วารสารมหาจุฬาคชสาร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara <p>วารสารมหาจุฬาคชสาร รับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ การบริหาร การจัดการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และศาสนา ปรัชญา บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ และได้ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Doubleblind Peer Review) ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์หรือบทวิจารณ์วรรณกรรม (Review Article) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมและการชำระค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</strong></p> <p><strong> อัตราค่าตีพิมพ์</strong> ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ <strong>จำนวน </strong><strong>3,500 บาท</strong>/บทความ </p> <p><strong> การชำระค่าธรรมเนียม</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ เจ้าของบทความจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความได้หลังจากได้รับการตอบกลับจากกองบรรณาธิการให้ชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งทางกองบรรณาธิการจักได้แจ้งรายละเอียดช่องทางการชำระแก่เจ้าของบทความได้ทราบทางอีเมล์ของท่าน</p> มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ th-TH วารสารมหาจุฬาคชสาร 2774-0714 การจัดทำชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอยสำหรับ โรงเรียนบ้านตราด ตำบลหนองแวง อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/278172 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 2) หาประสิทธิภาพชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย ที่ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย โดยใช้แบบแผนการวิจัยเป็นแบบ One – Group Pretest – Posttest Design กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตราด จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t – test for Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอยมีคุณภาพผ่านเกณฑ์การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ</p> <p> 2) ชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่ากับ 83.61/87.44</p> <p> 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านขยะมูลฝอย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> พระมหาเอกพันธ์ วรธมฺมญฺญู พระครูสาธุกิจโกศล พระครูศรีสุนทรสรกิจ พระครูวิริยปัญญาภิวัฒน์ พระปรัชญา ชยวุฑฺโฒ Copyright (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร 2025-07-06 2025-07-06 16 2 1 12 การบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/277562 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา และ 2) ศึกษาการพัฒนาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และพี่เลี้ยงเด็กพิการ ปีการศึกษา 2566 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 270 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 46 คน และครูผู้สอน จำนวน 216 คน และพี่เลี้ยงเด็กพิการ จำนวน 8 คน ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 253 คน คิดเป็นร้อยละ 93.70 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>การบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา โดยรวมและรายด้าน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก</li> <li>การพัฒนาการบริหารจัดการเรียนรวมตามกรอบโครงสร้างซีท (SEAT Framework) เพื่อประสิทธิผลของโรงเรียนระดับประถมศึกษา มีข้อเสนอการพัฒนาที่สำคัญ 3 อันดับแรก ดังนี้ 1) โรงเรียนควรจัดสรรงบประมาณในการรองรับในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทั้งภายในภายนอกโรงเรียนให้เอื้ออำนวยกับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างเหมาะสม 2) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูใช้เครื่องมือที่หลากหลาย และปรับเปลี่ยนวิธีการและเกณฑ์การวัด ประเมินผลให้เหมาะสมกับนักเรียนพิการ หรือนักเรียนที่มีความบกพร่อง และ 3) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครู และบุคลากรในโรงเรียนมีนวัตกรรมในการพัฒนาสื่อการสอน รูปแบบในการสอนที่น่าสนใจ โดยเน้นคุณภาพที่เกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ</li> </ol> สุทธิสาร คำหวาน เมธาวี โชติชัยพงศ์ Copyright (c) 2025 วารสารมหาจุฬาคชสาร 2025-07-06 2025-07-06 16 2 13 28