การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับการพัฒนารูปแบบการเรียนจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน 3) เพื่อทดลองใช้การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 4) เพื่อประเมินคุณภาพของการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในกลุ่มโรงเรียนหนองหาน 2 จำนวน 19 โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยนำนักเรียนโรงเรียนบ้านศาลา จำนวน 11 คน และนักเรียนโรงเรียนบ้านกั้งโนนสะอาด จำนวน 28 คน รวมเป็นกลุ่มเดียวกันจำนวน 39 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ทดลองใช้เป็นเวลา 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) คู่มือการใช้เอกสารประกอบ การเรียน ได้แก่ ความนำ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง โครงสร้างรายวิชา คำอธิบายรายวิชา รูปแบบการจัดการเรียนรู้ บทบาทของครูผู้สอนและผู้เรียน โครงสร้างหลักสูตรเวลาเรียนสถานศึกษา ตารางเรียน กำหนดการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดทักษะการแก้ปัญหา 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน สถิติทดสอบของโฮเทลลิง
ผลการวิจัยพบว่า
- รูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ องค์ประกอบที่ 1 เชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 2 เชิงกระบวนการและองค์ ประกอบที่ 3 เชิงเงื่อนไขการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ไปใช้ในการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 Reviewing : การทบทวนความรู้เดิมโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
ขั้นที่ 2 Researching : การศึกษาหาความรู้
ขั้นที่ 3 Synthetic : การสกัดองค์ความรู้
ขั้นที่ 4 Evaluation : การสรุปและประเมินความรู้
ขั้นที่ 5 Applying : การประยุกต์ใช้ความรู้
มีค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เท่ากับ 81.97/ 80.91
- หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา โดยภาพรวมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01
- ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
Article Details
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้ ไม่ใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของคณะผู้จัดทำ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน
เอกสารอ้างอิง
กุลิสรา จิตรชญาวณิช และ เกศราพรรณ พันธุ์ศรีเกตุ คงเจริญ. (2563). วิธีการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ตฤณวัฒน์ พลเยี่ยม. (2560). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดแก้ปัญหาและเจตคติต่อวิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาและการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ทิศนา แขมมณี. (2563). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 24. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เทอดศักดิ์ ไชยสมปาน. (2558). ปัญหาการศึกษาและแนวทางการแก้ไข. สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2560 จาก https://www.gotoknow.org/posts/409185.
สมปอง ดีลี และ วิโรจน์ อินทนนท์. (2563). การวิเคราะห์แนวคิดและหลักปฏิบัติงานด้านพัฒนาคุณภาพนักศึกษาของกองพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามแนวคิดปฏิบัตินิยมของ จอห์น ดิวอี้. วารสารปณิธาน: วารสารวิชาการด้านปรัญญาและศาสนา, 16(1), 1-29.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550). แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
อิทธิเดช น้อยไม้. (2560). หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา. กรุงเทพฯ: โอ เอส พริ้นติ้งเฮ้าส์.
Weir, J. J. (1974). Problem solving is everybody problem. Science Teacher, 41(4), 16-18.