานหรือประสบการณ์ ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้น โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์เปรียบเทียบกัน <em>(</em><em>4) บทความปกิณกะ (Miscellany Article)</em> ได้แก่ บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปล ย่อความจากวารสารต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ แนะนำเครื่องมือใหม่ ตำราหรือหนังสือใหม่ที่น่าสนใจ หรือข่าวการประชุมทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ เป็นต้น สำหรับรูปแบบบทความในลักษณะอื่นโดยทั่วไปมักใช้เช่นเดียวกับบทความวิชาการ</p> <p><strong> 2.3 การส่งบทความ</strong></p> <p> บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ ของบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ ต้องผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ Website: <a href="https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434">https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434</a> และรอการตรวจสอบจากกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>2.4 การตรวจสอบบทความและพิสูจน์อักษร</strong></p> <p> ผู้นิพนธ์เตรียมบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่วารสารกำหนด ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ทั้งพิสูจน์อักษรก่อนส่งบทความให้กับบรรณาธิการ การเตรียมบทความให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสารจะทำให้การพิจารณาตีพิมพ์มีความรวดเร็ว และกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าผู้นิพนธ์บทความจะแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร</p> <p><strong>2.5 การเตรียมบทความ</strong></p> <p> บทความใช้แบบอักษร (font) ชนิดไทยสารบรรณ (TH Sarabun PSK) ขนาดอักษร 16 จัดกั้นหลังตรง สำหรับบทความภาษาอังกฤษให้ใช้แบบอักษร Time Ex Roman ขนาดอักษร 12 และมีระยะห่างระหว่างบรรทัดหนึ่งช่อง (double spacing) ตลอดเอกสาร พิมพ์หน้าเดียวลงบนกระดาษ (A4) พิมพ์ให้ห่างจากขอบกระดาษด้านบนและด้านซ้าย ขนาด 3.81 ซม., ขอบด้านขวาและด้านล่าง ขนาด 2.54 ซม. พร้อมใส่หมายเลขหน้าทางมุมขวาบนทุกหน้า บทความมีความยาวไม่เกิน 15 หน้า กระดาษพิมพ์ (A4) โดยนับรวมภาพประกอบและตาราง</p> <p><strong>2.6 การคัดเลือกบทความ</strong></p> <p> บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) 3 รูป/คน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้นิพนธ์บทความ และผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double - blind peer review)</p> <ol start="3"> <li><strong>3. รูปแบบบทความวิจัย</strong></li> </ol> <p> รูปแบบบทความวิจัยประกอบด้วย ชื่อบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้เขียนบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หน่วยงานต้นสังกัด บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คำสำคัญภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนำ วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ผลของการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ และเอกสารอ้างอิง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้</p> <p><strong> </strong><strong>3.1 ชื่อบทความ</strong> (Article) ให้เขียนชื่อของบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong> </strong><strong>3.2 ชื่อผู้นิพนธ์</strong> (Name and Surname of Author) ให้เขียนชื่อผู้นิพนธ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p> <strong>3.3 หน่วยงานต้นสังกัด</strong> (Affiliated agency) ให้เขียนว่าผู้เนิพนธ์บทความมีหน่วยงานต้นสังกัดจากที่ใด (สาขาวิชา คณะ มหาวิทยาลัย) หรือกรณีเป็นนิสิต นักศึกษา ควรมีรายละเอียด เช่น หลักสูตร สาขา มหาวิทยาลัย ปีดำเนินงานวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และตำแหน่งวิชาการของอาจารย์ที่ปรึกษา โดยเขียนคำอธิบายเพิ่มเติมไว้เป็นเชิงอรรถแสดงไว้ตอนบนทางด้านขวาของหน้ากระดาษใต้เชื่อบทความที่เป็นภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>3.4 </strong><strong>บทคัดย่อ</strong> (Abstract) บทคัดย่อมีความยาวไม่เกิน 350 คำ โดยแยกต่างหากจากเนื้อเรื่อง ต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เขียนให้ได้ใจความทั้งหมด บทคัดย่อของบทความไม่ต้องอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง ให้มีเนื้อหาเขียนไว้ในบทคัดย่อที่สำคัญเพียง 3 ส่วน คือ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย และผลการวิจัย เท่านั้น</p> <p><strong>3.5 คำสำคัญ</strong> (Keyword) คือ คำที่เขียนขึ้นให้ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษา ปรากฏอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ละคำเขียนคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (Semicolon) (,) ควรมีคำสำคัญไม่เกิน 5 คำ</p> <p><strong>3.6 บทนำ</strong> (Introduction) ข้อเขียนเบื้องต้นที่นำเข้าสู่เนื้อหา เขียนให้เห็นประเด็นความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัยว่ามีภูมิหลังอย่างไร ปัญหาดังกล่าวมีผู้เสนอแนวคิด ทฤษฎี ไว้อย่างไร มีประเด็นใดที่ยังมิได้คำตอบ หากวิจัยเรื่องนี้แล้วคาดว่าจะได้คำตอบปัญหานี้อย่างไร เขียนให้ชัดเจน มีข้อมูลที่เป็นเอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องสนับนุนความเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล</p> <p><strong>3.7 วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong> (Research Objective) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อใช้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลการวิจัยได้อย่างชัดเจน ควรเขียนแยกกันให้เห็นเป็นข้อ ๆ</p> <p><strong> 3.8 วิธีดำเนินการวิจัย</strong> (Methods) เป็นการกำหนด รูปแบบการวิจัย ประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง (วิจัยเชิงปริมาณ) กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ให้ข้อมูลหลัก (วิจัยเชิงคุณภาพ) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล (ถ้ามี) แต่ละประเด็นมีรายละเอียดชัดเจน</p> <p> <strong>3.9 ผลการวิจัย</strong> (Result) เป็นการนำเสนอผลที่พบตามวัตถุประสงค์การวิจัยตามลำดับอย่างชัดเจน ในการนำเสนอผลการวิจัย อาจใช้ภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิประกอบได้</p> <p><strong> 3.10 อภิปรายผลการวิจัย</strong> (Discussion) เป็นการอภิปรายผลการวิจัยเข้ากับหลักแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำข้อค้นพบการวิจัยมาอภิปรายเพื่อเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาการวิจัย หรือทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์</p> <p><strong> 3.11 ข้อเสนอแนะ</strong> (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผู้นิพนธ์ควรเขียนให้ได้ทั้ง 3 ประเด็น คือ 1) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 2) ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ และ 3) ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป</p> <p><strong> 3.12 การอ้างอิง</strong> (Reference) ใช้การอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา (In-Text Citation) ตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ในเครื่องหมาย วงเล็บ ( ) แทรกในเนื้อหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงที่นิยมแพร่หลาย โดยมีกฎเกณฑ์การอ้างอิงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มีความชัดเจนในการลงรายการงานเขียนต่างๆ ที่ง่าย ทันสมัย ถูกต้อง การอ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศที่มิใช่ภาษาอังกฤษ ให้ผู้นิพนธ์บทความแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง เป็นรูปแบบเดียวกัน</p> <ol start="4"> <li><strong>4. รูปแบบบทความวิชาการ หรือบทความในลักษณะอื่น</strong></li> </ol> <p> รูปแบบบทความวิชาการโดยทั่วไปประกอบด้วย ชื่อบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้นิพนธ์บทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หน่วยงานต้นสังกัด บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คำสำคัญภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนำ เนื้อหา สรุป และเอกสารอ้างอิง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้</p> <p><strong> 4.1 ชื่อบทความ </strong>ชื่อผู้นิพนธ์ หน่วยงานต้นสังกัด บทคัดย่อ คำสำคัญ ให้ปรับใช้ตามที่ได้แนะนำไว้ในบทความวิจัย ข้อ 3.1-3.5 โดยอนุโลม</p> <p><strong> </strong><strong>4.2 บทนำ</strong> (Introduction) ข้อเขียนเบื้องต้นที่นำเข้าสู่เนื้อหา เป็นส่วนกล่าวนำ โดยอาศัยการทบทวนข้อมูลจากเอกสาร รายงานวิจัย และหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความในเรื่องนี้ และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาที่ต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับทราบ เขียนให้ชัดเจน โดยนำข้อมูลที่เป็นเอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องมาสนับนุนความเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล</p> <p><strong> 4.3 เนื้อหา</strong> (Content) คือ ส่วนเป็นเรื่องราวหรือเนื้อหาที่ผู้นิพนธ์บทความต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับทราบ เนื้อหาที่ดีต้องมีการกำหนดประเด็นและรายละเอียดชัดเจน น่าสนใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางความคิดของผู้นิพนธ์บทความเป็นสำคัญ</p> <p><strong> 4.4 สรุป</strong> (Summarizing) เป็นวิธีการเขียนบทความที่ผู้นิพนธ์บทความเขียนให้เหลือเฉพาะส่วนที่มีความสำคัญ เป็นการกลั่นกรอง การรวบรวม หรือการลดข้อความให้เหลือส่วนที่สำคัญเท่านั้น</p> <p><strong> 4.5 การอ้างอิง</strong> (Reference) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา ตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) ซึ่งได้นำเสนอไว้แล้วใน (ข้อ 3.12) </p> <ol start="5"> <li><strong>5. การเขียนเอกสารอ้างอิง ตามแบบ APA ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6</strong> (แทรกในเนื้อหา)</li> </ol> <p><strong> 5.1 คัมภีร์พระไตรปิฎก</strong>:</p> <p>พระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ ให้อ้างชื่อย่อคัมภีร์ เล่ม/ข้อ/หน้า</p> <table> <tbody> <tr> <td width="102"> <p><strong>รูปแบบ</strong></p> </td> <td width="255"> <p><strong>หน้าข้อความ</strong></p> </td> <td width="211"> <p><strong>ท้ายข้อความ</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="102"> <p>อ้างอิงจาก</p> <p>พระไตรปฎก/</p> <p>คัมภีร์</p> </td> <td width="255"> <p>ดังในเวรัญชสูตร(ที.สี.(ไทย) 9/246/83.) ที่กล่าวว่า “หมู่สัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตกล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด…”</p> </td> <td width="211"> <p>...ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามทั้งหลาย บรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เรียกว่า อธิจิตตสิกขา (องฺ.ติก. (ไทย), 20/87/312)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><strong> 5.2 หนังสือ และวาสาร</strong>:</p> <p> 1) กรณีผู้แต่ง 1 คน ให้ระบุ ชื่อ-นามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หากเป็นพระภิกษุทั่วไปให้ใส่คำว่า พระ, พระมหา นำหน้าชื่อตามด้วย ฉายานาม (ชื่อภาษาบาลี) และพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ให้ใส่ ชื่อสมณศักดิ์ ตามด้วยชื่อตัวในเครื่องหมายวงเล็บ ถ้าไม่ทราบชื่อตัวให้ใส่เฉพาะ ชื่อสมณศักดิ์</p> <table> <tbody> <tr> <td width="83"> <p><strong>รูปแบบ</strong></p> </td> <td width="274"> <p><strong>หน้าข้อความ</strong></p> </td> <td width="211"> <p><strong>ท้ายข้อความ</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="83"> <p>ภาษาไทย</p> </td> <td width="274"> <p>ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ (2561: 1) ให้ทัศนะว่า......</p> </td> <td width="211"> <p>........ (ทวีศักดิ์ ทองทิพย์, 2561: 1)</p> </td> </tr> <tr> <td width="83"> <p>ภาษาอังกฤษ</p> </td> <td width="274"> <p> Tongtip, (2018: 1) said that ......</p> </td> <td width="211"> <p>…….. (Tongtip, 2018: 1)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p> 2) กรณีผู้แต่งมี 2 คน</p> <table> <tbody> <tr> <td width="83"> <p><strong>รูปแบบ</strong></p> </td> <td width="274"> <p><strong>หน้าข้อความ</strong></p> </td> <td width="211"> <p><strong>ท้ายข้อความ</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="83"> <p>ภาษาไทย</p> </td> <td width="274"> <p>บรรจง โสดาดี และ ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม (2560: 5) ให้ทัศนะวา......</p> </td> <td width="211"> <p>........ (บรรจง โสดาดี และ ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม (2560: 5)</p> </td> </tr> <tr> <td width="83"> <p>ภาษาอังกฤษ</p> </td> <td width="274"> <p> Sodadee and Sa-ard-iam, (2017: 5) said that......</p> </td> <td width="211"> <p>……. (Sodadee and Sa-ard-iam, 2017: 5)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><strong> </strong>3) กรณีผู้แต่งมากกว่า 3 คนขึ้นไป</p> <table> <tbody> <tr> <td width="87"> <p><strong>รูปแบบ</strong></p> </td> <td width="270"> <p><strong>หน้าข้อความ</strong></p> </td> <td width="211"> <p><strong>ท้ายข้อความ</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="87"> <p>ภาษาไทย</p> </td> <td width="270"> <p>ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม และคณะ (2560: 5) ให้ทัศนะวา......</p> </td> <td width="211"> <p>...... (ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม และคณะ, 2560: 5)</p> </td> </tr> <tr> <td width="87"> <p>ภาษาอังกฤษ</p> </td> <td width="270"> <p>Sa-ard-iam et al. (2017: 5) said that......</p> </td> <td width="211"> <p>……(Sa-ard-iam et al. 2017: 5)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><strong>5.3 </strong><strong>สัมภาษณ์</strong>:</p> <p>ชื่อ-นามสกุล. /(วัน เดือน ปี ที่สัมภาษณ์ )./ตำแหน่ง(ถ้ามี)./สถานที่สัมภาษณ์ เช่น</p> <p> พระสมุห์หาญ ปญฺญาธโร, (<strong>17 มีนาคม 2562</strong>). เจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียง หมู่ 14 ตำบลกระโพ</p> <p>อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์.</p> <p>PhraKrusuvithanphatthanabandhit. (10 May 2013). Voice-Rector. Interview.</p> <p><strong>5.4 สื่ออิเล็กทรอนิกส์</strong>:</p> <p>ชื่อ-นามสกุล. /(ปีที่พิมพ์)./ชื่อเรื่อง./<strong>ชื่อเว็บไซต์.</strong>/(วัน เดือน ปี ที่สืบค้น).จาก</p> <p>http://www.xxxxxxxxxx. เช่น </p> <p> สุนันทา เลาวัณย์ศิริ. (2553). ธาตุอาหารหลักของน้ำสกัดชีวภาพแบบเข้มข้นจากขยะครัวเรือน.วารสารออนไลน์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. (<strong>17 มีนาคม 2562</strong>)<strong>.</strong> จาก <a href="http://www.journal.msu.ac.th/index.php?option=com_">http://www.journal.msu.ac.th/index.php?option=com_</a>.</p> <p>Bhandari, P., Rishi, P. and Prabha, V. (2014). Positive Effect of Probiotic Lactobacillus</p> <p>Plantarum in Reversing the LPS Induced Infertility in Mouse Model. (12 February 2014). <a href="http://jmm.microbiologyresearch.org/content/journal/jmm/10.1099/jmm.0.000230;%20jsessionid=1me6a81o04g7o.x-sgm-live-03">http://jmm.microbiologyresearch.org/content/journal/jmm/10.1099/jmm.0.000230; jsessionid=1me6a81o04g7o.x-sgm-live-03</a>.</p> <ol start="6"> <li><strong>6. การเขียนเอกสารอ้างอิง </strong>(ท้ายบทความ)</li> </ol> <p><strong> 6.1 หนังสือ</strong>:</p> <p> ชื่อ-นามสกุล./(ปีที่พิมพ์)./<strong>ชื่อหนังสือ</strong>/(ครั้งที่พิมพ์(ถ้ามี))./เมืองที่พิมพ์/:/สำนักพิมพ์.</p> <p><strong> 6.2. วารสาร</strong>:</p> <p> ชื่อ-นามสกุล. /(ปีที่พิมพ์)./ชื่อเรื่อง)./<strong>ชื่อวารสาร</strong><strong>,/</strong>ปีที่(ฉบับที่),/เลขหน้า.</p> <p><strong> 6.3 วิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์/สารนิพนธ์/รายงานการวิจัย </strong>:</p> <p> ชื่อ-นามสกุล. /(ปีที่พิมพ์)./<strong>ชื่อเรื่อง.</strong>/ระดับวิทยานิพนธ์,/ชื่อคณะ/:/ชื่อมหาวิทยาลัย.</p> <p><strong> 6.4 สัมภาษณ์</strong>:</p> <p> ชื่อ-นามสกุล. /(วัน เดือน ปี ที่สัมภาษณ์ )./ตำแหน่ง(ถ้ามี)./สัมภาษณ์</p> <p><strong> 6.5 สื่ออิเล็กทรอนิกส์</strong>:</p> <p> ชื่อ-นามสกุล. /(ปีที่พิมพ์)./ชื่อเรื่อง./ชื่อเว็บไซต์./(วัน เดือน ปี ที่สืบค้น).จากhttp://www.xxxxxxxxxx.</p> <ol start="7"> <li><strong>7. การเขียนภาพประกอบ (Figure) และตาราง (Table)</strong></li> </ol> <p> ภาพประกอบและตารางควรมีเท่าที่จำเป็น สำหรับ คำบรรยายภาพและตารางให้พิมพ์เหนือภาพหรือตาราง ส่วนคำอธิบายเพิ่มเติมให้ใส่ใต้ภาพหรือตาราง</p> <p> </p> <p><strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/265286 การศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี ด้านการบริหารและปฏิบัติการของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนสหวิทยาเขตรัตนรังสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พังงา ภูเก็ต ระนอง 2023-08-16T12:11:28+07:00 ศิราพร สังข์สี [email protected] สาริศา เจนเขว้า [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีด้านการบริหารและการปฏิบัติการของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ครู กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 179 คน และสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนสหวิทยาเขตรัตนรังสรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการสนับสนุน การบริหารและการปฏิบัติการ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีด้านการบริหารและการปฏิบัติการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาควรสนับสนุนเทคโนโลยีใช้ในในสถานศึกษาให้เกิดปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งการบริหารงาน การปฏิบัติงาน เพื่อความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารสถานศึกษานำประโยชน์ของเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานทั้ง 4 ฝ่ายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารสถานศึกษาปรับตัวให้เท่าทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ สู่การยกระดับคุณภาพการศึกษา</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/265809 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร 2023-08-23T14:38:04+07:00 สมยา แก้วสมบัติ [email protected] สุกัญญา สุดารารัตน์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูจากโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 254 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ที่มีความตรงวัดด้วยค่า ดัชนีความสอดคล้องเชิงเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 และความเที่ยงเท่ากับ .98 แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t-test independent และการวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การสรรหาและคัดเลือก รองลงมาคือ การฝึกอบรมและพัฒนา รางวัลและผลตอบแทน และ การประเมินผลการปฏิบัติงาน ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร ตามความคิดเห็นของครูในภาพรวม พบว่า ครูที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงานและขนาดโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน </p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/265813 การบริหารสู่ความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาปฐมวัย ของสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร 2023-08-16T11:35:08+07:00 พิชชาภา ต่อไพศาล [email protected] สุกัญญา สุดารารัตน์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาเอกชน ในจังหวัดสมุทรสาคร และ 2) เปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาเอกชน ในจังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตาม ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูจากสถานศึกษาเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 254 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .67-1.00 และความเที่ยงเท่ากับ .98 แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t-test independent และการวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาเอกชน ในจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านทักษะ รองลงมาคือ ด้านรูปแบบการบริหาร ด้านระบบงาน ด้านคุณค่าร่วม ด้านบุคคล ด้านกลยุทธ์ และ ด้านโครงสร้างหน่วยงาน ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศในการจัดการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาเอกชน ในจังหวัดสมุทรสาครตามความคิดเห็นของครู พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน สำหรับครูที่มีประสบการณ์และขนาดโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/256555 การศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยว ชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ 2023-08-16T11:53:52+07:00 พระปรัชญา ชยวุฑฺโฒ/ถิ่นแถว [email protected] พระครูสาธุกิจโกศล [email protected] นางสาวเกษศิรินทร์ ปัญญาเอก [email protected] นายเอกรัตน์ มาพะดุง [email protected] <p>การวิจัยเรื่อง “การศึกษาประวัติศาสตร์และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์” มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษากิจกรรมการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ 3) เพื่อศึกษาการจัดการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชนปราสาทขอม จำนวน 26 คน โดยการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องนำมารวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์แบบพรรณนาวิเคราะห์ <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong><a name="_Toc90623075"></a><a name="_Toc90622961"></a>1. ประวัติความเป็นมาของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์ จากหลักฐานโบราณคดีที่ขุดพบในพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ยังพบแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของชุมชนโบราณยุคโลหะตอนปลายเป็นจำนวนมากแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ และการปกครอง และปราสาทหินที่เก่าแก่ที่สุดและมากที่สุดในประเทศไทย <a name="_Toc90623076"></a><a name="_Toc90622962"></a>2. กิจกรรมการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์จากการศึกษาพบว่าปราสาทขอมมีจำนวน 12 แห่งเท่านั้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และชุมชน สนับสนุนให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ปราสาทขอม โดยนิยมจัดในรูปแบบของการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการแสดงแสง สี เสียง เล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาและตำนานที่เกี่ยวกับปราสาทขอมในแต่ละพื้นที่ และสามารถต่อยอดกิจกรรมในพื้นที่และสร้างเศรษฐกิจในชุมชน<a name="_Toc90623077"></a><a name="_Toc90622963"></a> 3. การจัดการท่องเที่ยวของชุมชนปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์หน่วยงานองค์การปกครองในท้องถิ่นที่มีขีดความสามารถในการช่วยบำรุงรักษาและสามารถมาช่วยในการบริหารจัดการขั้นต้นเพื่อดูแลพื้นที่ปราสาทขอมในจังหวัดสุรินทร์จึงมีปราสาทขอมเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของจังหวัดได้สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว การบริการในพื้นที่ปราสาท เป็นต้น หากได้รับการพัฒนาต่อจะได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะที่มีความสนใจเกี่ยวกับปราสาทขอม ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวเหล่านี้คือกลุ่มเฉพาะที่มีจำนวนไม่มากนัก</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266417 ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองที่มีต่อการตั้งเป้าหมาย ของผู้เรียนภาษาญี่ปุ่น 2023-09-28T14:22:08+07:00 ศิรินิสา แสนบุตร [email protected] ประยุทธ ไทยธานี [email protected] <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงทดลองนี้เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการกำกับตนเอง ที่มีต่อ การตั้งเป้าหมายของผู้เรียนภาษาญี่ปุ่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ที่สถาบันพัฒนาชีวิตสู่ความยั่งยืน จำนวน 2 ห้องเรียน รวม 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการกำกับตนเอง โดยจัดกิจกรรมทั้งหมด 12 ครั้ง ในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งใช้เวลา 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง และแบบวัดการตั้งเป้าหมาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที ผลพบว่า หลังการทดลองผู้เรียนกลุ่มทดลองมีการตั้งเป้าหมายสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสูงกว่าผู้เรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266588 ผลของกิจกรรมกลุ่มที่มีต่อจิตสาธารณะของเด็กปฐมวัย 2023-09-28T14:25:58+07:00 นวพรรษ พันธ์สุข [email protected] ประยุทธ ไทยธานี [email protected] <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมกลุ่มที่มีต่อจิตสาธารณะ ของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 87 (นิคมสร้างตนเอง 1) จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 2 ห้องเรียน รวม 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 23 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมกลุ่ม 21 แผน โดยใช้เวลาวันละ 30 นาที รวมทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง 30 นาที และแบบประเมินจิตสาธารณะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีจิตสาธารณะสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266487 ผลของโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษาที่มีต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตน ของครูโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 2023-09-28T14:30:39+07:00 สุภามาศ ปาลศรี [email protected] ประยุทธ ไทยธานี [email protected] <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษา ที่มีต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตน ของครูโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน จากครูทั้งหมด 76 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษา โดยจัดกิจกรรมทั้งหมด 2 วัน ในการจัดกิจกรรมแต่ละวัน จะใช้เวลา 6 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง และแบบประเมินการรับรู้ความสามารถแห่งตน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที ผลพบว่า หลังการทดลองครูกลุ่มทดลองมีการรับรู้ความสามารถแห่งตนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสูงกว่าครูกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266597 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถแห่งตน ที่มีต่อกรอบความคิดเติบโตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2023-08-16T11:38:24+07:00 กันยกร เนาว์ขุนทด [email protected] ประยุทธ ไทยธานี [email protected] <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงทดลองนี้เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถแห่งตนที่มีต่อกรอบความคิดเติบโตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนหนองบุญมากประสงค์วิทยา จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน รวม 47 คน จากนักเรียนทั้งหมด 77 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถแห่งตน ระยะเวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ รวม 10 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที และแบบประเมินกรอบความคิดเติบโต การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบค่าที ผลพบว่า หลังการทดลองนักเรียนกลุ่มทดลองมีกรอบความคิดเติบโตสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266609 ผลของโปรแกรมการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อความมุ่งมั่นในการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2023-09-28T14:35:03+07:00 สุภัทตรา แซมตะคุ [email protected] ประยุทธ ไทยธานี [email protected] <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงทดลองนี้เพื่อศึกษา ผลของโปรแกรมการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อความมุ่งมั่นในการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาจำนวน 2 ห้องเรียน รวม 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 32 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยจัดกิจกรรมทั้งหมด 12 ครั้ง ในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ และแบบสอบถามความมุ่งมั่นในการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที ผลพบว่า หลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีความมุ่งมั่นในการเรียนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266751 การศึกษาผลการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน จังหวัดนครราชสีมา 2023-09-28T14:37:15+07:00 จุตินันท์ โตอ้น [email protected] สุภาวดี วิสุวรรณ [email protected] <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน จำนวน 361 คน การสุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม โดยมีข้อคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า ผลการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 โดยจำแนกตามคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอารมณ์ จิตใจ อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จำแนกตามวุฒิการศึกษา โดยภาพรวม พบว่า ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านร่างกาย พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการเปรียบเทียบการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จำแนกประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านอารมณ์ จิตใจ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/264421 การส่งเสริมจิตสาธารณะให้นักเรียนเพื่อเป็นพลเมืองดีในอนาคต 2023-08-10T13:56:13+07:00 รวีวรรณ วงค์เดชานันทร์ [email protected] <p>การส่งเสริมจิตสาธารณะให้นักเรียนเพื่อเป็นพลเมืองดีในอนาคตเป็นการส่งเสริมในเรื่องสำนึกในความเป็นพลเมืองและความรับผิดชอบของพลเมืองในนักเรียนเป็นภารกิจสำคัญที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีและมีประโยชน์การให้โอกาสในการบริการชุมชนการส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในงานอาสาสมัครหรือบริการชุมชนสามารถช่วยให้นักเรียนพัฒนาความรับผิดชอบและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและวิธีการที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกด้วยการเสริมสร้างความรับผิดชอบกระตุ้นให้นักเรียนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและผลกระทบที่มีต่อผู้อื่น สามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดทบทวนตนเองและการตั้งเป้าหมายเน้นความสำคัญของความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันนักเรียนควรได้รับการสอนให้เห็นคุณค่าของความหลากหลายและเคารพในวัฒนธรรม ภูมิหลัง และความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถทำผ่าโดยนกิจกรรมที่ส่งเสริมการรับรู้และความเข้าใจด้านวัฒนธรรมโดยรวมแล้วการส่งเสริมจิตสาธารณะเพื่อให้นักเรียนโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดีดังนั้นการส่งเสริมจิตสาธารณให้นักนักเรียนต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมที่รวมการศึกษา การมีส่วนร่วมของชุมชน การคิดเชิงวิพากษ์ การเอาใจใส่ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง ด้วยการให้โอกาสและทักษะเหล่านี้แก่นักเรียน เราสามารถช่วยสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ มีส่วนร่วม และมีความกระตือรือร้นมากขึ้นที่อุทิศตนเพื่อสาธารณประโยชน์</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/265728 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2023-08-11T13:32:38+07:00 บรรจง ลาวะลี [email protected] <p>บทความนี้นำเสนอแนวคิดภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา จากการศึกษาแนวคิดองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ ประกอบด้วย&nbsp; 5 องค์ประกอบ คือ 1) การสร้างวิสัยทัศน์ 2) การเป็นแบบอย่างที่ดี 3) การมีความคิดสร้างสรรค์ 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) การเพิ่มพลังอำนาจ ซึ่งการนำหลักพุทธธรรมมาบูรณาการในการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ในการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ควรมีหลักธรรมในการปฏิบัติงานให้ประสบผลสำเร็จ คือ หลักพุทธธรรมซึ่งมีคุณสมบัติทั้ง 4 ประการ ที่เรียกว่าอิทธิบาท 4 หรือ มูลฐานแห่งความสำเร็จในการปฏิบัติงาน 4 อย่างประกอบด้วย ฉันทะ (ความพอใจรักใคร ในสิ่งนั้น) วิริยะ (การกระทำบ่อยๆ ในสิ่งนั้น) จิตตะ (การคิดสิ่งนั้น) และวิมังสา (ประเมิน นิเทศ ทบทวน) ในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความมุ่งหมายให้เกิดผลสำเร็จจึงควรยึดหลักอิทธิบาท 4 เป็นหลักในการปฏิบัติงานซึ่งช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษามีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้ผู้เขียนนำเสนอภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทและสภาพแวดล้อม เพื่อพัฒนาองค์การสถานศึกษาที่จะประสบความสำเร็จต่อไป</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/266295 การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้านพุทธศาสนศิลป์ในศตวรรษที่ 21 2023-08-22T11:52:43+07:00 พระครูใบฎีกาธนู ธนวฑฺฒโน (เนียมวงศ์) [email protected] <p>พุทธศิลป์เป็นงานศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ทางด้านพระพุทธศาสนาที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเป็นความงามที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาธรรมทางวัตถุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน ให้เกิดความศรัทธา ประพฤติปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีงามตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พุทธศิลป์ เป็นงานศิลปะที่ช่าง ศิลปิน สร้างขึ้นเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา หรือสร้างขึ้นเพื่อพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ได้แก่ ภาพเขียนฝาผนังโบสถ์ วิหาร งานปฏิมากรรม ได้แก่ พระพุทธรูป และงานสถาปัตยกรรม ได้แก่ ศาสนสถานที่เป็นโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ สถูป เจดีย์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พุทธประวัติ การเรียนรู้พุทธศาสนศิลป์ในศตวรรษที่ 21 ชี้ให้เห็นถึงการถ่ายทอดความรู้ความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ การเรียนรู้พุทธศาสนศิลป์ต้องผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 จากการสังเกต การสำรวจ การทดลอง การปฏิบัติจริง เป็นต้น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เขียนเพื่อให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ศึกษาและเข้าใจถึงการเรียนรู้พุทธศาสนศิลป์ในศตวรรษที่ 21 ด้านความหมายของพุทธศาสนศิลป์ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์พุทธศาสนศิลป์ โดยเนื้อหาสาระสามารถนำมาเป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ต่อไป</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/267474 พระธรรมเทสนามรรคติคุณในคัมภีร์ใบลานอักษรขอมภาษาขแมร์: พระพุทธกิจเทศนาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์แทนคุณพุทธมารดา 2023-09-29T09:55:21+07:00 พระปลัดกิตติ ยุตฺติธโร [email protected] พระราชวิมลโมลี [email protected] พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ [email protected] ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอพระธรรมเทศนามรรคติคุณในคัมภีร์ใบลานอักษรขอมภาษา ขแมร์ ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธกิจ เทศนาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์โปรดพุทธมารดา ความเป็นมาคัมภีร์ใบลานนี้ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง วัน เดือน ปี ในการแต่ง ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ที่วัดชัยมงคลมุนีวาส ตำบลตรมไพร อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ลักษณะคำประพันธ์ เป็นแบบร้อยแก้วประเภทวรรณกรรมพระพุทธศาสนาผสมผสานกับวรรณกรรมคำสอน กลวิธีการแต่งแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน สำนวนภาษาแบบบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร อุปมาโวหาร สาธกโวหารและเทศนาโวหาร เรื่องย่อได้เล่าถึงพระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นกิจที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปฏิบัติเป็นกิจวัตรหลังจากตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ด้วยปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธจริยาอันเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก มี 5 ประการ คือ 1) เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต 2) เวลาเย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชน 3) เวลาย่ำค่ำประทานโอวาทแก่ภิกษุ 4) เวลาเที่ยงคืนทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เทวดา 5) เวลาย่ำรุ่งทรงตรวจดูสัตว์โลกทั้งที่สามารถ และยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควร และเสด็จไปโปรดเทศนาพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพุทธมารดา ในพระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น 42,000 พระธรรมขันธ์ 1) คัมภีร์ธัมมสังคณี<strong> </strong>ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้เป็นหมวดเป็นกลุ่ม 2) คัมภีร์วิภังค์<strong> </strong>แสดงการจำแนกปรมัตถธรรมออกเป็นข้อๆ 3) คัมภีร์ธาตุกถาแสดงการจัดหมวดหมู่ของปรมัตถธรรมโดยสงเคราะห์ด้วยธาตุ 4) คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ<strong> </strong>ว่าด้วยบัญญัติ 6 ประการ และแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัติที่เกี่ยวกับบุคคล 5) คัมภีร์กถาวัตถุ<strong> </strong>ว่าด้วยคำถามคำตอบประมาณ 219 หัวข้อ ที่ถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรมวินัย 6) คัมภีร์ยมก<strong> </strong>คัมภีร์นี้จะยกหัวข้อปรมัตถธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ และ 7) คัมภีร์มหาปัฏฐาน<strong> </strong>แสดงเหตุปัจจัยและแสดงความสัมพันธ์อันเป็นเหตุเป็นผลที่อิงอาศัยซึ่งกันและกันแห่งปรมัตถธรรมทั้งปวงโดยพิสดาร พระอภิธรรมนั้นเป็นธรรมะขั้นสูงซึ่งหัวใจของอภิธรรมจะกล่าวถึงเรื่องของจิต เจตสิก รูป และนิพพาน </p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/Vanam_434/article/view/267451 ทิศทางการวิจัยด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย 2023-10-04T11:10:30+07:00 ทิพย์ ขันแก้ว [email protected] เอกฉัท จารุเมธีชน [email protected] <p>เนื่องด้วยหลักสูตรครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สาขาวิชาการสอนภาษาไทยทั้งระดับปริญญาบัณฑิต ปริญญามหาบัณฑิต และปริญญาดุษฎีบัณฑิต เน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพด้วยกระบวนการทางวิจัย บทความนี้จึงมีความประสงค์เพื่อศึกษาและเสนอทิศทางการวิจัยด้านการสอนภาษาไทย ซึ่งได้ทิศทางดังนี้ ทิศทางด้านหลักสูตรมีความสำคัญต่อการศึกษาวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงต้องทำความเข้าใจหลักสูตรในด้านมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดการวิจัยตรงจุดที่ต้องการแก้ปัญหาและพัฒนาทิศทางด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ทิศทางด้านภาษาและวรรณกรรม ทิศทางด้านศาสตร์การสอน ก็เป็นทิศทางที่ควรดำเนินการวิจัยเพื่อนำผลการวิจัยมาแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยได้</p> 2023-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์