https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/issue/feed วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ 2024-05-01T22:27:54+07:00 รศ.ดร. สุรพล สุยะพรหม [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ</strong> <span lang="TH">เลขมาตรฐานสากล </span>ISSN 2774-0919 (Print) ISSN 2774-0897 (Online) จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยที่นำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปบูรณาการกับการจัดการหรือศาสตร์อื่นๆ เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267868 การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาสมรรถนะบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 2023-09-23T10:09:07+07:00 กนกนุช นิยนันท์ [email protected] สุริยา รักษาเมือง [email protected] พงศ์พัฒน์ จิตตานุรักษ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาท 4 และ 3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับสมรรถนบุคลากร และเพื่อเสนอแนวการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 เพื่อพัฒนาสมรรถนะบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาประชากรจำนวน 138 คน ด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ความเชื่อมั่น 0.994 สถิติใช้ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับหลักอิทธิบาท 4 พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสมรรถนะของของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. หลักอิทธิบาท 4 และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยรวม กับการพัฒนาสมรรถนะ<br />มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในระดับปานกลาง 3. แนวการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 คือ ด้านฉันทะ ความพอใจ ส่งเสริมให้บุคลากรปฏิบัติงานด้วยความยินดีและเต็มใจ ด้านวิริยะ ความเพียร ส่งเสริมให้บุคลากรปฏิบัติงานด้วยความขยันขันแข็ง ด้านจิตตะ ความอาใจใส่ ส่งเสริมให้บุคลากรใส่ใจในการทำงาน และด้านวิมังสา ความไตร่ตรอง ส่งเสริมให้บุคลากรรู้จักปรับปรุงกระบวนการทำงาน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/271446 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนในตำบลบุโพธิ์ อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-02-24T21:40:09+07:00 กิติพัธ คำสุข [email protected] ธัชชนันท์ อิศรเดช [email protected] สุมาลี บุญเรือง [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชน 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักพุทธธรรมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและ 3. นำเสนอแนวทางกับการประยุกต์หลักพุทธธรรม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากการคำนวนด้วยสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวน 361 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป และการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชนในตำบลบุโพธิ์ อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูง (R=0.800**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จึงยอมรับสมมติฐาน 3. แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในตำบลบุโพธิ์ อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และเป็นการส่งเสริมประชาชนธิปไตย เพื่อแสดงความคิดเห็นและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นในชุม และหาข้อสรุปที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และเป็นการปลูกฝังจิตใต้สำนึกในเรื่องของมารยาทที่ดีให้กับประชาชนและคนรุ่นหลัง</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/268129 การให้บริการรูปใหม่ของสนามบินสุวรรณภูมิหลังสถานการณ์โควิด 19 เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นมีความสัมพันธ์ต่อการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ 2023-10-11T21:10:14+07:00 นิศา นุ่มวงศ์ [email protected] เนตร์ศิริ เรืองอริยภักดิ์ [email protected] พัทธ์สิริ สุวรรณาภิรมย์ [email protected] สุดา สุวรรณาภิรมย์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. สำรวจข้อมูลส่วนบุคคลของผู้โดยสาร 2. สำรวจการให้บริการรูปแบบใหม่ของสนามบินสุวรรณภูมิ 3. สำรวจการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ 4. หาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล การให้บริการรูปแบบใหม่ และการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ ใช้วิธีการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการสำรวจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution ) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นหญิง อยู่ในช่วง Gen Z ระหว่าง 18-24 ปี มีอาชีพข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ระยะเวลาในการทำงาน 1-10 ปี 2. การให้บริการรูปแบบใหม่โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมากในด้านความรวดเร็ว (Fast) และด้านความสะดวกสบายด้วยนวัตกรรม (Smart) มากเท่ากันอันดับแรก และด้านการใช้บริการแบบไร้รอยต่อ (Seamless) ตามลำดับ 3. ภาพรวมการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก หากมองรายด้านพบว่ามากอันดับแรกคือ ด้านการจัดการอย่างเป็นระบบที่ 4. ด้านความสัมพันธ์พบว่า การให้บริการรูปแบบใหม่มีความสัมพันธ์กับการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 (Sig. 0.00) ด้านทฤษฎี นโยบาย หากสนามบินสุวรรณภูมิให้บริการที่รวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมการบริการ และส่งเสริมการทำงานระหว่างคนกับนวัตกรรมบริการให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ จะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีการบริหารจัดการได้อย่างเป็นเลิศ ยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267969 พุทธธรรมประยุกต์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนในจังหวัดอ่างทอง 2023-10-02T15:00:00+07:00 พระครูกิตติญาณวิสิฐ (ธนา กิตฺติญาโณ) [email protected] <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดอ่างทอง 2. นำเสนอรูปแบบพุทธธรรมประยุกต์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดอ่างทอง รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 8 รูปหรือคน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.930 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในจังหวัดอ่างทอง ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดอ่างทอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้านตามลำดับ และ 2. รูปแบบพุทธธรรมประยุกต์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดอ่างทองการหมั่นประชุมกันบ่อยครั้งเป็นวิธีที่ดีในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน การใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการประชุมออนไลน์ สร้างพื้นที่การประชุม สร้างพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการประชุม และการสนทนาระหว่างรัฐบาล หรือองค์กรทางการเมืองกับกลุ่มประชาชน สนับสนุนสิทธิ และเสรีภาพ สนับสนุนสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐาน เคารพประธาน และความคิดเห็นของสมาชิกในที่ประชุม เรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบและการกระทำที่เหมาะสม รักษากฎระเบียบของชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน โดยศึกษาการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบ และกฎหมายทางการเมือง อารักขา คุ้มครองอันชอบธรรมแก่บรรพชิตซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267968 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมจิตสำนึกทางการเมือง ของเด็กและเยาวชนในจังหวัดสมุทรปราการ 2023-10-02T15:09:50+07:00 พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาจิตสำนึกทางการเมืองของเด็กและเยาวชน2. เสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมจิตสำนึกทางการเมืองของเด็กและเยาวชนในจังหวัดสมุทรปราการ รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 8 รูปหรือคน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.984 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำนวน 397 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. จิตสำนึกทางการเมืองของเด็กและเยาวชนในจังหวัดสมุทรปราการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน และ 2. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมจิตสำนึกทางการเมืองของเด็กและเยาวชนในจังหวัดสมุทรปราการประยุกต์กับหลักอปริหานิยธรรมโดยร่วมกันประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้ปฏิบัติตามหลักการและอุดมการณ์ทางประชาธิปไตย เคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ร่วมปกป้องเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาสในสังคม อนุรักษ์รักษาวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดีงาม รักษากฎระเบียบของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/270977 บทบาทพระสงฆ์กับการส่งเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชน ในอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง 2024-02-06T08:17:45+07:00 พระฤทธิเดช อนาลโย [email protected] พระสุธีวีรบัณฑิต (โชว์ ทสฺสนีโย) [email protected] ประเสริฐ ธิลาว [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของบทบาท 2. เพื่อเปรียบเทียบบทบาท 3. เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่มีต่อบทบาทพระสงฆ์กับการส่งเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนในอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณแจกแบบสอบถามกับเยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมตอนปลายโรงเรียนบ้านค่าย จังหวัดระยอง จำนวน 746 คน วิเคราะห์ข้อมูลค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมาน และสถิติพรรณนา<br />ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 รูปหรือคน และวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปของบทบาทพระสงฆ์ พบว่า เยาวชนมีความคิดเห็นต่อ บทบาทพระสงฆ์กับการส่งเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (=4.16, S.D.=0.38) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. การเปรียบเทียบบทบาทพระสงฆ์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เยาวชนที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อ บทบาทพระสงฆ์กับการส่งเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนในอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ 3. ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่มีต่อบทบาทพระสงฆ์กับการส่งเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่เยาวชนในอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พบว่า ปัญหา อุปสรรค พระสงฆ์มีการสอนที่แตกต่างกันไป เยาวชนขาดความรับผิดชอบต่อให้หน้าที่ มีการชื่นชอบเพศตรงข้ามที่มีเจ้าของแล้ว มีการพูดแก้ตัวปกป้องตัวเอง ส่วนข้อเสนอแนะ พระสงฆ์ควรจัดให้การสอนที่เป็นไปในแน่ทางเดียวกันให้ตระหนักถึงหน้าที่ และควรแนะนำการทำงานอย่างมีสติ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/268459 บทบาทและการสื่อสารทางการเมืองของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ : ศึกษาในช่วงเวลาปี พ.ศ. 2535-พ.ศ. 2565 2023-10-28T16:40:08+07:00 วิโรจน์ อัศวเสมาชัย [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาบริบททางการเมืองที่ส่งผลต่อการสื่อสารทางการเมืองคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2535- พ.ศ. 2565 และ 2. ศึกษาบทบาทและกระบวนการสื่อสารทางการเมืองของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในช่วงปีพ.ศ. 2535-พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ ได้แก่ 1. กลุ่มนักการเมืองจำนวน 5 คน 2. กลุ่มนักวิชาการจำนวน 2 คน 3. สื่อมวลชนจำนวน 3 คน 4. กลุ่มทีมงานจำนวน 10 คน และ 5. กลุ่มประชาชนทั่วไป จำนวน 6 คน ผู้วิจัยคัดเลือกตัวอย่างโดยใช้วิธีการคัดเลือกโดยพิจารณาเปรียบเทียบ (Judgemental Sampling) และการคัดเลือกโดยการแนะนำ (Snowball Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิธีการวิเคราะข้อมูล ผู้วิจัยจะนำการวิเคราะห์ความหมายเชิงตีความ (Interpretative) มาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีและปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทยและประธานกรรมการผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในเวทีการเมืองไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน <br />ด้วยการแสดงบริบทที่เป็นผู้หญิงที่มีความสุขุม เยือกเย็น นุ่มนวล การศึกษาดี มีความเด็ดขาดในการทำงาน เติบโตมาจากครอบครัวนักการเมืองมาก่อน มีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างมาก จนได้เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและได้เป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงสำคัญ ๆ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย จนชนะการเลือกตั้งท่วมท้นในปี 2548 และเป็นบุคคลที่ได้มีการสื่อสารออกมาชัดเจนและยืนหยัดว่าไม่เอาการสืบทอดอำนาจเผด็จการมาตลอดเกือบ 30 ปี ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ Super Poll พบว่า ประชาชนร้อยละ 98 จดจำคุณหญิง ดร.สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ได้จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของคนรากหญ้า</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267518 บทบาทของสื่อมวลชนที่มีต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย 2023-09-11T00:37:33+07:00 สมศักดิ์ ผู่เจริญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน 2. ศึกษาบทบาทของสื่อมวลชนที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และ 3. ศึกษาการประยุกต์หลักธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน จากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 20 รูปหรือคน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยประชาชนติดตามข่าวสารทางการเมือง ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพื่อส่งเสริมการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย มีส่วนร่วมในการปกครองเป็นหน้าที่ของประชาชน 2. บทบาทของสื่อมวลชนที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3. การประยุกต์หลักธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ดังนี้ ด้านการรู้จักผล สื่อมวลชนควรคำนึงประโยชน์ถึงประชาชน ด้านการรู้จักชุมชน ให้ประชาชนพึ่งพาได้ ด้านการรู้จักบุคคล นำเสนอบุคคลที่ดีควรยกย่องสนับสนุน การรู้จักตน เป็นคนกลางให้ประชาชนส่งสารไปถึงนักการเมือง<br />ด้านการรู้จักกาล มีเป้าหมายในการรณรงค์ให้ยุติความขัดแย้งทางการเมือง ส่งเสริมให้เกิดความรักสามัคคีในสังคม การรู้จักเหตุ มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษา และด้านการรู้ประมาณ สร้างการมีส่วนร่วมในสังคมส่งเสริมให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเลือกตัวแทนได้</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267803 การบูรณาการหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อส่งเสริมจริยธรรม ของผู้บริหารพรรคการเมืองในประเทศไทย 2023-09-21T00:07:25+07:00 อภิรัต ศิรินาวิน [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับจริยธรรม 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อจริยธรรม 3. นำเสนอการบูรณาการหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อส่งเสริมจริยธรรมของผู้บริหารพรรคการเมืองในประเทศไทย เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกพรรคการเมือง 400 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย ด้วยสูตรของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารการเมือง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเลือกตั้ง จริยธรรม พระพุทธศาสนาและรัฐประศาสนศาสตร์ รวม 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ฆราวาสธรรม 4 และกระบวนการส่งเสริมจริยธรรมอยู่ในระดับมาก และส่งผลต่อจริยธรรมของผู้บริหารพรรคการเมืองในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 ฆราวาสธรรม 4 ทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 76.2 กระบวนการส่งเสริมจริยธรรม ทำนายได้ได้ร้อยละ 82.5 การบูรณาการหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา คือ 1. ผู้บริหารปกป้องและเชิดชูและธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของประเทศ 2. ผู้บริหารมีความซื่อสัตย์สุจริต 3. ผู้บริหารกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม 4. ผู้บริหารยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก 5. ผู้บริหารมีความุ่งในที่จะทำงานให้สำเร็จโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน 6. ผู้บริหารมีความเป็นกลางปราศจากอคติ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/271210 การพัฒนาศักยภาพพระนวกะของคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 2024-02-26T12:17:40+07:00 พิชญกัญญา กองนิล [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาศักยภาพพระนวกะของคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 2. เปรียบเทียบศักยภาพพระนวกะของคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 3. นำเสนอการพัฒนาศักยภาพพระนวกะของคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามจากพระนวกะในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง จำนวน 187 รูป ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ สถิติที่ใช้คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ด้วยวิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 รูปหรือคน โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงประกอบบริบทสรุปเป็นความเรียง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นของพระนวกะ ที่มีต่อการพัฒนาศักยภาพพระนวกะของคณะสงฆ์ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการพัฒนาทักษะ อยู่ในระดับมาก ถัดมา คือ ด้านเจตคติ ด้านพฤติกรรมด้านการฝึกอบรม ด้านการศึกษา ด้านคุณลักษณะ ด้านความสามารถ และลำดับสุดท้าย คือ ด้านความรู้ อยู่ในระดับมาก</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/271349 บทบาทของพระสงฆ์เพื่อการเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนา แก่ประชาชนในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2024-02-26T12:17:30+07:00 พระปิยะ ฐิตปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับบทบาทของพระสงฆ์ 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ 3. ศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่มีต่อบทบาทของพระสงฆ์เพื่อการเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่ประชาชน ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ แจกแบบสอบถามกับพระสงฆ์ จำนวน 259 รูป วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้โดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที ค่าเอฟ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูปหรือคน และการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อบทบาทของพระสงฆ์เพื่อการเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. พระสงฆ์มีความเห็นต่อบทบาทของพระสงฆ์เพื่อการเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยภาพรวมจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จึงปฏิเสธสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 3. ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ สังคมไทยเชื่อหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าหลักพุทธศาสตร์ ขาดการอบรมเยาวชนให้รู้เรื่องผลของกรรม กฎหมายบางข้อ เอื้อประโยชน์ต่อการทำผิดศีลธรรม ข้อเสนอแนะ พระสงฆ์ควรมีกิจกรรมร่วมกับสังคมในการอธิบายถึงหลักของกรรม ควรประพฤติตนให้เป็นที่พึ่งแก่ประชาชน ปลูกฝังศรัทธาโดยการรักษาศีล 5</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/271584 การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของวัด ในอำเภอละแม จังหวัดชุมพร 2024-03-04T17:19:55+07:00 พระสิรภัทร สิริภทฺโท [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ และ 3. ศึกษาปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะต่อการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของวัดในอำเภอละแม จังหวัดชุมพรเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 85 รูป<br />ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในอำเภอละแม จังหวัดชุมพร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติอนุมาน และในเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของวัดในอำเภอละแม จังหวัดชุมพร โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. พระสงฆ์ที่มีอายุ พรรษา และวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นโดยรวม ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย ส่วนพระสงฆ์ที่มีตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ต่างกัน มีความคิดเห็นโดยรวม แตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. ปัญหา อุปสรรค คือ บางวัดขาดการวางแผนการจัดการ แผนการจัดกิจกรรม บุคลากรไม่เพียงพอ ที่มีอยู่ก็ขาดความรู้ กระบวนการตรวจสอบไม่ชัดเจน ไม่นำข้อมูลการตรวจสอบไปปรับปรุงแก้ไข และข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการศึกษาข้อมูลเพื่อวางแผน ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการ มอบมายงาน วางระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน ควรตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และนำผลการตรวจสอบไปปรับปรุงพัฒนา</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/272537 การพัฒนาพื้นที่เรียนรู้วิถีใหม่เพื่อส่งเสริมทักษะที่พึงประสงค์ของประชาชน ในจังหวัดสระบุรี 2024-04-25T10:52:50+07:00 หัฏฐกรณ์ แก่นท้าว [email protected] เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง [email protected] เอนก ใยอินทร์ [email protected] พระคมสัน เจริญวงค์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาทักษะเพื่ออนาคตแก่เยาวชน 2. พัฒนาเครือข่ายและกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทุกวัย และ 3. เสนอรูปแบบการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้วิถีใหม่เพื่อส่งเสริมทักษะที่พึงประสงค์ของประชาชนในจังหวัดสระบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ผู้แทนชุมชนและประชาชน รวม 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและการสนทนากลุ่มเฉพาะ ดำเนินการวิจัยโดยการทบทวนวรรณกรรม สร้างกรอบแนวคิดและเครื่องมือ เก็บข้อมูลพร้อมกับตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนนำมาวิเคราะห์เนื้อหา เสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาความประกอบภาพถ่าย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนบ้านราษฎร์เจริญมีทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาที่สามารถนำมาเป็นสื่อการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่วิจัยทุกช่วงวัย เกิดการร่วมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อใช้ทักษะในศตวรรษที่ 21 แก้ไขปัญหาด้านการประกอบอาชีพ การทิ้งถิ่นฐาน ปัญหาเยาวชนในชุมชน โดยใช้รูปแบบการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้วิถีใหม่เพื่อส่งเสริมทักษะที่พึงประสงค์มี 5 องค์ประกอบคือ เครือข่าย องค์ความรู้ เป้าหมาย กิจกรรม ทักษะที่พึงประสงค์แก่คนทุกวัย</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/264001 บทบาทพระเลขานุการเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ในฐานะผู้ขับเคลื่อนการบริหารกิจการคณะสงฆ์ 2023-05-13T23:10:31+07:00 พระครูกิตติญาณวิจักษ์ (จักรกฤษณ์ กิตฺติญาโณ) [email protected] พระมหาถาวร ขนฺติวิชฺโช [email protected] <p>บทความวิชาการนี้ศึกษาบทบาทพระเลขานุการเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ในฐานะผู้ขับเคลื่อนการบริหารกิจการคณะสงฆ์ โดยการศึกษาเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมและการวิเคราะห์ ผลจากการศึกษาพบว่า 1. บทบาทของเลขานุการทางคณะสงฆ์เป็นผู้ทำหน้าที่ประสานงานทั้งในส่วนของคณะสงฆ์หรือผู้ที่มีการเกี่ยวข้องกับการทำงาน ในการปกครอง การเผยแผ่ การศึกษาสงเคราะห์ การศาสนศึกษา สาธารณสงเคราะห์และสาธารณูปการให้ดำเนินและขับเคลื่อนไปโดยความเรียบร้อยดีงาม 2. ส่วนคุณลักษณะของเลขานุการที่พึงประสงค์ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีความรู้ในเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็นความรู้ในเรื่องของพระปริติธรรม ทั้งแผนกธรรม และแผนกบาลี รวมถึงอุดมศึกษาและความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (พ.ร.บ) หรือกฎหมาย และมีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นที่จำเป็นจะต้องประสานงานให้ความรู้หรือเป็นผู้นำในการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีการ การจัดสรรงบประมาณ การทำบัญชี การพิจารณาข้อพิพาทหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชา มีทัศนคติ กล่าวคือ มีอุดมการณ์ทำเพื่อพระพุทธศาสนาโดยเน้นในเรื่องของการจะพัฒนาคณะสงฆ์และ 3. ทำหน้าที่จัดการงานสารบรรณเป็นการบันทึกการบริหารกิจการคณะสงฆ์ทั้ง 6 ด้านไว้เพื่อวัดและประเมินการทำงานของพระสังฆาธิการตามลำดับขั้น</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/267490 การบริหารงานบุคคลด้วยหลักพุทธธรรม 2023-09-08T09:30:42+07:00 พระครูศรีธรรมวิเทศ (ประเสริฐ ปญฺโญภาโส) [email protected] พระครูศรีปริยัตยาภิมณฑ์ (นพพล เขมนโว) [email protected] วันชัย พวยไพบูลย์ [email protected] <p>หลักคำสอนทางพุทธศาสนานั้น มุ่งเน้นให้เห็นถึงความเป็นจริง โดยการหาเหตุที่ทำให้เกิดผล พิจารณาเพื่อให้เกิดการวิเคราะห์แล้วนำไปแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นการนำเอาหลักธรรม คือ สัปปุริสธรรม 7 ประการ ซึ่งประกอบด้วย ธัมมัญญุตา <br />การรู้จักเหตุ อัตถัญญุตา การรู้จักผล อัตตัญญุตา การรู้จักตน มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณ กาลัญญุตา การรู้จักกาล ปริสัญญุตา การรู้จักบริษัท บุคคลัญญุตา การรู้จักบุคคล คำสอนทั้ง 7 ประการนี้ เป็นสิ่งที่ควรมีในสังคมองค์การ ในการบริหารงานบุคคลทั้งในตัวตนและจิตใจของนักบริหาร เพราะเป็นหลักธรรมที่เป็นทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหา<br />เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีและมีคุณภาพของบุคคลในองค์การ ทั้งยังสอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ รอบคอบ รอบด้าน มั่นคง ความเข้มแข็งของทั้งบุคคลและองค์การ เกิดประสิทธิผลสูงสุด หลักธรรมคำสอนจะเป็นทั้งเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้บริหารและทรัพยากรบุคคลให้ตั้งอยู่ในคุณความดี บริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กร แต่กลับจะสร้างความเข้มแข็งขององค์กรให้เพิ่มขึ้น<br />เพื่อเป็นประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นผู้นำในด้านการบริหาร และยังความสำเร็จให้เกิดขึ้นแก่องค์การและทรัพยากรบุคคลที่อยู่ในองค์การ การบริหารองค์การอาจจะมีขึ้นมีลงตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ถ้าจิตใจของทรัพยากรบุคคลที่มีธรรมแล้วจะไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา พร้อมจะนำความเจริญก้าวหน้ามาทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนไป</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/271211 การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในพระพุทธศาสนาด้านสาธารณูปการ 2024-02-29T06:32:06+07:00 พระครูสมุห์โกศล พทฺธสีโล [email protected] พระมหาเพ็ช ฐานิสสฺโร [email protected] <p>บทความวิชาการ เรื่องการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในพระพุทธศาสนาด้านสาธารณูปการ เป็นการศึกษาจากเอกสาร ตำรา หนังสือ สื่อออนไลน์ การสังเคราะห์ วิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในพระพุทธศาสนาด้านสาธารณูปการเป็นการบริหารจัดการสาธารณูปการสมัยใหม่ โดยศึกษาสภาพ<br />การบริหารจัดการสาธารณูปการของคณะสงฆ์ ในส่วนของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทางพระพุทธศาสนาเป็นการพัฒนาด้านจิต ด้านปัญญาให้เป็นผู้ที่มีจริยธรรมและคุณธรรม ซึ่งการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรยุคปัจจุบัน ส่วนงานด้านสาธารณูปการของคณะสงฆ์นั้นทำเพื่อการบูรณปฏิสังขรณ์ วางแผนปรับปรุง การพัฒนา รวมไปถึงการทำวัดให้สะอาดร่มรื่นดูสวยงาม การบริหารจัดการสาธารณูปการสมัยใหม่ ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญ การมอบหมายงานให้บุคลากรปฏิบัติ มุ่งเน้นที่วัตถุประสงค์และผลงานที่จะทำการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น การบริหารแบบนี้จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญแก่บุคลากรทุกระดับ ให้ทุกคนร่วมมือกันทำงานด้วยความเต็มใจทั้งจะได้ผลผลิตออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็หมายความว่าทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบตามสายงานของตนเองและต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเน้นการวิเคราะห์องค์กรเชิงระบบความสัมพันธ์ระหว่างตัวป้อนและกระบวนการ รวมถึงผลผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการนำ 3 ทักษะมาจัดการ คือ 1. ทักษะเชิงเทคนิค 2. ทักษะเชิงมนุษย์ และ 3. ทักษะเชิงมโนมติ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/256642 การพัฒนาทุนมนุษย์ตามแนวพระพุทธศาสนา 2022-05-31T12:58:00+07:00 พระครูสมุห์พูลสวัสดิ์ ฐิตสีโล [email protected] <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอการพัฒนามนุษย์ตามแนวพุทธศาสนา เนื่องจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นระบบวิชาความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยวิชาความรู้ดังกล่าวจะก่อให้เกิดการพัฒนาชีวิตทั้งกาย จิต ปัญญาและรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมของชีวิตด้วย ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนา มองสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติแวดล้อมซึ่งกันและกัน จึงปฏิบัติต่อทุกสิ่งให้เสมือนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก และเป็นสิ่งที่ต้องเกื้อกูลกัน ทำให้สามารถนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนามนุษย์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสังคมและประเทศให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยบทความนี้ต้องการนำเสนอเครื่องมือในการสร้างปัญญาให้กับมนุษย์ซึ่งก็คือ การศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1. การศึกษาทั่วไป และ 2. การศึกษาแบบไตรสิกขา เพื่อจะใช้การศึกษานั้นในการพัฒนามนุษย์ตามแนวพุทธศาสตร์ เป็นไปเพื่อการพัฒนาบุคคลให้สามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดี มีชีวิตที่มีคุณค่า สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อีกทั้งรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเพื่อความดำรงอยู่ของตนและเพื่อนมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/263999 วัฒนธรรมองค์กรด้านการปกครองและการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย 2023-05-15T06:59:44+07:00 พระบุรเขตธรรมคณี (บังคม รกฺขิตธมฺโม) [email protected] พระสมุห์วีระ สุนฺทโร [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กรด้านการปกครองและการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย จากการศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ ตำรา อินเตอร์เน็ต เอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงวิเคราะห์จากผู้นิพนธ์ มีผลการศึกษาดังนี้ วัฒนธรรมองค์กร เป็นค่านิยมเฉพาะและความเชื่อขององค์กรที่ชี้นำกิจกรรมทั้งหมดและพฤติกรรมขององค์กรนั้น ๆ และวัฒนธรรมองค์กรยังรวมถึงมาตรฐาน ค่านิยม และสมมติฐาน พบว่า 1. วัฒนธรรมองค์กรด้านการปกครองพระสงฆ์ เป็นหลักของคณะสงฆ์ไทยในการที่จะหลอมรวมจิตใจให้รู้เคารพ นับถือ ให้เกียรติกันและกันตามอาวุโส ภันเต รู้จักหน้าที่ของตน ประพฤติตนตามพระธรรมวินัย ตามกฎหมายและตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ อีกทั้งช่วยสอดส่องดูแลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนให้ปฏิบัติตนถูกต้องเหมาะสม บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่ประพฤติเสื่อมเสียทำให้พระพุทธศาสนาต้องหม่นหมอง 2. วัฒนธรรมองค์กรด้านการศึกษา เป็นเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างหนึ่งสอดคล้องกับการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของคณะสงฆ์ซึ่งปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562 สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. นักธรรม 2. บาลีและ 3. สายสามัญ กล่าวคือ ปริยัติธรรมแผนกสามัญและมหาวิทยาลัยสงฆ์ (มมรและมจร)การศึกษายังคงเป็นไปสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในพระพุทธศาสนาที่ดีและช่วยงานพุทธศาสนาได้เกิดการเผยแผ่เชิงรุก เกิดการเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน เกิดผลเป็นการเทศน์หรือบรรยายธรรมในยุคสมัยใหม่ได้</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/268560 การจัดการแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาแนวใหม่โดยใช้หลักสัปปุริสธรรม 2023-10-24T07:59:34+07:00 พระมหาคมน์ธนัฐ ขิปฺปาภิญฺโญ [email protected] พระครูสมุห์นิพิฐพนธ์ ญาณพโล [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาแนวใหม่โดยใช้หลักสัปปุริสธรรม ผลการศึกษาพว่า ในการจัดการแหล่งเรียนรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็นการจัดการแหล่งเรียนรู้หรือเป็นแหล่งแนวคิดเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ในสถานที่แห่งนั้น หรือเพื่อให้เกิดมุมมองที่ดีเพื่อเป็นการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนารูปแบบการเผยแผ่แนวคิดที่เกี่ยวข้องทางหลักคำสอน แนวคิด หรือวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องในชุมชน ดังนั้น จึงได้นำหลักสัปปุริสธรรมมาประยุกต์เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือการวิวัฒนาการทางสังคม รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาในรูปแบบที่ชัดเจน การจัดการที่ดีโดยรู้จักเหตุทำให้เกิดการค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบรวมทั้งผลการจัดการที่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่เหมาะสม เพื่อเข้าใจหลักการที่กำลังจะแก้ไขอย่างมีความชัดเจน โดยผ่านตัวตนที่เป็นผู้ขับเคลื่อนให้สามารถผ่านไปตามขั้นตอนที่ได้มีการกำหนดไว้ หรือการรู้จักประมาณการสำหรับในการแก้ปัญหานั้นเพื่อไม่ให้เกิดความยืดเยื้อ โดยจัดให้มีความเหมาะสมมีความพอประมาณที่สามารถจัดการได้การรู้จักกรอบของระยะเวลาที่มีการแก้ปัญหา การเข้าใจในหลักเวลาอย่างเหมาะสม สิ่งที่ถูกต้อง รัดกุมที่ดี และจำเป็นต้องรู้จักให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่รอบข้างด้วย ซึ่งเป็นชุมชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม โดยให้บุคคลนั้นเป็นหัวใจสำคัญของแหล่งการจัดการเรียนรู้ที่ต้องมีความเข้าใจ เพื่อให้การจัดการแหล่งเรียนรู้นั้นได้ถ่ายทอดไปอย่างมีประสิทธิภาพที่ดี</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/bim/article/view/268349 ผู้นำทางการเมืองเชิงพุทธในยุค DISRUPTION 2023-10-12T09:16:10+07:00 พระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร) [email protected] พระสมรัก ภทฺทปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ผู้นำทางการเมืองเชิงพุทธในยุค DISRUPTION โดยใช้วิธีการศึกษา จากเอกสาร ตำรา หนังสือ สื่อออนไลน์ รวมถึง การสังเคราะห์ วิเคราะห์ ผลจาการศึกษาพบว่า 1. ความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อผู้นำทางการเมือง ได้แก่ นโยบายสาธารณะและประชาธิปไตย 2. หลักภาวะผู้นำทางการเมืองพุทธ ประกอบด้วยความอดทนต่อการปฏิบัติงาน ความตื่นตัวอยู่เสมอ ความขยันหมั่นเพียร ความมีอัธยาศัยดี ความมีจิตใจที่รักใครต่อเพื่อนร่วมงาน ความมีอัธยาศัยดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการเอาใจใส่ต่องานรับผิดชอบ ต่อหน้าที่ รวมถึงหลักศีล 5 ข้อ 3. ผู้นำทางการเมืองในยุค Disruption สามารถสร้างวิสัยทัศน์ที่เกิดผลเป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนารัฐให้ไปสู่ความสำเร็จกล่าว คือ ประชาชนได้รับผลจากนโยบายสาธารณะและเกิดเป็นประชาธิปไตยเกิดการยอมรับ สามารถพัฒนาประเทศชาติหรือออกความคิดเห็นแทนประชาชนได้ 4. การพัฒนาสมรรถะของผู้นำทางการเมืองเชิงพุทธ ประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 คือ 1. ความรู้ คือ รู้ในกฎหมาย ระเบียบ พระราชบัญญัติต่าง ๆ รวมถึงการบริหารราชการแผ่นดิน รู้พันธกิจของตนเองและเข้าถึงประชาชนโดยเป็นผู้นำในยุค Disruption 2. ความสามารถในการทำหน้าที่ ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลที่ชัดเจน 3. การมีทัศนคติที่ดี คือ มีความทัศนคติที่สอดคล้องกับความคาดหวังของประชาชน การนำหลักภาวะผู้นำเชิงพุทธและการนำศีล 5 มาประยุกต์ใช้เป็นคุณธรรมหรือว่าเป็นจริยธรรมเบื้องต้น</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ