วารสารมหาจุฬาคชสาร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara <p>วารสารมหาจุฬาคชสาร รับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ บริหารธุรกิจ การจัดการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ และได้ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Doubleblind Peer Review) ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์หรือบทวิจารณ์วรรณกรรม (Review Article) บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมและการชำระค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</strong></p> <p><strong> อัตราค่าตีพิมพ์</strong> ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ <strong>จำนวน </strong><strong>3,500 บาท</strong>/บทความ </p> <p><strong> การชำระค่าธรรมเนียม</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์บทความ เจ้าของบทความจะสามารถชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความได้หลังจากได้รับการตอบรับตีพิมพ์เผยแพร่บทความจากกองบรรณาธิการวารสาร ซึ่งทางกองบรรณาธิการจักได้แจ้งรายละเอียดช่องทางการชำระแก่เจ้าของบทความได้ทราบทางอีเมล์</p> th-TH [email protected] (พระมหาวิศิต ธีรวํโส, ผศ.ดร.) [email protected] (กองบรรณาธิการ) Tue, 26 Dec 2023 08:00:10 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 คุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266758 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง และ 2) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษาและอาชีพ ประชากรกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มาใช้บริการสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ.2566 โดยใช้สูตรการคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่าง กรณีไม่ทราบจำนวนประชากรจากสูตรของ Cochran (Cochran, 1953) ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 384 คน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มความน่าเชื่อถือของขนาดกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยจึงได้เพิ่มขนาดกลุ่มตัวอย่างเป็นจำนวน 400 คน และใช้วิธีเก็บข้อมูลแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ วิเคราะห์โดยใช้ค่าสถิติ t-test Independent กรณีตัวแปร 2 ตัว และวิเคราะห์โดยใช้วิธี F-test กรณีตัวแปรมากกว่า 2 ตัว ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.10, S.D = .439) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปหาด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำ ดังนี้ ด้านการให้บริการอย่างเสมอภาค ด้านการให้บริการอย่างเพียงพอ ด้านการให้บริการที่ตรงต่อเวลา ด้านการให้บริการอย่างก้าวหน้า และด้านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ตามลำดับ</li> <li>เปรียบเทียบผลการศึกษาคุณภาพการให้บริการของสำนักงานที่ดินบุรีรัมย์ สาขานางรอง จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ พบว่า โดยภาพรวมไม่มีความแตกต่างกัน</li> </ol> สถาพร วิชัยรัมย์, ประชัน คะเนวัน, ธัญญรัตน์ พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ, สากล พรหมสถิตย์, ธนพัฒน์ จงมีสุข Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266758 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 โมเดลการจัดการขยะชุมชนเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนบ้านโนนสมบูรณ์ ตำบลหนองตาด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266939 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการขยะชุมชน 2) เพื่อศึกษาสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการบริหารจัดการขยะชุมชน 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวบ่งชี้ลักษณะการจัดการขยะชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนบ้านโนนสมบูรณ์ จำนวน 300 คน ได้มาจากการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 3 ตอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ องค์ประกอบเชิงยืนยันและแบบจำลองสมการโครงสร้างโดยใช้โปรแกรมสถิติ JASP v.0.16.4.0 ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ระดับการมีส่วนร่วมการบริหารจัดการขยะชุมชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันผ่านเกณฑ์โดยมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.372 ถึง 0.986 ค่า KMO เท่ากับ 0.927 มีความสัมพันธ์เชิงบวกเหมาะสมในการใช้วิเคราะห์องค์ประกอบ</li> <li class="show">วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันปัจจัยที่ส่งผลมี 3 องค์ประกอบ 28 ตัวบ่งชี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อลักษณะการบริหารจัดการขยะชุมชนมีความตรงเชิงโครงสร้างและสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีที่ผ่านเกณฑ์ทุกค่า คือ = 1738.627, df = 489, P-value = 0.000, GFI = 0.882, AGFI = 0.951, RMSEA = 0.033, SRMR = 0.052 และ /df) = 3.55</li> </ol> สากล พรหมสถิตย์, ธนพัฒน์ จงมีสุข, รชต อุบลเลิศ, ธัญญรัตน์ พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266939 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 STRUGGLING FOR PhD: A LIFE STORY OF A THAI UNIVERSITY TEACHER https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266336 <p> Getting a doctorate degree while teaching at a university has become a norm that most teachers dream about. It might be true that once you become a PhD holder, you will receive higher payment, recognition, position, and self-confidence in return. However, the path towards the degree comes with psychological stress, financial burden, self-isolation, and, in many cases, illnesses. In this study, a PhD student shared her life's story of a six-year-long struggle with all the problems on the path towards her goal. The study utilized a qualitative methodology and collected data through a series of in-depth interviews. The narrative inquiry approach was adopted to report on the subject's life story, reflecting her physical and mental struggles amid the pressures surrounding her during the PhD study. The study also found that miscalculation and lack of readiness can lead a PhD student's life to unbearable despair. It is advised that PhD program management should ensure professionalism and provide measures to assist PhD students in timely graduation. </p> Yongyut Khamkhong, Sasiwimon Phlaichum, Phraplad Sura Yanatharo Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266336 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261821 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง ซึ่งสามารถนำผลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้เป็นแนวทางพัฒนาปัจจัยแรงจูงใจในการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยอง จำนวน 120 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าแสดงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>1. ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยองมีระดับความคิดเห็น อยู่ในระดับมาก ( = 4.18, S.D. = .211) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังต่อไปนี้ ความมั่นคงในงาน ( = 4.47 S.D. = .362) รองลงมา ได้แก่ ความก้าวหน้า ( = 4.39, S.D. = .617) ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ( = 4.30, S.D. = .385) การยอมรับนับถือ ( = 4.29, S.D. = .513) ค่าตอบแทน ( = 4.22, S.D. =.301) ลักษณะงานที่ปฏิบัติ ( = 4.12, S.D. = .478) ความรับผิดชอบ ( = 4.10, S.D. = .248) ความสำเร็จในการทำงาน ( = 4.09, S.D. = .293) นโยบายและการบริหาร ( = 4.05, S.D. = .606) และความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ( = 3.81, S.D. = .434)</li> <li>2. ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยองโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.22, S.D. = .211) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังต่อไปนี้ ได้แก่ ด้านปริมาณงาน ( = 4.26, S.D. = .320) รองลงมาด้านค่าใช้จ่าย ( = 4.20, S.D. =.373) ด้านคุณภาพของงาน ( = 4.22, S.D. = .333) และด้านเวลา ( = 4.18, S.D. = .447)</li> <li>3. ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการศาลยุติธรรมในจังหวัดระยองเป็นไปในทิศทางเชิงบวก ได้แก่ ด้านความสำเร็จในการทำงาน และด้านค่าตอบแทน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามลำดับ</li> </ol> อินทร์แปลง ไชยโคตร, รังสรรค์ ประเสริฐศรี, อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261821 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้ ผจญภัยไปด้วยกัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261897 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานของนักเรียน<br />ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ ผจญภัยไปด้วยกัน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 <br />2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ ผจญภัยไปด้วยกัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา<br />ปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน 3) ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน <br />กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองไผ่ล้อม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 29 คน โดยการสุ่ม<br />แบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.65/76.90 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p> <p> 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ ผจญภัยไปด้วยกัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา<br />ปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3) ผลการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน พบว่านักเรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาระดับดี จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 51.72 นักเรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาระดับพอใช้ จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 48.28 </p> เสาวรส งามเกลี้ยง, นฤมล ภูสิงห์ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261897 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนจากผักตบชวา เป็นสินค้าเทรนด์ใหม่ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/262104 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ของใช้จากวัสดุธรรมชาติของชุมชน ออกแบบพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์จากวัสดุผักตบชวา ร่วมกับวัสดุธรรมชาติ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) บนฐานการมีส่วนร่วม และประเมินความคิดเห็นต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้น ด้วยวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักจากการเลือกแบบเจาะจงที่เป็นกลุ่มผู้แปรรูปผักตับชวาและกลุ่มหัตถกรรมจักสาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และตัวอย่างจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ที่ได้จากการเลือกแบบบังเอิญ ด้วยเครื่องมือแบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่ออกแบบและพัฒนาขึ้น โดยมีกระบวนการด้านการออกแบบ ได้แก่ ต้นฉบับเพื่อการผลิตแบบจำลอง และต้นแบบผลิตภัณฑ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กลุ่มอาชีพผู้แปรรูปผักตบชวา ตำบลลุ่มลำชี อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ใช้วัตถุดิบในชุมชนเป็นหลักปัจจุบันไม่ประสบปัญหามสามารถทำการผลิตสินค้าได้ โดยแบ่งปัญหาที่พบ ในด้านการผลิต พบว่า ในช่วงฤดูฝนประสบปัญหาน้ำท่วม วัตถุดิบประสบปัญหาไม่สามารถนำมาผลิตสินค้าได้ เนื่องจากเส้นใยผักตบชวาจะขึ้นเพราะความชื้น และปัญหาเนื่องจากผู้ผลิตเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ว่างจากงานด้านการเกษตรและเลี้ยงดูบุตรหลาน ด้านการผลิต กลุ่มยังไม่มีแผนการขยายแรงงานหรือกำลังผลิต เนื่องจากส่วนมากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงเกิดความไม่ต่อเนื่องและขาดแคลนแรงงานนการผลิตในช่วงเกษตรกรรม ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พบว่า ขาดการพัฒนารูปแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ยังเป็นดั้งเดิม มีการพัฒนาต่อเนื่องด้วยตนเอง และตามข้อเสนอแนะจากลูกค้า ด้านการตลาด เน้นที่ตลาดภายในจังหวัดเป็นหลัก ไม่มีการส่งเสริมการตลาดอีกทั้งยังมีคู่แข่งทางการค้าสินค้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก โดยยังขาดการส่งเสริมและข้อมูลในการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง </li> <li>การออกแบบพัฒนาและประเมินผลผลิตภัณฑ์ มีการประเมินความคิดเห็นในภาพรวมจัดอยู่ในระดับมากที่สุดสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเครื่องเรือน (ประเภทเฟอร์นิเจอร์) มากที่สุด รองลงมาเป็นแจกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อรูปแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ คือ ผลิตภัณฑ์มีความแข็งแรงในการใช้งาน รองลงมาเป็นรูปแบบของการเลือกใช้วัสดุประกอบที่เหมาะสมกับการใช้งาน ตามลำดับ</li> <li>การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากผักตบชวาและวัสดุธรรมชาติ ในรูปแบบของเครื่องเรือน ประเภทเฟอร์นิเจอร์ โดยมีการประเมินความพึงพอใจของผลิตภัณฑ์พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้น พฤติกรรมการซื้อและปัจจัยที่มีอิทธิพลในการซื้อ พบว่า มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ในการเลือกใช้วัสดุประกอบที่เหมาะสมต่อการใช้งาน อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาเป็นด้านออกแบบมีความแปลกใหม่จากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ด้านมีความเป็นเอกลักษณ์ของงาน และด้านลวดลายที่สวยงาม ตามลำดับ </li> </ol> ดุษฎีพร หิรัญ, สุรวุฒิ สุดหา Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/262104 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรสองวัยสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและเด็กปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/262789 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรสองวัยสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและเด็กปฐมวัยในตำบลนาเสียว จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้แบ่งเป็น 4 ระยะคือ ระยะที่ 1กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูผู้ดูแลเด็ก จำนวน 11 คน ตัวแทนผู้ปกครองเด็ก จำนวน 20 คน จำนวน 4 ศูนย์ รวมจำนวน 31 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะที่ 2 การสร้างและพัฒนาหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ประเมินคุณภาพโครงร่างการพัฒนาหลักสูตร ระยะที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร กลุ่มเป้าหมาย เด็กปฐมวัยศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะที่ 4 ผลการทดลองใช้ ประเมินหลักสูตรและความพึงพอใจของครูผู้ดูแลเด็กต่อหลักสูตร จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถามความต้องการ แบบประเมินคุณภาพโครงร่าง แบบประเมินความสอดคล้องของเอกสารประกอบหลักสูตร แบบสังเกตพฤติกรรมจากการจัดประสบการณ์ แบบสังเกตพฤติกรรมก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ และแบบวัดความพึงพอใจของครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในการนำหลักสูตร มาใช้ในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร ผู้ปกครองและครูผู้ดูแลศูนย์เด็กเล็กตำบล นาเสียว ต้องการ และจัดหลักสูตรในกิจกรรมเสริมประสบการณ์</p> <p>2) ผลการพัฒนาหลักสูตร เป็นการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ผลปรากฏว่าองค์ประกอบของ หลักสูตร มีความเหมาะสมระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.35 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.21 องค์ประกอบหลักสูตรมีความสอดคล้องกันทุกข้อ โดยมีค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00</p> <p> 3) ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่าหลักสูตรมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.17/ 86.67 </p> <p> 4) ผลการประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตร ก่อนและหลังการใช้หลักสูตรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้หลักสูตร อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.60</p> ชวนพิศ รักษาพวก, เพียงแข ภูผายาง Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/262789 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 A Comparison of the Effect of Game-Based and Story-Telling Learning Methods on Chinese Academic Achievement and Attitude Toward Learning Chinese as a Foreign Language in Thailand-Based Kindergarten 1 Students https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264617 <p>This quasi-experimental quantitative study was aimed at comparing the Chinese academic achievement and attitude toward learning Chinese as a foreign language (CFL) among Kindergarten 1 (K1) students under the game-based (as intervention) and story-telling (as traditional instruction) learning methods at an international school in Thailand. A 3-week intervention was implemented on a convenience sample of two K1 classes, enrolled at the target school during the academic year 2022-2023. For the data collection, the Chinese monthly test for November 2022, and the Attitude Toward Learning Chinese as a Foreign Language Questionnaire (adapted from Gardner, 2010), were used. Data analysis was conducted using descriptive statistics (i.e., frequencies, percentages, means and standard deviations) and comparative analysis (using independent samples <em>t</em>-tests) on the collected data. From the data analysis, it was found that:</p> <ol> <li>K1 students had an average gain of 5.18 ± 2.68 points in Chinese academic achievement after learning under the game-based learning method;</li> <li>K1 students had an average gain of 4.28 ± 2.40 points in Chinese academic achievement after learning under the story-telling learning method;</li> <li>a larger gain in attitude toward learning CFL was observed for K1 students after studying under the game-based learning method (0.38 ± 0.29) than for those under story-telling learning method (0.15 ± 0.34);</li> <li>no significant difference (α = .05) was found in the gain in Chinese academic achievement between the students learning under the game-based learning method and those learning under story-telling learning method; and</li> <li>there was a significant difference (α = .05) in the gain in attitude toward learning CFL between the students using game-based and story-telling learning methods.</li> </ol> Min Liu, Orlando González Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264617 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง สะเต็มศึกษาโดยกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพและเครือข่ายสังคมออนไลน์สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264856 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 3) ประเมินรูปแบบ วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะตามวัตถุประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป จำนวน 25 คน ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการสอน 2) แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 3) แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา และ 5) แบบประเมินคุณลักษณะความเป็นครู วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test (Dependent Samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>รูปแบบการสอนที่สร้างชึ้น มี 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 3.1) สร้างห้องเรียนออนไลน์ 3.2) พัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 3.3) จัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 3.4) ประเมินผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา 4) การประเมินรูปแบบ 5) เงื่อนไขของการนำรูปแบบไปใช้และ 6) ระบบสนับสนุน</li> <li>นักศึกษาวิชาชีพครูมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.39) มีพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้โดยตามแนวทางสะเต็มศึกษา โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.36) และมีคุณลักษณะ ความเป็นครูโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.53)</li> <li>รูปแบบการสอนมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.54)</li> </ol> นฤมล ภูสิงห์, สุรินทร์ ภูสิงห์, ดุษฎีพร หิรัญ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264856 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลของคุณภาพบริการและการตลาดแบบดิจิทัลต่อความภักดีของลูกค้า ร้านเค้ก ฟอร์ยู คาเฟ่ จังหวัดชัยภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268034 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพบริการต่อความภักดีของลูกค้าร้านเค้ก ฟอร์ยู คาเฟ่ จังหวัดชัยภูมิ และเพื่อศึกษาอิทธิพลของการตลาดแบบดิจิทัลต่อความภักดีของลูกค้าร้านเค้ก ฟอร์ยู คาเฟ่ จังหวัดชัยภูมิ ประชากรของการศึกษานี้ คือ ลูกค้าที่เคยใช้บริการร้านเค้ก ฟอร์ยู คาเฟ่ จังหวัดชัยภูมิ โดยมีกลุ่มตัวอย่างร่วมการศึกษานี้ จำนวน 458 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวกเลือกตัวอย่าง ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติพรรณนาที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้การถดถอยพหุคูณ ในการทดสอบสมมติฐาน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพบริการในทุกมิติ คือ ความน่าเชื่อถือ การตอบสนอง การให้ความมั่นใจ การเอาใจใส่ และสิ่งที่สัมผัสได้ มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าต่อร้าน นอกจากนั้นการตลาดแบบดิจิทัล ในด้านการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ ช่องทางการกระจายสินค้าออนไลน์ และด้านการสื่อสารปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าต่อร้าน เช่นกัน</p> อัครวัตร อรชร, ณัฐพล พันธุ์ภักดี Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268034 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลของการฟื้นฟูการบริการต่อความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อประกันภัยรถยนต์ซ้ำ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268048 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการฟื้นฟูการบริการของลูกค้า 2) เพื่อศึกษาระดับความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อประกันภัยรถยนต์ซ้ำ และ3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของความพึงพอใจในการฟื้นฟูการบริการกับความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อประกันภัยรถยนต์ซ้ำ ประชากรในการศึกษานี้คือ กลุ่มผู้ที่เคยซื้อประกันภัยรถยนต์และมีประสบการณ์การร้องเรียนกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด โดยมีกลุ่มตัวอย่างขนาด 440 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31 – 40 ปี มีสถานภาพโสด มีการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 40,000 บาท และมีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน การฟื้นฟูการบริการอยู่ในระดับมาก และความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อประกันภัยรถยนต์ซ้ำอยู่ในระดับมาก ผลการศึกษาพบว่า ความพึงพอใจในการฟื้นฟูการบริการ ด้านความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา และการชดเชยสิ่งที่มีคุณค่า มีอิทธิพลต่อความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อประกันภัยรถยนต์ซ้ำกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด</p> ชญาลัช ปานมณี, ณัฐพล พันธุ์ภักดี Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268048 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268150 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 กำหนดกลุ่มตัวอย่าง<br />ที่ใช้ในการวิจัยจากตาราง Krejcie and Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 152 คน มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 140 คน คิดเป็นร้อยละ 92.11 จำแนกเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 2 คน และครูผู้สอน 138 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณ 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 แบบศึกษาความเป็นไปได้ และความเหมาะสมมีค่า IOC อยู่ระหว่าง .67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>สภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการกระตุ้นทางปัญญาเพื่อกำหนดเป้าหมายวิสัยทัศน์และพันธกิจของโรงเรียนที่มุ่งพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลเพื่อกำหนดเป้าหมายวิสัยทัศน์และพันธกิจของโรงเรียนที่มุ่งพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 คือ 1) ผู้บริหารโรงเรียนควรมีเป้าหมาย วิสัยทัศน์และพันธกิจที่ชัดเจน 2) ผู้บริหารโรงเรียนควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันเป็นทีม 3) ผู้บริหารโรงเรียนควรมีการประเมินการปฏิบัติงาน ที่เป็นมาตรฐานและเป็นระบบ 4) ควรเพิ่มงบประมาณในการสนับสนุนการทำงานเป็นทีม 5) ผู้บริหารโรงเรียนควรสร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมงานเสมอ 6) พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาชีพอย่างเต็มศักยภาพ และ 7) ผู้บริหารโรงเรียนควรเคารพและยอมรับ ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพความแตกต่างระหว่างบุคคลของครูและผู้เรียน</li> </ol> ไกรสร ศรีมงคล, เมธาวี โชติชัยพงศ์ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/268150 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระครูปทุมเขตบริบาล (เนื่อง อคฺควํโส) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/263462 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทพัฒนาชุมชน 2) ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และ 3) ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของพระครูปทุมเขตบริบาล (เนื่อง อคฺควํโส) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาจากเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก แล้ววิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>แนวคิดเกี่ยวกับบทบาทพัฒนาชุมชน เป็นแนวคิดด้านมนุษย์นิยมที่เน้นการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและคุณธรรม และแนวคิดแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นแนวคิดที่องค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรที่เกินความจำเป็น โดยคำนึงถึงการพัฒนาแบบองค์รวมอย่างสมดุลใน 5 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม และการเมือง</p> <p>บทบาทการพัฒนาชุมชนของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มี 6 ด้าน คือ (1) ด้านจิตวิญญาณของชุมชน สอนประชาชนให้นำหลักพุทธธรรมไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน (2) ด้านวัฒนธรรม ให้วัดเป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม เป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมต่าง ๆ ของชุมชน (3) ด้านสาธารณสุข ส่งเสริม สุขภาวะของคนในชุมชน (4) ด้านสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชุมชน (5) ด้านสังคม พระสงฆ์เป็นบุคคลต้นแบบที่ดี (6) ด้านเศรษฐกิจ สอนประชาชนประกอบสัมมาอาชีวะ และอยู่แบบพอเพียง</p> <p>บทบาทการพัฒนาชุมชนของพระครูปทุมเขตบริบาล (เนื่อง อคฺควํโส) มี 6 ด้าน คือ (1) ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิต (2) ด้านการศึกษา (3) ด้านผู้นำทางจิตวิญญาณ (4) ด้านสังคมสงเคราะห์ (5) ด้านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และ (6) ด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนา สอนให้ประชาชนให้ยึดตามหลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ของพระพุทธเจ้า และกลยุทธ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่ทันสมัย</p> พระครูใบฏีกาณวัฒน์ อรุโณ (กำลังรัมย์), ภัฎชวัชร์ สุขเสน, ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/263462 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269557 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการบริหารงานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัย และ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร จำนวน 280 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยการบริหารงานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นไปในทิศทางเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยด้านทักษะ รองลงมาคือ ปัจจัยด้านรูปแบบการบริหาร ปัจจัยด้านกลยุทธ์ และปัจจัยด้านบุคลากร ตามลำดับ</li> <li>ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการพัฒนาเด็กปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก กรุงเทพมหานคร พบว่า มีความแตกต่างกันของนโยบายและแผนของแต่ละสำนักงานเขต ส่งผลให้การบริหารงานแต่ละพื้นที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังไม่มีการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัย และการจัดการเรียนการสอนที่ยังไม่ได้รับการนิเทศจากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงทางด้านการจัดการศึกษาปฐมวัย</li> </ol> อัสมาวี รักวงศ์, ปกรณ์ ปรียากร, อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ, พระปลัดสุระ ญาณธโร Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269557 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพการปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุม สารเคมีและวัตถุอันตรายพื้นที่กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269558 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุมสารเคมีและวัตถุอันตรายพื้นที่กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร และ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุมสารเคมีและวัตถุอันตรายพื้นที่กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักดับเพลิงกองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 จำนวน 200 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยการปฏิบัติหน้าที่การตอบโต้เหตุฉุกเฉินที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุมสารเคมีและวัตถุอันตรายพื้นที่กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เป็นไปในทิศทางเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยด้านการควบคุม รองลงมาคือ ปัจจัยด้านการประสานงาน และปัจจัยด้านการจัดการองค์กร ตามลำดับ</li> <li>ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุมสารเคมีและวัตถุอันตรายพื้นที่กองปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย 2 สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ได้แก่ การกำหนดนโยบายและแผนการปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันและควบคุมสารเคมีและวัตถุอันตรายยังไม่ชัดเจนต่อการนำไปปฏิบัติ เจ้าหน้าที่บางส่วนยังไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการตอบโต้เหตุฉุกเฉินจากสารเคมีและวัตถุอันตราย อีกทั้งการบังคับบัญชาสั่งการที่มีโครงสร้างค่อนข้างซ้ำซ้อน ส่งผลให้เกิดความสับสนและล่าช้าในการปฏิบัติงาน รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานมีความล้าสมัยและไม่พร้อมที่จะนำไปปฏิบัติการ อีกทั้งมีจำนวนไม่เพียงพอกับจำนวนเจ้าหน้าที่</li> </ol> ชัชวาลย์ พุ่มชะบา, รังสรรค์ ประเสริฐศรี, อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ, พระปลัดสุระ ญาณธโร Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269558 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยการยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการบริหารจัดการปัญหาเมือง ของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพตะวันออก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269626 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1 การยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกลุ่มกรุงเทพตะวันออก 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการปัญหาเมืองของเจ้าหน้าที่กรุงเทพกลุ่มกรุงเทพตะวันออก 3. เพื่อศึกษาปัจจัยการยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการบริหารจัดการปัญหาเมืองของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกลุ่มกรุงเทพตะวันออก .4 เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคการยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกลุ่มกรุงเทพตะวันออก กลุ่มตัวอย่างได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในสำนักงานเขตพื้นที่กลุ่มกรุงเทพตะวันออก จำนวน 125 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานได้แก่ การวิเคราะห์การถอยพหุคูณเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเกี่ยวกับการใช้งานแอพพลิเคชั่น Traffy Fondue ของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพตะวันออก โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารจัดการปัญหาเมืองของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกลุ่มกรุงเทพตะวันออก โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ ปัจจัยการยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการบริหารจัดการปัญหาเมืองของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกลุ่มกรุงเทพตะวันออกเป็นไปในทิศทางเชิงบวก ได้แก่ ปัจจัยด้านความตั้งใจที่จะใช้ การรับรู้ว่ามีประโยชน์ และการรับรู้ว่าง่ายต่อการใช้งาน ปัญหาและอุปสรรคการยอมรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ได้แก่ การใช้งานที่ขึ้นอยู่กับระบบอินเตอร์เน็ต ข้อมูลที่ได้รับอาจมีความคลาดเคลื่อนยากต่อการประสานงานในหน่วยที่รับผิดชอบ ระบบสืบค้นข้อมูลย้อนหลังทำได้ยากและแอพพลิเคชั่นต้องมีการอัพเดทตลอดเวลา และการรับข้อมูลการร้องเรียนตลอด 24 ชั่วโมงทำให้เจ้าหน้าที่ขาดความเป็นส่วนตัวการสื่อสารเป็นแบบทางเดียวจากผู้ร้องเรียนโดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถสอบถามข้อมูลย้อนกลับได้</p> ณริดา ทองรัตน์ธนดล, อรพิน ปิยะสกุลเกียรติ, รังสรรค์ ประเสริฐศรี Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/269626 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในกลุ่มเครือข่ายแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264929 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถาน ศึกษา 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างคือครู 148 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ เครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่าง สุ่มแบบมีขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.60-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ และด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางการเรียนการสอน 2) การเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน แต่ลักษณะโรงเรียนที่เปิดสอนมีความคิดเห็นแตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในกลุ่มเครือข่ายแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ได้แก่ ผู้บริหารต้องมีการวางแผน วิเคราะห์ปัญหาโดยศึกษาบริบทโดยรอบของสถานศึกษา ผู้บริหารต้องส่งเสริมให้ครูได้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ มีกระบวนการนิเทศติดตามประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของครูอย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง</p> ศิริวัฒน์ สุนทรงามทวีเลิศ, สาริศา เจนเขว้า Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264929 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 พัฒนาการโรงเรียนวาณิชย์นุกูล พ.ศ. 2467- 2563 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/267581 <h1> บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับชุมชนชาวจีนเมืองสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนวาณิชย์นุกูลกับชุมชนชาวจีนเมืองสุรินทร์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้ในการจัดทำคู่มือพัฒนาการโรงเรียนวาณิชย์นุกูลประกอบการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สาระประวัติศาสตร์ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แนวคิดทางประวัติศาสตร์ในการวิจัย คือกลุ่มเป้าหมายและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และชาวชุมชน จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม 2) การสนทนากลุ่ม 3) การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</h1> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนชาวจีนในเมืองสุรินทร์ส่วนใหญ่ มีต้นกำเนิดมาจากตำบลซัวเถา เมืองแต้จิ๋ว มลฑลกวางตุ้งประเทศจีน ในสมัยนั้นประเทศไทยมีความต้องการใช้แรงงานจีนในกระบวนทางเศรษฐกิจ เมื่อมีบุตรหลานเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกในเมืองสุรินทร์ ชื่อว่า “โรงเรียนอู๋เซีย” ใน พ.ศ. 2467 2) พัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนวาณิชย์นุกูลกับชุมชนชาวจีนเมืองสุรินทร์ แบ่งออกเป็น 5 ยุค 3) แนวทางการจัดการเรียนรู้ในการจัดทำคู่มือพัฒนาการโรงเรียนวาณิชย์นุกูล พบว่า มีฐานการเรียนรู้ภายในแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ส่งเสริมให้ทำแหล่งเรียนรู้ออกมาในเชิงการศึกษาประวัติศาสตร์ </p> อัญญานี ครึ่งมี, ชาตรี เกษโพนทอง, สิริพัฒถ์ ลาภจิตร Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/267581 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเพื่อพัฒนาระบบงบประมาณ ของสถานศึกษาในเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบบูรณาการศีขรภูมิ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264935 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเพื่อพัฒนาระบบงบประมาณของสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเพื่อพัฒนาระบบงบประมาณของสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบงานบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเพื่อพัฒนาระบบงบประมาณของสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้รับผิดชอบงานงบประมาณ จำนวน 64 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง ได้จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเพื่อพัฒนาระบบงบประมาณของสถานศึกษา พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านการวางแผนงบประมาณและด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง 2) การเปรียบเทียบการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ส่วนประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาระบบงานบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ได้แก่ คณะทำงานมีส่วนร่วมในการวางแผนงบประมาณ ควรจัดอบรมการกำหนดผลผลิตที่ชัดเจน การจัดซื้อจัดจ้างเป็นขั้นตอนโปร่งใสตรวจสอบได้ กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในการลงบันทึกรายการทางบัญชี ส่งเสริมจัดส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมด้านการเงินและการบัญชีให้มีความรู้ ให้มีระบบการรายงานทางการเงินที่ชัดเจน จัดทำข้อมูลฐานะทางการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน มีระบบการบริหารสินทรัพย์และระบบตรวจสอบภายใน มาตรฐานการปฏิบัติงานในการจัดทำรายงานข้อสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบภายใน</p> วาณี ซ้อนกลิ่น , สาริศา เจนเขว้า Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264935 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 ผลสำเร็จของการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264728 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 2) ศึกษาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 3) ศึกษาผลสำเร็จของ การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สภาพการดำเนินงานพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ คือ 1) การดำเนินงานของผู้บริหารสถานศึกษา จัดโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมทุกปี 2) สาเหตุของปัญหาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม การเลี้ยงดู และการอบรมสั่งสอน 3) หลักธรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนแก้ปัญหาชีวิตด้วยสติปัญญา เช่น อริยสัจ 4 อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ คือ 1) วัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 8 ประการ คือ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต ใฝ่เรียนรู้ และมีจิตสาธารณะ 2) กระบวนการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 2 โครงการ คือ โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรม 3) เป้าหมายในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้นักเรียนเป็นคนดีและคนเกง 4) รูปแบบการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ได้แก่ การเรียนการสอนแบบ IDRA และการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมที่ทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ผลสำเร็จของการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนบ้านขะเนก ตำบลหนองขวาว อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ตัวชี้วัดผลสำเร็จทั้ง 8 ด้าน ได้รับเกียรติบัตรจากหลายหน่วยงาน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงปริมาณ</p> พระสมุห์เขตโศภน ธีรปญฺโญ (เข็มแก้ว) , พระครูใบฎีกาเวียง กิตติวณฺโณ, ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264728 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม หน่วยการเรียนรู้ อาหารและการย่อยอาหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261842 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม หน่วยการเรียนรู้ อาหารและการย่อยอาหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ อาหารและการย่อยอาหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนบ้านแก้งคร้อหนองไผ่ ภาคเรียน 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียน 38 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยค่าที (t-test dependent samples) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.57/76.32 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์<br />ที่ตั้งไว้ คือ 75/75</p> <p> 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิค<br />การใช้คำถาม หน่วยการเรียนรู้ อาหารและการย่อยอาหาร มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิค</p> <p>การใช้คำถาม มีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชัชรีย์ ละครชัย, นฤมล ภูสิงห์ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/261842 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/265696 <p> </p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ระหว่างก่อนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ 3) เปรียบเทียบการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ สำนักงานการอาชีวศึกษาจังหวัดชัยภูมิ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 56 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 แผนกการบัญชี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 26 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ ( / ) เท่ากับ 80.87/80.13 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้</p> <p> 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> 3) การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์; ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน; ทักษะการคิดวิเคราะห์</p> <p> </p> น้ำฝน นอกสระ, ชวนพิศ รักษาพวก Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/265696 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 นิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูกับคุณลักษณะทางพระพุทธศาสนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264017 <p>การพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายนั้นไว้ คือ การปฏิบัติงานแบบมืออาชีพหากขาดความสามารถในการทำงานไม่ว่าองค์กรนั้นจะมีผู้มีความรู้สูงหรือมีทรัพยากรมากเพียงใดก็ยากที่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้ ครูเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสติปัญญาของเยาวชนเป็นบุคคลที่มีความหมายอย่างมากต่อกระบวนการให้การศึกษา คือ ครูจะต้องสนใจเอาใจใส่ต่อปัญหาของนักเรียน ตอบปัญหาให้กระจ่าง รู้จักระงับอารมณ์ การอดทนวางตัวให้เหมาะสม มีการสื่อสารที่ดีกับนักเรียน มีความเป็นกลางและเข้าใจในการตัดสินใจ เพราะว่านักเรียนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ต่อมาก็คือนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูต้องเป็นผู้ที่มีการปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทันโลกทันเหตุการณ์ ทันสมัย เนื่องจากนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิต นักศึกษาประชาชนทั่วไปได้ศึกษาเข้าใจคุณลักษณะของครูที่ดี ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา ได้แก่ คุณลักษณะของครูทางพระพุทธศาสนา 7 ประการ ประกอบด้วยคุณสมบัติ 7 ประการ คือ 1) ปิโย ย (น่ารัก) 2) ครุ (น่าเคารพ) 3) ภาวนีโย (เป็นผู้มีความรู้) 4) วตฺตาจ (มีระเบียบแบบแผน) 5) วจนกฺขโม (อดทนต่อถ้อยคำ) 6) คมฺภีรญฺจกถํกตฺตา (แถลงเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง) 7) โนจฏฺฐาเน นิโยชเย (ไม่ชักนำไปในทางเสื่อม)และการถ่ายทอดความรู้เพื่อให้ได้ความชัดเจนและตรงกับเนื้อหาในบทความ</p> พระสมพงษ์ ณฏฺฐิโก (เฒ่าเง้า) Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/264017 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 พุทธสันติวิธีเพื่อแก้ไขความขัดแย้งสังคมในปัจจุบัน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/267229 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมาและสาระสำคัญเกี่ยวกับสันติวิธั วิถีเพื่อแก้ไขความขัดแย้งสังคมไทยในปัจจุบันตามแนวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจจะกล่าวถึง หลักการที่ว่าด้วยพุทธสันติวิธี ที่มีความสอดคล้องกับแนวทางการอยู่ร่วมพึ่งพาอาศัยกัน โดยปราศจากความขัดแย้งมีความปรองดองในสังคม มีการนําหลักธรรมมาบูรณาการ ได้แก่ 1) อริยสัจ 4 มาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงต้นตอสาเหตุความขัดแย้ง วิธีขจัดความขัดแย้ง และอีก 2 หลักธรรมมาประกอบการวิเคราะห์ คือ 2) พรหมวิหารธรรม 4 และ 3) สาราณียธรรม 6 นำไปสู่การดับความขัดแย้ง เพื่อการอยู่ร่วมของสังคมอย่างสันติสุขอย่างยั่งยืน</p> โชติวัฒน์ ไชยวรรณ, พระปลัดสุระ ญาณธโร , พระครูสาธุกิจโกศล, วันชัย ชูศรีสุข Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/267229 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700 กัลยาณมิตรกับการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประเมินภายนอก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266744 <p><strong> </strong>บทความเรื่อง “กัลยาณมิตรกับการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประเมินภายนอก” เพื่อให้ผู้ประเมินภายนอกมีความรู้ ความสามารถ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย สอดคล้องกับยุคดิจิตัลโลกาภิวัตน์ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และคิดแบบองค์รวมหรือบูรณาการ เพื่อให้เกิดสมรรถนะของความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะส่วนบุคคลที่จะส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่จำเป็น โดยนำหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ประการ มาปรับประยุกต์ใช้เสริมสร้างสมรรถนะของผู้ประเมินภายนอก ได้แก่ 1. น่ารัก 2. น่าเคารพ 3. น่ายกย่อง 4. รู้จักพูด 5. อดทนต่อถ้อยคำ 6. กล่าวชี้แจงแถลงเรื่องต่าง ๆ ที่ลึกซึ้งได้ และ 7. ไม่ชัดจูงไปในทางที่เสื่อม ในการตัดสินใจเลือกดำเนินชีวิตไปในทางที่ดี มีประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสามารถแนะนำบุคคลอื่นให้ดำเนินชีวิตในสิ่งที่ดีงามตามบุคคลนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งนอกจากจะเป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นกัลยาณมิตรให้กับบุคคลอื่นด้วย</p> วิไลรัตน์ พฤกษาภิรมย์, สมคิด เศษวงศ์ Copyright (c) 2023 วารสารมหาจุฬาคชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266744 Tue, 26 Dec 2023 00:00:00 +0700