วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru <p><strong>วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี</strong></p> <p> วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านการศึกษา 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ในสาขาบริหารการศึกษา สาขาการวัดและประเมินผล สาขาการศึกษาพิเศษ สาขาปฐมวัย และสาขาการสอน (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป จิตวิทยาและการแนะแนว สุขศึกษา พลศึกษา คอมพิวเตอร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เป็นต้น) รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง อาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษา</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ</strong></p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน (กำหนดออกเดือนมิถุนายน)</p> <p> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม (กำหนดออกเดือนธันวาคม)</p> <p> </p> th-TH <p><strong>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้ ไม่ใช่ความคิดเห็นและความรับผิดชอบของคณะผู้จัดทำ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน</strong></p> edjournal@udru.ac.th (รศ.ดร.จุฬามาศ จันทร์ศรีสุคต) edjournal@udru.ac.th (นายรุ่งโรจน์ มีแก้ว) Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาการสอนวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/281896 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาตัวชี้วัดวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาการสอนวิทยาศาสตร์ตัวชี้วัดที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาครู สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 3 จำนวน 28 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 2) กิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ 3) แบบสังเกตการสอนวิทยาศาสตร์ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ตัวชี้วัดวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมัธยม ศึกษาตอนต้น คือตัวชี้วัดในสาระวิทยาศาสตร์กายภาพ และสาระวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 2) กิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ประกอบด้วยกิจกรรม 4 ขั้นตอน คือ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสาธิตหรือยกตัวอย่าง ขั้นฝึกทักษะ และขั้นสรุปและตรวจสอบ 3) ผู้เรียนมีคะแนนประเมินการสอนในแต่ละด้านและคะแนนรวมทุกด้าน หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนอยู่ในระดับดีมาก</p> ภาวิณี รัตนคอน, ปัทมาภรณ์ แก้วคงคา, ธัชชา ศุกระจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/281896 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 ENHANCING ENGLISH READING COMPREHENSION ABILITY USING COLLABORATIVE STRATEGIC READING OF MATTHAYOMSUKSA 3 STUDENTS https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/282037 <p>The purposes of this research were to study and compare Matthayomsuksa 3 students’ English reading comprehension ability using Collaborative Strategic Reading before and after the instruction and to investigate Matthayomsuksa 3 students’ attitude towards learning English reading comprehension using Collaborative Strategic Reading. The sample consisted of 45 students of Matthayomsuksa 3/4 Students at Udonpichairakpittaya School, Udon Thani under the Secondary Educational Service Area Office in the first semester of the academic year 2024. They were selected through cluster sampling. The research was a one group pretest – posttest design. The research instruments included 12 lesson plans, an English reading comprehension ability test and an attitude questionnaire. The experiment lasted 12 weeks, a total duration of 24 hours. The mean, percentage, standard deviation, One Sample t-test and t-test for Dependent Samples were used for data analysis.</p> <p>The experiment lasted 12 weeks, a total duration of 24 hours. The mean, percentage, standard deviation, One Sample t-test and t-test for Dependent Samples were used for data analysis.</p> <p>The findings of this research were as follows:</p> <ol> <li>The students’ pretest and posttest mean scores on English reading comprehension ability were 12.04 or 30.11 percent with a standard deviation (S.D.) of 2.16 and 30.67 or 76.67 percent with a standard deviation (S.D.) of 2.09, respectively. The students’ posttest mean score on English reading comprehension ability was higher than the set criterion of 70 percent and the students’ English reading comprehension ability after the experiment was significantly higher than that the prior one.</li> <li>The students’ attitude toward teaching English reading comprehension using Collaborative Strategic Reading was at a good level with a mean score of 4.32 and a standard deviation of 0.59.</li> </ol> Thanyaporn Kwanphueak, Prayong Klanrit ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/282037 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลการใช้โมเดลองค์ความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กรณีศึกษา ACTIVE LEARNING SCHOOL โรงเรียนแห่งการเรียนรู้เชิงรุก โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/279806 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้โมเดลองค์ความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กรณีศึกษา Active Learning School โรงเรียนแห่งการเรียนรู้เชิงรุก โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 และ 2) ประเมินระดับความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการใช้โมเดลดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกรณีศึกษา (Case Study) สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การใช้โมเดลองค์ความรู้ Active Learning School โรงเรียนแห่งการเรียนรู้เชิงรุก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาในหลายด้าน ได้แก่ 1) ด้านสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา พบการพัฒนาที่มีนัยสำคัญโดยเฉพาะในด้านทักษะการเป็นโค้ช การเป็นผู้นำการสร้างแรงบันดาลใจ และความรัก ความเอาใจใส่ 2) ด้านสมรรถนะครูผู้สอน พบการพัฒนาในด้านความรู้และทักษะ ทัศนคติและเจตคติ ทักษะการสื่อสาร และการวิเคราะห์การแก้ปัญหา 3) ด้านคุณภาพของนักเรียน พบพัฒนาการด้านทักษะทางวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะผู้ประกอบการ 2. ระดับความพึงพอใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียน ในการใช้โมเดลองค์ความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กรณีศึกษา Active Learning School โรงเรียนแห่งการเรียนรู้เชิงรุกแสดงความพึงพอใจต่อการใช้โมเดลในระดับมากที่สุด โดยมีจุดเด่นในด้านความเข้าใจแนวคิดโครงการ ประสิทธิภาพในการส่งเสริม Active Learning ความทันสมัย สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 และการสนับสนุนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์</p> วรรษพร แสงโยจารย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/279806 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/283158 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก 2) ศึกษากระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก และ 3) ศึกษาปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาการบริหารเชิง กลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย การวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก โดยการสังเคราะห์องค์ประกอบ ระยะที่ 2 ศึกษากระบวนการ ปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติกของโรงเรียน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบเชิงคุณภาพ จากโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก จำนวน 2 โรงเรียน ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 14 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม 2) การกำหนดกลยุทธ์ 3) การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และ 4) การควบคุมและประเมินกลยุทธ์ 2. กระบวนการในการดำเนินการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ใช้กระบวนการตามองค์ประกอบการบริหารเชิงกลยุทธ์ 4 ด้าน ภายใต้กรอบการจัดการศึกษาเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท ได้แก่ด้านนักเรียน ด้านสภาพแวดล้อม ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านเครื่องมือ และ 3. ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาดำเนินการบริหารเชิงกลยุทธ์ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ทำการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาตามองค์ประกอบการบริหารเชิงกลยุทธ์ 4 ด้าน</p> เสาวลักษณ์ เฒ่าอุดม, พิมพ์พร จารุจิตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคุรุศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edudru/article/view/283158 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700