https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/issue/feed
วารสารมหาจุฬาคชสาร
2025-07-06T19:02:44+07:00
พระมหาวิศิต ธีรวํโส, รศ.ดร.
mcu.gajasa@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารมหาจุฬาคชสาร รับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ การบริหาร การจัดการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และศาสนา ปรัชญา บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ และได้ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Doubleblind Peer Review) ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์หรือบทวิจารณ์วรรณกรรม (Review Article) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมและการชำระค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</strong></p> <p><strong> อัตราค่าตีพิมพ์</strong> ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ <strong>จำนวน </strong><strong>3,500 บาท</strong>/บทความ </p> <p><strong> การชำระค่าธรรมเนียม</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ เจ้าของบทความจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความได้หลังจากได้รับการตอบกลับจากกองบรรณาธิการให้ชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งทางกองบรรณาธิการจักได้แจ้งรายละเอียดช่องทางการชำระแก่เจ้าของบทความได้ทราบทางอีเมล์ของท่าน</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/278172
การจัดทำชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอยสำหรับ โรงเรียนบ้านตราด ตำบลหนองแวง อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์
2024-12-15T21:00:40+07:00
พระมหาเอกพันธ์ วรธมฺมญฺญู
maduea.3511@gmail.com
พระครูสาธุกิจโกศล
maduea.3511@gmail.com
พระครูศรีสุนทรสรกิจ
maduea.3511@gmail.com
พระครูวิริยปัญญาภิวัฒน์
maduea.3511@gmail.com
พระปรัชญา ชยวุฑฺโฒ
maduea.3511@gmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 2) หาประสิทธิภาพชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย ที่ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย โดยใช้แบบแผนการวิจัยเป็นแบบ One – Group Pretest – Posttest Design กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตราด จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t – test for Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอยมีคุณภาพผ่านเกณฑ์การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ</p> <p> 2) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่ากับ 83.61/87.44</p> <p> 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2025-07-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/277562
การบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1
2024-12-14T10:15:41+07:00
สุทธิสาร คำหวาน
sutisan.khamwan@gmail.com
เมธาวี โชติชัยพงศ์
Methavee@rtu.ac.th
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา และ 2) ศึกษาการพัฒนาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และพี่เลี้ยงเด็กพิการ ปีการศึกษา 2566 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 270 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 46 คน และครูผู้สอน จำนวน 216 คน และพี่เลี้ยงเด็กพิการ จำนวน 8 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 253 คน คิดเป็นร้อยละ 93.70 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>การบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก</li> <li>การพัฒนาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา มีข้อเสนอการพัฒนาที่สำคัญ 3 อันดับแรก ดังนี้ 1) โรงเรียนควรจัดสรรงบประมาณในการรองรับในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทั้งภายในภายนอกโรงเรียนให้เอื้ออำนวยกับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างเหมาะสม 2) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูใช้เครื่องมือที่หลากหลาย และปรับเปลี่ยนวิธีการและเกณฑ์การวัด ประเมินผลให้เหมาะสมกับนักเรียนพิการ หรือนักเรียนที่มีความบกพร่อง และ 3) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครู และบุคลากรในโรงเรียนมีนวัตกรรมในการพัฒนาสื่อการสอน รูปแบบในการสอนที่น่าสนใจ โดยเน้นคุณภาพที่เกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ</li> </ol>
2025-07-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/277504
การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์เชิงรุกโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูในยุควิถีชีวิตใหม่ จังหวัดชัยภูมิ
2024-12-14T10:05:44+07:00
นฤมล ภูสิงห์
narumolpusing@gmail.com
อดุลย์ สนั่นเอื้อเม็งไธสงค์
adul.s@cpru.com
สมทรัพย์ ภูโสดา
suppku.bwk@gmail.com
สมภารธัชธรณ์ ศิโลศรีไช
somphan7145@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์เชิงรุกโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูในยุควิถีชีวิตใหม่ จังหวัดชัยภูมิ และ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูที่มีต่อรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์เชิงรุกโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ แบบทดสอบ แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>คะแนนประเมินสมรรถนะด้านความรู้ ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้เชิงรุกก่อนการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์เชิงรุกโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สำหรับครูในยุควิถีชีวิตใหม่ จังหวัดชัยภูมิ มีคะแนนเฉลี่ย 16.45 คิดเป็นร้อยละ 54.83 หลังการใช้รูปแบบการมีคะแนนเฉลี่ย 25.93 คิดเป็นร้อยละ 86.43 โดยหลังการใช้รูปแบบมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ</li> <li>ความคิดเห็นของครูที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์เชิงรุกโดยใช้กระบวนการกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูในยุควิถีชีวิตใหม่ จังหวัดชัยภูมิ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ด้านความครอบคลุม ความเป็นประโยชน์ ความเหมาะสม และด้านความเป็นไปได้</li> </ol>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/272482
วัฒนธรรมองค์การของโรงเรียนในสหวิทยาเขตหอไตร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ
2024-06-02T12:39:57+07:00
ศุภณัฐ กุลนาดา
s.kunnada@gmail.com
สุรางคนา มัณยานนท์
s.kunnada@gmail.com
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
s.kunnada@gmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์การของโรงเรียน และศึกษาข้อเสนอแนะการพัฒนาวัฒนธรรมองค์การของโรงเรียนในสหวิทยาเขตหอไตร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา ปีการศึกษา 2566 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 180 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 172 คน คิดเป็นร้อยละ 95.56 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และข้อคำถามปลายเปิด มีค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อ ระหว่าง .49 -.77 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>วัฒนธรรมองค์การของโรงเรียน โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านความเอื้ออาทร รองลงมา คือ ด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการยอมรับนับถือ</li> <li>ข้อเสนอแนะการพัฒนาวัฒนธรรมองค์การของโรงเรียน มีประเด็นที่สำคัญสูงสุด 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการตัดสินใจ ผู้บริหารควรตัดสินใจแบบคิดเร็ว ทำเร็ว เป็นขั้นเป็นตอน และอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมและเป็นไปได้ 2) ด้านความมุ่งประสงค์ของโรงเรียน ผู้บริหาร และครู ควรร่วมกันกำหนดแผนงาน โครงการของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและสภาพปัญหาปัจจุบันของโรงเรียน และ 3) ด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ผู้บริหารควรรับฟังความคิดเห็นของทุกคนในองค์การ และร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ร่วมมือแก้ปัญหา และช่วยกันระดมความคิดหาทางออกที่ดีที่สุด</li> </ol>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/274960
การพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ เรื่องตัวเรา โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-08-30T20:07:36+07:00
นโลบล คำเก่ง
sadongna@gmail.com
สมร ทวีบุญ
s.kunnada@gmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ตัวเรา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตัวเรา ก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษาและ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองสนมพะลาน จำนวน 18 คน โดยใช้การสุ่มแบบกลุ่มจากประชากร ที่เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาทุ่งศรีอุดม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 2 โรงเรียน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ได้แก่โรงเรียนบ้านหนองสนมพะลาน จำนวน 18 คนและโรงเรียนบ้านโนนใหญ่ จำนวน 14 คน รวมจำนวน 32 คน</p> <p>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ E1/E2 และการทดสอบค่าทีแบบ Dependent Samples</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา เรื่อง ตัวเรา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.78/82.78 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตัวเรา หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-09-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/276210
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับผลการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะพื้นฐาน ของโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาโดมประดิษฐ์และกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาโซง-สีวิเชียร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5
2024-08-20T10:43:19+07:00
หนึ่งฤทัย บุญพวง
nuengruethaiboonpuang@gmail.com
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
Nuengruethaiboonpuang@gmail.com
วลีรัตน์ ฉิมน้อย
Nuengruethaiboonpuang@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารของโรงเรียน 2) ศึกษาผลการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะของโรงเรียน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับผลการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียน กลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาโดมประดิษฐ์ และกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาโซง-สีวิเชียร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณ ค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อ ระหว่าง .53 - .91 และ .45- .87 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .97 และ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารของโรงเรียน โดยรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการตัดสินใจที่ชาญฉลาด อยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะพื้นฐานของโรงเรียน โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านความเข้าใจ อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการรู้คิด อยู่ในระดับมาก</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารกับผลการพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะพื้นฐานของโรงเรียน โดยรวม มีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/276706
การพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคำพื้นฐาน โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2024-08-21T08:32:44+07:00
ยุภาวรรณ ศรัทธาคลัง
yupha64@yahoo.com
วนิดา ผาระนัด
wanidapharanat@hotmail.com
สุรกานต์ จังหาร
k0949866424@gmail.com
<p> การจัดการเรียนการสอนภาษาไทยของโรงเรียนบ้านแคนในปัจจุบัน พบปัญหาการอ่านและ<br />การเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ<br />การเขียนคำพื้นฐาน จึงควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สามารถพัฒนาการเขียนของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ <br />ที่ส่งเสริมความสามารถการเขียนคำพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถ ด้านการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 14 คน ของโรงเรียน<br />บ้านแคน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />มี 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) แผนการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ จำนวน 12 แผน 2) แบบวัดความสามารถด้านการเขียนคำพื้นฐาน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t (One Sample t-test)</p> <p>ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการพัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ที่ส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนคำพื้นฐาน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.89/85.48 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด</li> <li>นักเรียนที่เรียนโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ<br />มีความสามารถด้านการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย หลังเรียนเท่ากับ ร้อยละ 85.48 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนคำพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p> โดยสรุป การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ สามารถพัฒนาความสามารถด้านการเขียนคำพื้นฐานของนักเรียน และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้<br />ในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/276064
The Lexical Landscape of Begin, Start, and Initiate: A Corpus-Based Analysis of English Synonyms
2024-08-20T10:33:17+07:00
Anawin Khlakheang
anawin.khl@dpu.ac.th
Amorn Cherngroongroj
amorn@live.com
<p> Synonyms can pose challenges for language learners, as Hemchua and Schmitt (2006) observed, particularly due to misunderstandings that arise from inappropriate word choices. This study employed a descriptive corpus-based research methodology, incorporating both quantitative analyses of frequency distributions and qualitative examinations of collocational patterns, to analyze the synonymous verbs “<em>begin</em>,” “<em>start</em>,” and “<em>initiate</em>,” which appeared in the Oxford 3000 and 5000 lists—key vocabulary for English learners. The study aimed to examine instances of these verbs in the Corpus of Contemporary American English, supplemented by data from Longman and Oxford Advanced Learner’s Dictionaries. By integrating corpus findings with dictionary insights, the study examined the frequency, distribution patterns, noun collocations, and semantic differences of these verbs. The analysis revealed that although “<em>begin</em>” and “<em>start</em>” were often interchangeable, “<em>start</em>” was preferred for scheduled events, while “<em>begin</em>” suggested initiation after deliberation. The verb “<em>initiate</em>” was predominantly used in formal and proactive contexts. These distinctions emphasized the importance of context in verb choice. By applying Mutual Information scores of 3 or above, the study uncovered significant collocational patterns, offering insights that extended beyond traditional lexical descriptions. The findings highlighted the pedagogical value of teaching vocabulary within contextual frameworks and demonstrated the potential of corpus linguistics in improving English as a Foreign Language instruction in contemporary educational settings.</p>
2025-09-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/279600
คุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้เข้าพักใน บังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
2025-01-19T21:14:01+07:00
ศิวาวุธ วันสูงเนิน
siwawut@smarttelebiz.com
อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ
siwawut@smarttelebiz.com
ปกรณ์ ปรียากร
siwawut@smarttelebiz.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพการให้บริการของบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 2) ปัจจัยการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้เข้าพักในบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร และ 3) คุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้เข้าพักในบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้เข้าพักในบังค์เบดโฮสเทล กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีของทาโร่ ยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.978 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการของบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยรวมมีคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความเป็นรูปธรรมของการให้บริการ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ ด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ด้านความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้รับบริการ และด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ ตามลำดับ <br />2) ปัจจัยการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้เข้าพักในบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และ 3) คุณภาพการให้บริการมีผลต่อการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้เข้าพักในบังค์เบดโฮสเทล เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นไปในทิศทางเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และแสดงให้เห็นว่า คุณภาพการให้บริการของบังค์เบดโฮสเทลด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ด้านความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้รับบริการ ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ ด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ และด้านความเป็นรูปธรรมของการให้บริการ ส่งผลให้ผู้เข้าพักเกิดความพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำอีกในอนาคต</p>
2025-09-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/276853
สมรรถนะในตนเองของผู้บริหารสถานศึกษาสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ ความผันผวนของโลก ของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2024-08-31T15:28:40+07:00
กนกวรรณ ไชยโกฏิ
Chaiyakot2053@gmail.com
เมธาวี โชติชัยพงศ์
Methavee@rtu.ac.th
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
Methavee@rtu.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะในตนเองของผู้บริหารสถานศึกษาสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก และนำเสนอการพัฒนาสมรรถนะในตนเองของผู้บริหารสถานศึกษาสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก ของโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 126 คน มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 123 คน คิดเป็น 97.62% เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>สมรรถนะในตนเองของผู้บริหารสถานศึกษาสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ความผันผวน ของโลก โดยรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านความสามารถในการกำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมกันในการบริหารงานทั่วไป และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความคล่องตัวในการเรียนรู้ในการบริหารงานวิชาการ</li> <li>การพัฒนาสมรรถนะในตนเองของผู้บริหารสถานศึกษาสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก มีข้อเสนอที่สำคัญ ได้แก่ 1) ผู้บริหารควรให้ความสำคัญในนำระบบวงจรคุณภาพ PDCA มาใช้เพื่อให้ในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษามีความคล่องตัว และเป็นฐานในการขับเคลื่อนให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน 2) ผู้บริหารควรจัดให้มีงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และ 3) ผู้บริหารควรมีการวางแผนงานวิชาการรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันต่อความเปลี่ยนแปลง และกำหนดความจำเป็นที่สำคัญและจัดลำดับการเปลี่ยนแปลงได้</li> </ol>
2025-11-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/281069
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนโสตศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
2025-01-29T01:26:22+07:00
ชลันธร สุ่มมาตย์
tongch.sum@gmail.com
ธันยาภรณ์ นวลสิงห์
nui_thanya@yahoo.com
<p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการทำงาน เป็นทีมของครูโรงเรียนโสตศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ <br />2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมของครู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูโรงเรียน<br />โสตศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 278 คน ใช้วิธีการการสุ่มแบบหลายขั้นตอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือ<br />ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ โดยค่าความเชื่อมั่นของตอนสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.961 และสภาพที่พึงประสงค์ เท่ากับ 0.988 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และ 3) แบบประเมินโปรแกรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การทำงานเป็นทีมของครู มีสภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ<br />มีสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมของครู เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1 ด้านการเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีภายในทีม 2 ด้านการประเมินและพัฒนาประสิทธิภาพของทีม 3 ด้านการกำหนดบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ 4 ด้านการกำหนดวิธีการทำงานของทีม และ 5 ด้านการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ตามลำดับ และ 2) โปรแกรมเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมของครูโรงเรียนโสตศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์โปรแกรม 3) เนื้อหาโปรแกรม 4) วิธีดำเนินการโปรแกรม และ 5) การตรวจสอบและประเมินผลโปรแกรม ผลการประเมินโปรแกรมพบว่า โปรแกรมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก</p>
2025-11-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/281025
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2
2025-01-29T00:38:02+07:00
ภัทรวดี เสนาเนียร
pattara.snn@gmail.com
ยุวธิดา ชาปัญญา
chapan.chapan2@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำ<br />การเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 335 คน โดยใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้น และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารที่มีแนวปฏิบัติที่ดี และผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินโปรแกรม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และ<br />แบบประเมินโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความสำคัญลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNImodified) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำ<br />การเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นสูงสุด ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ สภาพแวดล้อม และการเรียนรู้เป็นทีม โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบ 5 ด้าน และใช้แนวทางพัฒนา 70:20:10 ซึ่งได้รับการประเมินว่า <br />มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับสูงสุด การอภิปรายผลระบุว่า ภาวะผู้นำการเรียนรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาสถานศึกษา การพัฒนาโปรแกรมที่ครอบคลุมแนวคิดการเรียนรู้เป็นทีม การบูรณาการ และเทคโนโลยีเป็นแนวทางที่เหมาะสม โปรแกรมนี้สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา<br />ในหน่วยงานอื่นต่อไป และควรมีการศึกษาผลลัพธ์การใช้โปรแกรมในระยะยาว</p>
2025-11-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร