https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/issue/feed
วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
2025-10-08T16:55:16+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นพ.สุรเชษฐ์ ภูลวรรณ
lampan221@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>Journal of Environmental Education Medical and Health</strong><br /><strong>วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ<br />Print ISSN: 3027-8678<br />Online ISSN: 3027-866X</strong></p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287717
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลการจัดการความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ได้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในห้องพักฟื้น
2025-08-31T04:50:18+07:00
เตือนใจ คำขุนทด
tuanjaily2509@gmail.com
สุทธดา อมราภรณ์
tuanjaily2509@gmail.com
อัญชนา แก้วคำ
tuanjaily2509@gmail.com
อภินันท์ วัชเรนทร์วงศ์
tuanjaily2509@gmail.com
จุรีพร งามสุข
tuanjaily2509@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR)เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลการจัดการความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในห้องพักฟื้น พัฒนาโดยใช้แนวคิดของโดนาบีเดียน (Donabedian Model) โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการพยาบาล รูปแบบใหม่ และระยะที่ 3 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายและได้รับการดูแลต่อเนื่องในห้องพักฟื้น จำนวน 120 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 60 คน และกลุ่มทดลอง 60 คน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบประเมินระดับคะแนนความปวดและการบริหารจัดการความปวด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ คือ 1) สถิติเชิงปริมาณโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ความพึงพอใจ คะแนนความปวดก่อนจำหน่ายออกจากห้องพักฟื้นและอุบัติการณ์ภาวะแทรกซ้อน 2) สถิติ Chi- square test วิเคราะห์ระดับคะแนนความปวดของผู้ป่วยแรกรับ-จำหน่ายและเปรียบเทียบระดับคะแนนความปวด 3) สถิติ Independent t-test วิเคราะห์การบริหารจัดการความปวดโดยใช้ยาและระยะเวลานอนในห้องพักฟื้น</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพในการลดระดับคะแนนความปวดของผู้ป่วยในห้องพักฟื้น ในช่วงเวลา 15, 30 และ 45 นาที อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.00, 0.00 และ 0.03) การบริหารจัดการความปวด โดยใช้ยา Morphineและ Fentanyl มีความแตกต่างกันตามชนิดของยาและช่วงเวลาตามระดับคะแนนความปวด ระดับความปวดของผู้ป่วยก่อนจำหน่ายออกจากห้องพักฟื้น อยู่ในระดับคะแนน 0-3 ไม่พบอุบัติการณ์ภาวะแทรกซ้อนและระยะเวลานอนในห้องพักฟื้น ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P=0.17) ในส่วนของวิสัญญีพยาบาลผู้ให้บริการ พบว่า รูปแบบการพยาบาลการจัดการความปวดที่พัฒนาขึ้น มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ระดับมากที่สุด ร้อยละ 97.7 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (mean =4.24,SD=0.72)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288407
การพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีในผู้ป่วยผ่าตัดที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
2025-09-24T19:42:32+07:00
ฐาปริมนต์ วงศ์รัตนจิรากุล
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีในผู้ป่วยผ่าตัดที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบวันเดียวกลับและเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการจัดการรายกรณีในผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบวันเดียวกลับเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยเป็นผู้ป่วยที่มาผ่าตัดแบบวันเดียวกลับที่โรงพยาบาลบรบือคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 40 ราย ระหว่างเดือนมิถุนายน 2566 ถึง เดือนมิถุนายน 2567 ขั้นตอนการศึกษาวิจัย ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาของการดำเนินงานเพื่อรวมถึงรวบรวม อุบัติการณ์ ที่ไม่พึงประสงค์ และภาวะแทรกซ้อน จากการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั้งตัว ขั้นที่ 2 พัฒนารูปแบบการให้บริการวิสัญญี โดยนำระบบการจัดการรายกรณี (Case Management) มาประยุกต์ใช้ในการเตรียมผู้ป่วย การเยี่ยมและให้คำปรึกษาก่อนผ่าตัด ขั้นที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการให้บริการวิสัญญี ขั้นที่ 4 ปรับปรุงรูปแบบการพัฒนาการการบริการวิสัญญี ขั้นที่ 5 นำต้นแบบที่สมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในกลุ่ม ผู้รับบริการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจริง เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการจัดการรายกรณี</p> <p> ผลการศึกษาวงรอบที่ 1 จากการทบทวนปัญหาอุบัติการณ์ในการให้บริการในระบบทั่วไปดังกล่าวสามารถจำแนกได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อน ขณะ และ ระยะหลังให้การระงับความรู้สึก ในระยะก่อนพบว่า ผู้ป่วยยังมีการเตรียมตัวไม่พร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัด ส่งผลให้เกิด การเลื่อนการผ่าตัดผลการศึกษาวงรอบที่ 2 จากปัญหาที่พบในวงรอบที่ 1 ผู้วิจัยได้นำปัญหามาวิเคราะห์ร่วมกับทีมวิสัญญี ได้มีการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการให้คำแนะนำและติดตามเยี่ยมผู้ป่วยแบบออนไลน์โดยใช้ application line เยี่ยมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด 1 วันและติดตามเยี่ยมผู้ป่วยหลังผ่าตัด 1 วันและให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยผลการทดลองไม่พบอุบัติการณ์เลื่อนผ่าตัดและไม่พบอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะและหลังผ่าตัด ผลการศึกษาวงรอบที่ 3 อุบัติการณ์ทางวิสัญญีลดลง ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ขณะและหลังผ่าตัด การพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีในผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบวันเดียวกลับ ได้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น คือ BORABUE 2P Model และได้คู่มือ แผ่นพับ สำหรับการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับรูปแบบวันเดียวกลับ และความพึงพอใจในการรับบริการทางวิสัญญี อยู่ในระดับดีมาก(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.65, SD=0.54)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286508
ผลของแพลตฟอร์มวิเคราะห์และประเมินผลการทรงตัวในผู้สูงอายุ
2025-07-09T09:55:50+07:00
นิดา จิตภักดีบดินทร์
mai_nida@icloud.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการทดลองกึ่งทดดลองแบบไปข้างหน้า โดยวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์และประเมินผลการทรงตัวสำหรับผู้สูงอายุ และเปรียบเทียบค่าการทรงตัวที่วัดจากซอฟท์แวร์ Smart Balance, ค่า Time up and go test (TUG) และ sit-to-stand test (STS) ก่อนและหลังการใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์และประเมินผลการทรงตัวเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ที่ รพ.บางกล่ำ จ.สงขลา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า มีอาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัยจำนวน 29 คนภาย ภายหลังการใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์และประเมินผลการทรงตัว พบว่าการทดสอบการทรงตัวจากการวัดด้วยซอฟท์แวร์ Smart Balance ขณะยืนขาเดียวบนขาข้างที่ไม่ถนัด และขาข้างถนัด, ค่า TUG และค่า STS ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p=0.001 และพบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่า TUG ที่เพิ่มขึ้นกับค่าที่เพิ่มขึ้นจากการวัดด้วยซอฟท์แวร์ Smart Balance ขณะยืนขาเดียวบนขาข้างที่ไม่ถนัด (r=0.772, p<0.001) และขณะยืนขาเดียวบนขาข้างที่ถนัด (r=0.566, p=0.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286095
การรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของประชากรวัยกลางคนตำบลแห่งหนึ่ง จังหวัดบุรีรัมย์
2025-07-03T10:59:23+07:00
ชุมศรี ต้นเกตุ
iampun1976@gmail.com
ณัฐพร คุณโน
iampun1976@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของประชากรวัยกลางคนในตำบลแห่งหนึ่ง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 45 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้และแรงจูงใจด้านสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับการรับรู้และแรงจูงใจด้านสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับสูง ยกเว้นด้านการรับรู้อุปสรรคที่อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่พฤติกรรมการป้องกันโรคในทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉพาะด้านการออกกำลังกายและการจัดการความเครียดมีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนพบว่า ตัวแปรที่สามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ แรงจูงใจด้านสุขภาพ การรับรู้ความรุนแรงของโรค และการรับรู้อุปสรรค ซึ่งสามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการป้องกันโรคได้ร้อยละ 42 โดยแรงจูงใจด้านสุขภาพเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลมากที่สุด</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286255
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อความรู้และพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาวัยรุ่น ของคลินิกนมแม่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง
2025-07-03T11:04:58+07:00
นิภาพรรณ มณีโชติวงค์
punnathut.b@nrru.ac.th
บานเย็น แสนเรียน
punnathut.b@nrru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พัฒนาขึ้นจากแนวคิดทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อความรู้และพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาวัยรุ่น โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาวัยรุ่นหลังคลอดจำนวน 10 คน ที่เข้ารับบริการในคลินิกนมแม่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แบบสอบถามความรู้ และแบบประเมินพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มารดาวัยรุ่นมีคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ และพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286563
การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว
2025-09-20T10:15:45+07:00
ณิชาดา จิฐาวรานนท
jumi2527@gmail.com
นภาพล วสนาท
jumi2527@gmail.com
ปัณฑิตา หัวดอนนัก
jumi2527@gmail.com
อนุสรา บัวพา
jumi2527@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว อาสาสมัครที่ใช้ในวิจัยได้แก่ คณะกรรมการควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับอำเภอ/ตำบล และผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน จำนวน 256 คน โดยมีเครื่องมือการวิจัย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ ใช้ระยะเวลาการดำเนินงาน 12 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา และสถิติวิเคราะห์ คือสถิติ Paired t-test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การสนับสนุนการดูแลตนเอง โดยพัฒนาศักยภาพของชุมชนและครอบครัวในการดูแลตนเอง เน้นการดูแลอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม 2) มีการออกแบบระบบบริการในทุกระดับของสถานบริการอย่างมีประสิทธิภาพ 3) ระบบสนับสนุนการรักษาในกลุ่มที่มีอาการแทรกซ้อนมีคุณภาพ 4) มีระบบฐานข้อมูลที่สำคัญที่สหวิชาชีพสามารถใช้ร่วมกันในการดูแลเป้าหมายอย่างเพียงพอ 5) มีกลไก กระบวนงาน และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง และ 6) การร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยบริการสุขภาพ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ผลการประเมินพบว่า ผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน มีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และพฤติกรรมการดูแลตนเองต่อการเกิดโรคเบาหวาน มากขึ้นหลังใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีระดับน้ำตาล HbA1c ลดลง หลังการใช้รูปแบบแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปได้ว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม สามารถนำรูปแบบนี้ไปใช้ในพื้นอื่น ๆ หรือในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ได้</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288408
อิทธิพลของปัจจัยกลยุทธ์การตลาด 4Ps ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อชาสมุนไพรจีนเพื่อสุขภาพ ของประชาชน เขตกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
2025-09-24T19:46:02+07:00
กิ่งแก้ว พรอภิรักษสกุล
sirisakpom64@gmail.com
ประเสริฐ สิทธิจิรพัฒน์
sirisakpom64@gmail.com
<p> บทความวิจัยเรื่อง อิทธิพลของปัจจัยกลยุทธ์การตลาด 4Ps ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อชาสมุนไพรจีนเพื่อสุขภาพ ของประชาชน เขตกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยส่วนบุคคล ส่วนประสมทางการตลาด 4Ps และกระบวนการตัดสินใจซื้อชาสมุนไพรจีนเพื่อสุขภาพของประชาชน เขตกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเพื่อศึกษาผลของส่วนประสมทางการตลาด 4Ps ที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อช้ำสมุนไพรจีนเพื่อสุขภาพของประชาชน เขตกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยการหากลุ่มตัวอย่างเมื่อไม่ทราบขนาดประชากรที่แน่ชัด ของ Taro Yamane 1973 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ทั้งสิ้น จำนวน 500 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) โดยแบบสอบถามเป็นแบบคัดกรอง วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation หรือ S.D.) และการวิเคราะห์หาการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้าน ผลิตภัณฑ์ ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสูงที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางจัดจำหน่าย, ราคา, และ การส่งเสริมการตลาด ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า 4Ps มีผลกระทบในเชิงบวกและมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และจัดจำหน่ายอย่างครอบคลุม เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีในระยะยาว</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288409
การพยาบาลผู้คลอดที่ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับภาวะตกเลือดหลังคลอด: กรณีศึกษา
2025-09-24T19:49:13+07:00
กุลณัฐฐา อัครวีสีห์
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้คลอดที่ติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับภาวะตกเลือดหลังคลอด หญิงตั้งครรภ์ อายุ 26 ปี สถานภาพสมรสคู่ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ ระดับการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า มารดาเสียเลือดจากการคลอด 500 ซีซี Hct stat 28% มีภาวะตกเลือดหลังคลอด ทำการเย็บซ่อมฝีเย็บอย่างรวดเร็ว คลึงมดลูกทุก 15-30 นาทีใส่สายสวนปัสสาวะ ปัสสาวะออก 200 ml On 0.9% NSS 1000 ml + Syntocinon 20 unit iv loading, Methergin 1 amp iv ทุก 15 นาที 2 ครั้ง ความดันโลหิต 100/70 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 100 ครั้ง/นาทีมดลูกหดรัดตัวดี ตรวจวัดความดันโลหิตชีพจรทุก 15 นาที แพทย์ตรวจการฉีกขาดของแผลในโพรงมดลูก และช่องทางคลอดไม่มีเลือดซึมผิดปกติ เลือดไหลทางช่องคลอดปกติให้ PRC 1 ยูนิต สังเกตอาการต่อจนครบ 2 ชั่วโมงหลังคลอด รู้สึกตัวดี หายใจสม่ำเสมอ มดลูกหดรัดตัวดี สัญญาณชีพ อุณหภูมิร่างกาย 37 องศาเซลเซียส ชีพจร 104 ครั้ง/นาทีหายใจ 20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 112/72 มิลลิเมตรปรอท</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288410
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการเตรียมความสะอาดลำไส้ก่อนการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ระหว่าง Polyethylene Glycol และ Sodium Phosphate Solution ของผู้ป่วยคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในโรงพยาบาลยางตลาด
2025-09-24T19:55:31+07:00
บัญชา ปัตถารัตน์
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การศึกษานี้ เป็นการศึกษาย้อนหลัง Retrospective study โดยคนไข้กลุ่มเสี่ยงที่ตรวจพบเลือดแฝงในอุจจาระ และได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ของโรงพยาบาลยางตลาด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2567 แบ่งคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่มตามชนิดยาที่ใช้เตรียมลำไส้ คือ Polyethylene Glycol 142 รายและ Sodium Phosphate 128 ราย ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน (Chi-square test, Independent t-test) ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (P value < 0.05)</p> <p> ผลการศึกษา: ผู้ป่วย PEG group ความสะอาดของลำไส้ส่วนใหญ่ระดับ good ร้อยละ 57.04 ตรวจพบ polyp ร้อยละ 42.25 diverticulosis ร้อยละ 33.80 carcinoma ร้อยละ 0.70 hemorrhoid ร้อยละ 16.20 intubation time 6.58±3.81 นาที withdrawal time 6.89±6.25 นาที และค่าใช้จ่าย 11089.67±5755.41 บาท ผู้ป่วย NaP group ความสะอาดของลำไส้ส่วนใหญ่ระดับ good ร้อยละ 64.06 ตรวจพบ polyp ร้อยละ 46.09 diverticulosis ร้อยละ 21.87 carcinoma ร้อยละ 1.56 hemorrhoid ร้อยละ 19.53 intubation time 5.67±2.47 นาที withdrawal time 7.00±6.48 นาที และค่าใช้จ่าย 11893.13±6603.52 บาท เมื่อเปรียบเทียบความสะอาดของลำไส้ทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p=0.297 PEG group พบ diverticulosis และมี intubation time มากกว่า NaP group อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p=0.030, p=0.022 ตามลำดับ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288435
การพัฒนารูปแบบการจัดบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน โรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม
2025-09-24T19:58:44+07:00
สุวรรณา อักขระ
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สถานการณ์และเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน โรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาความต้องการ ภายใต้บริบทของชุมชน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 15 คน ผู้ดูแลหลักในครอบครัว 15 คน ผู้นำชุมชน 4 คน แกนนำผู้สูงอายุ 5 คน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในชุมชน 2 คน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 6 คน ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ (care giver : CG) 5 คน ผู้บริหาร 3 คน ผู้ให้บริการสุขภาพ 5 คน รวม 60 คนโดยใช้กระบวนการพัฒนาตามแนวทางการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีขั้นตอนการวิจัยดังนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เก็บข้อมูลโดยการสังเกต สัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มและการสังเกตแบบมีส่วนร่วม 2) นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สถานการณ์มาวางแผนพัฒนาและตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติร่วมกัน 3) ปฏิบัติตามแผน สะท้อน และปรับปรุงการปฏิบัติ 4) ประเมินผลการปฏิบัติภาพรวม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีส่วนร่วมในการคิด วางแผน ดำเนินกิจกรรม และประเมินผล มีความรู้และทักษะใน การดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและมีความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ผู้ให้บริการสุขภาพ มีรูปแบบในการดูแลผู้สูงอายุ ในชุมชน เกิดรูปแบบการจัดบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286375
ผลของการวางแผนการดูแลล่วงหน้าในผู้ป่วยไตเรื้อรังต่อการเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคอง
2025-07-12T06:39:23+07:00
ชัญญ์รัชต์ หยกกชพันธ์งาม
punnathut.b@nrru.ac.th
สุดา ทองทรัพย์
punnathut.b@nrru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายพัฒนารูปแบบการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning: ACP) เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคอง และศึกษาผลลัพธ์ของการวางแผนล่วงหน้าต่อการเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคอง การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) ร่วมกับกระบวนการวิจัยและพัฒนา (R&D) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 และญาติผู้ดูแล จำนวน 10 ราย ที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง ระหว่างเดือนมกราคม ถึงเมษายน 2568 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินคุณภาพชีวิต แบบฟอร์ม ACP และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติ Paired t-test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังจากดำเนินโปรแกรม ACP ผู้ป่วยมีทางเลือกการรักษาที่ชัดเจนมากขึ้น โดยสัดส่วนผู้ที่เลือกการดูแลแบบประคับประคองเพิ่มขึ้นเป็น 56.7% ขณะที่ผู้ที่เลือกการบำบัดทดแทนไตลดลงเหลือ 43.3% ผลลัพธ์ทางคลินิก เช่น ความดันโลหิต ค่าโพแทสเซียม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) ค่า Hematocrit เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ผู้ป่วยได้รับ Erythropoietin เพิ่มขึ้นจาก 2.9% เป็น 38.2% คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นจากระดับต่ำเป็นระดับปานกลาง (p<.01) ด้านความลำบากจากโรคไตและผลกระทบต่อชีวิตประจำวันลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286805
ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ในการฆ่าตัวตายของประเทศไทย: การวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ (พ.ศ. 2553-2562)
2025-08-31T04:44:48+07:00
วีร์ เมฆวิลัย
weepositive7@gmail.com
ณิชาภา รัตนจันทร์
weepositive7@gmail.com
<p> การศึกษาในครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ในอัตราการฆ่าตัวตายของประเทศไทย และระบุปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ระหว่างปี พ.ศ. 2553-2562 เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลการตาย (มรณบัตร) และข้อมูลประชากรจากสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ วิเคราะห์อัตราตายมาตรฐานจำแนกตามภูมิภาค เขตสุขภาพ จังหวัด เพศ และอายุ ผลการศึกษาพบว่า ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ โดยภาคเหนือมีอัตราตายสูงสุด (14.06 ต่อแสนประชากรในปี 2562) เปรียบเทียบกับกรุงเทพมหานคร (2.86 ต่อแสนประชากร) อัตราส่วนความแตกต่าง 4.9:1 จังหวัดลำพูนมีอัตราตายสูงสุด (22.10 ต่อแสนประชากร) เพศชายมีอัตราตายสูงกว่าเพศหญิง 3-8 เท่าในทุกภูมิภาค กลุ่มอายุ 35-39 ปีมีอัตราตายสูงสุด (13.49 ต่อแสนประชากร) ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ในการฆ่าตัวตายสะท้อนความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจ ควรพัฒนากลยุทธ์ป้องกันเชิงพื้นที่ที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละภูมิภาค</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286835
การรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ของพนักงานที่มีหน้าที่เก็บมูลฝอยติดเชื้อในโรงพยาบาลสระบุรีและ เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ กรณีศึกษา: โรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019
2025-07-26T11:15:53+07:00
นัดธิดา พิมลทอง
trinnawat2565@gmail.com
ลักษณา เหล่าเกียรติ
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ของพนักงานที่มีหน้าที่เก็บมูลฝอยติดเชื้อในโรงพยาบาลสระบุรีและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ กรณีศึกษา: โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 127 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Independent t-test และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p> ผลการศึกษา พบว่าการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง และการรับรู้ต่อการดำเนินงานของหน่วยงานในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการปฏิบัติงานของพนักงานที่มีหน้าที่เก็บมูลฝอยติดเชื้อในโรงพยาบาลสระบุรีและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ภาพรวมมีการรับรู้อยู่ในระดับมาก โดยความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ส่วนการรับรู้ความรุนแรง การรับรู้ต่อการดำเนินงานของหน่วยงานในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่า มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) นอกจากนี้ยังพบว่า การรับรู้ทั้ง 3 ด้านกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระหว่างพนักงานที่ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลสระบุรีและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286884
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ได้รับการรักษาด้วยออกซิเจนอัตราการไหลสูง : กรณีศึกษา 2 ราย
2025-07-26T11:06:27+07:00
ธิดาพร โคตรชาลี
64010481008@msu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ได้รับการรักษาด้วยออกซิเจนอัตราการไหลสูง เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาล โดยใช้แบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนตามกรอบแนวคิดของกอร์ดอน ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น ระหว่างเดือน มกราคม 2567 ถึงกันยายน 2567 จำนวน 2 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกอาการสำคัญ ข้อมูลจากเวชระเบียน ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ การสังเกต การซักประวัติผู้ป่วยและญาติ เพื่อกำหนดข้อวินิจฉัย วางแผนการพยาบาล และประเมินผลลทางการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษาพบว่ากรณีศึกษาทั้ง 2 ราย มีอาการของโรคปอดอักเสบมีอาการเริ่มต้นของภาวะหายใจล้มเหลวได้รับการรักษาด้วยออกซิเจนอัตราการไหลสูง เมื่อใช้กระบวนการพยาบาลร่วมกับการประเมินภาวะสุขภาพตามกรอบแนวคิดของกอร์ดอนและนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาใช้ ทำให้ กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ไม่เกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนในการรักษา</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/286909
ผลของการเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายระหว่างการบริหารยา Omeprazole แบบ IV push และ IV infusion
2025-07-25T09:24:53+07:00
อาดีลา อัลฮามาดีย์
adilaboto.rx@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อน ค่าใช้จ่ายระหว่างการบริหารยา Omeprazole แบบ IV push และ IV infusion กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา Omeprazole แบบ IV push และ IV infusion โรงพยาบาลยี่งอเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่ม IV push 35 คน และกลุ่ม IV infusion 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แนวทางการบริหารยา Omeprazole แบบ IV push และ IV infusion 2) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวกับการรักษา 4) แบบบันทึกภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา และ 4) แบบบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการได้รับยา Omeprazole ดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 จนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ คำนวณหาค่าร้อยละ สถิติไคแสควร์ สถิติฟิชเชอร์เอ็กแซคท์ และสถิติ Independence t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่ากลุ่ม IV push มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 45.7 ในขณะที่กลุ่ม IV infusion พบภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 28.6 โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุดคือ ภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ (Phlebitis) ระดับ 2 ซึ่งเกิดในกลุ่ม IV push มากกว่ากลุ่ม IV infusion อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนี้ไม่แสดงนัยสำคัญทางสถิติ (p = .142) นอกจากนี้ การตรวจพบภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบด้านค่าใช้จ่ายในการรักษา พบว่า กลุ่ม IV push มีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 2,250 บาท (64.29 ± 37.518) ขณะที่กลุ่ม IV infusion มีค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าคือ 4,393 บาท (125.51 ± 90.75) ซึ่งความแตกต่างด้านค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288438
ความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน ของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์
2025-09-24T20:01:53+07:00
แสนคม สีหะปัญญา
jurirat3445@hotmail.com
กัญชมน สีหะปัญญา
jurirat3445@hotmail.com
วิชุดา หัสโน
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ 2) ศึกษาพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ พนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 287 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัย และแบบประเมินพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.82 และ 0.83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean = 3.74, S.D. = 0.58) 2) พฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.25, S.D. = 0.31) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ พบว่า ความรอบรู้สุขภาพด้านอาชีวอนามัยมีสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานในสถานประกอบการธุรกิจรถยนต์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.126, p < 0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288440
ปัจจัยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ส่งผลต่อการรับรู้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. 2568-2570
2025-09-24T20:05:14+07:00
หทัยรัตน์ เศรษฐวนิช
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ส่งผลต่อการรับรู้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.2568-2570 เป็นการวิจัยแบบสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนกที่ปฏิบัติหน้าที่ใน สบช.ส่วนกลาง คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ จํานวน 366 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และมีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และการรับรู้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.2568-2570 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และผลทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติด้านการให้รางวัล ด้านการให้ความสนับสนุนจากผู้บริหาร ด้านการตรวจสอบ/ กำกับดูแล/ ประเมินผล ด้านการจัดองค์กร ด้านการประชุม/ ฝึกอบรม/ สัมมนา และด้านการเผยแพร่ข่าวสารนโยบาย มีผลต่อการรับรู้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. 2568-2570 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 โดยตัวแปรทั้ง 6 สามารถร่วมกันทำนายการรับรู้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.2568-2570 ได้ร้อยละ 70</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287172
การพัฒนานวัตกรรมการพยาบาลชุมชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคพื้นฐานเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ อายุ 0-5 ปี บ้านทุ่งพัฒนา ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
2025-09-20T10:20:16+07:00
วารุณี อุดมพล
muywrnudompon@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัจจัยที่มีผลต่อการไม่มารับวัคซีนตามเกณฑ์ช่วงอายุ และความต้องการการพัฒนาการพยาบาลชุมชนในเด็กกลุ่มชาติพันธุ์อายุ 0–5 ปี (2) พัฒนานวัตกรรมการพยาบาลชุมชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคพื้นฐาน และ (3) ทดลองใช้และประเมินผลการใช้นวัตกรรมในพื้นที่บ้านทุ่งพัฒนา ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ปกครองเด็กอายุ 0-5 ปี จำนวน 30 คน เก็บข้อมูลจากอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้ปกครอง และประชาชนในพื้นที่ด้วยแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ และข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า เด็กกลุ่มชาติพันธุ์มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการวัคซีนจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ ความเชื่อทางวัฒนธรรม การไม่มีเอกสารประจำตัว และขาดระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองต้องการระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า การติดตามผ่านสื่อออนไลน์ และบริการสนับสนุนการเดินทาง นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นครอบคลุมการบริหารจัดการ การประสานงาน การสื่อสารสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของชุมชน ผลการทดลองใช้นวัตกรรมพบว่า ระดับความรู้ ทัศนคติ และอัตราการได้รับวัคซีนของเด็กกลุ่มชาติพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288441
การวิจัยเชิงประเมินแผนพัฒนายุทธศาสตร์สาธารณสุขของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ปีงบประมาณ พ.ศ.2567 : A system value-oriented evaluation
2025-09-24T20:08:35+07:00
พิทักษ์ ทองทวน
limmanee_99@hotmail.com
ชัยชาญ บุญคูณ
limmanee_99@hotmail.com
<p> งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสภาพปัจจุบัน และประสิทธิผลและผลกระทบของแผนพัฒนายุทธศาสตร์สาธารณสุขของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินการประเมินตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นคณะกรรมการการบริหารแผน/โครงการฯ เจ้าหน้าที่ และประชาชนมาผู้รับบริการที่ได้รับผลกระทบ รวม 627 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึก และแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการประเมินพบว่า สภาพปัจจุบัน ระดับคุณภาพ และกระบวนการบริหารแผนโดยรวมอยู่ในระดับมาก การประเมินตัวชี้วัดจากตัวชี้วัดหลักทั้งหมด 62 ตัว พบว่า ตัวชี้วัดที่ผ่านเกณฑ์ 57 ตัว คิดเป็นร้อยละ 91.93 และไม่ผ่านเกณฑ์ 5 ตัว คิดเป็นร้อยละ 8.06 เมื่อพิจารณาผลกระทบเชิงระบบต่อกระบวนการบริหารแผนและโครงการ โดยรวมทุกด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ควรปรับปรุงสำหรับการประเมินครั้งนี้ ได้แก่ 1) ด้านความชัดเจนของแผน/โครงการ 2) ยุทธศาสตร์ที่ 2 การบริการเป็นเลิศ และ 3) ความจำเป็นสำหรับการวิจัยเชิงลึกเพื่อแก้ไขช่องว่าง (Gap analysis)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287296
ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงในเขต โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแหลมใหญ่ จังหวัดสมุทรสงคราม
2025-08-23T15:19:10+07:00
นฤมล ไม้แก่น
iampun1976@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแหลมใหญ่ จังหวัดสมุทรสงคราม ใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน คัดเลือกด้วยวิธีการเฉพาะเจาะจง กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจตามแนวคิดของ Gibson ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การค้นพบสภาพการณ์จริง การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ การตัดสินใจปฏิบัติ และการคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ โดยดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการรับประทานยาในระดับสูง แต่มีพฤติกรรมการออกกำลังกายในระดับต่ำที่สุด หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนพฤติกรรมสุขภาพเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) โดยพฤติกรรมที่แตกต่างมากที่สุดคือการออกกำลังกาย</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288461
ประสิทธิภาพของการให้บริการอุดฟันและเคลือบหลุมร่องฟันในโรงเรียนต่อการลดภาระงานทันตกรรมในอนาคต
2025-09-28T06:23:28+07:00
กนกวรรณ บรรณสาร
woragon.wi@ksu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการให้บริการอุดฟันและเคลือบหลุมร่องฟันในโรงเรียนต่อการลดภาระงานทันตกรรมในโรงพยาบาลชุมชน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลสมเด็จ จำนวน 12 แห่ง ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ในการหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage)</p> <p> ผลการศึกษา: พบว่า งานให้บริการด้านการรักษาในโรงพยาบาลมีต้นทุนเฉลี่ยต่อผู้รับบริการเท่ากับ 571.76 บาท ซึ่งสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของงานอนามัยในโรงเรียนที่อยู่ที่ 479.64 บาทต่อคน โดยมีความแตกต่างของต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 92.12 บาทต่อคน แม้ความแตกต่างดังกล่าวอาจดูไม่มากเมื่อพิจารณาในระดับรายบุคคล แต่เมื่อคำนวณจากจำนวนผู้รับบริการในโรงพยาบาลที่มากกว่า 10,000 ราย พบว่าต้นทุนรวมของงานรักษาในโรงพยาบาลสูงกว่างานอนามัยในโรงเรียนถึง 5,851,225 บาทต่อปี ซึ่งสามารถปรับลดต้นทุนเฉลี่ยของงานรักษาในโรงพยาบาลให้ใกล้เคียงกับต้นทุนของงานอนามัยในโรงเรียนได้ จะส่งผลให้ระบบสามารถประหยัดงบประมาณได้ประมาณ 994,391 บาทต่อปี</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288442
การพัฒนาแนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการนอน โรงพยาบาลในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
2025-09-24T20:11:32+07:00
ปาริชาต ใจดี
pitinut99@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการนอนโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ โดยมีการเก็บข้อมูลในกลุ่มตัวอย่างเพียงครั้งเดียวระหว่างเดือนระยะการดำเนินระหว่าง เดือน กุมภาพันธ์ ถึง เดือน เมษายน 2568 ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นบุคลากรพยาบาลวิชาชีพมีประสบการณ์จำนวน 34 คน การรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้เครื่องมือที่ใช้จากผลการศึกษาการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการนอนโรงพยาบาล ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ข้อมูลส่วนบุคคลข้อมูลของพยาบาล การพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการนอนโรงพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษา: ผลการศึกษาพบว่าบุคลากรพยาบาลวิชาชีพเป็นเพศหญิง ร้อยละ 97.06 ช่วงอายุส่วนใหญ่ 22-29 ปี ร้อยละ 52.94 ประสบการณ์การทำงานอยู่ช่วง 1-3 ปี ร้อยละ 35.29 จำนวนครั้งผ่านการอบรม ร้อยละ 75.56 พบว่าการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบพบว่าภาพรวมการปฏิบัติทุกด้าน ร้อยละ 91.38 อยู่ในระดับดีมาก ส่วนการปฏิบัติที่ปฏิบัติได้สูงสุด ได้แก่ การให้อาหารทางสายยาง ร้อยละ 98.89 การทำความสะอาดมือ ร้อยละ 94.12 การดูดเสมหะ ร้อยละ 89.04 การดูแลความสะอาดปากและฟัน ร้อยละ 81.76 อยู่ในระดับดีมาก</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288443
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลในการป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำในหญิงตั้งครรภ์ ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง โรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-24T20:15:43+07:00
อรทัย ไชยสุข
boonserm_wan@hotmail.com
จุฑามาศ จวนสาง
boonserm_wan@hotmail.com
ฐาปริมนต์ วงศ์รัตนจิรากุล
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลในการป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำในหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลังและประเมินผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดำเนินการตั้งแต่ เดือนมกราคม พ.ศ.2567 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ.2567 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง จำนวน 31 ราย เครื่องมือใช้แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการตอบแบบสัมภาษณ์ การประชุมระดมสมองและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา เปรียบเทียบความดันโลหิตก่อนและหลังให้การระงับความรู้สึก โดยใช้ สถิติ Pair t test</p> <p> ผลการศึกษา รูปแบบที่พัฒนาขึ้นเป็นการปรับปรุงแบบบริการงานวิสัญญี มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลสำหรับการป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำในหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง พบว่าอุบัติการณ์ความดันโลหิตต่ำลดลง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลังและความพึงพอใจในแนวปฏิบัติการพยาบาล อยู่ในระดับดีมาก</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287319
กระบวนการจำหน่ายผู้ป่วยในแผนกผู้ป่วยในชาย โรงพยาบาลเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-08-24T06:15:01+07:00
นงนุช ศรีวะโสม
tawat988@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การจำหน่ายผู้ป่วยในแผนกผู้ป่วยในชาย 2) ศึกษากระบวนการจำหน่ายผู้ป่วยในแผนกผู้ป่วยในชาย และ 3) ศึกษาผลของการใช้กระบวนการจำหน่ายผู้ป่วยที่ปรับปรุงแล้วต่อเวลามาตรฐานและความพึงพอใจของผู้ป่วย การดำเนินการแบ่งเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย การเตรียมการ การศึกษาสถานการณ์ การปรับปรุงกระบวนการ และการศึกษาผลหลังปรับปรุง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับบริการจำหน่ายก่อนการปรับปรุง 107 ราย และหลังการปรับปรุง 107 ราย รวม 214 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนภูมิการไหลของกระบวนการจำหน่ายผู้ป่วย แบบวิเคราะห์คุณค่าของกิจกรรม แบบวิเคราะห์ความสูญเปล่าด้วยเทคนิค 7 Wastes แบบวิเคราะห์ปัญหาด้วยเทคนิค 5W1H แบบวิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอแนะด้วยเทคนิค ECRS นาฬิกาดิจิทัลสำหรับจับเวลา แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย แบบบันทึกเวลา และแบบสอบถามความพึงพอใจผู้ป่วย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Independent samples t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการจำหน่ายผู้ป่วยในแผนกผู้ป่วยในชายที่ได้รับการปรับปรุงโดยแนวคิดลีนมี 10 กิจกรรมหลักและ 33 กิจกรรมย่อย ซึ่งลดลงจากกระบวนการเดิมที่มี 74 กิจกรรมย่อย คิดเป็นการลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นร้อยละ 55.41 เวลามาตรฐานที่ใช้ในกระบวนการจำหน่ายหลังการปรับปรุงเท่ากับ 66.45 นาที ลดลงจากเวลามาตรฐานก่อนการปรับปรุง 122.85 นาที คิดเป็นการลดเวลาร้อยละ 45.91 ระดับความพึงพอใจโดยรวมของผู้ป่วยหลังการปรับปรุงเพิ่มขึ้นจากก่อนการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -52.93, p < 0.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287566
การประเมินคุณภาพน้ำบาดาลในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยดัชนีคุณภาพน้ำบาดาล
2025-08-23T15:22:41+07:00
จุฑามาศ คำแก้ว
jutamas.kam@ku.th
คณิตา ตังคณานุรักษ์
kanita.t@ku.th
วัชรพงษ์ วาระรัมย์
ecwpw@ku.ac.th
<p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะทางเคมี และคุณลักษณะที่เป็นพิษ ของน้ำบาดาล ในพื้นที่ตำบลบ้านซ่อง และตำบลท่าถ่าน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และประเมินคุณภาพน้ำบาดาลด้วยดัชนีคุณภาพน้ำบาดาล (Groundwater Quality Index; GWQI) จำนวนทั้งสิ้น 16 พารามิเตอร์ ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำบาดาลที่จะใช้บริโภคได้ และมาตรฐานคุณภาพน้ำใต้ดิน โดยดำเนินการเก็บตัวอย่างในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ตัวอย่างน้ำบาดาล จำนวนทั้งสิ้น 32 ตัวอย่าง มีคุณลักษณะทางเคมีเมื่อเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน คุณภาพน้ำบาดาลมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 14 ตัวอย่าง พบค่า เหล็ก (Fe) 1.1 ± 0.0 – 690 ± 17.0 mg/L ฟลูออไรด์ (F<sup>-</sup>) 1.4 ± 0.1 – 1.8 ± 0.1 mg/L ไนเตรท (NO<sub>3</sub><sup>-</sup>) 47 ± 3 – 110 ± 10 mg/L และแมงกานีส (Mn) 0.6 ± 0.1 – 8.2 ± 0.1 mg/L มีคุณลักษณะที่เป็นพิษ เมื่อเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน คุณภาพน้ำบาดาลมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 1 ตัวอย่าง พบค่า นิกเกิล (Ni) 0.0280±0.0007 mg/l และประเมินคุณภาพน้ำบาดาลด้วยดัชนีคุณภาพน้ำบาดาล (GWQI) ตัวอย่างน้ำบาดาลส่วนใหญ่ จำนวน 30 ตัวอย่าง มีคุณภาพที่ดีมากเหมาะสำหรับการบริโภค โดยมีค่า GWQI อยู่ระหว่าง 0.04 – 21.67 อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งตัวอย่างที่มีคุณภาพดี (GWQI = 32.34) และอีกหนึ่งตัวอย่างมีคุณภาพไม่ดี (GWQI = 59.30)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287570
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด: กรณีศึกษา 2 ราย
2025-08-23T15:25:21+07:00
จันทิรา ชาญตะกั่ว
noknopporn2012@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษา การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด กรณีศึกษา 2 ราย ที่รับไว้รักษาในห้องคลอด โรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนในการประเมินภาวะสุขภาพและวางแผนการพยาบาล โดยทำการศึกษาในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จำนวน 2 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย การสังเกต การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ ประเมินผู้ป่วยโดยใช้กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ร่วมกับการใช้กระบวนการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษารายที่ 1 คือ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (Teenage Pregnancy) G1P0 GA 35<sup>+5</sup>wks. ส่วนกรณีศึกษารายที่ 2 เป็นการตั้งครรภ์ในหญิงอายุมาก (Elderly Pregnancy) G4P0212 last 6 ปี GA 35<sup>+5</sup> wks. ทั้ง 2 ราย มีความเสี่ยงสูงต่อการคลอดก่อนกำหนด กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย เข้าถึงการรักษาที่รวดเร็ว สามารถยับยั้งการคลอดสำเร็จในกรณีศึกษารายที่ 1 ส่วนกรณีศึกษารายที่ 2 ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้ เนื่องจากขณะให้ยายับยั้งคลอดมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ จึงมีการผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนัก 2,840 กรัม อาการปลอดภัยทั้งแม่และลูก ซึ่งกรณีศึกษารายที่ 1 นอนรักษาในโรงพยาบาล 2 วัน และกรณีศึกษารายที่ 2 นอนรักษาในโรงพยาบาล 9 วัน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287582
ความชุกและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลมะนัง จังหวัดสตูล
2025-08-24T06:26:54+07:00
อดิศักดิ์ ชุมขวัญ
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความชุกของโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลมะนัง จังหวัดสตูล (2) ประเมินระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีโรคข้อเข่าเสื่อมตามระดับความรุนแรงของโรค และ (3) ศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยด้านสุขภาพ และปัจจัยด้านพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์กับโรคข้อเข่าเสื่อมและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การวิจัยใช้รูปแบบวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 308 คน ที่มีโรคเรื้อรัง โดยสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม (Oxford Knee Score ฉบับภาษาไทย) และแบบวัดคุณภาพชีวิต EQ-5D-5L ฉบับภาษาไทย การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square test, t-test, logistic regression และ multiple linear regression</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมีอาการปวดเข่าเรื้อรังร้อยละ 35.1 (95% CI: 29.9–40.5) แต่ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเพียงร้อยละ 8.8 ในกลุ่มที่มีอาการปวดเข่า มีเพียงร้อยละ 25.0 ที่ได้รับการวินิจฉัย ส่งผลให้เกิดช่องว่างการวินิจฉัยสูงถึงร้อยละ 75.0 ผู้ที่มีอาการปวดเข่ามีคะแนนคุณภาพชีวิต (VAS Score) ต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีอาการอย่างมีนัยสำคัญ (71.07±14.79 เทียบกับ 81.97±10.22, p<0.001) ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคคือค่าดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ (Adjusted OR = 3.52, 95% CI: 2.11–5.87) ในขณะที่การออกกำลังกายและคะแนน Oxford Knee Score ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคุณภาพชีวิต (r = 0.492, p<0.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288444
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคต้อหิน โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
2025-09-24T20:20:58+07:00
เดือนเพ็ญ ตั้งเมตตาจิตตกุล
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบสองกลุ่ม คือกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม วัดก่อนและหลังการทดลอง (two group pre- posttest design) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อความร่วมมือในการรักษผู้ป่วยโรคต้อหิน ณ ห้องตรวจตา งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึง กุมภาพันธ์ 2567 จำนวน 60 รายเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สถิติ Paired Sample T-Test และ สถิติ independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคต้อหินกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองก่อนการทดลองเท่ากับ 60.00 หลังการทดลองเท่ากับ 86.65 เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันด้วยวิธีทางสถิติด้วย Paired t-test พบว่า หลังการทดลองค่าคะแนนเฉลี่ยความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคต้อหินกลุ่มได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<.05) นั่นคือ ผู้ป่วยโรคต้อหินมีความร่วมมือในการรักษาภายหลังการทดลองอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนการทดลอง และค่าเฉลี่ยความต่างของคะแนนความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคต้อหินระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองและกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันด้วยวิธีทางสถิติด้วย Independent t-test พบว่า ค่าเฉลี่ยความต่างของคะแนนความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยโรคต้อหินสูงของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288445
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเด็กโรคเบาหวานชนิดที่ 1
2025-09-24T20:24:02+07:00
สารภี กาญจนาโรจน์พันธ์
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเด็กโรงเบาหวานชนิดที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเด็กโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ณ ห้องตรวจกุมารเวชกรรม งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2566 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานของกลุ่มตัวอย่าง (Paired Sample T-Test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเด็กโรคเบาหวานชนิดที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเด็กโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อพิจารณาตามค่าเฉลี่ย พบว่า ก่อนเข้าโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยเด็กโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อยู่ในระดับปานกลาง ( 2.07) และหลังเข้าโปรแกรมแล้ว กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้เพิ่มขึ้น ( 2.67)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288611
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง บริบทโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในเขตจังหวัดหนองคาย
2025-09-27T15:27:03+07:00
ธวัชชัย เหลืองศิริ
boonserm_wan@hotmail.com
สุจิตรา บุษปฤกษ์
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง บริบทโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในเขตจังหวัดหนองคาย กลุ่มตัวอย่างผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ดูแลหลักของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้นำชุมชน และ อสม. จำนวน 45 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบรูปแบบ เป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ที่มารับบริการในคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดหนองคาย มากกว่า 1 ปี จำนวน 473 คน เก็บข้อมูลด้วยการสอบถามความรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ความรู้ โดยใช้จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด เปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง ระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ 4 เดือน โดยใช้สถิติการทดสอบทีแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Paired Sample t-test) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ เท่ากับ 11 และหลังนำรูปแบบฯ ไปใช้ เท่ากับ 13.55 คะแนนเฉลี่ยความรู้ก่อนและหลังนำรูปแบบฯ ไปใช้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t= -15.79 P-value <0.001) มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ เท่ากับ 60 และหลังนำรูปแบบฯ ไปใช้ เท่ากับ 65.22 เมื่อทดสอบความแตกต่างทางสถิติ พบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมก่อนและหลังนำรูปแบบฯ ไปใช้ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t= -8.51, P-value <0.001) ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 143.74 S.D. = 12.66 และหลังนำรูปแบบฯ ไปใช้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 138.69 S.D. = 12.02 ผลการทดสอบทางสถิติ (t = 7.62, P-value <0.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288612
ประสิทธิผลของระบบเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้มด้วยเทคโนโลยี IoT ในผู้สูงอายุบูรณาการร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย
2025-09-27T15:38:48+07:00
รุ้งอุษา นาคคงคำ
wuttisakboon@hotmail.com
ทรรศนีย์ บุญมั่น
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของระบบเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้มด้วยเทคโนโลยี IoT ในผู้สูงอายุบูรณาการร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 15 คน และกลุ่มควบคุม 15 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ ระบบเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้มด้วยเทคโนโลยี IoT ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การค้นหาและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง การสร้างความตระหนักและให้ความรู้เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม โดยประยุกต์ใช้แนวคิดของ Becker และ Maiman (1975) การติดตามให้คำปรึกษา และการใช้นาฬิกาสวมใส่ ระยะเวลาการทดลอง 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ความรู้การเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้ม พฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม และความพึงพอใจต่อระบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Wilcoxon Signed-rank test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้ระบบฯ กลุ่มทดลองมีค่ามัธยฐานความรู้การเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้ม และพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มสูงกว่าก่อนใช้ระบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) กลุ่มทดลองมีอัตราการพลัดตกหกล้มลดลงจาก 3 ราย เหลือ 0 ราย ในขณะที่กลุ่มควบคุมลดลงจาก 2 ราย เหลือ 1 ราย ความพึงพอใจต่อระบบอยู่ในระดับมาก (3.59 ± 0.29 คะแนน) โดยด้านประโยชน์และผลกระทบได้คะแนนสูงสุด (4.12 ± 0.49 คะแนน)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287595
การวิเคราะห์สถานการณ์การจัดการความรุนแรงของบุคลากรทางการแพทย์ ในหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์
2025-08-25T14:31:56+07:00
ชุติมา คำประกอบ
Orn-anong.w@cmu.ac.th
อรอนงค์ วิชัยคำ
Orn-anong.w@cmu.ac.th
กุลวดี อภิชาตบุตร
Orn-anong.w@cmu.ac.th
<p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การจัดการความรุนแรงของบุคลากรทางการแพทย์ในหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้กรอบแนวคิดของ Donabedian ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้าง กระบวนการ และผลลัพธ์ ร่วมกับแนวทางการป้องกันและจัดการความรุนแรงในโรงพยาบาลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์จำนวน 68 คน ซึ่งคัดเลือกด้วยวิธีการแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบบันทึกอุบัติการณ์ความรุนแรง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ในด้านโครงสร้าง โรงพยาบาลยังไม่มีนโยบายจัดการความรุนแรงที่ชัดเจน บุคลากรส่วนใหญ่ไม่ทราบแนวปฏิบัติ และขาดทักษะเฉพาะทาง แม้มีการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยบางส่วน ด้านกระบวนการ หน่วยงานขาดแนวปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร บุคลากรใช้การตัดสินใจเฉพาะหน้าและไม่รายงานเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ ด้านผลลัพธ์ พบว่าผู้ปฏิบัติงานมีทัศนคติเชิงลบต่อการรายงานเหตุการณ์ อันเนื่องมาจากความกังวลต่อผลกระทบและความไม่มั่นใจว่าการรายงานจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287642
เปรียบเทียบผลลัพธ์ในการรักษาด้วยการใส่ท่อระบายชนิดพลาสติกอันเดียวและหลายอันในผู้ป่วยที่ได้รับการส่องกล้องทางเดินน้ำดีที่มีนิ่วขนาดใหญ่
2025-08-25T14:28:26+07:00
กันตภณ รัตนชื่อสกุล
peach.kantapon@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยผลของการรักษา (Therapeutic research) ดำเนินการเก็บข้อมูลย้อนหลัง (Retrospective study) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสำเร็จในการกำจัดนิ่วในท่อน้ำดีได้หมดในการส่องกล้องทางเดินน้ำดีครั้งที่สอง ของผู้ป่วยส่องกล้องทางเดินน้ำดีที่มีนิ่วขนาดใหญ่ที่มีการใส่ท่อระบายชนิดพลาสติกอันเดียวและหลายอัน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคนิ่วในท่อน้ำดีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหาดใหญ่ จำนวน 360 คน แบ่งเป็นกลุ่ม Single Plastic Stent Placements จำนวน 180 คน และกลุ่ม Multiple Plastic Stent Placements จำนวน 180 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพและการรักษา และแบบบันทึกความสำเร็จในการกำจัดนิ่วในท่อน้ำดี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ คำนวณหาค่าร้อย และสถิติ Independence t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าระหว่างกลุ่ม Single และ Multiple Plastic Stent Placements ขนาดของนิ่วก่อนทำ ERCP ค่าเฉลี่ยการกำจัดนิ่ว และขนาดนิ่วหลังการรักษาในแต่ละครั้ง ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> > .05) ยกเว้นจำนวนของ Plastic Stent ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญสูง (<em>p</em> < .001) โดยกลุ่ม Single ใช้ Stent เพียง 1 ชิ้น ในขณะที่กลุ่ม Multiple ใช้ Stent มากกว่า 1 ชิ้น</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288615
ผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต จังหวัดหนองคาย
2025-09-27T15:44:09+07:00
ธวัชชัย เหลืองศิริ
namthip2527_cam@hotmail.com
สิทธิศานติ์ ทรัพย์สิริโสภา
namthip2527_cam@hotmail.com
ฉัตรฑิวัฒน์ ฝ่ายหมื่นไวย์
namthip2527_cam@hotmail.com
สุธิดา ดวงพุทธา
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยเรื่อง ผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต จังหวัดหนองคาย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยผู้วิจัยได้กำหนดวิธีดำเนินการวิจัยและแผนการวิจัยไว้เป็น ๓ ระยะ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหาในการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ ในจังหวัดหนองคาย 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต ในจังหวัดหนองคาย 3) เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิตในจังหวัดหนองคาย ดำเนินการในพระสงฆ์ทุกรูปที่พำนักในวัดทุกแห่ง ในจังหวัดหนองคาย ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2568 การเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของพระสงฆ์ แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า และแบบบันทึกข้อมูลเพื่อการเฝ้าระวังและส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์รายบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าน้อยสุด และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ได้แก่ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพของพระสงฆ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) พระสงฆ์ในจังหวัดหนองคายมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นในทุกด้าน โดยพฤติกรรมด้านการแปรงฟัน การนอนหลับ การฉันน้ำเปล่า และการดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม มีค่าเฉลี่ยดีขึ้นจากก่อนการดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P value < 0.05 ส่วนพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกาย การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง การดื่มเครื่องดื่มประเภทชา/กาแฟ การฉันผักและผลไม้สด และการสูบบุหรี่หรือยาเส้น ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2) พระสงฆ์มีภาวะซึมเศร้าดีขึ้นในทุกประเด็นและเมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้า ระหว่างก่อนและหลังดำเนินการ ด้วยแบบ 2 คำถาม (2Q) พบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าดีขึ้นจากก่อนดำเนินการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P value < 0.05 ทั้ง 2 ประเด็น ได้แก่ รู้สึก หดหู่ เศร้า หรือท้อแท้สิ้นหวัง และประเด็นรู้สึก เบื่อทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน 3) น้ำหนักตัว ปริมาณน้ำตาลในเลือด (เจาะที่ปลายนิ้ว) ค่าความดันโลหิต หลังการดำเนินการมีค่าเฉลี่ยดีขึ้นกว่าก่อนดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P value < 0.05 สำหรับส่วนสูง ดัชนีมวลกาย (BMI) และการมีโรคประจำตัวพบว่าไม่แตกต่างจากก่อนดำเนินการ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287567
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการรักษาด้วยเครื่องให้ออกซิเจนเสริมชนิดอัตราการไหลสูง ในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสระบุรี
2025-09-15T11:11:44+07:00
วิไลวรรณ แสงธรรม
vanida.oat@gmail.com
โสภา เกิดพิทักษ์
vanida.oat@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราความสำเร็จของการรักษาด้วย HHHFNC ในผู้ป่วยเด็ก และตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างอายุ การวินิจฉัยโรค ค่าคะแนน Respiratory failure score (RS) และอัตราการเต้นของหัวใจ กับความสำเร็จในการใช้ HHHFNC เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบ Retrospective Cohort โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยเด็กอายุ 1 เดือนถึง 15 ปี ที่ได้รับการรักษาด้วย HHHFNC ณ โรงพยาบาลสระบุรี ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา t-test และ Multivariable risk (Binary) Regression analysis</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า จากผู้ป่วยจำนวน 112 ราย มีอัตราความสำเร็จของการรักษาด้วย HHHFNC ร้อยละ 72.32 และพบว่าการที่ค่าคะแนน RS ลดลงตั้งแต่ 2 คะแนนขึ้นไป หลังเริ่มใช้ HHHFNC ที่นาทีที่ 60 สามารถทำนายความสำเร็จของการรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Adjusted risk ratio -2.59, 95%CI 0.22–0.81, p = 0.010) </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287709
การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะท้ายแบบประคับประคอง: กรณีศึกษา 2 ราย
2025-08-25T14:50:44+07:00
ณัฐพัฒฐ์ วิมลจิตร
noknopporn2012@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะท้ายแบบประคับประคอง: กรณีศึกษา 2 ราย ที่รับไว้รักษาในหอผู้ป่วยพิเศษ โรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น โดยทำการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะท้ายที่มีการดูแลแบบประคับประคองจำนวน 2 ราย โดย คัดเลือกผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนทั้งปัญหาสุขภาพองค์รวม เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย การสังเกต การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ ประเมินผู้ป่วยโดยการใช้กระบวนการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษารายที่ 1 วินิจฉัย CA Lung with metastasis with Palliative care Left pleural effusion with Anemia with anemia symptoms with Diabetes mellitus type 2 with Simple Hyperglycemia กรณีศึกษารายที่ 2 วินิจฉัย CA Lung with metastasis with Palliative care with Pneumonia with Diabetes mellitus type 2 with Simple Hyperglycemia ผลการศึกษา พบว่า ก่อนจำหน่าย รายที่ 1 ประเมิน PPS 30% ญาติขอเช่า O<sub>2</sub> ไฟฟ้า จัดส่งข้อมูลและประสานการดูแลต่อเนื่องส่ง HHC ให้ รพ.สต. ติดตามเยี่ยมต่อเนื่อง แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ไม่มีนัดตรวจติดตาม รายที่ 2 ประเมิน PPS 60% ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมได้บ้าง เช่นการรับประทานอาหารเอง เดินเข้าห้องน้ำโดยญาติพยุง ตัวโรครุนแรง แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ไม่มีนัดตรวจติดตาม ทั้ง 2 ราย ให้คำแนะนำหากมีอาการรบกวนต่าง ๆ เช่น อาการปวดมากขึ้น หอบเหนื่อย หอบมาก รับประทานอาหารไม่ได้ สามารถมาโรงพยาบาลได้ กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย มีระยะเวลานอนโรงพยาบาล เป็นเวลา 5 วัน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287713
ผลของโปรแกรมการสอนทักษะการสื่อสารทางสังคมนักเรียนประถมศึกษาที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมต่อการรับรู้ของบิดามารดาที่บุตรมีภาวะออทิซึมสเปกตรัม
2025-08-25T14:57:27+07:00
พรมณี หาญหัก
hpronm@kku.ac.th
ปิยะวรรณ ศรีสุรักษ์
punnathut.b@nrru.ac.th
เพ็ญณี แนรอท
punnathut.b@nrru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการรับรู้ของผู้ปกครองในการพัฒนาทักษะการสื่อสารทางสังคมของบุตรที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder: ASD) และเพื่อประเมินผลของโปรแกรมการสอนทักษะการสื่อสารทางสังคมที่ออกแบบขึ้นต่อการรับรู้ของผู้ปกครอง และพฤติกรรมการสื่อสารของเด็ก ภายใต้บริบทพหุวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครอง และบุตรที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมระดับประถมศึกษา จำนวน 60 ครอบครัว แบ่งออกเป็น 2 วัฒนธรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มออสโตรเอเชียติค และกลุ่มไต-กะได กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 ครอบครัว เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ ภูมิหลังครอบครัว แบบประเมินการรับรู้ของผู้ปกครอง แบบประเมินทักษะการสื่อสารของนักเรียนออทิซึม และนวัตกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ แอปพลิเคชัน และหนังสือเสริมทักษะการสื่อสาร</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการใช้นวัตกรรม ผู้ปกครองมีการรับรู้อยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉพาะด้านแนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารของบุตรที่ได้คะแนนต่ำที่สุด ส่วนทักษะการสื่อสารของนักเรียนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง หลังจากใช้นวัตกรรมติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ผลการทดสอบ Paired t-test แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ของผู้ปกครองและทักษะการสื่อสารของนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ทั้งในมิติของการสื่อสารภายในครอบครัว โรงเรียน และสังคม นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงคุณภาพสะท้อนว่าผู้ปกครองมีความเข้าใจและความมั่นใจในการดูแลบุตรมากขึ้น ขณะที่เด็กมีความกล้าแสดงออกและเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ดีขึ้น</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287751
ประสิทธิผลของสื่ออินโฟกราฟิกในการให้ความรู้ด้านทันตสุภาพของ ผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียน อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง
2025-08-25T15:07:20+07:00
ไกร แก้วทิพย์
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสื่ออินโฟกราฟิกผ่านแอปพลิเคชัน LINE ในการเพิ่มความรู้ด้านทันตสุขภาพของผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียนในอำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง และเพื่อประเมินระดับความพึงพอใจต่อสื่อดังกล่าว ใช้รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (one group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองเด็กอนุบาล 1–3 จาก 3 ตำบลในพื้นที่ รวม 169 คน ได้รับการคัดเลือกโดยวิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยสื่ออินโฟกราฟิก 2 ประเภท (วิดีโอแบบ static และ animated) แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (repeated-measures ANOVA) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ก่อนโปรแกรม หลังโปรแกรมทันที และหลัง 3 เดือน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความรู้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปานกลาง (9.73±0.87) ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม เป็นระดับสูงทันทีหลังจบโปรแกรม (12.62±0.36) และยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงติดตาม 3 เดือน (11.96±0.89) โดยมีอัตราการคงอยู่ของความรู้ร้อยละ 94.8 ทุกมิติของความรู้ (ฟันผุ การแปรงฟัน และการดูแลสุขภาพช่องปาก) แสดงการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การประเมินพฤติกรรมพบว่าผู้ปกครองสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง (81.5%) และการควบคุมการบริโภคของหวาน (82.1%) นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมวิจัยแสดงความพึงพอใจต่อสื่อในระดับมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะด้านเนื้อหาและประโยชน์ที่ได้รับ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287599
ปัจจัยที่มีอิทธิพลกับความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติครั้งแรก
2025-09-15T11:20:03+07:00
อภิสรากรณ์ หิรัณย์วิชญกุล
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
ฟารีดา คชฤทธิ์
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
อัญชลี วงษ์ดี
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
ชญานิษฐ์ ทิศพรม
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
วิรมณ กาสีวงศ์
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
อนุชิดา อายุยืน
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
สุภิศา ขำอเนก
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
อัญชลี วงษ์ดี
apisarakorn_nueng21@yahoo.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลกับความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติครั้งแรก กลุ่มตัวอย่างเป็น นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 จํานวน 148 ราย ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความฉลาดทางสังคม แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามรูปแบบการเผชิญปัญหา แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ได้แก่ .85, .90, .78, .91 และ .90 ตามลําดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นต้น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยความฉลาดทางสังคมโดยรวมของนักศึกษาพยาบาลเท่ากับ 70.10 (<em>SD</em> = 18.61) อยู่ในระดับปานกลาง ตัวแปรที่สามารถร่วมทำนายความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติครั้งแรกได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ รูปแบบการเผชิญปัญหา (<em>β</em> = 0.235, <em>p</em> < .000) ความฉลาดทางอารมณ์ (<em>β</em>= 0.284, <em>p</em> = <.000) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (<em>β</em> = 0.269, <em>p</em> = < .000) โดยสามารถร่วมกันทำนายความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาพยาบาลที่ขึ้นฝึกปฏิบัติครั้งแรก ได้ร้อยละ 52.6 (<em>R<sup>2</sup> </em>= 0.526, <em>p</em> < .000)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287904
ผลของการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย จังหวัดปราจีนบุรี
2025-09-06T14:37:27+07:00
ผ่องศรี รำจวน
phongsri1988@gmail.com
วุฒิกร พัฒนโสภณ
phongsri1988@gmail.com
จินตนา วชิรดุสิต
phongsri1988@gmail.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย จังหวัดปราจีนบุรี ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เครือข่าย จำนวน 284 คน ผู้ดูแลและผู้สูงอายุ กลุ่มละ 145 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ได้แก่ การมีส่วนร่วมของเครือข่าย ศักยภาพผู้ดูแล และคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Wilcoxon signed ranks test และ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย จังหวัดปราจีนบุรี 5 มาตรการ ประกอบด้วย กำหนดบทบาท การจัดงบประมาณ พัฒนาชมรมผู้สูงอายุ พัฒนาระบบบริการผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และ 5) พัฒนาศักยภาพผู้ดูแล หลังพัฒนาเครือข่ายโดยรวมมีการรับรู้ในการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p= <0.001) มีส่วนร่วมในระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) และมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001) ผู้ดูแลโดยรวมมีศักยภาพการทำงานอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 29.0 เป็นร้อยละ 71.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.001) และผู้สูงอายุโดยรวมมีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับปานกลางเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 72.4 เป็นร้อยละ 79.3</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/287972
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองของผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะปานกลางในผู้สูงอายุในโรงพยาบาลสิรินธร ขอนแก่น : กรณีศึกษา 2 ราย
2025-09-16T09:58:10+07:00
นุกูล เมืองขันธ์
balring@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะการเจ็บป่วยของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะและเพื่อศึกษาการ พยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่มีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะปานกลางในผู้สูงอายุ : กรณีศึกษา 2 ราย โดยศึกษา เปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่มีภาวะเลือดออกในสมองของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะปานกลาง โรงพยาบาลสิรินธร ขอนแก่น การศึกษาประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูล รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน การสัมภาษณ์ ผู้ป่วยและญาติ จากการสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบ และการวางแผนพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาล วางแผนการดูแล ครอบคลุมจนถึงการวางแผนจำหน่าย</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 รายเป็นผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากอุบัติจราจรและมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองเหมือนกัน รักษาโดย 2 ราย แพทย์เฉพาะทางด้านประสาท ศัลยแพทย์ มีความเห็นให้การรักษาแบบประคับประครองยังไม่ต้องผ่าตัด ให้เข้านอนรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวัง อาการเลือดออกในสมองเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกัน ด้านรุนแรงของพยาธิสภาพของโรค และภาวะ แทรกซ้อนของโรคขณะทำการรักษา ส่งผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยระยะเวลาช้า หรือเร็วแตกต่างกัน ซึ่งในกรณีศึกษารายที่ 1 ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน มีอันตรายจากความดันโลหิตสูง รักษาโดยให้ยาลดความดันโลหิต พยาบาลจึงควรเข้ามีบทบาทตั้งแต่ช่วงที่เริ่มวินิจฉัยโรคที่คุกคามชีวิต กรณีศึกษารายที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนตามมาตรฐาน และมีโรคประจำตัว มีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีการติดตาม ผลการรักษาอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลชุมชน และการมาตรวจตามนัด</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288015
การรักษาผู้ป่วยโรคเริมด้วยครีมพญายอเทียบกับครีม Acyclovir ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
2025-09-16T10:04:24+07:00
ณิชา เจนมานะชัยกุล
mzyynj@hotmail.com
<p> เป็นการศึกษาทดลองแบบสุ่มและควบคุมทางคลินิก มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการรักษาโรคเริมด้วยครีมพญายอในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โดยผู้ป่วยจำนวน 29 ราย เป็นเริมเฉพาะที่ริมฝีปากได้รับการดูแลรักษาด้วยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังภายในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ถึงมิถุนายน 2568 แบ่งโดยวิธีการสุ่มด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 การรักษาโรคเริมด้วยครีมพญายอ จำนวน 15 ราย และกลุ่มที่ 2 การรักษาโรคเริมด้วยครีม Acyclovir จำนวน 14 ราย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ อาการปวด อาการคัน และผลการรักษาโรคเริม (การดำเนินโรค 3 ระยะ) โดยใช้ Student t-test เป็นตัวสถิติเปรียบเทียบ</p> <p> ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรคเริมจำนวน 29 ราย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความพึงพอใจทั้ง 9 รายการ ทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการใช้ยาอยู่ในช่วง 2.47-4.80 ในกลุ่มผู้ป่วยรักษาด้วยครีมพญายอ และอยู่ในช่วง 2.36-4.64 ในกลุ่มผู้ป่วยรักษาด้วยครีม Acyclovir ผลการรักษา (การดำเนินโรค) ทั้ง 2 กลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1 ระยะตุ่มน้ำใสเต็มที่ 2 ระยะตกสะเก็ดเต็มที่ 3 รอยโรคหาย วัดจากรูปถ่ายติดตามรายวันประเมินโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้ง 2 กลุ่ม ทั้ง 3 ระยะ โดยระยะเวลารอยโรคหายในกลุ่มผู้ป่วยรักษาด้วยครีมพญายอและกลุ่มผู้ป่วยรักษาด้วยครีม Acyclovir 8.87 ± 2.88 วัน และ 9.71 ± 3.41 วัน ตามลำดับ (p = 0.48) อาการปวดและอาการคันทั้ง 2 กลุ่ม ณ วันที่ 3 7 และ 14 ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288024
ผลการนำนโยบายสู่การปฏิบัติเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาเด็กปฐมวัย เขตสุขภาพที่ 10
2025-09-16T10:09:48+07:00
กิตติพศ ดำบรรพ์
csoket10@gmail.com
สมฤกษ์ จึงสมาน
csoket10@gmail.com
สุนทรีย์ พันธุ์คำ
soontaree.phan@gmail.com
<p> การวิจัยเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ผลลัพธ์และผลการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาเด็กปฐมวัยเขตสุขภาพที่ 10 ศึกษาในกลุ่มผู้ขับเคลื่อนนโยบายระดับเขต กลุ่มผู้ประสานการปฏิบัติ 70 คน ครูผู้ดูแลเด็กและครูปฐมวัยในเขตสุขภาพที่ 10 จำนวน 1,070 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถามผลลัพธ์และผลการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพโดยผู้วิจัยและเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วย Google Form นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการนำนโยบายสู่การปฏิบัติด้วยสถิติ Paired sample t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย 1) การถ่ายทอดนโยบายและกำกับติดตามระดับเขตสุขภาพ 2) สร้างกระแสความร่วมมือภาคีเครือข่ายลงส่งระดับจังหวัด สู่ระดับพื้นที่ 3) พัฒนาศักยภาพบุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกส่วนแบบใส่ใจ ด้วยหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาความรู้ทักษะเฉพาะต่อการแก้ไขปัญหา 4) พัฒนาระบบบริการทั้งในสถานบริการสุขภาพ และสถานศึกษา 5) พัฒนาระบบกำกับติดตามคุณภาพ ภายหลังการนำนโยบายไปปฏิบัติกลุ่มผู้ประสานการปฏิบัติ มีค่าเฉลี่ยผลลัพธ์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติภาพรวมและรายด้านเพิ่มขึ้นเป็นระดับมาก ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนครูผู้ดูแลเด็กและครูปฐมวัย มีทักษะในการส่งเสริมพัฒนาการและทักษะสมองการคิดเชิงบริหารสำหรับเด็กปฐมวัย ทั้งในภาพรวมและรายด้านเพิ่มเป็นระดับมาก ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288025
ปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะซึมเศร้าในนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยในจังหวัดอุบลราชธานี
2025-09-16T10:16:41+07:00
แพลวพลอย บุญปั้น
praewploy.bo.65@ubu.ac.th
กิตติ เหลาสุภาพ
kitti.l@ubu.ac.th
<p> การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะซึมเศร้าในนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยในจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาจำนวน 495 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 7 ส่วนที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 71.3) มีมัธยฐานอายุ 20 ปี และส่วนใหญ่ไม่มีภาวะซึมเศร้า (ร้อยละ 62.22) อย่างไรก็ตาม พบว่ามีนักศึกษาที่มีภาวะซึมเศร้าในระดับต่างๆ ตั้งแต่เล็กน้อยถึงรุนแรงรวมกันร้อยละ 37.78 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์และสามารถอธิบายความแปรปรวนของภาวะซึมเศร้าได้ร้อยละ 82.6 (R² = 0.826) ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อภาวะซึมเศร้า ได้แก่ ความเครียด (β = 0.529) และการครุ่นคิด (β = 0.335) ขณะที่ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกมีอิทธิพลทางตรงเชิงลบ (β = -0.106) นอกจากนี้ยังพบว่าเหตุการณ์ในชีวิตเชิงลบส่งผลทางอ้อมต่อภาวะซึมเศร้าผ่านการเพิ่มการครุ่นคิดและความเครียด ส่วนการสนับสนุนทางสังคมและทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกทำหน้าที่เป็นปัจจัยป้องกันโดยช่วยลดความเครียดและการ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288616
การพัฒนารูปแบบคัดกรองภาวะก่อนเบาหวาน โดยใช้ดัชนีไตรกลีเซอไรด์-กลูโคส ของกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-27T15:50:22+07:00
สุลักขณา วงค์วิเศษ
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการทดลองทางห้องปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของดัชนีไตรกลีเซอไรด์-กลูโคส กับค่าน้ำตาลสะสม ในกลุ่มเสี่ยงก่อนเบาหวาน เพื่อพัฒนารูปแบบการใช้ค่าดัชนีไตรกลีเซอไรด์-กลูโคส ในการคัดกรองภาวะก่อนเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มารับบริการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์จำนวน 614 ราย โดยใช้เกณฑ์อายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป และได้รับการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือด, ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลสะสม ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการถูกรวบรวมผ่านระบบสารสนเทศทางห้องปฏิบัติการและโรงพยาบาล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและหาความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่างดัชนีไตรกลีเซอไรด์-กลูโคสกับค่าน้ำตาลสะสม และใช้โปรแกรม MedCalc version 23.2.6 ในการหาค่า ROC curve หาค่า cut-off ที่เหมาะสม</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยของ TyG Index เท่ากับ 8.68 ± 0.71 โดยเพศชายมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญ ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง TyG Index กับ HbA1c อยู่ในระดับปานกลางในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.626, p < 0.001) ค่าความสอดคล้องระหว่าง TyG Index กับ FPG (k-value) เท่ากับ 0.698 ในเพศชาย และ 0.797 ในเพศหญิง ค่า ROC (AUC) อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะเพศหญิง (AUC = 0.889, cut-off 8.902)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288618
ผลของการใช้รูปแบบบริการจัดส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยด้วย Health Rider ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลนาแก จังหวัดนครพนม
2025-09-27T15:55:24+07:00
พรรณทิพย์ ทีสุ่ม
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบวัดผลก่อน–หลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบบริการจัดส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยด้วย Health Rider ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลนาแก จังหวัดนครพนมกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง จำนวน 45 คน และผู้ป่วยเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง จำนวน 45 คน ใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินการใช้ยา การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ และความพึงพอใจ <u>การดำเนินการวิจัย</u> ดังนี้ 1. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนการทดลอง 2. กิจกรรมที่ 1 การบรรยายเรื่องการใช้รูปแบบ/แนวทางบริการจัดส่งยาถึงบ้าน 3. กิจกรรมที่ 2 การใช้รูปแบบบริการจัดส่งยาถึงบ้าน 4. กิจกรรมที่ 3 ติดตามการรับยา/การใช้ยาของผู้ป่วย/การให้คำปรึกษาเรื่องยาแก่ผู้ป่วยทางโทรศัพท์โดยเภสัชกร 5. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลหลังการทดลองโดยใช้แบบประเมินความรู้ความเข้าใจและแบบประเมินความพึงพอใจเกี่ยวกับการใช้รูปแบบบริการจัดส่งยาถึงบ้าน 6. ประเมินผลการใช้รูปแบบบริการจัดส่งยาถึงบ้าน <u>วิเคราะห์ข้อมูล</u>ด้วยสถิติ เชิงพรรณนา Chi-square test และ T-test กำหนดระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p> ผลการศึกษา : พบว่า (1) ทักษะการให้คำปรึกษาของเภสัชกรทางโทรศัพท์อยู่ในระดับมาก (2) การใช้ยาอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 3.53 (S.D.=0.66) เป็น 4.98 (S.D.=0.15) (3) การได้รับยาถูกต้องและทันเวลาเพิ่มจาก 1.36 (S.D.=0.48) เป็น 2.00 (S.D.=0.00) (4) ความพึงพอใจและความเป็นไปได้ในการดำเนินงานต่อเนื่องอยู่ในระดับสูงที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288634
การมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม
2025-09-27T18:48:27+07:00
จิรชาย ประสพธัญญา
pitinut99@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้มี<u>วัตถุประสงค์</u>เพื่อศึกษาสถานการณ์และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม โดยมี<u>กลุ่มตัวอย่าง</u>บุคลากรทุกประเภทที่สมัครใจเข้าร่วม จำนวน 159 คน <u>เครื่องมือวิจัย</u>ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามระดับการมีส่วนร่วม แบบสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบตรวจรายการสังเกต และแบบประเมินความพึงพอใจ <u>ดำเนินการวิจัย</u>ตามกระบวนการ Action Research ได้แก่ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติ (Act) การสังเกตติดตาม (Observe) และการสะท้อนผล (Reflect) <u>วิเคราะห์ข้อมูล</u>ด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square test และ t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญได้แก่ ความรู้ความเข้าใจใน PMQA ทัศนคติ และแรงจูงใจ โครงสร้างและกระบวนการ ทรัพยากร และการติดตามประเมินผล ในขณะเดียวกันผลการเปรียบเทียบก่อนและหลังการพัฒนาพบว่า ระดับการมีส่วนร่วม ความรู้ ทัศนคติ และความพึงพอใจของบุคลากรเพิ่มขึ้นจากระดับ “มาก” เป็น “มากที่สุด” อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288635
การปรับตัว สุขภาวะทางจิตใจ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลตำบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี
2025-09-27T18:52:16+07:00
ภาณุฤทธิ์ สินธวรัตน์
adisak871987@hotmail.com
ทิพย์วัลย์ สุรินยา
adisak871987@hotmail.com
ธีรพัฒน์ วงศ์คุ้มสิน
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปรับตัว สุขภาวะทางจิตใจ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปรับตัวกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาวะทางจิตใจกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ และ 5) ศึกษาอิทธิพลของการปรับตัว สุขภาวะทางจิตใจ ที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวนทั้งสิ้น 332 คน โดยมีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าระดับ ค่า t-test F-test การทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธี LSD ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถอดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การปรับตัว สุขภาวะทางจิตใจ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) ผู้สูงอายุที่มีปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ภาวะสุขภาพ รายได้ ระดับการศึกษา และการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การปรับตัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) สุขภาวะทางจิตใจมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 5) การปรับตัว สุขภาวะทางจิตใจ สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุได้ ร้อยละ 60.7</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288638
การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลชื่นชม
2025-09-27T18:58:46+07:00
ฐิติรัตน์ สมยอ
sirisakpom64@gmail.com
รุ่งทิวา ขันธมูล
sirisakpom64@gmail.com
สุดารัตน์ หงษ์สีทอง
sirisakpom64@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลชื่นชม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 15 คน และ สหวิชาชีพ จำนวน 22 คน รวม 37 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงใน 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่มาด้วยอาการ ไข้ ซึม สับสน, ผู้สูงอายุ ≥ 60 ปี และ ผู้ที่มีโรคประจำตัวและมีไข้ ทุกราย โดยใช้เครื่องมือในการคัดกรอง 2 อย่าง ดังนี้ SIRS หรือ qSOFA และ 2 S-NEWs ผู้ป่วยที่ได้รับการคัดกรอง ถ้าคะแนน S-NEWs ≥ 5 คะแนน หรือ Blood lactate ≥ 4 ส่งผู้ป่วยเข้ารับการดูแลที่ ER ตามแนวทาง sepsis fast track ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการออกไม่เกิน 30 นาที 5) ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะได้รับการพิจารณาและแก้ไขก่อนadmit ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในผู้ป่วย Sepsis ทุกรายที่ ER เจาะ Blood lactate ชั่วโมงที่ 0 และ 3 การให้สารน้ำยึดหลักตาม Protocol ของจังหวัดมหาสารคาม คือ RLS 30 ml/Kg./hr. กรณีมีข้อห้ามขึ้นอยู่กับดุลย์พินิจของแพทย์ ลงทะเบียนผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ผ่านช่องทาง QR code Sepsis รพช. หรือ QR code Sepsis Refer. ของจังหวัดมหาสารคาม และทบทวนการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดแบบรุนแรงที่หน้างานประจำแผนกทุกวัน ส่วนรายที่ยุ่งยากซับซ้อนหรือเสียชีวิต ทบทวนในเวที PCT </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288069
การเปรียบเทียบผลความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจระหว่าง Propofol ร่วมกับ Ketamine (ketafol) และ Propofol ร่วมกับ ephedrine ในการระงับความรู้สึกผู้ป่วยที่มารับการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่: การศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม
2025-09-16T10:24:58+07:00
ปิยวรรณ รัตนวรรณี
mariespiya@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการระงับความรู้สึกในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ระหว่าง ระหว่าง Propofol ร่วมกับ Ketamine (PK) และ Propofol ร่วมกับ ephedrine (PE) เป็นการศึกษาเชิงทดลองแบบ randomized double blind controlled trial โดยใช้ parallel design ในผู้ป่วย 70 ราย ถูกสุ่มเข้ากลุ่ม PK จำนวน 35 ราย และกลุ่ม PE จำนวน 35 ราย เพื่อเปรียบเทียบผลความดันโลหิต (BP) และอัตราการเต้นหัวใจ (HR) ในการระงับความรู้สึกผู้ป่วยที่มารับการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยบันทึกข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยก่อนระงับความรู้สึก ระหว่างก่อนและหลังการระงับความรู้สึก สังเกตระดับของการระงับประสาท จดบันทึกสัญญาณชีพ ได้แก่ ความดันโลหิต อัตราการเต้นหัวใจ ปริมาณยาที่ใช้ ระยะเวลาที่พื้น อาการปวด และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นโดยเครื่องมือวิจัยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยกลุ่ม PK จำนวน 35 ราย และกลุ่ม PE จำนวน 35 ราย ซึ่งไม่มีออกจากการศึกษา (Drop out) พบว่า ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตซีสโตลิก (SBP) ระหว่างกลุ่มหลังการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.001) โดยมีความแตกต่างค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.26 mmHg (95% CI 11.55 – 24.67) ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตไดแอสโทลิก (DBP) ระหว่างและหลังการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.001) โดยมีความแตกต่างค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.42 mmHg (95% CI 11.55 – 24.67) และ 13.17 mmHg (95% CI 7.64 – 18.70) ตามลำดับ อย่างไรก็ตามอัตราการเต้นหัวใจแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติในทุกระยะเวลา ปริมาณยาระงับความรู้สึกทั้งหมดที่ใช้และคะแนนความเจ็บปวดในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.001) ขณะที่ระยะเวลาการฟื้นไม่แตกต่างกัน (P-value = 0.667) นอกจากนี้พบว่าภาวะแทรกซ้อนทั้งกลุ่ม PK และ PE มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจเต้นช้า</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288055
การศึกษาโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม
2025-09-21T11:31:13+07:00
สัจจพร พนมศักดิ์
onumakaewkerd@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการศึกษาโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม กิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ด้วยกิจกรรมการออกกำลังกาย การบริโภคอาหาร และการจัดการด้านอารมณ์และเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานก่อนและหลังใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถแห่งตน ในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จำนวนวน 34 คน ระยะเวลาศึกษา 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบบันทึกพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Paired sample t-t-lest</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการออกกำลังกายด้านการบริโภคอาหาร และการจัดการด้ามอารมณ์ ดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value < 0.05) ส่วนภาวะสุขภาพ ได้แก่ น้ำหนักร่างกาย ดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือดพบว่า ลดลงมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288056
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดความวิตกกังวลผู้ป่วยก่อนผ่าตัดก้อนที่ต่อมไทรอยด์ต่อระดับความรู้ความวิตกกังวล พฤติกรรมการปฏิบัติตัว ในงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
2025-09-21T11:38:01+07:00
ปิยรัตน์ บุญศิริ
onumakaewkerd@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัด คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และระดับความวิตกกังวล ก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมการให้ความรู้และ เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัด คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และระดับความวิตกกังวล ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มเปรียบเทียบจำนวนวน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง (ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้) และกลุ่มเปรียบเทียบ (ได้รับข้อมูลตามมาตรฐานปกติ) กลุ่มละ 30 ราย ระยะเวลาศึกษาตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2568 - 24 สิงหาคม 2568 รวม 8 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพก่อนและหลังผ่าตัด แบบประเมินพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพก่อนและหลังผ่าตัดวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Paired sample t-t-lest และ Independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พบว่าหลังทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว (t = 16.03, 95%CI = 6.62 ถึง 8.51) ภาวะวิตกกังวล (t = 43.76, 95% CI = 23.58 ถึง 25.88) และพฤติกรรมการปฏิบัติตัว (t = 35.3, 95%CI = 1.40 ถึง 1.57) ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p <0.000 อย่างไรก็ตามความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ภาวะวิตกกังวล และพฤติกรรมการปฏิบัติตัว ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนการทดลองแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288648
ประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมการดำเนินงานคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม
2025-09-27T19:03:47+07:00
พิชญา อินทร์ติยะ
adisak871987@hotmail.com
กรรธิมา ฝาระมี
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมการดำเนินงานคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม แบ่งการศึกษาเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม อายุระหว่าง 50 – 70 ปี ที่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยวิธี FIT-test ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2568 และมีผลการตรวจเป็นบวกหรือได้รับการประเมินว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยวิธีส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จำนวนกลุ่มละ 32 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ประสิทธิผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมการดำเนินงานคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนมโดยเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมทดลองภายในกลุ่มเดียวกัน ด้วยสถิติ dependent t-test และเปรียบเทียบคะแนนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ด้วยสถิติ Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้และการปฏิบัติตัวในการเข้ารับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (t = 20.58, 95% CI = 0.38 ถึง 0.46) และความพึงพอใจต่อโปรแกรมการดำเนินงานคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (t = 6.96, 95% CI = 1.03 ถึง 1.86) หลังการทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p <0.000</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288650
การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน จังหวัดตราด
2025-09-27T19:07:09+07:00
ปราการ อภิบาลศรี
limmanee_99@hotmail.com
เบญญา เชื้อนาข่า
limmanee_99@hotmail.com
วิชิตา โภคสมบัติ
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยใช้รูปแบบผสานวิธี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการ มีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และเพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ผู้ร่วมการวิจัย จำนวน 326 คน ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จำนวน 106 คน 2) บุคคลในครอบครัว จำนวน 106 คน 3) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 44 คน 4) นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 15 คน 5) บุคลากรสาธารณสุข จำนวน 10 คน และ6) ผู้ดูแล (Caregiver) จำนวน 45 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ เครื่องมือตรวจวัดตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers) แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสังเกตและแนวทางสรุปการถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลเชิงปริมาณด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของ HbA1c ใช้สถิติทดสอบ Paired Samples t-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการ มีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนด้วยแบบแผนการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (Chronic Care Model) พบว่า ได้รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (EAPA Model) ประกอบด้วย การมีส่วนร่วม (Participation) การประยุกต์ใช้ (Applied) กิจกรรม (Activities) และการประเมินผล (Evaluate) และได้เป็นโครงการในการแก้ไขปัญหา 3 โครงการดังนี้ 1) โครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน 2) โครงการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แบบบูรณาการโดยทีมดูแลร่วมระดับตำบล ครอบครัวและชุมชนแบบมีส่วนร่วม และ3) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลเพื่อลดภาระเวลาและทรัพยากรของผู้ดูแล</p> <p> 2) ผลการดำเนินงานตามรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน พบว่า</p> <p> 2.1 ภายหลังการนำรูปแบบมาใช้ ครอบครัวและชุมชน มีระดับความรู้และการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ในระดับมาก</p> <p> 2.2 ภายหลังการนำรูปแบบมาใช้ ระดับ HbA1c ของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลงมากกว่าก่อนนำรูปแบบมาใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> 2.3 ภายหลังการนำรูปแบบมาใช้ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีมีระดับคุณภาพชีวิต อยู่ในระดับมาก</p> <p> </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288657
การพยาบาลผู้ป่วยใช้สารเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและมีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง: กรณีศึกษา 2 ราย
2025-09-28T01:22:05+07:00
สงกรานต์ ขันเลื่อน
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบลผู้ใช้สารเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและมีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ที่เข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลบ้านฝางเลือกผู้ป่วยที่มีผลตรวจ Methamphetamine ผล Positive และมีประวัติที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงในครอบครัวและชุมชน โดยการรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย ญาติ และเวชระเบียน การประเมินอาการ ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตั้งแต่ระยะฉุกเฉิน (Acute care) พยาบาลประเมินภาวะสุขภาพตามแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนร่วมกับกระบวนการพยาบาลนํามาวิเคราะห์กำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลวางแผนให้การพยาบาลโดยจัดตาม กระบวนการพยาบาล และ หน้าที่หลักทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ (7 Aspects of Care) เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการดูแลได้อย่างครบถ้วนผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินจนอาการสงบ และส่งต่อไปรักษาตามความรุนแรงของผู้ป่วยและติดตามดูแลหลังจำหน่ายเพื่อป้องกันอาการกำเริบซ้ำ</p> <p> ผลการศึกษา ผู้ใช้สารเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและมีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง กรณีศึกษา 2 ราย ที่ได้รับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลบ้านฝาง ดำเนินการศึกษาระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ถึง วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 กรณีศึกษารายที่ 1 ชายไทยอายุ 48 ปี ใช้สารเสพติดได้แก่ ยาบ้า จนเกิดอาการ ทางจิต หวาดระแวง มีพฤติกรรมก้าวร้าวอาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นและทำลายข้าวของ มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรงระดับสูง หลังให้การบำบัดรักษาด้วยยาต้านโรคจิตทั้ง ยาฉีดออกฤทธิ์ระยะสั้น ยาฉีดออกฤทธิ์ระยะยาว ชนิดรับประทาน ยาควบคุมอารมณ์ และจิตสังคมบําบัด จนอาการสงบสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ กรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทยอายุ 44 ปี ใช้สารเสพติดได้แก่ ยาบ้า มีพฤติกรรมก้าวร้าวและเสี่ยงต่อการก่อ ความรุนแรงระดับสูง จนเกิดอาการ ทางจิต ประสาทหลอน มีภาวะหวาดระแวง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวจะทำร้ายผู้อื่น หลังให้การบำบัดรักษาแบบผู้ป่วยในที่โรงพยาบาลจิตเวชด้วยยาต้านโรคจิตทั้งชนิดรับประทาน ยาฉีดออกฤทธิ์ระยะยาว ยาควบคุมอารมณ์ และจิตสังคมบําบัด สามารถควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมได้เหมาะสมและกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ แต่ยังควบคุมอารมณ์ได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีศึกษารายที่ 1 และยังมีความคิดหลงผิดที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณ ระยะเวลาการใช้สารเสพติด และความกดดันจากการถูกครอบครัวปฏิเสธ การจําหน่ายออกจากโรงพยาบาลของกรณีศึกษาทั้ง 2 รายจึงมีความ จำเป็นต้องส่งต่อภาคีเครือข่ายร่วมดูแลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากเป็นผู้ป่วยใช้ยาเสพติดที่มีอาการทางจิตและมีความเสี่ยงสูงต่อการก่อ ความรุนแรง</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288658
แนวทางการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าเมือง อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี
2025-09-28T01:24:46+07:00
ธีระศักดิ์ พลสวัสดิ์
boonserm_wan@hotmail.com
เอื้อมพร ชมภูมี
boonserm_wan@hotmail.com
บรรเทิง พลสวัสดิ์
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบท พัฒนา และประเมินผลการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าเมือง อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ อสม. จำนวน 111 คน และผู้ให้ข้อมูล 25 คน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพการวิเคราะห์เนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Paired Samples t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ตำบลท่าเมืองมีลักษณะสังคมแน่นแฟ้นเอื้อต่อการควบคุมโรค อสม. มีบทบาทเชิงรุก แต่เผชิญปัญหา 5 ประการ ได้แก่ การสื่อสารไม่ชัดเจน ขาดทักษะเชิงปฏิบัติ ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี ขาดแคลนทรัพยากร และแรงจูงใจลดลง นักวิจัยจึงพัฒนาแนวทาง 5C Model ประกอบด้วย การสร้างศักยภาพ (Capacity building) การเสริมสร้างการสื่อสาร (Communication enhancement) การเสริมสร้างการประสานงาน (Coordination strengthening) การสร้างแรงจูงใจ (Compensation and motivation) และความต่อเนื่องและยั่งยืน (Continuity and sustainability) หลังการใช้แนวทาง 5C Model พบว่า อสม. ที่มีความรู้เกี่ยวกับโรค COVID-19 ในระดับสูงเพิ่มจากร้อยละ 68.5 เป็นร้อยละ 94.6 ทัศนคติต่อโรค COVID-19 เชิงบวกเพิ่มจากร้อยละ 61.3 เป็นร้อยละ 86.5 และพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรค COVID-19 ในระดับมากเพิ่มจากร้อยละ 10.8 เป็นร้อยละ 100 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมดังกล่าวก่อนและหลังการใช้ 5C Model พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้รูปแบบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> = .001) ทุกด้านและมีขนาดอิทธิพลขนาดใหญ่ (Cohen's d ที่ 0.92, 1.05 และ 2.30 ตามลำดับ)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288659
การพัฒนารูปแบบการคัดกรองประเภทผู้ป่วยนอกตามระดับความรุนแรงฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอกศัลยกรรม โรงพยาบาลนครปฐม
2025-09-28T01:27:42+07:00
ศศิธร แก้วสกุล
jurirat3445@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการคัดกรองประเภทผู้ป่วยนอกตามระดับความรุนแรงฉุกเฉิน และศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการคัดกรองประเภทผู้ป่วยนอกตามระดับความรุนแรงฉุกเฉิน งานผู้ป่วยนอกแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลนครปฐม ระยะเวลาในการศึกษาระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 รวม 4 เดือน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจ ณ งานผู้ป่วยนอกแผนกศัลยกรรม ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 420 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัยได้แก่ เกณฑ์การคัดกรอง แนวทางการคัดกรอง และคู่มือการคัดกรองผู้ป่วยตามระดับความรุนแรงฉุกเฉินโดยประยุกต์จากกระบวนการ MOPH ED Triage รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกผลการใช้แบบคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความรุนแรงฉุกเฉินและการประเมินความคิดเห็นของพยาบาลวิชาชีพต่อรูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความรุนแรงฉุกเฉิน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, SD)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. รูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยนอกศัลยกรรมตามระดับความรุนแรงฉุกเฉิน จากเดิมแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1) ผู้ป่วยฉุกเฉิน (Emergency) 2) ผู้ป่วยเร่งด่วน (Urgent) และ 3) ผู้ป่วยไม่เร่งด่วน (Non-urgent) เปลี่ยนเป็น 5 ระดับ คือ1) ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (Resuscitation) 2) ผู้ป่วยฉุกเฉินมาก (Emergency) 3) ผู้ป่วยฉุกเฉิน (Urgency) 4) ผู้ป่วยกึ่งฉุกเฉิน (Semi–urgency) 5) ผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน (Non–urgency) 2. ผลของการพัฒนารูปแบบ พบว่า คัดกรองถูกต้องตามเกณฑ์ร้อยละ 71.43 และ ไม่ถูกต้องตามเกณฑ์ร้อยละ 28.57 ซึ่งการคัดกรองที่ไม่ถูกต้องตามเกณฑ์พบมีการคัดกรองต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 24.05 และ มีการคัดกรองสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 4.52 ส่วนความคิดเห็นของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบการคัดกรองมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.19, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน=0.11)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288661
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการเพิ่มสมรรถนะแห่งตนในการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม
2025-09-28T01:31:29+07:00
หาญชัย อังคนาวราพันธุ์
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการเพิ่มสมรรถนะแห่งตนในการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม แบ่งการศึกษาเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 38 ราย วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design) เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถาม และโปรแกรมการให้ความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการเพิ่มสมรรถนะแห่งตนในการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้ม (t = 28.56, 95%CI = 7.71 ถึง 8.87) พฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม (t = 29.68, 95% CI = 29.80 ถึง 34.09) บ้านสิ่งแวดล้อมดีและปลอดภัยของสภาพทั่วไปภายในบ้าน (t = 22.17, 95%CI = 0.70 ถึง 0.84) บ้านสิ่งแวดล้อมดีและปลอดภัยของสภาพห้องนั่งเล่น (t = 11.84, 95%CI = 0.64 ถึง 0.90) บ้านสิ่งแวดล้อมดีและปลอดภัยของสภาพห้องนอน (t = 17.07, 95%CI = 0.73 ถึง 0.92) บ้านสิ่งแวดล้อมดีและปลอดภัยของสภาพห้องน้ำ (t = 15.67, 95%CI = 0.64 ถึง 0.83) และบ้านสิ่งแวดล้อมดีและปลอดภัยของสภาพห้องครัว (t = 8.00, 95%CI = 0.47 ถึง 0.79) ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p <0.000</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288662
พัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลแก้งสนามนาง อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา
2025-09-28T01:35:03+07:00
นิตยา วันวาน
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action research) ร่วมกับใช้แนวคิดการพัฒนาคุณภาพตามกรอบของเดมมิ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วยและศึกษาประสิทธิผลของการพัฒนาระบบคัดแยกประเภทผู้ป่วย แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลแก้งสนามนาง ระหว่าง1ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่พยาบาลวิชาชีพและผู้ช่วยเหลือคนไข้ที่ปฏิบัติงานที่จุดคัดแยกหรือแผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 8 คน และข้อมูลจากเวชระเบียน 390 แฟ้ม รวบรวมข้อมูลตามเกณฑ์คู่มือคัดแยกประเภทผู้ป่วย แบบสัมภาษณ์ และแนวทางสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ผลลัพธ์ด้านระบบและผู้ให้บริการพบว่ามีการปรับปรุงคู่มือการคัดแยกประเภทผู้ป่วย ทบทวนเสริมอัตรากำลังช่วงเวลาเร่งด่วน เตรียมเครื่องมือการประเมินให้พร้อม กำหนดผู้รับผิดชอบ การมีส่วนร่วมในการพัฒนา และพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย พบอัตราการคัดแยกประเภทผู้ป่วยถูกต้องเพิ่มขึ้น(ร้อยละ<u>></u> 95.00) ก่อนการพัฒนา (ปี2566) การพัฒนาในวงล้อที่1(5 มกราคม ถึง15 กุมภาพันธ์ 2567) และวงล้อที่ 2(1 เมษายน ถึง-30กันยายน 2567)มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นพบร้อยละ98.74,98.56 และ99.32 การคัดแยกต่ำกว่าเกณฑ์ลดลง(Under triage ) พบร้อยละ1.21,1.30 และ0.62ตามลำดับ ร้อยละผู้ป่วยได้รับการดูแลตามระดับความรุนแรงทันเวลามากขึ้น(ในกลุ่มที่คัดแยกคลาดเคลื่อน)พบในกลุ่มกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน ร้อยละ40.49,42.74และ49.09 ตามลำดับ ระยะเวลาเฉลี่ยผู้ป่วยได้รับประเมินและได้รับการดูแลตามเกณฑ์ทันเวลาในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเป็น 26.74,25.76และ23.54นาทีตามลำดับ ระยะเวลารอคอยลดลงเหลือ 107 นาที จากเดิม 113 นาที</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288664
ประสิทธิผลของโปรเจสเตอโรน ต่อการป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อ การคลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-28T01:38:25+07:00
อรุณรัตน์ อังคะรุด
pitinut99@hotmail.com
อภิชญา อารีเอื้อ
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถประสงค์เพื่อศึกษา อุบัติการณ์ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด และประสิทธิผลของการใช้โปรเจสเตอโรนในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ย้อนหลัง (Retrospective cohort study with historical control) กลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่เสี่ยงต่อการคลอดก่อน ที่มารับการรักษา ณ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2567 ได้จากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 165 ราย โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียบผู้ป่วย สถิติที่ใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Multiple Logistic Regression , Z-test,Chisquare test,Fisher’s Exact test และ Independent t- test</p> <p> ผลการศึกษา หญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด พบอุบัติการณ์คลอดก่อนกำหนดร้อยละ ร้อยละ 28.5 พบในกลุ่มอายุ 16-19 ปี มากที่สุด ร้อยละ 33.3 โดยพบอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนดที่มากขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ที่อายุลดลง พบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.005 คือการได้รับโปรเจสเตอโรน และการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ มีสัดส่วนการคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้โปรเจสเตอโรนต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (proportion difference: 15.2,95%CI:1.4,27.8)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288239
การพยาบาลผู้ป่วยทารกที่มีภาวะปอดอักเสบ : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
2025-09-25T12:46:01+07:00
กนกวรรณ ดาวฮามแป
kanokwan7466@gmail.com
<p> รายงานกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบ (Case Study) จำนวน 2 ราย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยทารกที่มีภาวะปอดอักเสบแรกเกิด และเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะในการดูแลรักษาพยาบาลที่เหมาะสม โดยการเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะปอดอักเสบ จำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดวิกฤต โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน การตรวจร่างกาย ผลทางห้องปฏิบัติการ และการพยาบาล จากนั้นนำมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบตามกระบวนการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษาผู้ป่วยทั้งสองรายได้รับการรักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกต่อเนื่องผ่านจมูก (NCPAP) ร่วมกับยาปฏิชีวนะครบ 7 วัน สามารถหยุดการใช้เครื่องช่วยหายใจได้ภายใน 2–3 วัน มีอาการทางคลินิกดีขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และสามารถจำหน่ายกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย การพยาบาลแบบองค์รวม ร่วมกับการส่งเสริมให้บิดามารดามีส่วนร่วมในการดูแล มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูสุขภาพทารก</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288688
การพัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแบบบูรณาการจังหวัดชลบุรี
2025-09-29T16:54:41+07:00
รัก ธนะไพบูลย์
sirisakpom64@gmail.com
<p> การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์สภาพการณ์ในการพัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายจังหวัดชลบุรี พัฒนายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแบบบูรณาการจังหวัดชลบุรี และรับรองข้อเสนอยุทธศาสตร์ฯ โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จัดทำ SWOT Analysis และ TOWS Matrix 2) ยกร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์ด้วยกระบวนการ Delphi Future Research (DFR) 2 รอบ กับผู้เชี่ยวชาญ 17 คน เกณฑ์ความเห็นพ้อง มัธยฐาน ≥ 4.00 และ IQR ≤ 1.50 3) ประชุมนโยบายเพื่อรับรองข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 4) ถ่ายทอดแผนสู่การปฏิบัติให้บูรณาการกับแผนปฏิบัติการหน่วยงานภาคีเครือข่าย ปี 2569–2570</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีสาเหตุจากการขาดความรู้เพศศึกษาที่ถูกต้อง การตีตราทางสังคม และการแก้ไขปัญหาขาดการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน มีจุดแข็งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณสนับสนุน ยกร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์โดยผ่านกระบวนการ Delphi Future Research (DFR) สรุปเป็น 7 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ตั้งศูนย์ประสานงานกลางและบูรณาการข้อมูล 2) ยกระดับบริการสุขภาพที่เป็นมิตรกับวัยรุ่น 3) สร้างเครือข่ายความร่วมมือเชิงรุกการสื่อสารเชิงบวก 4) ส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มเข้าถึงวัยรุ่นด้วยสื่อสมัยใหม่ และบริการให้คำปรึกษาออนไลน์ 5) เสริมสร้างความรู้เพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต โดยบรรจุในแผนพัฒนาท้องถิ่นและการศึกษาทุกระดับ 6) พัฒนาครูที่ปรึกษาเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และ 7) พัฒนาระบบการช่วยเหลือและคุ้มครองแม่วัยรุ่นแบบองค์รวม โดยคณะอนุกรรมการจังหวัดให้การรับรองข้อเสนอยุทธศาสตร์ และถ่ายทอดสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ ประชุมบูรณาการข้อมูลรายไตรมาส จัดทำเว็บไซต์และ Dashboard รวมทั้งสอบถามความต้องการแม่วัยรุ่น และบูรณาการประชาสัมพันธ์สวัสดิการสังคมหลังคลอดในโรงพยาบาล</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288689
รูปแบบการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
2025-09-29T17:01:00+07:00
ยุพาภรณ์ บุญเจริญ
limmanee_99@hotmail.com
<p> การศึกษา เป็นการวิจัยกึ่งทอลอง(Quasi Experiment) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือดและศึกษารูปแบบการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือน มิถุนายน 2568 ถึง กันยายน 2568 รวม 3 เดือน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ผลของรูปแบบการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย</p> <ol> <li class="show">ความเข้าใจของบุคลากรต่อกิจกรรมในการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ก่อนการดำเนินงาน พบว่า โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับปานกลาง หลังการดำเนินงาน พบว่า โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">การเปรียบเทียบความเข้าใจของบุคลากรต่อกิจกรรมในการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ก่อนและหลังการดำเนินงาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ภายหลังการดำเนินงานความเข้าใจของบุคลากรต่อกิจกรรมในการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม หลังการดำเนินงาน มีค่าสูงกว่าก่อนการดำเนินการ</li> <li class="show">จากการดำเนินการรูปแบบการดูแลทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สามารถผ่านเกณฑ์ตามตัวชี้วัด และไม่พบผู้ป่วยเสียชีวิต</li> <li class="show">Best practice ได้แก่ การพัฒนากระบวนการทบทวนการเสียชีวิตร่วมกับสหวิชาชีพ และทีม PCT และ การพัฒนาแนวการการดูแลผู้ป่วย Sepsis ปรับตามบริบทของโรงพยาบาล</li> </ol>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288690
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีภาวะช็อก : กรณีศึกษา
2025-09-29T20:07:40+07:00
ดาวเรือง สอนน้อย
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีภาวะช็อก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาจากเวชระเบียนของผู้ป่วยเกี่ยวกับการรักษา ทำการวิเคราะห์ปัญหา ดำเนินการวางแผนให้การพยาบาล ดำเนินการให้การพยาบาล และประเมินผลการพยาบาล ตามแบบแผนประเมินสุขภาพของกอร์ดอน และประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลของโอเร็ม</p> <p> ผลการศึกษา พบว่าหญิงไทย อายุ 38 ปี มาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก ห้องตรวจสูติ-นรีเวช ด้วยอาการปวดท้องน้อยข้างขวา หน้ามืดเป็นลม 3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ประจำเดือนวันแรกของครั้งสุดท้าย (last menstrual period: LMP) 25 มกราคม 2567 ไม่ได้คุมกำเนิด แรกรับ ท้องอืด กดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านขวา tender suprapubic ซีด เหงื่อออก ตัวเย็น มีอาการปวดท้องมากขึ้น ตรวจภายในพบว่ามีตกขาวปนเลือด ทำ TVS พบ free fluid + clotted blood positive แพทย์วินิจฉัยว่า ruptured ectopic pregnancy with hypovolemic shock ให้ส่งแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อ set OR for Explor lap emergency ผู้ป่วยได้รับการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ผู้ป่วยเข้ารับการตัดด่วนภายใน 30 นาที หลังผ่าตัดส่งผู้ป่วยเข้าพักรักษาตัวที่หอผู้ป่วยนรีเวช ได้รับการดูแลครอบคลุมองค์รวม อาการดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายโดยแพทย์อนุญาต รวมระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 3 วัน นัด 1 สัปดาห์ ตัดไหมและนัดฟังผลชื้นเนื้อ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288691
ทัศนคติและการรับรู้ของครูและผู้ปกครองต่อการป้องกันการสูบบุหรี่ในนักเรียนประถมศึกษาชั้น ป.4-6
2025-09-29T20:13:05+07:00
กัลยภรณ์ เชยโพธิ์
namthip2527_cam@hotmail.com
พรทิพย์ แพกระจ่าง
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Survey research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของครูและผู้ปกครองต่อการป้องกันการสูบบุหรี่ในนักเรียนประถมศึกษาชั้น ป.4-6 ในตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 60 คน (ครู 30 คน ผู้ปกครอง 30 คน) โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัย: พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 66.7 อายุ 20-30 ปี ร้อยละ 55.0 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 63.3 และมากกว่าครึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการให้ความรู้เรื่องการป้องกันการสูบบุหรี่ ร้อยละ 51.7 กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อการป้องกันการสูบบุหรี่ โดยเห็นว่าเด็กเรียนรู้จากแบบอย่างในระดับมาก ร้อยละ 55.0 แบบอย่างที่ดีมีผลต่อเด็กในระดับมาก ร้อยละ 78.3 และสนับสนุนการใช้การฝึกบทบาทสมมุติ ร้อยละ 70.0 ปัจจัยเสี่ยงที่พบได้แก่ การมีผู้ใหญ่ในครอบครัวที่สูบบุหรี่ ร้อยละ 25.0 พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ร้อยละ 21.7 และมุมอับในโรงเรียน ร้อยละ 15.0 กลุ่มตัวอย่างเห็นความจำเป็นที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามามีบทบาท ร้อยละ 41.7</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288692
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อจัดการภาวะน้ำหนักเกินในเด็กวัยเรียน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-09-29T20:17:26+07:00
ธรรมนูญ ชามทอง
pitinut99@hotmail.com
กรณิกา โกฏิกุล
pitinut99@hotmail.com
วิภารัตน์ ชุมหล่อ
pitinut99@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน พัฒนารูปแบบ และศึกษาผลของการใช้รูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อจัดการภาวะน้ำหนักเกินในเด็กวัยเรียน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน กลุ่มตัวอย่าง 379 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ โดยการสนทนากลุ่ม 25 คน ระยะที่ 3 ประเมินผลการใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง 30 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดีพอ และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน ได้แก่ การเล่นโทรศัพท์ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารหวาน ทักษะความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ และทักษะการตัดสินใจ 2) รูปแบบที่ได้จากการวิจัย คือ “HL4Fun” และ 3) ผลการใช้รูปแบบ พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ หลังได้รับรูปแบบสูงกว่าก่อนได้รับรูปแบบ และค่าเฉลี่ยของน้ำหนักตัว หลังได้รับรูปแบบต่ำกว่าก่อนได้รับรูปแบบ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288695
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงโดยใช้การแพทย์ทางไกล ในโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
2025-09-29T20:26:17+07:00
ใล จุลสม
sirisakpom64@gmail.com
โชคนิติพัฒน์ วิสูญ
sirisakpom64@gmail.com
เอมอร ทาระคำ
sirisakpom64@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนารูปแบบ และประเมินผลการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงโดยใช้การแพทย์ทางไกลในโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างเดือนมีนาคม-กันยายน พ.ศ. 2567 รวมระยะเวลา 7 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพประกอบด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วย และเครือข่ายชุมชน รวม 148 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณได้แก่ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงกลุ่มสีเขียว 124 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแนวทางการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความพึงพอใจ แบบประเมินพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และแบบบันทึกสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบการดูแลประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักคือการเตรียมระบบและทีมงาน การประเมินความพร้อมของชุมชนและผู้ป่วย การตรวจรักษาผ่าน Platform Google Meet โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การให้คำแนะนำทางคลินิกและการส่งต่อข้อมูล และการจัดส่งยาถึงบ้านโดยไรเดอร์ ผลลัพธ์การนำระบบไปใช้พบว่า ความพึงพอใจของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ( P<0.001 ) พฤติกรรมการบริโภคอาหารดีขึ้น ( P< 0.001 ) ความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง (P< 0.001) ความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลง ( p=0.001) และระดับ LDLคอเลสเตอรอลลดลง (p< 0.001 )</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288699
ภาวะซึมเศร้าและการเฝ้าระวังอาการที่เป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตในวัยรุ่น เขตเทศบาลเมือง หลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
2025-09-29T20:32:05+07:00
ปัทมา คงบุญรักษ์
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น และเฝ้าระวังอาการที่เป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตในวัยรุ่น เขตเทศบาลเมืองหลังสวน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ในกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่น จำนวน 199 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีภาวะซึมเศร้าเล็กน้อย ร้อยละ 33.67 มีภาวะซึมเศร้าปานกลาง ร้อยละ 8.54 มีภาวะซึมเศร้ามาก ร้อยละ 2.51 และมีภาวะซึมเศร้ารุนแรง ร้อยละ 0.50 2) กลุ่มอาการที่ปัญหาด้านสุขภาพจิต พบว่า อยู่ในกลุ่มอารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวล ร้อยละ 50.25 กลุ่มพฤติกรรมสมาธิสั้น พบร้อยละ 45.73 กลุ่มอาการกลั่นแกล้งรังแก พบ ร้อยละ 9.05 การไม่มีเพื่อนสนิท ร้อยละ 13.57 3) พบปัจจัยที่มีระดับความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า กับ กลุ่มอารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวล (r = .572, p < .001) และภาวะซึมเศร้า กับ ความเสี่ยงต่อการคิดฆ่าตัวตาย . (r = .456, p < .001) ส่วนปัจจัยที่มีความความสัมพันธ์ระดับต่ำ ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า กับ กลุ่มพฤติกรรมสมาธิสั้น (r = .355, p < .001) ภาวะซึมเศร้า กับ กลุ่มการกลั่นแกล้งรังแกและปัญหาการเข้าสังคม (r = .166, p < 0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288700
การพัฒนาคุณภาพการคัดแยกผู้ป่วยในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยาบาลนาคู
2025-09-29T20:37:06+07:00
บุญญาพร สุรสาย
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน และประเมินผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในจุดคัดแยกโรงพยาบาลนาคู ทำการวิจัยใน พยาบาลวิชาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 11 คน และผู้ป่วยที่มารับบริการที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2567 - กุมภาพันธ์ 2568 เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละและค่าเฉลี่ย</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ ภายหลังการพัฒนาระบบ การคัดแยกผู้ป่วยอยู่ในระดับมาก และมีความพึงพอใจมากกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ P-value = 0.0001 อัตราการปฏิบัติตามขั้นตอนการคัดแยกผู้ป่วยของพยาบาลคัดแยก คิดเป็นร้อยละ 95.46 อัตราการคัดแยกผู้ป่วยถูกต้องตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วยของพยาบาลคัดแยก คิดเป็นร้อยละ 94.60 และส่วนใหญ่มีการคัดแยกผู้ป่วยเป็นระดับความรุนแรงมากกว่าปกติ (Over triage) คิดเป็นร้อยละ 60.07 ระยะเวลารอคอยพบแพทย์ระหว่างการพัฒนา มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ P-value = 0.0001 ระยะเวลาทั้งหมดที่อยู่ในแผนกอุบัติฉุกเฉิน ก่อนและระหว่างมีการพัฒนาระบบคัดแยกผู้ป่วยไม่แตกต่างกัน และไม่พบอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยขณะรอตรวจ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288702
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษา 2 ราย
2025-09-29T20:48:22+07:00
พิกุลทอง พลนาคู
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ตั้งแต่แรกรับจนถึงส่งต่อโรงพยาบาลร้อยเอ็ดโดยใช้เป็นแนวทางในการให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษารายกรณีนี้เป็นการเปรียบเทียบผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 2 ราย โดยศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 ที่เข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลจังหาร วันที่ 27 มีนาคม 2568 และศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 วันที่ 12 พฤษภาคม 2568 การเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ สังเกต และเวชระเบียนใช้การประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอนและทฤษฎีทางการพยาบาลของโอเร็ม</p> <p> ผลการศึกษา : ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1ชายไทยอายุ 46 ปี 3วันก่อนมาโรงพยาบาล มีไข้สูงหนาวสั่น ไอมีเสมหะ ปวดตามร่างกายแพทย์วินิจฉัยSepsis ĉ Pneumonia,Hyponatremia,Hypokalemia,Anemia ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทยสูงอายุ 69 ปีมีโรคประจำตัวเก๊าต์ และ CKD Stages 3 b ก่อนมาโรงพยาบาล 8 ชั่วโมง มีไข้สูง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ 5 ครั้ง ปวดท้อง อาเจียน 1 ครั้งหลังรับประทานขนมจีน แพทย์วินิจฉัย Sepsis ĉ Acute Gastroenteritis ได้นำเครื่องมือประเมินผู้ป่วยได้แก่ SIRS, qSOFA, NEWS มาประเมินคัดกรองและค้นหาความเสี่ยงทางคลินิกและดำเนินการ 6 Bundle of Care ได้แก่ การเก็บ H/C (Hemoculture), การให้ยาปฏิชีวนะ (ATB) ครอบคลุมเชื้อโรค,การให้สารน้ำ (IV fluid) อย่างเพียงพอ, การประเมิน MAPอย่างต่อเนื่อง, การติดตามระดับ Lactate และการเฝ้าระวังภาวะอวัยวะล้มเหลวโดยใช้ SOS Score หรือ NEWS ซึ่งพบว่าผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 ได้รับการดูแลแบบ Septic shock มีภาวะ Hypotension แพทย์พิจารณาให้ยา Norepinephrine พยาบาลได้บริหารยาและเฝ้าระวังระบบไหลเวียน เช่น ติดตาม MAP ซึ่งพบว่า < 65 mmHg และมี BP ต่ำ อัตราการไหลของปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr แพทย์ตรวจเยี่ยมอาการจึงได้ส่งต่อเพื่อรับการรักษาที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288710
ผลการใช้กระบวนการต่อรองราคายาในกระบวนการคัดเลือกยาเข้าบัญชียา โรงพยาบาลกาฬสินธุ์
2025-09-29T21:07:17+07:00
ตนุภัทร จำนงค์ศรี
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษากระบวนการต่อรองราคายาในขั้นตอนการคัดเลือกยาเข้าบัญชียาโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อลดราคาต้นทุนมูลค่าการจัดซื้อยาใหม่ของโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ 2. เพื่อเปรียบเทียบมูลค่าการจัดซื้อยาใหม่ ก่อนและหลังเพิ่มกระบวนการต่อรองราคา 3. เพื่อพัฒนาแนวทางในการต่อรองราคายาที่มีประสิทธิภาพ คัดยาที่ได้รับการพิจารณาให้บรรจุเข้าบัญชียาโรงพยาบาลใหม่ในปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่เดือน 1 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) เปรียบเทียบมูลค่าการจัดซื้อยาใหม่ก่อนและหลังเพิ่มกระบวนการต่อรองราคา ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ และร้อยละ ใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Independent t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัย จำนวนยาใหม่ที่เสนอเข้าบัญชียาโรงพยาบาล จำนวนทั้งสิ้น 33 รายการ สามารถต่อรองลดราคาได้สำเร็จ 28 รายการ คิดเป็นร้อยละ 84.85 มูลค่าต้นทุนการจัดซื้อก่อนการต่อรอง 8,784,375.79 บาท มูลค่าการจัดซื้อหลังการต่อรอง 7,890,581.71 บาท มูลค่าที่ประหยัดได้ 893,794.08 บาท(ลดลงร้อยละ 10.18) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p = 0.002) จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ พบกลยุทธ์การต่อรองที่มีประสิทธิภาพ 1.การเตรียมข้อมูลราคาอ้างอิง 2.การแสดงปริมาณการสั่งซื้อ 3.การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว 4.การต่อรองแบบมีทางเลือก 5.ประเภทของยา</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288389
พฤติกรรมบริการของพยาบาลในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลท่าสองยาง จังหวัดตาก
2025-09-28T06:16:33+07:00
เถลิงศักดิ์ บุญบำเรอ
somjai.sira@cmu.ac.th
สมใจ ศิระกมล
somjai.sira@cmu.ac.th
ฐิติณัฏฐ์ อัคคะเดชอนันต์
somjai.sira@cmu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยพรรณนาเชิงสำรวจเพื่อศึกษาพฤติกรรมบริการของพยาบาลในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลท่าสองยาง จังหวัดตาก โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามความสะดวกจากกลุ่มประชากรผู้ป่วยที่มารับบริการและมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 441 ราย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามพฤติกรรมบริการของพยาบาลที่พัฒนาตามกรอบแนวคิดการตอบสนองด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (WHO) และ 2) แนวคำถามสัมภาษณ์สำหรับการสนทนากลุ่ม ข้อมูลพฤติกรรมบริการของพยาบาลถูกวิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลจากการสนทนากลุ่มถูกนำมาวิเคราะห์โดยการจัดหมวดหมู่ข้อมูล</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) พฤติกรรมบริการของพยาบาลโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับดี 2) จากการสนทนากลุ่มชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงพฤติกรรมหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้รับบริการ ได้แก่ การใช้คำพูด น้ำเสียง และกิริยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในด้านการเคารพในศักดิ์ศรี ปัญหาการดูแลเอาใจใส่ที่ไม่เหมาะสมหรือล่าช้า ทำให้ผู้ป่วยต้องรอนาน และปัญหาการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288393
ผลของการให้ความรู้การดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัยผ่านสื่อออนไลน์สำหรับผู้ปกครอง ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโคกยาง จังหวัดตรัง
2025-09-28T06:19:49+07:00
ปนิตา พรหมพิทักษ์
Pattaraporn@scphtrang.ac.th
ภัทราภรณ์ เต็งโรจน์นภาพร
Pattaraporn@scphtrang.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่มวัดก่อนหลัง (One Group pretest-posttest Design) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้การดูแลทันตสุขภาพ เด็กปฐมวัยผ่านสื่อออนไลน์สำหรับผู้ปกครองในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโคกยาง จังหวัดตรัง และเพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการให้ความรู้การดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัย ผ่านสื่อออนไลน์สำหรับ ผู้ปกครองในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโคกยาง จังหวัดตรัง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยใน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโคกยาง จังหวัดตรัง จำนวน 30 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบทดสอบ ความรู้การดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัย และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการดำเนินวิจัย เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้การดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัยผ่านสื่อออนไลน์ระหว่างก่อน การให้ความรู้ และหลังการให้ความรู้ด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test และวิเคราะห์ หาค่าความพึงพอใจของผู้ร่วมวิจัย โดยแจกแจงข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด-สูงสุด</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังเข้าร่วมการให้ความรู้ 15.56±4.45และ21.20±2.02 ตามลำดับ แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (p-value <. 001) โดยที่คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัย หลังเข้าร่วมการให้ความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้น ส่วนค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ ของการให้ความรู้การดูแลทันตสุขภาพเด็กปฐมวัยโดยรวมเท่ากับ 3.67±0.55 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288703
การพัฒนาระบบการติดตามการขาดนัดในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-29T20:51:35+07:00
จตุชัย จันทับ
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การติดตามการขาดนัดในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และศึกษาการพัฒนาระบบการติดตามการขาดนัดในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2568 – เดือนสิงหาคม 2568 รวม 7 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 1,299 รายและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 1,953 ราย ที่ได้รับการนัดมาที่โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2568 – เดือนสิงหาคม 2568 รวมทั้งสิ้น จำนวน 3,252 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังการดำเนินการ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับ เหมาะสมมาก และไม่มีความแตกต่างของพฤติกรรมสุขภาพระหว่างผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และเมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลัง พบว่า โดยรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่หลังการดำเนินการ พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ดีขึ้นกว่าก่อนการดำเนินการ นอกจากนี้ยังพบว่า ไม่มีผู้ป่วยขาดนัดในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังดำเนินการ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288709
การพัฒนาระบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนด แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
2025-09-29T21:04:36+07:00
พรพิรุณ อำนวยผล
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาระบบดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ โดยใช้กรอบแนวคิด D-M-E-T-H-O-D ร่วมกับการติดตามเยี่ยมทางโทรศัพท์และการให้ความรู้เชิงสุขศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 28–36 สัปดาห์ 6 วัน จำนวน 25 ราย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ แบบประเมินความพึงพอใจของหญิงตั้งครรภ์และพยาบาล ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อายุครรภ์เฉลี่ยเมื่อคลอดเพิ่มขึ้นจาก 34.2 สัปดาห์ เป็น 36.0 สัปดาห์ อัตราการกลับมารักษาซ้ำลดลง ความรู้เฉลี่ยของหญิงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นจาก 6.1 คะแนน เป็น 8.7 คะแนน หลังเข้าร่วมโครงการ หญิงตั้งครรภ์มีความพึงพอใจต่อระบบในระดับสูง (ร้อยละ 88.0) และพยาบาลมีความพึงพอใจในระดับสูง (ร้อยละ 96.0)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288711
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชนิดคีโตนคั่ง Diabetic Ketoacidosis : กรณีศึกษา
2025-09-29T21:10:02+07:00
วริณธา ณ พิบูล
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะ DKA จำนวน 2 กรณี โดยมุ่งเน้นความแตกต่างด้านลักษณะทางคลินิกและภาวะแทรกซ้อน การศึกษาแบบกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบ ผู้ป่วย 2 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น DKA ข้อมูลถูกรวบรวมจากเวชระเบียนและวิเคราะห์โดยใช้กรอบแนวคิด 11 แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน พร้อมประยุกต์ กระบวนการพยาบาลในการระบุปัญหาสำคัญ วางข้อวินิจฉัย และจัดทำแผนการดูแลเฉพาะบุคคล</p> <p> ผลการศึกษา: ทั้งสองกรณีเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 รายที่ 1 เป็นชาย อายุ 36 ปี ไม่มีโรคประจำตัว เข้ารับ การรักษาด้วยอาการไอ หายใจหอบลึก และระดับความรู้สึกลดลง รายที่ 2 เป็นหญิง อายุ 16 ปี มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน เข้ารับการรักษาด้วยอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่อิ่ม ทั้งสองได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น DKA ร่วมกับภาวะติดเชื้อ ความแตกต่างด้านลักษณะทางคลินิกและภาวะแทรกซ้อน ทำให้ระยะเวลาการรักษาของรายที่ 1 สั้นกว่ารายที่ 2</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288715
การพัฒนาและออกแบบการแจ้งเตือนในระบบ HIS เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิก (CDSS) ตามแนวทางการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุสมผล สำหรับผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี
2025-09-29T21:25:02+07:00
ภัคชัญญา ทันชม
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบแจ้งเตือนในระบบสารสนเทศโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกตามแนวทางการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุสมผล การศึกษาใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพัฒนาร่วมกับการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง ดำเนินการที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ทดลองใช้ระบบเป็นระยะเวลา 14 เดือน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ 120 คน และผู้ป่วยนอก 400 คน ระบบที่พัฒนาใช้การบูรณาการเทคโนโลยี Machine Learning และ Rule-based System เข้าด้วยกัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าระบบสามารถลดการส่งตรวจซ้ำซ้อนได้ร้อยละ 19.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เพิ่มการคัดกรองที่จำเป็นโดยเฉลี่ยร้อยละ 29.4 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 542,700 บาทต่อปี และได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้งานในระดับมาก ระบบได้รับการขยายผลไปยังโรงพยาบาลในเครือข่ายสุขภาพแล้ว 8 เขตสุขภาพ ครอบคลุม 22 โรงพยาบาล อย่างสำเร็จ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288458
การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
2025-09-25T12:53:33+07:00
พัชรี วงศ์ฝั้น
patcharee_von@cmru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่อง "การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ระดับคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และกำหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลปางหมู จังหวัดแม่ฮ่องสอน เก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุ 308 คน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) ได้แก่ การสกัดองค์ประกอบหลัก การหมุนแกนองค์ประกอบแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกซ์ และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีอายุ 60-69 ปี สถานภาพสมรส การศึกษาระดับประถมศึกษา รายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน คุณภาพชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการรวมกลุ่มทางสังคมอยู่ในระดับมากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิต ได้แก่ สภาพความเป็นอยู่ที่ดี (รายได้ ความปลอดภัย) สภาพร่างกายที่ดี (พฤติกรรมสุขภาพ) การตัดสินใจด้วยตนเอง การรวมกลุ่มทางสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และสภาพอารมณ์ที่ดี</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288484
การพัฒนาคุณภาพการประเมินและการจัดการผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) โดยใช้แบบประเมินสัญญาณเตือนภาวะวิกฤต (NEW score) หอผู้ป่วยสามัญ โรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี
2025-09-25T13:06:08+07:00
จุฑารัตน์ เรืองชุม
chutarat2524.boo@gmail.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาคุณภาพการประเมินและการจัดการผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) โดยการนำระบบ NEWS มาใช้ในหอผู้ป่วยสามัญ โรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี โดยใช้กระบวนการ PDCA (Plan-Do-Check-Action) มี 4 ระยะดังนี้ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนาแนวทางการประเมินฯ 3) นำแนวการประเมินฯ สู่การปฏิบัติ 4) ประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่าง พยาบาลวิชาชีพ 12 ราย คัดเลือกแบบเจาะจง และเวชระเบียนผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะ Sepsis จำนวน 40 ราย แบ่ง 2 กลุ่ม โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการพัฒนา ดำเนินการเดือนกันยายน 2567 ถึง กรกฎาคม 2568 โดยวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาข้อมูลทั่วไป และสถิติเชิงอนุมาน ด้านความล่าช้าในการตอบสนองต่อผู้ป่วยด้วย Chi-square Test ความรู้และทักษะของพยาบาลใช้ Wilcoxon Signed-Rank test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า หลังการใช้แนวทางประเมินฯ การตอบสนองต่อความล่าช้าในผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis อุบัติการณ์ลดลงจากร้อยละ 85.00 ลดลง 10.00 (X<sup>2</sup> = 22.56) p < .003 ด้านความรู้และทักษะ พยาบาลมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p <.002 (t=8.08 และ t=13.67) ด้านการใช้แนวทางการประเมินฯ ของพยาบาลปฏิบัติได้ถูกต้อง ครบถ้วน ร้อยละ 87.08 ด้านความพึงพอใจของพยาบาลค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58±0.51 ถึง 4.75±0.45 อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288512
ปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อาจสามารถ
2025-09-26T10:06:12+07:00
อติพร ทองหล่อ
onumakaewkerd@gmail.com
เอื้อจิต สุขพูล
onumakaewkerd@gmail.com
ธิสาชล ธันยาวราธร
onumakaewkerd@gmail.com
อรอุมา แก้วเกิด
onumakaewkerd@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้ วิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวาง (a descriptive cross-sectional analytic study) มีวัตถุประสงค์เพื่อปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอาจสามารถ กลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถ ควบคุมระดับน้ำตาลได้น้อยกว่า 126 mg% ที่มารับการตรวจรักษาที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอาจสามารถ จังหวัดนครพนมที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ในปี 2568 จำนวน 130 คน เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 -15 กันยายน 2568 โดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรู้ แบบประเมินพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวาน แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม และแบบสอบถามสมรรถนะแห่งตน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Multiple regression</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการออกกำลังกายด้านการบริโภคอาหาร และการจัดการด้ามอารมณ์ ดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value < 0.05) ส่วนภาวะสุขภาพ ได้แก่ น้ำหนักร่างกาย ดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือดพบว่า ลดลงมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288716
การศึกษาเปรียบเทียบระดับความเจ็บปวดจากการขูดมดลูกโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA: manual vacuum aspiration) ในสตรีที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกระหว่างการใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำและการใช้ยาชาเฉพาะที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม
2025-09-29T21:27:39+07:00
พงศ์อนันต์ จันดารัตน์
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Research) ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับความเจ็บปวด ความพึงพอใจในการจัดการความปวด และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขูดมดลูกโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA: Manual vacuum aspirator) ในสตรีที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกด้วยการใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำและการใช้ยาชาเฉพาะที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก (Abnormal uterine bleeding) มี จำนวน 50 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 25 คน มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด วิธีการศึกษา กลุ่ม A ใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำ proporfol ร่วมกับ Ketamine และกลุ่ม B ใช้ยาชาเฉพาะที่พ่นบริเวณรอบปากมดลูก ก่อนการขูดมดลูกโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA) ประมาณ 10-15 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือวัดความปวดแบบตัวเลข 0-10 คะแนน, แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดการความปวด และแบบบันทึกข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูล: ข้อมูลสถิติบรรยาย (Descriptive statistics) วิเคราะห์โดยใช้ค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความปวดระหว่างกลุ่ม ก่อน-หลัง เข้าร่วมกิจกรรมโดยใช้สถิติ Independent t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่าการประเมินความปวดก่อนทำหัตถการกลุ่มที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดและกลุ่มที่ใช้ยาชาเฉพาะที่ก่อนการขูดมดลูกโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA) มีคะแนนความปวดเฉลี่ย 2.36 และ 2.72 อยู่ในระดับเล็กน้อย หลังทำหัตถการกลุ่มที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือด มีคะแนนความปวดเฉลี่ย 2.48 อยู่ในระดับเล็กน้อย กลุ่มที่ใช้ยาชาเฉพาะที่ มีคะแนนความปวดเฉลี่ย 3.08 อยู่ในระดับปานกลาง เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าไม่มีแตกต่างกันทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนความพึงพอใจด้านระบบบริการ, ด้านสถานที่/อุปกรณ์/เครื่องมือ อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านบุคลากร อยู่ในระดับมาก ทั้งสองกลุ่ม ผลกระทบที่เกิดขึ้น กลุ่มที่ใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำ มีอาการเหนื่อยเพลียวิงเวียนมากที่สุดร้อยละ 48 ความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงลดลง ร้อยละ 4 และมีอาการเหนื่อยเพลียวิงเวียนร่วมกับความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงลดลง ร้อยละ 4 กลุ่มที่ใช้ยาชาเฉพาะที่มีความเข้มข้นเม็ดเลือดแดงลดลง ร้อยละ 4, ด้านระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล: กลุ่มที่ใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำรักษาตัวในโรงพยาบาล นาน 1 วัน ร้อยละ 84 กลุ่มที่ใช้ยาชาเฉพาะที่ร้อยละ 64, ค่าใช้จ่ายในการขูดมดลูกโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA) กลุ่มที่ใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 8,000-12,000 บาท กลุ่มที่ใช้ยาชาเฉพาะที่ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,500-4,000 บาท ดังนั้นหากไม่มีข้อห้าม หรือข้อจำกัดด้านการรักษา ผู้วิจัยขอแนะนำการรักษาโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (MVA) ในสตรีที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกโดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ซึ่งจะลดระยะเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาล มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยกว่าใช้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำถึง 2 เท่า</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288516
การให้ความหมายของความผาสุกทางจิตวิญาณทางจิตวิญญาณ: การวิจัยเชิงคุณภาพตามการรับรู้ ของผู้สูงอายุในชุมชนดงติ้ว
2025-09-26T10:15:30+07:00
อรอุมา แก้วเกิด
onumakaewkerd@gmail.com
ดลรวี สิมคำ
onumakaewkerd@gmail.com
เอื้อจิต สุขพูล
onumakaewkerd@gmail.com
อติพร ทองหล่อ
onumakaewkerd@gmail.com
<p> การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจนี้เพื่อศึกษาการรับรู้ของผู้สูงอายุต่อความผาสุกทางจิตวิญาณทางจิตวิญญาณผ่านประสบการณ์ของผู้สูงอายุในชุมชนดงติ้ว ได้เก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุกลุ่มนี้ จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทในเขตหน่วยบริการสุขภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพดงติ้ว อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการ การสังเกต การสัมภาษณ์เชิงลึก และการบันทึกภาคสนาม ศึกษาระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามการสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง มีค่าความตรงตามวัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 1.00 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าการให้ความหมายของความผาสุกทางจิตวิญาณทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุผ่านประสบการณ์ชีวิตต่อความผาสุกทางจิตวิญาณทางจิตวิญญาณมี 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) “ความสมดุลภายในชีวิตตนเอง” โดยมีประเด็นย่อย 4 ประเด็นประกอบด้วย “รู้จักเข้าใจชีวิตตนเอง” “รู้จักเข้าใจชีวิตลูกหลานและคนรอบตัว” “มีสิ่งยึดเหนี่ยวหรือเป้าหมายในการดำเนินชีวิต” และ “สะสมบุญหนุนชีวิตภพหน้า” และ 2) “ความสมดุลภายนอกชีวิตตนเอง” โดยมีประเด็นย่อย 5 ประเด็นประกอบด้วย “กินข้าวอร่อยนอนหลับดี” “ทำกิจวัตรต่างๆ ได้ดี” “มีโรคประจำตัวแต่ควบคุมได้” “ถูกเอาใจใส่และสนับสนุนจากครอบครัว” และ “มีเงินใช้สอยไม่ขัดสน”</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288717
ลักษณะการบาดเจ็บภายในช่องท้องชนิดไม่มีแผลทะลุและปัจจัยทำนายการรักษาในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด โดยใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลพระนาราย์มหาราช
2025-09-29T21:40:01+07:00
ชนัญช์วัฏ มัณยานนท์
sirisakpom64@gmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการบาดเจ็บภายในช่องท้องชนิดไม่มีแผลทะลุ และศึกษาความสัมพันธ์ของลักษณะภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยบาดเจ็บช่องท้องชนิดไม่มีแผลทะลุกับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เป็นการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะบาดเจ็บช่องท้องชนิดไม่มีแผลทะลุที่มีสัญญาณชีพคงที่และได้รับการส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 124 คน โดยทบทวนข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย และแปลผลภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์โดยรังสีแพทย์ 2 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณ logistic regression</p> <p> ผลการวิจัย: จากจำนวนผู้ป่วย 124 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 66.94 มีอายุระหว่าง 15-45 ปี ร้อยละ 57.26 อายุเฉลี่ย 33.92 ปี สาเหตุการบาดเจ็บเกิดจากอุบัติเหตุจราจรมากที่สุดร้อยละ 76.61 ลักษณะความผิดปกติที่พบมากที่สุด คือ มีเลือดออกในช่องท้อง (hemoperitoneum) ร้อยละ 79.03 รองลงมา มีการบาดเจ็บที่ตับ (liver injury) ร้อยละ 41.94 และการบาดเจ็บที่ม้าม (splenic injury) ร้อยละ 19.35 ความสัมพันธ์ของลักษณะภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของผู้ป่วยบาดเจ็บช่องท้องชนิดไม่มีแผลทะลุกับแนวทางในการรักษาผู้ป่วยในการศึกษานี้ พบว่า การบาดเจ็บรุนแรงที่ม้าม (AAST grade IV-V) การบาดเจ็บที่ลำไส้และเยื่อแขวนลำไส้ กระเพาะปัสสาวะแตกเข้าช่องท้อง เลือดออกในท้องด้านหลัง (retroperitoneal hemorrhage) และการและมีลมในช่องท้อง (pneumoperitoneum) สัมพันธ์กับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288526
การพัฒนาระบบเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตำบลสหัสขันธ์ อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-28T06:27:40+07:00
ศุภวัฒน์ อิ่มเจริญ
fetp1yr@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหา พัฒนาระบบ และผลลัพธ์การใช้ระบบ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567-กรกฎาคม 2568 รวมระยะเวลา 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ได้แก่ บุคลากรและภาคีเครือข่าย รวม 111 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ ข้อมูลการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ จำนวน 98 ตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามทัศนคติ แบบสอบถามพฤติกรรม แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบเก็บข้อมูลการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, X²) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการพัฒนาระบบเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพประกอบด้วย 4 กระบวนการหลัก ได้แก่ 1) การพัฒนากลไกเฝ้าระวังที่เป็นรูปธรรม 2) การสนับสนุนความรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน 3) การขยายบทบาทเภสัชกรในงานเภสัชกรรมปฐมภูมิ และ 4) การบูรณาการทุกภาคส่วน ผลลัพธ์การนำระบบไปใช้พบว่า การดำเนินการเมื่อพบปัญหาเพิ่มขึ้น โดยการแจ้งเตือนเจ้าของร้านเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85.71 การรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.55 การแก้ไขปัญหาได้สมบูรณ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 81.63 การครอบคลุมการเฝ้าระวังทั้ง 13 หมู่บ้านเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 91.84 คะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นจาก 8.41 เป็น 9.18 คะแนน พฤติกรรมการเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจาก 25.90 เป็น 41.20 คะแนน และคะแนนความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจาก 11.85 เป็น 19.95 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t= 2.28, 3.95, 2.67)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288527
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในชุมชน โดยทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ
2025-09-28T06:31:23+07:00
ทิพวรรณ คิตเสน
fetp1yr@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหา และรูปแบบเดิมในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในชุมชนโดยทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย และศึกษาผลการใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย บุคลากรสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายชุมชน รวม 79 คน และผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง จำนวน 88 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบประเมินภาวะซึมเศร้า แบบประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบได้รูปแบบเป็น HEALING Model ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1) H-Holistic Crisis Response System ระบบเผชิญเหตุแบบองค์รวม 2) E-Education and Community Awareness การศึกษาและสร้างความตระหนักในชุมชน 3) A-Alliance Building การสร้างเครือข่ายพันธมิตร 4) L-Learning Partnership การเรียนรู้ร่วมกันผ่านโรงเรียนครอบครัว 5) I-Integrated Care การบูรณาการการดูแลต่อเนื่อง 6) N-Nurturing Environment การสร้างสภาพแวดล้อมสนับสนุน 7) G-Group Support การสนับสนุนแบบกลุ่ม ผลการใช้รูปแบบพบว่า อาการซึมเศร้าลดลงจากร้อยละ 75.00 เป็นร้อยละ 35.23 ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายระดับสูงลดลงจากร้อยละ 25.00 เป็นร้อยละ 3.41 พฤติกรรมก้าวร้าวทางวาจาลดลงจากร้อยละ 75.00 เป็นร้อยละ 25.00 ความพึงพอใจปรับปรุงจากระดับไม่ดี (ร้อยละ 40.40) เป็นระดับดี (ร้อยละ 82.08) การทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่าอาการทางจิตเวชและความพึงพอใจมีการปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p <.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288528
ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคปอดอักเสบในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ
2025-09-28T06:34:34+07:00
พัชราภรณ์ จันทร์ลุน
fetp1yr@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจวิเคราะห์แบบย้อนกลับ (Retrospective Analytical Study) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทั่วไปที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคปอดอักเสบในผู้ป่วยเด็ก ศึกษาปัจจัยทางคลินิกและความรุนแรงของโรคปอดอักเสบในผู้ป่วยเด็ก และศึกษาปัจจัยทางการรักษาที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคปอดอักเสบในผู้ป่วยเด็ก ณ โรงพยาบาลโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยเด็กอายุ 1 เดือนถึง 15 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคปอดอักเสบ จำนวน 72 คน แบ่งเป็นกลุ่มความรุนแรงน้อย-ปานกลาง 36 คน และกลุ่มความรุนแรงมาก 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย (Case Record Form) ครอบคลุมข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทางคลินิก การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และผลลัพธ์การรักษา สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Odds Ratio Chi-square test และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบพหุตัวแปร</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อความรุนแรงของโรคปอดอักเสบในเด็กจากการวิเคราะห์เชิงเดี่ยวมี 8 ปัจจัย ได้แก่ โรคประจำตัว (OR = 6.82, 95%CI: 2.78-16.67, p<0.001) การสูบบุหรี่ในครอบครัว (OR = 5.20, 95%CI: 2.15-12.58, p<0.001) ฤดูกาลที่เจ็บป่วย (OR = 3.33, 95%CI: 1.35-8.22, p=0.009) ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการจนมาพบแพทย์ (OR = 4.00, 95%CI: 1.64-9.75, p=0.002) เซลล์เม็ดเลือดขาวสูง (OR = 6.50, 95%CI: 1.32-32.00, p=0.021) Neutrophil สูง (OR = 4.44, 95%CI: 1.56-12.67, p=0.005) Lymphocyte ต่ำ (OR = 5.60, 95%CI: 1.72-18.19, p=0.004) และความรุนแรงของ Infiltration (OR = 5.25, 95%CI: 1.89-14.58, p=0.001) จากการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบพหุตัวแปรพบว่า มีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ 3 ปัจจัย ที่ยังคงมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โรคประจำตัว (Adjusted OR = 4.85, 95%CI: 1.58-14.89, p=0.006) การสูบบุหรี่ในครอบครัว (Adjusted OR = 3.42, 95%CI: 1.12-10.45, p=0.031) และความรุนแรงของ Infiltration (Adjusted OR = 3.67, 95%CI: 1.15-11.71, p=0.028) โมเดลที่ได้สามารถทำนายความรุนแรงของโรคได้ร้อยละ 81.90</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288744
ผลของโปรแกรมการดูแลต่อเนื่องผ่านระบบบริการการแพทย์ทางไกล ต่อระดับน้ำตาลสะสมในเลือด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
2025-09-30T09:51:36+07:00
ปิยวรรณ ลารังสิทธิ์
prayoon_wong55@hotmail.com
สุรวัจน์ กระแสร์เตชะหิรัญ
prayoon_wong55@hotmail.com
กฤตยา เนียรกระโทก
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง วัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลต่อเนื่องผ่านระบบบริการการแพทย์ทางไกล ต่อระดับน้ำตาลสะสมในเลือด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ที่เข้ารับการรักษาในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลชนบท อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการดูแลต่อเนื่องผ่านระบบบริการการแพทย์ทางไกลเป็นระยะเวลา 3 เดือน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามมาตรฐานปกติของโรงพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ โปรแกรมการดูแลต่อเนื่องผ่านระบบบริการการแพทย์ทางไกล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย 2) แบบสอบถามคุณภาพชีวิต และ 3) แบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดสะสม และเครื่องมือที่ใช้ในการกำกับโปรแกรม คือ แบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ความง่ายของการใช้ระบบบริการการแพทย์ทางไกล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ คำนวณหาค่าร้อย สถิติไคแสควร์ ร่วมกับสถิติฟิชเชอร์เอ็กแซคท์ สถิติ Paired-samples t-test และ Independence t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของคุณภาพชีวิต (Mean = 99.46, SD = 12.447) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 90.86, SD = 4.911) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .001) และกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (Mean = 7.53, SD = .814) น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 9.06, SD = 1.960)อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) นอกจากนี้พบว่า ภายหลังกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรม มีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้ประโยชน์ (Mean = 33.73, SD = 7.579) และการรับรู้ความง่ายของการใช้ระบบบริการการแพทย์ทางไกล อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 30.50, SD = 8.048)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288746
ผลของโปรแกรมความเชื่อมั่นและความคาดหวังในสมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
2025-09-30T09:54:52+07:00
อัญชุรีย์ อินทร์พิมพ์
jurirat3445@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบ One-group pretest-posttest design มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมที่พัฒนาจากแนวคิดทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน (Self-Efficacy Theory) และความคาดหวังต่อผลลัพธ์ของพฤติกรรม (Outcome Expectation) ต่อความรู้ ทักษะ และความเชื่อมั่นในการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแล (Caregiver) ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ดูแลผู้สูงอายุในตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว จำนวน 27 คน ผ่านการอบรมตามหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุอย่างน้อย 70 ชั่วโมงของกรมอนามัย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบวัดความรู้ แบบวัดทักษะ และแบบวัดความเชื่อมั่นในการดูแลผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้ดูแลมีคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ ทักษะ และความเชื่อมั่นในการดูแลผู้สูงอายุสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288718
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อผ่าตัดคลอดในผู้ป่วยครรภ์เป็นพิษ
2025-09-29T21:43:21+07:00
พิไล แก้วพรหมมา
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อผ่าตัดคลอดในผู้ป่วยครรภ์เป็นพิษ โดยศึกษาในหญิงไทย อายุ 32 ปี เข้ารับการรักษาเพื่อมาคลอด มกราคม 2568 เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า วินิจฉัยแรกรับ severe preeclampsia ให้ SET OR ผ่าตัด lower transverse caesarean section with tubal resection Emergency การประเมินแรกรับของผู้ป่วย ASA physical status 3E : underlying severe preeclampsia, smoking ไฟฟ้า, pregnancy alcohol drinking , drug abuse นำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดนำสลบโดยการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป ใช้เวลาการผ่าตัด 2 ชั่วโมง ขณะผ่าตัดเสียเลือดรวม 800 ml. ได้รับยา Transamine 1 g v และCytotec 4t vg. เพื่อช่วยการแข็งตัวของมดลูกได้สารน้ำทดแทน 800 ml. ไม่เกิดภาวะ Hypotension ขณะผ่าตัด สามารถถอดท่อช่วยหายใจได้หลังผ่าตัดเสร็จ การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดในห้อง PACU พบ spo2 = 94-95 % ฟังปอด มี crepitation both lung รายงานแพทย์ให้พ่น Beradual NB หลังพ่นยาปอดโล่ง spo2 = 99 % ส่งกลับห้องคลอดได้ โดยผู้ป่วยรายนี้ใช้เวลาในการรักษานอนโรงพยาบาล 5 วันได้รับการรักษาโดยได้ยา Lasix 40 mg v q hr ,record I/O จนกระทั้งสามารถจำหน่ายกลับบ้านได้ไม่มีอาการหอบ เหนื่อย ส่วนบุตรใส่ท่อช่วยหายใจส่งต่อ โรงพยาบาลพระนารายณ์เนื่องจากมีอาการหอบเหนื่อย</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288734
การพัฒนารูปแบบการบริบาลฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง (intermediate care) โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
2025-09-30T08:54:43+07:00
ภุชงค์ ธนะเพิ่ม
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการใช้รูปแบบการบริบาลฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง (intermediate care) โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ระยะ ระยะที่ 1 ขั้นวางแผน ระยะที่ 2 ขั้นปฏิบัติการ ระยะที่ 3 ขั้นสังเกตการณ ระยะที่ 4 ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่าง คือ 1) ทีมฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง จำนวน 31 คน 2) ผู้ป่วยระยะกลาง จำนวน 20 คน 3) ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะกลาง จำนวน 20 คน เครื่องมือ ประกอบด้วย 1) แนวคำถามในการการสนทนากลุ่ม (Focus group) ทีมฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง 2) แนวคำถามในการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ดูแลผู้ป่วย 3) แบบประเมินความคิดเห็นความเป็นไปได้ของรูปแบบ 4) แบบประเมินความรู้ของผู้ดูแลผู้ป่วย 5) แบบประเมินความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วย 6) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัย: หลังการนำรูปแบบการบริบาลฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลางใช้ดูแลกับผู้ป่วย พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ ความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะกลาง ความสามารถในการดูแลตนเอง การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย มีระดับคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ระดับความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะกลางต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (mean= 4.30, S.D.=0.28)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288735
ประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วยระบบ Home ward ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-30T08:57:43+07:00
ศรินรัตน์ ธนัชจิระพงศ์
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การศึกษา ประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วยระบบ Home ward ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 และศึกษาประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วยระบบ Home ward ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experiment research) มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนมกราคม 2568 ถึง เดือน สิงหาคม 2568 รวม 8 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ด้วยระบบ Home ward ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 48 คน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วยระบบ Home ward ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์</p> <ol> <li class="show">สภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังการดำเนินการ ส่วนใหญ่มีระดับน้ำตาลมากกว่า 150 mg/dl</li> <li class="show">พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังการดำเนินการ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับเหมาะสมมาก</li> <li class="show">การเปรียบเทียบสภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ภายหลังการดำเนินงานสภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังการดำเนินงาน มีค่าดีกว่าก่อนการดำเนินการ</li> </ol>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288736
การพัฒนารูปแบบการควบคุมน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น
2025-09-30T09:00:44+07:00
พิทยภูมิ สิริเพาประดิษฐ์
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น กระบวนการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1. วิเคราะห์สถานการณ์ 2.ระยะปฏิบัติการ 3.ระยะประเมินผล กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จำนวน 89 คน บุคลากรสาธารณสุข ผู้ดูแล ภาคีเครือข่าย และแกนนำชุมชน รวม 28 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คือ 1.มีรูปแบบการควบคุมโรคเบาหวานในชุมชน ส่งเสริมหลักการควบคุมโรคเบาหวาน ตามหลักเวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์วิถีชิวิต เวชศาสตร์ครอบครัว และการมีส่วนรว่มของชุมชน 2.เกิดภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย 3.ผู้ป่วยได้รับการพัฒนาความรู้และทักษาะในการดูแลตนเองเรื่องโรคเบาหวาน สำหรับระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) และความรู้โรคเบาหวานของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ก่อนการพัฒนารูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) เท่ากับ 9.02 ± 1.16 % โดยมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดที่ควบคุมได้ (HbA1c < 7%) ร้อยละ 5.1 และหลังการพัฒนารูปแบบฯพบว่า มีค่าเฉลี่ยของน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดลงเหลือ 7.54 ± 0.5 % ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p-value < 0.001 ) ส่วนความรู้โรคเบาหวาน ก่อนการพัฒนารูปแบบฯ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.85 ± 1.77 คะแนน และหลังการพัฒรูปแบบฯ มีคะแนนความรู้โรคเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็น 14.0 ± 0.86 คะแนน ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p-value < 0.001 )</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288737
การศึกษารูปแบบบัญชีครัวเรือนและพฤตกิรรมการออมของครัวเรือน ในชุมชนตำบลท้ายเกาะ อําเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
2025-09-30T09:04:09+07:00
วรภร ศิลาเจริญธนกิจ
limmanee_99@hotmail.com
กฤตยชญ์ คำมิ่ง
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษารูปแบบและความถี่ของการทำบัญชีครัวเรือนในชุมชนตำบลท้ายเกาะ (2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการทำบัญชีครัวเรือนกับพฤติกรรมการออม และ (3) เสนอแนวทางการส่งเสริมการทำบัญชีครัวเรือนที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ ประชากรคือครัวเรือนในตำบลท้ายเกาะ จังหวัดปทุมธานี จำนวน 1,540 ครัวเรือน (2,612 คน) โดยใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่าง 100 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.67–1.00) และทดสอบค่าความเชื่อมั่นด้วย Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.72 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา (ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสถิติอนุมาน (สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ครัวเรือนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของการทำบัญชีครัวเรือน แต่การบันทึกยังไม่สม่ำเสมอและไม่ได้นำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์เชิงลึก (2) ครัวเรือนที่บันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่องมีพฤติกรรมการออมสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ (3) ปัจจัยที่มีผลต่อความสม่ำเสมอในการทำบัญชีและการออม ได้แก่ ความรู้ทางการเงิน (financial literacy) และแรงจูงใจทางสังคม (social motivation)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288738
การวิเคราะห์ต้นทุนและการกำหนดราคาขายขนมไทยากิ: แนวทางเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้ายเกาะ
2025-09-30T09:08:21+07:00
วรภร ศิลาเจริญธนกิจ
pitinut99@hotmail.com
กฤตยชญ์ คำมิ่ง
pitinut99@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนและจุดคุ้มทุน (BEP) ของการผลิตขนมไทยากิในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลท้ายเกาะ (2) ศึกษาการกำหนดราคาขายและผลกำไร และ (3) สำรวจการปฏิบัติด้านสุขลักษณะและทัศนะต่อบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ผลิตจำนวน 10 ราย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและแบบบันทึกต้นทุน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการคำนวณต้นทุน–กำไร–จุดคุ้มทุน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ต้นทุนรวมต่อวัน 160 บาท (วัตถุดิบ 140 บาท และค่าไฟฟ้า 20 บาท) เมื่อผลิตเฉลี่ย 50 ชิ้น/วัน คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 3.20 บาท/ชิ้น ขายที่ 10 บาท/ชิ้น ได้กำไร 6.80 บาท/ชิ้น กำไรเฉลี่ย 340 บาท/วัน หรือราว 6,800 บาท/เดือน (20 วันทำการ) จุดคุ้มทุน 3 ชิ้น/วัน และมีอัตราส่วนความปลอดภัย (Margin of Safety) ประมาณ 94% ผู้ผลิตส่วนใหญ่ปฏิบัติตามสุขลักษณะพื้นฐานได้ดี และเห็นด้วยกับการใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน แม้ต้นทุนเพิ่มเล็กน้อย ข้อค้นพบชี้ว่าไทยากิมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน.</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288739
ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาเชิงปฏิบัติจากระบบบัญชีโรงแรมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อม–สุขภาพของนักศึกษาใน รายวิชาการบัญชีและการเงินสำหรับธุรกิจการบริการและการโรงแรม
2025-09-30T09:11:42+07:00
วรภร ศิลาเจริญธนกิจ
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาเชิงปฏิบัติจากระบบบัญชีโรงแรม (2) ศึกษาระดับทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของนักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาเชิงปฏิบัติ และ (3) ประเมินความเข้าใจเนื้อหา ทักษะการคิดวิเคราะห์ ความมีส่วนร่วม ความพึงพอใจ และความเชื่อมั่นในการนำไปใช้จริงของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา การบัญชีและการเงินสำหรับธุรกิจการบริการและการโรงแรม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 14 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามวัดทัศนคติและความพึงพอใจ (25 ข้อ 5 หมวด) และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Pre-test และ Post-test) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Wilcoxon Signed-Rank Test และการวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นด้วย Cronbach’s Alpha</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) แสดงว่าการใช้กรณีศึกษาเชิงปฏิบัติจากระบบบัญชีโรงแรมช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาได้จริง ด้านทัศนคติและความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก (M = 4.40) โดยหมวดที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดคือความพึงพอใจต่อวิธีการสอน (M = 4.60) รองลงมาคือความเข้าใจเนื้อหา (M = 4.56) ขณะที่หมวดทักษะการคิดวิเคราะห์แม้ได้คะแนนต่ำสุด (M = 4.35) แต่ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้นักศึกษายังสะท้อนความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียนรู้จากระบบบัญชีโรงแรมจริง</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288740
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเสี่ยงต่อเบาหวานขึ้นจอประสาทตา โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-30T09:15:50+07:00
จังกร สุดหลักทอง
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาประสิทธิภาพ การพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอประสาทตา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้พัฒนารูปแบบทีมสหวิชาชีพ จำนวน 10 คน และผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะเสี่ยงต่อเบาหวานขึ้นจอประสาทตาสำหรับการประเมินผล จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่มแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความสามารถในการดูแลตนเอง แบบประเมินประสิทธิภาพการดูแล แบบประเมินความต้องการและความจาเป็นแบบบันทึกภาวะแทรกซ้อน และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 ระบบหลัก ได้แก่ ระบบการคัดกรอง ระบบการดูแลรักษา ระบบการติดตามผล<br />ระบบการสร้างความร่วมมือในชุมชน ระบบสนับสนุนการดำเนินงาน และระบบการประเมินผล ผลการประเมินคุณภาพรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมากทุกด้าน คะแนนเฉลี่ย 4.68 จาก 5.00 ผลการใช้รูปแบบพบว่า ความสามารถในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2.85 เป็น 3.71 ประสิทธิภาพการดูแลเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2.97 เป็น 4.42 ความต้องการและความจำเป็นลดลงจากระดับมากเป็นระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 4.35 เป็น 2.68 ภาวะแทรกซ้อนลดลงจากระดับปานกลางถึงมากเป็นระดับน้อย คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 3.73 เป็น 1.87 ความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 4.48 จาก 5.00 การทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่าตัวแปรทุกด้านมีดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288741
การพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน : กรณีศึกษาตำบลแวงใหญ่อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
2025-09-30T09:26:01+07:00
อรุณี ขันขวา
sirisakpom64@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของ อสม. ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในพื้นที่ ตำบลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง คือ อสม. จำนวน 112 คน ใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ครอบคลุมด้านความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีความรู้และทักษะในระดับปานกลางถึงดี โดยร้อยละ 60 มีความรู้และทักษะระดับมาก สามารถอธิบายสาเหตุของโรค แนวทางการควบคุมระดับน้ำตาล การปฏิบัติตนของผู้ป่วย และการใช้เครื่องตรวจน้ำตาลได้ถูกต้อง ร้อยละ 30 มีความรู้ระดับปานกลาง และร้อยละ 10 มีความรู้ระดับน้อย มักเป็นกลุ่มที่ไม่เคยผ่านการอบรม ด้านทักษะ อสม. ส่วนใหญ่สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้น ติดตามผลสุขภาพ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลเรื้อรังหรืออาการจากน้ำตาลต่ำ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดด้านการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 42.86 ไม่เคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288742
การพัฒนารูปแบบการนำนโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" ไปปฏิบัติของเครือข่ายสุขภาพจังหวัดอุบลราชธานี
2025-09-30T09:31:35+07:00
พิทักษ์ ทองทวน
adisak871987@hotmail.com
ประภัสสร ศันสนะพิทยากร
adisak871987@hotmail.com
สุคนธา ไพเราะ
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ สร้างและพัฒนา ทดลองใช้และประเมินและปรับปรุงและเผยแพร่รูปแบบการนำนโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" ไปปฏิบัติของเครือข่ายสุขภาพจังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินการตั้งแต่เดือนระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567-สิงหาคม 2568 กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข และองค์กรเอกชน 600 คน กลุ่มผู้รับบริการ 5 คน กลุ่มผู้ให้บริการ 5 คน และกลุ่มผู้บริหาร 3 คน จำนวน 13 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง และผู้เชี่ยวชาญ 9 คน เก็บรวบรวมข้อมูลดดยใช้แบบบสอบถาม แบบบันทึก และแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการบริการสุขภาพภายใต้นโยบาย "30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" พบว่า ความต้องการอันดับแรก คือ ด้านการจัดการผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (Chronic Disease Care) และอันดับรองลงมาคือ ด้านบริการแพทย์แผนไทยและกายภาพบำบัด นโยบายนี้ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างทั่วถึง แต่ยังพบปัญหาด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยังไม่เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ 2) รูปแบบฯ หลังการปรับปรุงพบว่า ประกอบด้วย 8 ขั้น คือ (1) การแปลงนโยบายสู่แผนปฏิบัติ (2) การจัดสรรทรัพยากร (3) การสื่อสารและเผยแพร่ (4) การติดตาม ตรวจสอบและรายงาน (5) การประเมินผล (7) การปรับปรุงและขยายผล (8)การตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ (Appreciative Inquiry; AI) และความเหมาะสม และความสอดคล้อง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ3) พบความก้าวหน้าสูงในการบูรณาการระบบบริการสุขภาพ โดยโรงพยาบาลทั้ง 26 แห่ง และหน่วยบริการเครือข่าย 366 แห่ง สามารถดำเนินการลงทะเบียน สอน. บัดดี้ ได้ครบถ้วน 100.0% ในขณะที่การเชื่อมประวัติสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) ทำได้ครบ 100.0% นอกจากนี้ยังมีการให้บริการดิจิทัลที่มีปริมาณมาก เช่น การยืนยันตัวตนประชาชนที่มี Health ID จำนวน 862,023 คน และการให้บริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ถึง 95,802 ครั้ง อย่างไรก็ตามผลการประเมินชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ยังอยู่ในระดับสูงถึง 100.0% ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปกับการขยายผลการบริการ ลงทะเบียนและสอนบัดดี้ครบ 100% การเชื่อมต่อ EHR ของโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็น 100.0% ขณะเดียวกันการให้บริการดิจิทัลมีปริมาณสูงการยืนยันตัวตนผู้มี Health ID จำนวน 862,023 ราย และการให้บริการแพทย์ทางไกล 95,802 ครั้ง แต่ระดับความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ถูกประเมินว่าอยู่ในระดับสูงถึง 100.0%</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288743
รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษา สู่การยกระดับเศรษฐกิจองค์รวมของโรงเรียนผู้สูงอายุ
2025-09-30T09:40:06+07:00
ประเสริฐ เหล่าบุศณ์อนันต์
limmanee_99@hotmail.com
สุวารีย์ ศรีปูณะ
limmanee_99@hotmail.com
บุญวณิช บุญวริชชนานันท
limmanee_99@hotmail.com
ปัญญา หมั่นเก็บ
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาสู่การยกระดับเศรษฐกิจองค์รวมของโรงเรียนผู้สูงอายุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้อำนวยการโรงเรียนผู้สูงอายุ สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 400 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มแยกตามภาค และสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยวิธีจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงของเครื่องมือระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยด้วยโปรแกรมเอ็มพลัส</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาสู่การยกระดับเศรษฐกิจองค์รวมของโรงเรียนผู้สูงอายุ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าสถิติไคสแควร์ () = 158.547 ที่องศาอิสระ (df) = 133, p = 0.0647 ดัชนีวัดความสอดคล้องกลมกลืนเชิงสัมพัทธ์ (CFI) = 0.996 และ (TLI) = 0.994 ดัชนีรากที่สองของค่าเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนกำลังสองของการประมาณค่า (RMSEA) = 0.022 และดัชนีค่ารากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (SRMR) = 0.018</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288694
การพัฒนารูปแบบการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบมีส่วนร่วมในภาคีเครือข่ายพื้นที่ รพ.สต.บ้านสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-29T14:56:18+07:00
กฤษณา สุยังกุล
fetp1yr@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาการใช้สารเสพติด พัฒนารูปแบบการแก้ไขปัญหาสารเสพติดแบบมีส่วนร่วม และศึกษาผลการใช้รูปแบบในภาคีเครือข่าย พื้นที่ รพ.สต.บ้านสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนประชากรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการวิจัย จำนวน 43 คน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ รพ.สต. จำนวน 4 คน กลุ่มเสี่ยง จำนวน 12 คน ญาติกลุ่มเสี่ยง 12 คน กำนันผู้ใหญ่บ้าน ปกครอง ทหาร ตำรวจ จำนวน 8 คน และ อสม. จำนวน 7 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน เมษายน - ธันวาคม 2567 เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบวัดความรอบรู้ทางสุขภาพเรื่องยาเสพติด แบบประเมินความพึงพอใจ และแนวคำถามปลายเปิดเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาณในการทดสอบก่อนหลังพัฒนาด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนาประกอบด้วย 6 แนวทางสำคัญ 1) การบูรณาการบริการด้านสาธารณสุข 2) สนับสนุนกลไกบริการด้านสังคมโดยชุมชน 3) บูรณาการงบประมาณร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและงานกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น 4) กำหนดบทบาทหน้าที่คำสั่งคณะทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอำเภอ 5) ขึ้นทะเบียนในการดูแลผู้ติดสารเสพติด มีการติดตามดูแลรักษาต่อเนื่องในชุมชนโดยทีมคณะทำงาน 6) การประเมินโดยศูนย์คัดกรอง ผลลัพธ์ของการนำแนวทางไปใช้พบว่า ความรอบรู้ทางสุขภาพเรื่องยาเสพติดของภาคีเครือข่ายเพิ่มขึ้น จากการทดสอบทางสถิติพบว่า ความรอบรู้ทางสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ระดับความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 12.84, 10.67 ตามลำดับ)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288645
การพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการสวนหัวใจ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก
2025-09-29T11:07:23+07:00
จุฑามาส ทุยคำ
akulwadee@gmail.com
กุลวดี อภิชาติบุตร
akulwadee@gmail.com
อรอนงค์ วิชัยคำ
akulwadee@gmail.com
<p> การศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในโรงพยาบาลพุทธชินราช โดยใช้กระบวนการพัฒนาบุคลากร 6 ขั้นตอน ได้แก่ การประเมินความต้องการ การพัฒนาโครงการ การนำเสนอโครงการต่อผู้บริหาร การดำเนินโครงการ การประเมินผล และการติดตามผล กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพจำนวน 16 คน ที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 3 และหอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการสวนหัวใจ แบบวัดความรู้ (ค่าความเชื่อมั่น = 0.80) และแบบประเมินสมรรถนะ (ค่าความสอดคล้องของการสังเกต = 0.97)วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติวิลคอกซัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้หลังการอบรม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 27.88, SD = 1.54) สูงกว่าก่อนการอบรม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 18.33, SD = 2.99) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และก่อนการอบรม พยาบาลมีสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยตามเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 0 ขณะที่หลังการอบรม พยาบาลมีสมรรถนะเป็นไปตามเกณฑ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 81.25 </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288606
การพัฒนาระบบติดตามและประเมินการให้บริการตามมาตรฐานศูนย์พึ่งได้โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-28T06:38:14+07:00
ดาววดี ลีลาวัฒนานนท์กุล
fetp1yr@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหา พัฒนาระบบ และผลลัพธ์การใช้ระบบติดตามและประเมินการให้บริการตามมาตรฐานศูนย์พึ่งได้ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ระหว่างเดือนมีนาคม-กรกฎาคม พ.ศ. 2568 รวมระยะเวลา 5 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ได้แก่ บุคลากร ผู้รับบริการ และเครือข่าย รวม 40 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ เวชระเบียนผู้รับบริการศูนย์พึ่งได้ 65 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินระบบติดตามและประเมินผล แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบประเมินผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, Independent t-test, X2) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการพัฒนาระบบติดตามและประเมินประกอบด้วย 8 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) การสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วม 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่าย 3) การพัฒนาระบบการให้บริการตามมาตรฐาน 4) การพัฒนาระบบติดตามและประเมินดิจิทัล 5) การสร้างระบบการมีส่วนร่วมของชุมชน 6) การพัฒนาระบบความปลอดภัยและการป้องกัน 7) การสร้างระบบประสานงานและเครือข่าย และ 8) การประเมินผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์การนำระบบไปใช้พบว่า ร้อยละของผู้รับบริการที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐานครบถ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 93.33 ได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่องเพิ่มร้อยละ 90.00 กรณีความรุนแรงที่ค้นพบและส่งต่อจากชุมชนเพิ่ม 6.67 กรณีต่อเดือน คะแนนเฉลี่ยการให้บริการตามมาตรฐานเพิ่มเป็น 4.75 คะแนน และคะแนนความพึงพอใจของผู้รับบริการเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t= 6.82, 14.26, 16.02, 7.45)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288774
ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการแพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ทำสวนทุเรียนในจังหวัดชุมพร
2025-09-30T09:57:55+07:00
สำเริง นพชำนาญ
pitinut99@hotmail.com
มนต์ทิพา ทองดี
pitinut99@hotmail.com
ญาดา นพชำนาญ
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษาภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) มีวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมการป้องกันการแพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการแพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและพฤติกรรมการป้องกันการแพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรผู้ทำสวนทุเรียน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 134 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 86.57 มีอายุเฉลี่ย 53.07 ปี ช่วงอายุ 45-54 ปี ร้อยละ 34.33 ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง ร้อยละ 74.63 รองลงมาคือ รับจ้างฉีดครั้งคราว ร้อยละ 16.42 และร้อยละ 8.95 เป็นเจ้าของสวน เกษตรกรเคยรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมีและสุขภาพ ร้อยละ 64.93 จากเจ้าหน้าที่ทางเกษตร ร้อยละ 21.64 และจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร้อยละ 21.64 มีคะแนนเฉลี่ยรวมด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าเฉลี่ย 6.86 ± 1.955 ซึ่งบ่งชี้ว่าเกษตรกรมีความรู้ในระดับปานกลางค่อนไปทางดี ด้านพฤติกรรมในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับดี ส่วนใหญ่ร้อยละ 88.06 มีการล้างมือหลังจากผสมสารเคมีทันที และพบว่าระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพของเกษตรกรมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการป้องกันการแพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยค่าสหสัมพันธ์ (r=0.355, p<.001)</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288776
ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คุณค่าผู้บริโภคและช่องทางการตลาด: แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในตำบลสวนพริกไทย จังหวัดปทุมธานี
2025-09-30T10:05:34+07:00
สุนทรี จีนธรรม
sirisakpom64@gmail.com
พีรยา ทองเครือ
sirisakpom64@gmail.com
จีรภัทร์ อัฐฐิศิลป์เวท
sirisakpom64@gmail.com
รัชนีวรรณ จีนธรรม
sirisakpom64@gmail.com
ประภัสรา ธรรมวัชรางกูร
sirisakpom64@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชนในตําบลสวนพริกไทย อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และ 2) ศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คุณค่าผู้บริโภคและช่องทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรของชุมชนในตําบลสวนพริกไทย อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้ปลูกสมุนไพร ผู้จำหน่ายสมุนไพร และผู้นําชุมชน จํานวนกลุ่มละ 5 คน รวม 20 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรของชุมชนพบปัญหา 4 ด้าน ได้แก่ 1) ปัญหาด้านสถานที่ปลูกพืชสมุนไพรมีไม่เพียงพอ 2) ปัญหาด้านสถานที่ผลิตสมุนไพร ยังไม่มีโรงงาน 3) ปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยังไม่ได้มาตรฐาน และ 4) ปัญหาด้านช่องทางการตลาดในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร สําหรับแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คุณค่าผู้บริโภคและช่องทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร ของชุมชนตําบลสวนพริกไทยพบว่า ชุมชนและครัวเรือนควรร่วมมือกันส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรทั้งที่บ้านของตนเองและที่ดินส่วนกลางชุมชน อาจปลูกในสวนหลังบ้าน ไร่นาสวนผสม เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปลูกในวัดและในโรงเรียน จัดทำธนาคารสมุนไพร เพื่อให้มีวัตถุดิบในการผลิตสมุนไพร จัดตั้งชมรมด้านสมุนไพรและร่วมมือกันในการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและเพิ่มช่องทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา ควรร่วมมือกันสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีมาตรฐานให้กับกลุ่มผู้ผลิต ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คุณค่าผู้บริโภค พัฒนาบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า และช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288608
การพัฒนาคู่มือการสื่อสารเชิงบวกในบริการสุขภาพ
2025-09-29T14:38:30+07:00
วีร์ เมฆวิลัย
weepositive7@gmail.com
พาสนา คุณาธิวัฒน์
weepositive7@gmail.com
บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์
weepositive7@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มุ่งพัฒนาคู่มือการสื่อสารเชิงบวกในบริการสุขภาพเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงในสถานพยาบาล เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) แบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง ดำเนินการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ความต้องการ การกำหนดกรอบแนวคิด การออกแบบและจัดทำต้นร่าง การทดสอบคุณภาพ และการทดลองใช้ในระบบ การวิเคราะห์ความต้องการจากโรงพยาบาลพบเหตุการณ์ความรุนแรง 33 ครั้ง (2566-2567) บุคลากรต้องการพัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ตนเอง คู่มือที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 7 ส่วนหลัก เน้นการสื่อสารเชิงบวกและเทคนิค de-escalation และปรับให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย การทดสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ( IOC = 0.88) ทดลองใช้ในบุคลากร 15 คน พบการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) ในด้านทักษะ (24.7%) ความรู้ (21.9%) และทัศนคติ (18.8%) Effect Size อยู่ระดับปานกลาง-ใหญ่ (0.58-0.72) ความพึงพอใจโดยรวม 4.1 คะแนน (ระดับมาก) และ 93.3% ตั้งใจนำไปใช้ การศึกษาแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของคู่มือการสื่อสารเชิงบวกที่ในการเสริมสร้างทักษะบุคลากรสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องการการศึกษาแบบ Randomized Controlled Trial และติดตามระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของผลลัพธ์</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288848
การพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV Self Sampling โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุข โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-09-30T23:43:51+07:00
พรรษกาล โลสันเทียะ
phicychu88@gmail.com
<p> มะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของสตรีไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการคัดกรอง ได้แก่ ระยะทาง ค่าใช้จ่าย และความเป็นส่วนตัว การพัฒนารูปแบบการคัดกรองที่เหมาะสมกับบริบทชุมชนจึงมีความจำเป็น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV Self Sampling โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) ประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคมและทฤษฎีความสามารถของตนเอง ดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ การศึกษาสภาพปัญหา การพัฒนารูปแบบ และการประเมินประสิทธิผล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย สตรีอายุ 30-65 ปี จำนวน 58 คน และอาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 20 คน ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาหลักในการเข้าถึงบริการคัดกรองคือ ระยะทาง (15-25 กิโลเมตร) ค่าใช้จ่าย (80-120 บาท/ครั้ง) และความรู้ในระดับต่ำ (คะแนนเฉลี่ย 7.8 จาก 15) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการจาก 0% เป็น 46.6% (p < 0.001) เพิ่มความรู้ของสตรีจาก 7.8 เป็น 13.2 (p < 0.001) และพัฒนาความรู้ของอาสาสมัครสาธารณสุขจาก 24.6 เป็น 67.1 (p < 0.001) สตรีกลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจต่อรูปแบบในระดับมากที่สุด (คะแนนเฉลี่ย 4.6) การประเมินความยั่งยืนพบว่ารูปแบบมีความยั่งยืนในระดับสูงทุกมิติ (คะแนนเฉลี่ย 4.5/5.0) รูปแบบการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV Self Sampling โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการเข้าถึงบริการคัดกรอง สร้างความรู้และความตระหนัก และมีความยั่งยืนสูง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ชนบทอื่นๆ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288988
การพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของโรงเรียนเบาหวานโดยใช้แนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิตต่อระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
2025-10-05T14:42:18+07:00
วลัยพร รุ่งเรือง
phicychu88@gmail.com
จิรัชญา มัฆนาโส
phicychu88@gmail.com
อรอุมา จันธานี
phicychu88@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโรงเรียนเบาหวานโดยใช้แนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิต และเพื่อประเมินประสิทธิผลต่อระดับน้ำตาลสะสม ความรู้ การจัดการตนเอง และพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มี HbA1c 7-10% จำนวน 154 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 77 คน และกลุ่มควบคุม 77 คน ดำเนินโปรแกรม 16 สัปดาห์ ติดตามผล 12 สัปดาห์ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วย HbA1c แบบสอบถามความรู้ การจัดการตนเอง และพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ด้วย Paired t-test, Independent t-test และ Repeated Measures ANOVA เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย Focus Group Discussion และ In-depth Interview วิเคราะห์ด้วย Content Analysis</p> <p> ผลการวิจัย: กลุ่มทดลองมีระดับ HbA1c ลดลง 1.07% (p<0.001) คะแนนความรู้เพิ่มขึ้น 6.93 คะแนน (p<0.001) คะแนนการจัดการตนเองเพิ่มขึ้น 30.05 คะแนน (p<0.001) และคะแนนพฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้น 63.60 คะแนน (p<0.001) ข้อมูลเชิงคุณภาพพบปัจจัยสำเร็จคือ การเรียนรู้ที่นำไปปฏิบัติได้จริง การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมกลุ่ม การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และวิธีการสอนที่เหมาะสม</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/288987
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานสู่ระยะสงบโดยทีมสหวิชาชีพร่วมกับการดูแลต่อเนื่องสู่ชุมชนเพื่อลดการใช้ยาและควบคุมระดับน้ำตาล โรงพยาบาลสังคม จังหวัดหนองคาย
2025-10-05T14:30:13+07:00
ฉันทพิชญา เวียงอินทร์
phicychu88@gmail.com
รัศมี ทิพชัย
phicychu88@gmail.com
ณัฐธยาน์ วงศ์ประเทศ
phicychu88@gmail.com
ต้นตระการ เมืองเหนือ
phicychu88@gmail.com
ธัชชวาลย์ หมื่นสา
phicychu88@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานสู่ระยะสงบโดยทีมสหวิชาชีพร่วมกับการดูแลต่อเนื่องสู่ชุมชน และศึกษาผลต่อแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พฤติกรรมการดูแลตนเอง การลดการใช้ยา และระดับน้ำตาลสะสมในเลือด การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 พัฒนารูปแบบการดูแลโดยการสนทนากลุ่มกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 47 คน ระยะที่ 2 เป็นการทดลองใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 80 ราย สุ่มเข้ากลุ่มทดลอง 40 ราย และกลุ่มควบคุม 40 ราย กลุ่มทดลองได้รับการดูแลตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นซึ่งบูรณาการแนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิตและเทคนิคการสร้างเสริมแรงจูงใจเป็นเวลา 24 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลแบบปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่น และข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ paired t-test, independent t-test และสถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัย: รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นบูรณาการแนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิต เทคนิคการสร้างเสริมแรงจูงใจ และการดูแลต่อเนื่องโดยทีมสหวิชาชีพและชุมชน หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนแรงจูงใจสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (63.58±7.89 เทียบกับ 52.15±9.95, p<0.001) และมีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่า (88.95±11.35 เทียบกับ 76.27±12.45, p<0.001) กลุ่มทดลองสามารถลดการใช้ยาเบาหวานจาก 1.90±0.71 เป็น 1.35±0.65 ชนิด (p<0.001) ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (1.88±0.72 เป็น 1.85±0.70, p>0.05) ระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1c) ของกลุ่มทดลองลดลงจาก 6.85±0.25% เป็น 6.55±0.26% ที่ 6 เดือน แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/289102
การบริหารอัตรากำลังพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งภาคใต้ตอนล่าง
2025-10-08T16:55:16+07:00
สุวิมล โปติบุตร
phicychu88@gmail.com
ปรัชญานันท์ เที่ยงจรรยา
phicychu88@gmail.com
ศศิธร ลายเมฆ
phicychu88@gmail.com
ปราโมทย์ ทองสุข
phicychu88@gmail.com
<p> การวิจัยนี้เชิงคุณภาพแบบพรรณนานี้ (descriptive qualitative research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ในการบริหารอัตรากำลังพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งภาคใต้ตอนล่าง ผู้ให้ข้อมูลเป็นหัวหน้าหอผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการบริหารอัตรากำลังพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 ของโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งภาตใต้ตอนล่าง สังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวนผู้ให้ข้อมูล 23 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติ เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์แบบเจาะลึก โดยใช้แนวคำถามแบบไม่มีโครงสร้างคำถาม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติบรรยาย และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ประสบการณ์ในการบริหารอัตรากำลังพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งภาคใต้ตอนล่าง มีประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น คือ 1) การปรับเปลี่ยนอัตรากำลังพยาบาลให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ 2) การพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด และ 3) การสนับสนุนดูแลผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารทางการพยาบาลสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดนโยบายการจัดอบรมความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการ และการวางแผนการบริหารอัตรากำลังพยาบาล ให้ผู้บริหารใหม่ที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมีสมรรถนะ และมีความมั่นใจในการบริหารอัตรากำลังพยาบาลในภาวะวิกฤตได้</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025