Journal of Education and Innovation https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu <p><strong>Journal of Education and Innovation</strong> (ชื่อเดิมคือ <em>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร หรือ Journal </em><em>of Education Naresuan University </em>Online ISSN เดิม <em>: 2586-9345)</em> จัดพิมพ์โดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการคุณภาพสูงทางด้านศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ ได้แก่ การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน วิจัยและประเมินทางการศึกษา พัฒนศึกษา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา การศึกษาปฐมวัย การศึกษาพิเศษ อาชีวศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-blind review) โดยตีพิมพ์เผยแพร่ 4 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มีนาคม, ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน-มิถุนายน, ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม-กันยายน และฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>Online ISSN : 3027-7019 </strong></p> <p><strong>Thai-Journal Impact Factors:</strong> 0.286</p> en-US <p>เจ้าของบทความมิได้คัดลอก หรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ใด หากเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าวิธีใด หรือการฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ กองบรรณาธิการวารสารศึกษาศาสตร์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ให้เป็นสิทธิ์ของเจ้าของบทความที่จะดำเนินการ</p> edujournal.nu@gmail.com (Assistant Professor Nattakan Prachanban, Ph.D.) edujournal.nu@gmail.com (อังคณา แทนออมทอง) Tue, 30 Sep 2025 14:03:48 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 พรหมวิหาร 4 กับการปรับท่าทีจิตครูต่อนักเรียนต่างระดับจำแนกตามหลักบัว 4 เหล่า https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/284978 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการปรับท่าทีจิตพื้นฐานด้านลบของครูให้เป็นบวกเพื่อให้สอดคล้องกับระดับปัญญาการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งจำแนกตามหลักบัว 4 เหล่า โดยการประยุกต์หลักพรหมวิหารธรรม 4 ประกอบด้วย 1) ปรับท่าทีจิตที่ราบเรียบ นิ่งๆ เฉยๆ เป็นความรักความปรารถนาดี (เมตตา) ต่อนักเรียนที่มีระดับปัญญาการเรียนรู้ปานกลางซึ่งเปรียบได้กับบัวปริ่มน้ำ (วิปจิตัญญู) ที่เรียนรู้ได้ด้วยการอธิบาย ขยายความเพิ่มเติม 2) ปรับท่าทีจิตที่เหนื่อยหน่าย ลำบากใจเป็นความสงสารเห็นใจ (กรุณา) ต่อนักเรียนที่มีระดับปัญญาการเรียนรู้ต่ำซึ่งเปรียบกับบัวใต้น้ำ (เนยยะ) ที่เรียนรู้ได้ช้าด้วยการเคี่ยวเข็ญ สอนเสริม ผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่นพยายาม 3) ปรับท่าทีจิตที่ไม่มั่นใจ วิตกกังวลเป็นความชื่นชมยินดี (มุทิตา) ต่อนักเรียนที่มีระดับปัญญาการเรียนรู้สูงซึ่งเปรียบได้กับบัวพ้นน้ำ (อุคฆฏิตัญญู) ที่เป็นอัจฉริยะ เรียนรู้ได้เร็วและ 4) ปรับท่าทีจิตที่เฉยเมย ไม่แยแสเป็นการยอมรับและปล่อยวาง (อุเบกขา) ต่อนักเรียนที่มีระดับปัญญาการเรียนรู้จำกัดซึ่งเปรียบได้กับบัวใต้ตม (ปทปรมะ) ที่ไม่สามารถพัฒนาได้โดยให้รู้จักควบคุมตนเองอยู่ในกฎระเบียบและอาจจำเป็นต้องจัดการศึกษาแบบเรียนรวม หากครูปรับท่าทีจิตแต่ละด้านให้สอดคล้องกับระดับปัญญาการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละกลุ่มจะทำให้มีทัศนคติด้านบวกต่อนักเรียนเพิ่มขึ้น จิตมีคุณภาพสูง เติบโตและดีงาม แสดงออกอย่างเหมาะสมซึ่งจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนและจะทำให้นักเรียนมีความรู้สึกนึกคิด เจตคติและพฤติกรรมสะท้อนด้านบวกเช่นเดียวกัน</p> มนตรี หลินภู, พระฟูตระกูล พุทธรักขิโต(หลินภู), กรรณิการ์ พันทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/284978 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างวินัยเชิงบวกของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/286589 <p>การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และประเทศชาติ โดยเฉพาะในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง จึงเป็นสิ่งจำเป็น ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขยายโอกาสทางการศึกษา โดยจัดตั้ง โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลหรือด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่ต่อเนื่องจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การบริหารโรงเรียนเหล่านี้ยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ อีกหนึ่งความท้าทายของโรงเรียนขยายโอกาสที่สำคัญ คือ การปลูกฝังค่านิยมศึกษา ที่ช่วยให้นักเรียนพัฒนาเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยเฉพาะ การมีวินัย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต วินัย ไม่ได้หมายถึงเพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ความรับผิดชอบในตนเอง ความอดทนต่อการเรียนรู้ และการบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ นักเรียนที่มีวินัยจะสามารถตั้งเป้าหมายในการศึกษา ติดตามผลการเรียนของตนเอง และพยายามพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมวินัยเชิงบวก (Positive Discipline) เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีของนักเรียนโดยไม่ใช้การลงโทษรุนแรง แต่เน้นการสนับสนุนทางอารมณ์ การให้แนวทางที่ชัดเจน และการใช้แรงเสริมเชิงบวก ดังนั้น การใช้วินัยเชิงบวกจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาพฤติกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งกระบวนการส่งเสริมวินัยเชิงบวก สามารถแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะต้นน้ำ เป็นการกำหนดนโยบาย การอบรมครู และสร้างวัฒนธรรมโรงเรียนที่ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี ระยะกลางน้ำ เป็นการใช้เทคนิคเชิงบวก เช่น การให้คำชม การตั้งกฎร่วมกัน และกิจกรรมเสริมสร้างพฤติกรรม และระยะปลายน้ำ เป็นการติดตามผลพฤติกรรมของนักเรียน การให้คำปรึกษา และการปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสม การประเมินผล ใช้การสังเกตพฤติกรรม แบบสอบถาม และข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ การนำแนวคิดการส่งเสริมวินัยเชิงบวกของนักเรียนมาประยุกต์ใช้ในบริบทของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษามีความสำคัญ และท้าทาย ที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาพฤติกรรมที่เหมาะสม ลดความขัดแย้งในโรงเรียน และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความร่วมมือและความรับผิดชอบในหมู่นักเรียน โดยแนวทางส่งเสริมวินัยเชิงบวก ผู้บริหาร ควรกำหนดนโยบายที่สนับสนุน ครูใช้การเสริมแรงทางบวก และผู้ปกครองส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีที่บ้าน วินัยเชิงบวก จะช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาความเข้าใจในพฤติกรรมของตนเอง มีการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมีการเสริมสร้างทักษะในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจระหว่างนักเรียนและครู ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาพฤติกรรมและการเรียนรู้ที่ยั่งยืน</p> ยุพิน อยู่ศิลป์ชัย, ปกรณ์ ประจันบาน, อนุชา กอนพ่วง, ทวีศักดิ์ สว่างเมฆ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/286589 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 กิจกรรมทางกายในการเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาสมองในเด็กและเยาวชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/284937 <p>กิจกรรมทางกาย (Physical activity) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ พัฒนาการทางสมอง และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กและเยาวชนในระยะยาว บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความสำคัญของกิจกรรมทางกายกับการทำงานของสมอง และผลการเรียน โดยเฉพาะรายวิชาคณิตศาสตร์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า กิจกรรมทางกาย เช่น การเดิน วิ่ง เล่นกีฬา และการออกกำลังกายแบบแอโรบิกหรือแรงต้าน สามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพิ่มระดับออกซิเจนและสารเคมีที่สำคัญต่อระบบประสาท เช่น BDNF และ Irisin ซึ่งช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองและความสามารถในการเรียนรู้ นอกจากนี้ กิจกรรมทางกายยังมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม ทัศนคติต่อการเรียน และสมาธิในห้องเรียน รวมถึงลดพฤติกรรมเนือยนิ่งและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสถานศึกษา การออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างเหมาะสม เช่น “กิจกรรมฉลาดเล่น” สามารถช่วยให้นักเรียนมีโอกาสในการเคลื่อนไหวที่เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างเป็นรูปธรรม บทความนี้จึงเสนอแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนในทุกมิติ</p> สุภกิจ วิริยะกิจ, กวิน บุญประโคน, ปิยพงษ์ ชูจันอัด, จุฑาวัฒน์ กำลังทวี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/284937 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 LINGUISTIC INTERLINGUAL ERRORS IN WRITING ENGLISH: MOTHER TONGUE INFLUENCE https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/286211 <p>It is commonly believed that the first language influences the second language or foreign language. Identifying the areas of difficulty, this study conducts a thorough examination of the errors made by university students in writing English, focusing on a comparison and description of interlingual errors. It involves senior students majoring in English-related fields at a university in Thailand, with their English-written test papers undergoing evaluation and subsequent comparative and descriptive analysis. The collected data facilitates both statistical and qualitative analyses, as it comprises test papers from 100 students. The analysis reveals a prevalent occurrence of typical interlingual errors in writing across the sampled data. Notably, the study highlights that certain error rates are evident in the essay test papers concerning specific writing skill characteristics. Among these, the ‘transfer of rules’ errors appear with the highest frequency and the most conspicuous findings pertain to ‘redundancy reduction’ and ‘overgeneralization,’ with a moderate occurrence of errors in the selected sample. In conclusion, this study’s findings suggest issues with the English writing proficiency of the selected students, which could stem from challenges related to compatibility with their native language or deficiencies in their previous English instruction.</p> Ali Akbar Zeinali ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/286211 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 THE EFFECTS OF BLENDED LEARNING CULINARY ART COURSE ON STUDENTS PERFORMANCE AT GUANGDONG, CHINA https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279176 <p>This study investigates the effects of blended learning culinary art on student performance and satisfaction at the Guangdong Institute of Arts and Sciences, China. The research employs a quasi-experimental design, comparing a treatment group of 45 participants using the Intelligent Cloud Vocational Education (ICVE) with a control group with 35 participants following traditional face-to-face teaching. Over eight weeks, student performance was assessed through culinary exams at the beginning and end of the course, while satisfaction was measured via questionnaires from all 75 students. The findings revealed that the ICVE significantly enhanced Cooking Skills (F(72) = 21.023, p &lt; .001), Culinary Culture (F(72) = 11.051, p = 0.001) and satisfaction (t(72) = -2.38, p = 0.020) in the treatment group compared to the control group. However, the hypothesis related to Nutritional Quality (F(72) = 3.269, p = 0.075) and Culinary Creativity (F(72) = 0.958, p = 0.331) did not show significant differences between the two groups. Additionally, student satisfaction was notably higher in the treatment group, indicating that the blended learning approach provided a more engaging and effective learning experience. These results suggest that integrating technology through the ICVE platform can substantially improve certain aspects of culinary education. The study contributes to the fields of educational psychology, technology integration, and vocational training, particularly within the context of Chinese culinary Education. Furthermore, these findings can inform curriculum design and teaching methods globally by highlighting the effectiveness of blended learning models that incorporate technological tools, ultimately enhancing both educational outcomes and student satisfaction in culinary arts programs worldwide.</p> Dan Yang; Satha Phongsatha, Qingguo Zhang ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279176 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 THE RELATIONSHIP BETWEEN STRATEGIC LEADERSHIP OF SCHOOL ADMINISTRATORS AND EFFECTIVENESS OF SCHOOLS UNDER THE SECONDARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE BANGKOK 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279739 <p>The purposes of this research were: 1) to study the level of teachers' opinions of strategic leadership of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 2; 2) to study the level of effectiveness of schools under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 2; and 3) to study the relationship between strategic leadership of school administrators and effectiveness of schools under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 2. The population for this research consisted of 5,534 teachers in schools under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 2. The sample of 357 teachers was selected using stratified sampling and simple random sampling. A 5 – point rating scale questionnaire was used, with an Item Objective Congruence (IOC) index ranging from 0.60 to 1.00. The reliability of the questionnaire was .981. The statistics used in data analysis were mean, standard deviation, and Pearson's Product Moment Correlation Coefficient. The results were as followed: 1) the overall strategic leadership level of school administrators under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 2 was high; 2) the overall level of effectiveness of schools was high; and 3) the relationship between strategic leadership of school administrators and effectiveness of schools was significant at p &lt; .01 (r = .817). The strongest positive correlations were found between strategic leadership of school administrators in the areas of ‘Advising students on importance of a positive attitude’ and overall school effectiveness.</p> Kittiyaporn Srisingha, Kanyamon Indusuta ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279739 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 AN ENHANCEMENT OF THIRD GRADE STUDENTS' ENGLISH VOCABULARY LEARNING ACHIEVEMENT AND STUDENTS LEARNING SATISFACTION THROUGH COMMUNICATIVE GAMES AT PATTAMA DARUNWIT SCHOOL https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/282719 <p>This study examined the efficacy of communicative games in enhancing English vocabulary learning achievement among third-grade students in Kamphaeng Phet, Thailand. The sample consisted of 36 students selected through cluster sampling. Grounded in language acquisition and pedagogy theories, this research adopts a mixed-methods approach, employing pre-test and post-test assessments to measure vocabulary learning gains. Additionally, a student satisfaction questionnaire was used to evaluate students’ perceptions of the learning experience. Results indicate significant improvements in vocabulary learning achievement following instructional lessons structured around communicative games. Students expressed overall satisfaction with the learning content, methods, and classroom atmosphere, highlighting the relevance and engagement of communicative games in enhancing language learning outcomes. While variability in individual experiences was noted, the findings underscore the potential of communicative games as effective tools for promoting language acquisition and proficiency. This study contributed to the growing body of literature on innovative pedagogical approaches and emphasizes the importance of interactive and engaging activities in language education. Moving forward, further research and application of communicative games were considered essential for refining language teaching practices and improving students' English language proficiency.</p> Luke William Weber, Henry Yuh Anchunda ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/282719 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 A COLLABORATIVE PROFESSIONAL DEVELOPMENT PROGRAM FOR SCIENCE COACHES AND TEACHERS: DESIGNING INTEGRATED LESSONS WITH MODEL-ELICITING ACTIVITIES FOR OUTDOOR STEM EDUCATION https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279642 <p>This study highlights a collaborative initiative between schools and universities to develop a professional development framework aimed at integrating STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) into K-6 science classrooms. Utilizing design-based implementation research, university facilitators collaborated with 6 science student teachers and coaches to create an accessible vision of STEM integration, grounded in the principles of Model-Eliciting Activities (MEAs). MEAs are open-ended, real-world problem-solving tasks designed to help students develop scientific models and deepen their understanding of key concepts. The researchers designed a flexible professional development approach with three primary goals: (1) assessing participants' diverse experiences in integrating STEM into the curriculum, (2) promoting a new perspective on STEM integration through open-ended science problems rooted in real-world contexts, and (3) emphasizing the explicit inclusion of science content. Qualitative and quantitative analysis, including participant discussions, written reflections, and classroom observations, revealed participants' readiness to implement MEAs as a method for integrating STEM into K-6 classes. However, participants also recognized the need for ongoing support to overcome curriculum pacing challenges and administrative expectations. The results of this research suggest that this collaborative effort can significantly enhance STEM integration, particularly within the unique natural resource context of Phuket. This approach not only fosters STEM instructional leadership but also encourages transdisciplinary integration and prepares students for STEM-related roles and careers.</p> Siriwan Chatmaneerungcharoen ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279642 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 “ROLE MODEL FROM QUEEN BEE” THE GUIDELINES FOR PROFESSIONAL CONDUCT OF LGBTQIAN+ GOVERNMENT TEACHERS https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280850 <p>This research aimed to explore the self-conduct of exemplary government teachers who are perceived as queen bee (the LGBTQIAN+ Government teachers who have successfully established themselves as respected figures and role models within the bureaucratic system) and to investigate appropriate expressions of identity among LGBTQIAN+ government teachers leading to acceptance and recognition within their organizations. The findings revealed that the way these individuals conduct themselves is shaped by the level of openness to diversity within their organizational context. In organizations that demonstrate limited openness to diversity, queen bees rely on intrinsic motivation and support from those around them. They create personal spaces for encouragement, engage in continuous self-development, adapt to varying circumstances and persevere through challenges. They view obstacles as opportunities for growth, prove their competence through tangible achievements and welcome constructive feedback. By focusing on their responsibilities and enduring difficulties with patience and determination, they not only overcome adversity but also showcase their ability to thrive in restrictive environments. On the other hand, in more inclusive organizational contexts, however, queen bees are able to use their unique identities as tools to foster acceptance and understanding of diversity. They leverage their individuality and charm to create positive working environments and cultivate enjoyable learning atmospheres. Through fostering strong interpersonal relationships, demonstrating sincerity and authenticity, promoting understanding of diverse perspectives, inspire collaboration and inclusivity. Furthermore, they utilize their talents, skills and personal experiences to enhance their teaching practices, thereby inspiring students and contributing to professional excellence. Regardless of the organizational context, however, the self-conduct emphasized by all queen bees encompasses four core principles: (1) expressing their identities in an appropriate manner, (2) performing their duties with professionalism, (3) fostering positive relationships within the organization and (4) serving as exemplary role models for their students. Furthermore, the research identified specific guidelines for appropriate identity expression among LGBTQIAN+ government teachers. These guidelines emphasize aligning identity expression with the three established professional standards for teachers: (1) standards of professional knowledge and experience, (2) standards of professional practice and (3) standards of professional conduct (ethical codes). By adhering to these standards, these teachers can effectively fulfill their professional responsibilities while demonstrating the compatibility of their unique identities with their roles as educators.</p> Yuttana Khuntawiti, Wanwisa Suebnusorn Klaijumlang, Prompilai Buasuwan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280850 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมศึกษา แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279453 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 2 คน หัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ จำนวน 1 คน ครูผู้สอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 2 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 112 คน รวม 117 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ และ 3) แบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า การประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) พบว่า 1) ด้านจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ภาพรวม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.42, SD = 0.65 ) จึงแสดงให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2) ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.11, SD = 0.98) แสดงให้เห็นว่าการจัดประสบการณ์การเรียนรู้มีความสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 3) ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า 3.1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ 2 ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 73.91 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3.2) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานในรายวิชาคณิตศาสตร์ พบว่าระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับจังหวัดทั้งสองระดับชั้น 3.3) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พบว่า มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 82.34 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ 3.4) ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และการเขียน พบว่า มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 82.34 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ดังนั้น จากผลการวิจัย จึงทำให้เห็นว่าการประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีโดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ หลักสูตรสถานศึกษามีความสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แต่ควรมีการเพิ่มเติมวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน</p> กรวรรณ อบสุวรรณ, จุฑามาศ มาณะศิลป์, ชัยณรงค์ พุดจีบ, วิภาวรรณ เจรียมพันธ์, เหว่ย ซู ซาง, สิทธิพล อาจอินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279453 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเสริมสร้างคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279259 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการเสริมสร้างคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง มีประสบการณ์การสอนพลศึกษาระดับอุดมศึกษา ไม่น้อยกว่า 5 ปี และกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษาที่จะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 60 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้วิธีการจับฉลากแบบไม่มีการใส่คืน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมินรูปแบบ แบบทดสอบการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและตรวจสอบความถูกต้องแบบสามเส้าด้านผู้วิเคราะห์ข้อมูล จากผู้ช่วยนักวิจัย 3 คน ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ normality test และใช้สถิต non-parametric statistics Wilcoxon Matched-Pairs Signed-Rank Test และ Mann-Whitney U test ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการเสริมสร้างคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (PE Model) เป็นการเสริมสร้างคุณลักษณะด้านการจัดการเรียนรู้พลศึกษา ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparation) และขั้นการเสริมสร้าง (Enhancement) มีความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ และความถูกต้อง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) หลังการทดลองใช้รูปแบบนักศึกษากลุ่มทดลองมีคุณลักษณะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้านการจัดการเรียนรู้พลศึกษาสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ขจร ตรีโสภณากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279259 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280253 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยฉบับนี้เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน การบริหารระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ดัชนีความสอดคล้องมีค่าอยู่ในช่วง 0.80-1.00 และความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ 0.97 ทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ทั้งสิ้น 342 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยได้ข้อสรุปว่า องค์ประกอบการบริหารระบบนิเวศการเรียนรู้ของสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตประกอบด้วย 6 ด้าน 52 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) บุคคล (11 ตัวชี้วัด) 2) เทคโนโลยี (8 ตัวชี้วัด) 3) การออกแบบหลักสูตร (8 ตัวชี้วัด) 4) ความร่วมมือกับเครือข่าย (9 ตัวชี้วัด) 5) การบริหารจัดการทรัพยากร(8 ตัวชี้วัด) และ 6) ยุทธศาสตร์ในการดำเนินงาน (8 ตัวชี้วัด) มีความสัมพันธ์กลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยพิจารณาจากค่าสถิติ ดังนี้ ค่าสถิติไควสแควร์สัมพันธ์ (χ²/df) = 1.8238, CFI = 0.998, TLI = 0.994, SRMR = 0.010, RMSEA = 0.049 แต่ละองค์ประกอบมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานอยู่ในช่วง 0.837-0.939 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ขวัญทิรา ทิราวงศ์, สันติ บูรณะชาติ, โสภา อำนวยรัตน์, น้ำฝน กันมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280253 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการทำงานเป็นทีมต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280873 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและความต้องการจำเป็นของการพัฒนารูปแบบการทำงานเป็นทีมต่อการบริหารงานวิชาการ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายวิชาการสถานศึกษา จำนวน 6 คน และเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามความต้องการจำเป็น กับผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 388 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ 2) พัฒนารูปแบบการทำงานเป็นทีมต่อการบริหารงานวิชาการ ตรวจสอบรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน 3) ทดลองใช้รูปแบบกับครูผู้สอน จำนวน 24 คน และประเมินคุณภาพของรูปแบบตามแนวคิด Stufflebeam เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดความรู้ แบบประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพที่เป็นจริงพบว่าการทำงานเป็นทีมของบุคลากรขาดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และการวางแผนที่ชัดเจน และความต้องการจำเป็นด้านการติดต่อสื่อสารมากที่สุด (PNI Modified = 0.258) รองลงมาคือ ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ (PNI Modified = 0.256) และด้านการยอมรับนับถือ (PNI Modified = 0.255) 2) รูปแบบการทำงานเป็นทีมต่อการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ขั้นตอนดำเนินการ ขอบข่ายงาน แนวทางการประเมิน และเงื่อนไขความสำเร็จ 3) ผลการใช้รูปแบบการทำงานเป็นทีมพบว่า ครูผู้สอนมีความรู้และทักษะการทำงานทีมหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบด้านความถูกต้องมีการประเมินที่สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ นอกจากนี้ความเป็นประโยชน์ยังครอบคลุมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้เกี่ยวข้อง ในด้านความเหมาะสมสามารถพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม และความเป็นไปได้สามารถนำไปใช้ได้จริง พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> ซาบีลา เจ๊ะมิง, พิมพ์ปวีณ สุวรรณโณ, จรุณี เก้าเอี้ยน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280873 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของกิจกรรม เรื่อง ป่านั้นสำคัญไฉน ต่อการรู้สิ่งแวดล้อมและจริยธรรมสิ่งแวดล้อมของนักเรียนในจังหวัดน่าน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279645 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรม เรื่อง ป่านั้นสำคัญไฉน ต่อการรู้สิ่งแวดล้อมและจริยธรรมสิ่งแวดล้อม รวมถึงศึกษาแนวทางการใช้กิจกรรมให้มีประสิทธิผล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 104 คน ที่ได้มาจากการอาสาสมัครของโรงเรียนในจังหวัดน่าน จำนวน 4 แห่ง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณมีแบบแผนของการวิจัย คือ กลุ่มทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อนเรียนและหลังเรียน เก็บรวมรวมข้อมูลด้วยแบบวัดการรู้สิ่งแวดล้อมและจริยธรรมสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน การวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยการรู้สิ่งแวดล้อมและจริยธรรมสิ่งแวดล้อมของนักเรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรม ฯ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อมูลเชิงคุณภาพบ่งชี้ว่านักเรียนเกิดการรู้สิ่งแวดล้อมมากขึ้นแต่ยังไม่สมบูรณ์ จริยธรรมสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มไปทางกลุ่มที่ยึดระบบนิเวศเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นกิจกรรม ฯ นี้สามารถนำไปใช้ในโรงเรียนเพื่อส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อมและจริยธรรมสิ่งแวดล้อมในการอนุรักษ์ป่าให้กับเยาวชนได้ โดยมีแนวทางในการใช้กิจกรรม ฯ ให้เกิดผลสำเร็จ ดังนี้ เน้นการสอนแบบทีม แบ่งกลุ่มนักเรียนแบบคละชั้น สลับกิจกรรมตามความจำเป็น ปรับเปลี่ยนสถานที่ให้เหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติจริง จัดสรรเวลาให้นักเรียนสามารถทำงานเสร็จภายในโรงเรียน ใช้คำถามกระตุ้นความคิด และชี้แจงแนวทางปฏิบัติในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจน</p> ณวรา สีที, ศิวพร ละม้ายนิล, จรรยา ดาสา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279645 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ มาโคร โมเดล เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษา ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279545 <p>การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ 80/80 และศึกษาทักษะความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนรวมถึงเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พร้อมทั้งศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน โดยในการวิจัยมีนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2567 เข้าร่วม จำนวน 30 คน ซึ่งนักศึกษาเรียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ การศึกษานี้เป็นแบบกึ่งทดลองเก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์ แบบวัดผลสัมฤทธิ์และแบบสอบถาม จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบทดสอบ t-test เพื่อวิเคราะห์ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า ประสิทธิภาพของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตร่วมกับเทคนิคการสอนแบบมาโคร โมเดล มีค่าประสิทธิภาพ 82.92/83.50 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คะแนนความคิดสร้างสรรค์เท่ากับ 13.87 อยู่ในระดับดี ทั้งนี้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับ .05 และมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ที่ระดับมากที่สุด โดยนักศึกษาสามารถมือปฏิบัติ วิเคราะห์ สังเคราะห์ รวมถึงการระดมความคิด แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน จากกิจกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นตามแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้คิดค้นแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์</p> ทินนิกร เสมอโชค, อนล สวนประดิษฐ์, โยธิน จ่าแท่นทะรังค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279545 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสมรรถนะฉลาดรู้การประกอบสัมมาชีพโดยการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนรุ่งอรุณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280254 <p>การวิจัยนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะฉลาดรู้การประกอบสัมมาชีพ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา Financial Literacy Studio (สตูดิโอชีวิตเงินทองเป็นของมีค่า) ตอน Value Creator (ผู้สร้างมูลค่าสินค้า) หลังได้รับการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะฉลาดรู้การประกอบสัมมาชีพกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องเรียนที่ 2 โรงเรียนรุ่งอรุณ จำนวน 22 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน โดยในแต่ละแผนจะแสดงรายละเอียดของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากประสบการณ์ แบบประเมินสมรรถนะเฉพาะ และแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แตกต่างกัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบที (One-Sample T-Test) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า <br />1) นักเรียนจำนวน 20 คน จากนักเรียนจำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 90.91 ของนักเรียนทั้งหมด ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ มีสมรรถนะฉลาดรู้การประกอบสัมมาชีพอยู่ในระดับสามารถขึ้นไป 2) นักเรียนจำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 86.36 ของนักเรียนทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา Financial Literacy Studio ตอน Value Creator มากกว่าร้อยละ 70 <br />ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะฉลาดรู้การประกอบสัมมาชีพกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา Financial Literacy Studio ตอน Value Creator ของนักเรียน มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงมาก (ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.825) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ธีระศักดิ์ ธนากูลกวีพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280254 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง สำหรับเด็กปฐมวัยในจังหวัดชัยภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280202 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง 2) พัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง 4) ประเมินรูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 135 คน และเด็กปฐมวัย จำนวน 25 คน สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดชัยภูมิ เครื่องมือที่ใช้ 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น 2) แบบประเมินร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์ 3) แบบทดสอบวัดความรู้ในการจัดประสบการณ์ 4) แบบประเมินทักษะการจัดประสบการณ์ 5) แบบประเมินทักษะสมองของเด็กปฐมวัย 6) แบบประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์ 7) แบบประเมินคุณภาพรูปแบบการจัดประสบการณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า<br />1. สภาพปัจจุบันในการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีความต้องการจำเป็น โดยรวม เท่ากับ 0.46 <br />2. รูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนของกิจกรรม สื่ออุปกรณ์แหล่งเรียนรู้ การประเมินผล และระบบสนับสนุน โดยรวมมีความเหมาะสมมากที่สุด <br />3. ผลการใช้รูปแบบ <br />3.1 ครูผู้สอนมีคะแนนทดสอบก่อนการพัฒนาเฉลี่ย 20.70 คะแนน คะแนนทดสอบหลังการพัฒนาเฉลี่ย 29.13 คะแนน มีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ 28.11 มีทักษะการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง โดยรวมอยู่ในระดับมาก และมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <br />3.2 เด็กปฐมวัยมีทักษะสมอง โดยรวมอยู่ในระดับดี โดยมีพัฒนาการทักษะทางสมองเพิ่มขึ้นตามลำดับ <br />4. รูปแบบการจัดประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด </p> นิลรัตน์ โคตะ, สุนันท์ สีพาย, เทิดศักดิ์ สุพันดี, สกาวเดือน ไชยสา, เกษกนก วรรณวัลย์, ฐพัชร์ โคตะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280202 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 กุญแจสู่ความสำเร็จของการเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ สายงานการบริหารสถานศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280882 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษามุมมองของผู้บริหารสถานศึกษาต่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ 2) ศึกษาแรงจูงใจและความท้าทายของผู้บริหารสถานศึกษาในการเลื่อนวิทยฐานะสู่ระดับเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ และ 3) ศึกษาแนวทางการทำผลงานทางวิชาการในการเลื่อนวิทยฐานะสู่ระดับเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ สายงานการบริหารสถานศึกษา ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักจากผู้บริหารสถานศึกษาวิทยฐานะเชี่ยวชาญและวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ จำนวน 6 คน ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบพหุกรณีศึกษา ผู้วิจัยเป็นเครื่องมือวิจัย ซึ่งเก็บของมูลวิจัยโดยการใช้ข้อมูลเอกสาร วิเคราะห์เนื้อหา และการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้หลักเกณฑ์ของ Lincoln และ Guba ในการพิจารณาตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ผลการวิจัย พบว่า 1) มุมมองของผู้บริหารสถานศึกษาต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพเกิดจากการเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง การคาดหวังในผลลัพธ์ และการตั้งเป้าหมายส่วนบุคคล 2) แรงจูงใจและความท้าทายในการเลื่อนวิทยฐานะสู่ระดับเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษเกิดจากความต้องการด้านการดำรงอยู่ ความต้องการด้านความสัมพันธ์ และความต้องการด้านการเติบโต และ 3) แนวทางการทำผลงานแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม คือ ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน สำรวจบริบทและเลือกหัวข้อที่เหมาะสม ขั้นที่ 2 การดำเนินการและพัฒนาผลงานทางวิชาการ และขั้นที่ 3 ขั้นการตรวจสอบ</p> บุญฑริกา สามคูเมือง, พร้อมพิไล บัวสุวรรณ, สุดารัตน์ สารสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280882 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาองค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280813 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัย และตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนระดับปฐมวัยในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในประเทศไทย จำนวน 354 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสม แบบสอบถามเกี่ยวกับทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติเชิงบรรยาย การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านการควบคุม (3 ตัวชี้วัด) ด้านการค้นหาสาเหตุและรับผิดชอบต่อปัญหาของตนเอง (3 ตัวชี้วัด) ด้านผลกระทบที่จะมาถึง (3 ตัวชี้วัด) ด้านความคงทน (2 ตัวชี้วัด) 2) โมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันขององค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัยมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์พิจารณาจากค่าไค-สแควร์ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi^{2}" alt="equation" />(df = 35, n = 354) = 42.492, p = .101, CFI = .997, TLI = .993, RMSEA = .024, SRMR = .011) น้ำหนักองค์ประกอบขององค์ประกอบย่อยทั้ง 4 องค์ประกอบและตัวชี้วัดทั้ง 11 ตัว มีค่าระหว่าง 0.814 – 0.993 และ 0.637 – 0.816 ตามลำดับ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันขององค์ประกอบและตัวชี้วัดทักษะแห่งการเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญภัยอันตรายของเด็กปฐมวัยมีความตรงเชิงโครงสร้าง</p> ประทีป คงเจริญ, จุฑามาศ ประสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280813 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษา เชิงกลยุทธ์แบบควอนตัมต่อวัฒนธรรมองค์กร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280787 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัม 2) ระดับวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัม 3) ระดับวัฒนธรรมองค์กร 4) ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัมกับวัฒนธรรมองค์กร 5) อิทธิพลของวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัมต่อวัฒนธรรมองค์กร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดอ่างทอง จำนวน 250 คน จาก 14 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการเพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยนำมาคำนวณค่าสถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ย แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เพื่อศึกษาระดับของตัวแปรที่ศึกษาเพื่อนำมาคำนวณค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ระดับพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัม (M = 3.96, SD = .844) ระดับวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัม (M = 3.90, SD = .840) และระดับวัฒนธรรมองค์กร (M = 4.11, SD = .763) อยู่ในระดับมาก วัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับวัฒนธรรมองค์กรในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .789, p &lt; .001) และผลการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณชี้ให้เห็นว่าวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้บริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์แบบควอนตัมมีอิทธิพลเชิงบวกต่อวัฒนธรรมองค์กร สามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 63.90 (Adjusted R² = 0.639, F(2,247) = 221, p &lt; .01) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> วรกมล น้อยโสภณ, วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง, สุชาดา นันทะไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280787 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาการจัดการต้นทุนในธุรกิจอาหาร สำหรับการจัดการศึกษาแบบ Work - Integrated Learning https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280709 <p>จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องประเทศไทยจึงมีการวางกรอบการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนากลไกสำคัญ นั่นคือ มนุษย์ให้เป็นผู้รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองแบบไม่มีที่สิ้นสุด ธุรกิจอาหารเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ การพัฒนากำลังคนในธุรกิจนี้ให้มีความพร้อมและสามารถจัดการบริหารต้นทุนได้จะช่วยให้ประเทศพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติลดลง ซึ่งผู้เรียนที่อยู่ในการจัดการศึกษาแบบบูรณาการการเรียนกับการทำงานในสถานประกอบการ (Work - Integrated Learning: WIL) เป็นกลุ่มผู้เรียนที่ถูกฝึกให้ลงมือปฏิบัติในสถานประกอบการจริงควบคู่กับการเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียน การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นและจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาการจัดการต้นทุนในธุรกิจอาหารสำหรับการจัดการศึกษาแบบ WIL โดยตัวอย่างของการวิจัยนี้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2-3 คณะการจัดการธุรกิจอาหาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ที่ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาการจัดการต้นทุนในธุรกิจอาหาร ซึ่งอยู่ในรูปแบบของการให้ตอบข้อมูลแบบตอบสนองคู่ (Dual- Response Format) ระหว่างสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบันกับสภาพที่คาดหวังที่มีลักษณะเป็นมาตรการประมาณค่า 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Priority Needs Index (PNI modified) ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจำเป็นด้านวิธีการจัดการเรียนรู้ (PNI modified = 0.41) เป็นความต้องการจำเป็นสูงสุด รองลงมาคือ ด้านผู้เรียน (PNI modified = 0.40) ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้ผู้สอนลำดับความสำคัญได้ว่าเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้คือเรื่องใดที่ต้องทำเป็นลำดับแรก และนำไปออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมแก่ผู้เรียนต่อไปได้</p> ศศธร ชินชู, ศศิภา กันตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/280709 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยสื่อไมโครเลิร์นนิง เรื่องโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279330 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อไมโครเลิร์นนิงให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเรียนรู้โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนการเรียนรู้โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยสื่อไมโครเลิร์นนิง 3) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยสื่อไมโครเลิร์นนิง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมุทรปราการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย สื่อไมโครเลิร์นนิงและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติ Nonparametric Statistics ใช้วิธีทดสอบแบบ Wilcoxon signed rank test เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างก่อนทดลองกับหลังทดลอง ผลการวิจัย พบว่า คุณภาพสื่อไมโครเลิร์นนิงสำหรับการเรียนรู้โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.75, SD = 0.28) มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 84.94/83.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ผลการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบนำตนเองโดยใช้สื่อไมโครเลิร์นนิง เรื่องโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการวิเคราะห์ความคงทนคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยสื่อไมโครเลิร์นนิงเรื่องโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ พบว่า ความคงทนทางการเรียนลดลง จากหลังเรียนคะแนนเฉลี่ย 12.37 เป็นทดสอบหลังเรียน คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 11.13</p> แสงระวี กระฐินเทศ, กันยารัตน์ ศรีวิสทิยกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279330 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนามโนทัศน์การเรียนรู้เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ทางฟิสิกส์ ในสภาวะโรคระบาดโควิด-19 ด้วยนวัตกรรมห้องเรียนออนไลน์แห่งโลกเสมือนจริง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279393 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและออกแบบห้องเรียนออนไลน์แห่งโลกเสมือนจริงสำหรับจัดการเรียนรู้เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ รายวิชากลศาสตร์ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดและความท้าทายที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงการศึกษาผลการใช้นวัตกรรมดังกล่าวต่อการพัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาฟิสิกส์ ชั้นปีที่ 1 และประเมินความพึงพอใจและประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับ ผลการวิจัยพบว่า ห้องเรียนออนไลน์แห่งโลกเสมือนจริงที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินว่ามีคุณภาพในระดับสูง โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้เชี่ยวชาญว่าสามารถตอบสนองต่อความต้องการของการเรียนรู้ในสภาวะออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเชื่อมโยงความรู้ทฤษฎีผ่านปฏิบัติการทดลองเสมือนจริงเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการคิดเชิงระบบที่มีความลึกซึ้ง ผู้เรียนมีความเข้าใจเนื้อหาเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ได้ดียิ่งขึ้นช่วยแก้ไขปัญหามโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในบริบทที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้นักศึกษามีความพึงพอใจในด้านการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่น ลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา และส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้เรียนและผู้สอนผ่านกิจกรรมในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง การเรียนรู้ผ่านห้องเรียนออนไลน์แห่งโลกเสมือนจริงนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าใจเนื้อหาวิชากลศาสตร์และสามารถเสริมสร้างทักษะด้านเทคโนโลยีที่สำคัญในยุคดิจิทัลได้อย่างดี ดังนั้นการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมห้องเรียนออนไลน์แห่งโลกเสมือนจริงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาการเรียนการสอนในสภาวะที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงชั้นเรียนจริง สามารถขยายผลไปยังการเรียนรู้ในสาขาวิชาอื่น ๆ โดยช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนการพัฒนาทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะด้านเทคโนโลยีและทักษะในศตวรรษที่ 21 อย่างรอบด้านและยั่งยืน</p> วีระ พันอินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279393 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279985 <p>งานวิจัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัยเชิงนโยบาย มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ และการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4) ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน 2) นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนด้านการศึกษา ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดการนำนโยบายสู่การปฏิบัติและทฤษฎีการบริหารแบบมีส่วนร่วมเป็นกรอบในการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) รายงานผลการขับเคลื่อน SDG4 และแผนพัฒนาการศึกษาระดับจังหวัด 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยสรุป ได้ดังนี้ 1) ด้านการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ด้วยการเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกับเป้าประสงค์ ประเด็นยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับจังหวัด และดำเนินโครงการ/กิจกรรมเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานในทุกตัวชี้วัด ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วม คือ เปิดโอกาสให้บุคลากรร่วมเป็นคณะทำงานขับเคลื่อน SDG4 เพื่อร่วมคิด ร่วมรับผิดชอบ และร่วมดำเนินงานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างครอบคลุม เท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) แนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนด้านการศึกษา คือ (1) สร้างการรับรู้และมอบหมายผู้รับผิดชอบ (2) มองเป้าหมายร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ (3) บูรณาการและประสานความร่วมมือ (4) ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานรายตัวชี้วัด เพื่อนำไปสู่การทบทวน ปรับปรุง พัฒนา และ (5) จัดเก็บข้อมูลและจัดทำฐานข้อมูลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด </p> อัญชิสา แก้วจำนงค์, สุบิน ยุระรัช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279985 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนผู้เริ่มเรียน โรงเรียนคลองห้วยนาพัฒนาการ จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279219 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนผู้เริ่มเรียน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์สำหรับนักเรียนผู้เริ่มเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนผู้เริ่มเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น โรงเรียนคลองห้วยนาพัฒนาการ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 24 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ 3) แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – test dependent ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ มีค่าประสิทธิภาพ 86.90/87.36 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.58 คะแนน และ 26.21 คะแนน โดยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.88, SD = 0.08)</p> สิรินาถ สีนวน, สุพรทิพย์ ธนภัทรโชติวัต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279219 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279109 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ (2) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปีการศึกษา 2567 จำนวน 12 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 452 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า จำนวน 40 คน ที่มีคะแนนจากแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 25 ลงมา สุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ หลังเวลาเรียน โดยกลุ่มควบคุมไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์และโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัย พบว่า (1) โปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ เป็นชุดของกิจกรรมโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความคิดคล่อง ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่ม โดยมี 4 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำ ครูชี้แจงและอธิบายบทเรียนและการทำกิจกรรมให้กับผู้เรียนได้ทราบ ระบุบทบาทหน้าที่ของผู้เรียน และทำการเตรียมความพร้อมของผู้เรียน เช่น การทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ 2 ขั้นกิจกรรม ครูแบ่งกลุ่มผู้เรียนและดำเนินกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรม ขั้นที่ 3 ขั้นสะท้อนผลจากกิจกรรม ให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดและองค์ความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรม ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล ประเมินผลการเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนและทำกิจกรรมมาทั้งหมด (ประเมินตนเอง เพื่อนประเมิน ครูประเมิน) เพื่อให้ครูผู้สอนได้นำไปปรับปรุงในการจัดการเรียนต่อไป (2) นักเรียนกลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนกลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์สูงกว่านักเรียนกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อุมาพร อารมย์ฤทธิ์, ภารดี กำภู ณ อยุธยา, ธรรมโชติ เอี่ยมทัศนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/edujournal_nu/article/view/279109 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700