รูปแบบการพัฒนาแนวทางการป้องกันตกเลือดหลังคลอด หอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
คำสำคัญ:
รูปแบบการพัฒนา, แนวทางป้องกัน, การตกเลือดหลังคลอดบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบ การพัฒนาแนวทางการป้องกันการตกเลือดหลังคลอด หอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย บุคลากรหอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอด จำนวน 10 คน ศึกษาระหว่างเดือน ตุลาคม 2566-เดือนกันยายน 2567 รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึกข้อมูลผู้รับบริการ การสังเกต การสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานใช้ Paired Samples t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการพัฒนาแนวทางการป้องกันตกเลือดหลังคลอด หอผู้ป่วย สูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ คือ KAMT Model ประกอบด้วย ได้แก่ K=Knowledge การพัฒนาให้บุคลากรมีองค์ความรู้และทักษะในการดูแลหญิงหลังคลอดเพื่อป้องกันการตกเลือด A=Alert signs คือมีการเฝ้าระวังภาวะฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นในหญิงหลังคลอด M=Management และ Monitoring คือมีการบริหารจัดการการดูแลให้ได้ตามมาตรฐาน ตลอดทั้งนิเทศกำกับติดตามการปฏิบัติตามแนวทาง T=Technology คือนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการเก็บข้อมูลและเฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ ผลจากการพัฒนารูปแบบ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมวิจัยมีความรู้ การปฏิบัติ และความพึงพอใจ เพิ่มมากขึ้นก่อนดำเนินการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) อัตราการตกเลือดหลังคลอดของมารดาหลังคลอดลดลง และพบว่าปัจจัยของความสำเร็จในครั้งนี้ คือ Team การทำงานเป็นทีม และ Evidence base มาใช้ในการพัฒนาการดูแลมารดาหลังคลอด
เอกสารอ้างอิง
WHO, UNICEF, UNFPA, World Bank Group and the United Nations Population Division. (2015). Trends in maternal mortality: 1990 to 2015. Retrieved 5 March 2020 From https://www.who.int/reproductivehealth/publications/monitoring/maternal-mortality2015/en/
World Health Organization.WHO guidelines for the management of postpartum hemorrhage and retained placenta. France: WHO Library Cataloguing-in- Publication Data; 2014.
World Health Organization. WHO recommendations for the prevention and treatment of Postpartum hemorrhage Italy: WHO Library Cataloguing-in- Publication Deta World. 2012.
World Health Organization. UNICEF Trend in maternal mortality: 1990 to 2013 estimates by WHO, UNICEF, UNFPA. The World Bank and the United Nations Population Division [online]. 2014 [cited 2023Jan16]. Available from: http://appswho.int/bitstream /10665/112682/ 97892451507226_eng.pdf?ua=
ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่องการป้องกันและรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด [ออนไลน์]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 30 มีนาคม 2566]. เข้าถึงได้จาก:http://www.rtog.or.th/home/wp-content/uploads/2020/9/OB-63020-Prevention-and-PreManagement-of-Postpartum-Hemorrage.pdf
ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ. (2560). การตกเลือดหลังคลอด: บทบาทสำคัญของพยาบาลในการป้องกัน. สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย, 6(2), 146-157.
นุชรินทร์ โกสีย์วงศานนท์, สุคนธ์ ไข่แก้ว และเบ็ญจวรรณ พุทธิอังกูร. (2561). ผลของโปรแกรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการนอกเวลาราชการ ที่โรงพยาบาลระดับตติภูมิแห่งหนึ่ง สังกัดกรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร. วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์. 14(1), 25-39.
สถิติรายงานประจำปี. งานพัฒนาคุณภาพบริการและมาตรฐาน โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ .จังหวัดกาฬสินธุ์ 2566.
นางสุมลา พรหมมา. (2564). ผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดระยะแรกในห้อง คลอด โรงพยาบาลบางปะกง.วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน, ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2564
ศิริวรรณ วิเลิศ, ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ, ดรุณี ยอดรัก. สถานการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตกเลือดหลังคลอดในมารดาที่คลอดทางช่องคลอด ในหอผู้ป่วยสูติกรรมสามัญโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย 2559;9(2):173-190.
สุทธิวรรณ ทองยศ. การพัฒนาแนวทางป้องกันการตกเลือดหลัง ในมารดาที่คลอดบุตรทางช่องคลอด โรงพยาบาลบุรีรัมย์.วารสารวิชาการสาธารณสุข.ปีที่ 28 ฉบับพิเศษ พฤษภาคม -มิถุนายน 2562

