https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/issue/feed
วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
2024-09-30T17:28:00+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นพ.สุรเชษฐ์ ภูลวรรณ
lampan221@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>Journal of Environmental Education Medical and Health</strong><br /><strong>วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ<br />Print ISSN: 3027-8678<br />Online ISSN: 3027-866X</strong></p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277428
การพัฒนาแผนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (Covid-19) โรงพยาบาลยโสธร
2024-09-16T12:21:29+07:00
รัชดาภรณ์ แสงภักดิ์
adisak871987@hotmail.com
ดวงพร วัฒนเรืองโกวิท
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลยโสธร การวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและวิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนาแผนการดูแลต่อเนื่อง 3) นำแผนไปใช้ดูแลผู้ป่วยที่พักรักษาตัวที่บ้าน และ 4) ศึกษาผลลัพธ์ ดำเนินการศึกษาระหว่าง 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย บุคลากรสาธารณสุข 12 ราย และผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่รักษาตัวที่บ้าน จำนวน 120 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการดูแลต่อเนื่อง และคู่มือแนวทางการประเมินอาการผู้ป่วยทางโทรศัพท์<br /> ผลการศึกษา พบว่า ในระยะที่ 1 บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องขาดแนวปฏิบัติที่ใช้ร่วมกัน ส่งผลให้ไม่สามารถติดตามอาการผู้ป่วยได้ (ร้อยละ 18.31) บุคลากรสาธารณสุขขาดความมั่นใจในการประเมินอาการผู้ป่วยส่งผลให้การให้คำแนะนำไม่ครอบคลุมปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย อีกทั้งพบปัญหาการรับประทานยา การใช้อุปกรณ์ การกำจัดขยะติดเชื้อ และการกักตัวไม่ครบกำหนด จึงนำมาสู่การพัฒนา (ระยะที่ 2) และนำแผนการดูแลต่อเนื่องไปทดลองใช้ (ระยะที่ 3) เมื่อประเมินผลลัพธ์หลังใช้แผนการดูแลต่อเนื่อง (ระยะที่ 4) พบว่า ผู้ป่วยรักษาหาย ร้อยละ 97.50 มีการส่งต่อโรงพยาบาลเพียงร้อยละ 1.67 ผู้ป่วยรับประทานยาถูกต้อง ร้อยละ 96.67 และกักตัวครบกำหนด ร้อยละ 99.16 พบการแพร่กระจายเชื้อในครอบครัวเพียงร้อยละ 1.67 ส่วนบุคลากรมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 เมื่อประเมินความพึงพอใจของบุคลากรและผู้ป่วยพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด (คะแนนเฉลี่ย 4.52 และ 4.63 ตามลำดับ) และมีอัตราการปฏิบัติตามแผนร้อยละ 98</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275424
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง ในพื้นที่อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา
2024-07-13T14:45:47+07:00
วีระพงษ์ ศรีประทาย
weera.med@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่เคยเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลประทาย จังหวัดนครราชสีมาในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2565 จำนวน 102 คน โดยเลือกตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันโดยใช้แบบประเมินดัชนีบาร์เธลเอดีแอล แบบสัมภาษณ์แรงสนับสนุนทางสังคม แบบสัมภาษณ์ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง แบบสัมภาษณ์ความเชื่ออำนาจภายในตน และแบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการเผชิญปัญหาของผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติถดถอยโลจิสติก<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 71.6 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 52.9 โดยระดับการศึกษาสูงสุดส่วนใหญ่ประถมศึกษา ร้อยละ 66.7 ลักษณะการอยู่อาศัย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับครอบครัว ร้อยละ 58.8 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีโรคร่วม ร้อยละ 51.0 โดยมีโรคร่วมมากที่สุดคือ โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 48.1 รองลงมาคือ โรคเบาหวาน ร้อยละ 30.8 และโรคหัวใจ ร้อยละ 13.5 ตามลำดับ การรักษาที่ได้รับในปัจจุบันส่วนใหญ่คือ รับประทานยาอย่างเดียว ร้อยละ 55.9 รองลงมาคือ รับประทานยาร่วมกับทำกายภาพบำบัดเองที่บ้าน ร้อยละ 36.3 การวิเคราะห์หาปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่มีโรคร่วม มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมการเผชิญปัญหาที่ไม่ดีมากกว่าที่ไม่มีโรคร่วม 3.1 เท่า (95% CI; 1.12-8.17) ผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมการเผชิญปัญหาที่ไม่ดีมากกว่าที่แรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับมาก 3.9 เท่า (95% CI; 1.06-14.14) ผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่มีความเชื่ออำนาจภายในตนอยู่ในระดับปานกลาง มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมการเผชิญปัญหาที่ไม่ดีมากกว่าที่มีความเชื่ออำนาจภายในตนอยู่ในระดับมาก 0.4 เท่า (95% CI; 0.14-0.96) โดยปัจจัยอื่นๆไม่มีความสัมพันธ์</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277431
ลักษณะของผู้ป่วย ผลลัพธ์ของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อัตราการเสียชีวิต ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ใน รพ.กาฬสินธุ์
2024-09-16T12:29:23+07:00
ชญานิศ ตระกูลทอง
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกและอัตราการเสียชีวิต ข้อมูลทางคลินิก การรักษา และผลลัพธ์การรักษา วิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวฉับพลันของผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกาฬสินธุ์รวมทั้งปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วเสียชีวิตในโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ปี พ.ศ.2564 เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่มีการบันทึกในเวชระเบียนว่าเป็นโรคหัวใจล้มเหลวที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โดยมาเข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ข้อมูลลักษณะของผู้ป่วย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ การให้การรักษา นำมาคิดวิเคราะห์หาความสัมพันธ์และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตขณะรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลวโดยการวิเคราะห์ตัวแปรเดี่ยว (univariable analysis) และ ควบคุมหลายตัวแปร (multivariable analysis)<br /> ผลการวิจัย ลักษณะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชิวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ระดับอาการเหนื่อย NYHA functional class , ระดับความเหนื่อยของภาวะหัวใจล้มเหลว (Killip classification) ภาวะโรคประจำตัวของผู้ป่วยคือเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 5.89 เท่า และโรคเก๊าท์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 7.21 เท่า ปัจจัยกระตุ้นของภาวะหัวใจล้มเหลวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ ภาวะโลหิตจาง ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ และคนไข้มีการใช้ยาลดการอักเสบแบบไม่ใช่ steroid (NSAIDS) ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่ที่ 9.34 เท่า , 51.89 เท่า และ17.79 เท่า ตามลำดับ ในเคสที่รอดชีวิตมีการใช้ยาที่มีความสำคัญเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตในเคสหัวใจล้มเหลวที่หัวใจบีบตัวน้อยกว่าร้อยละ 40 ในปริมาณน้อย โดยมีการจัดยาขณะจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเป็นยาขับปัสสาวะร้อยละ 86.4 ยาmineralocorticoid antagonist ร้อยละ 37.4 ,ยา ACE inhibitor ร้อยละ 32 ยา betablocker ได้ร้อยละ 47.8 มีการให้คำปรึกษาดูแลโดยอายุรแพทย์หัวใจร้อยละ 21 ซึ่งเป็นปริมาณน้อยมากและยังไม่มีการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยและการติดตามการรักษาที่ชัดเจน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277432
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด : กรณีศึกษา 2 ราย
2024-09-16T12:41:23+07:00
สุจิตรา สมวงษา
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษารายกรณี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการพยาบาลสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จำนวน 2 รายที่มารับบริการที่ห้องคลอดโรงพยาบาลซำสูง จังหวัดขอนแก่น เปรียบเทียบผู้คลอดที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 2 ราย โดยประยุกต์ใช้แนวคิดแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนกอร์ดอน และการวางแผนการพยาบาลตามกรอบแนวคิดของโอเร็ม<br /> ผลการศึกษา พบว่ากรณีศึกษารายที่ 1 หญิงตั้งครรภ์อายุ 32 ปี G2P1-0-0-1 ANC ที่ โรงพยาบาลซำสูงฝากครรภ์ครั้งแรกอายุครรภ์ 10<sup>+3</sup> สัปดาห์ LAB I Hct. 28 % ได้ยา Folic acid ไปรับประทานวันละ 1 เม็ด ติดตามผลเลือด LAB II Hct เพิ่มขึ้นเป็น 35 % มาฝากครรภ์ตามนัด เมื่ออายุครรภ์ 33<sup>+5</sup> สัปดาห์ เจ็บครรภ์คลอด ได้รับการยับยั้งการการหดรัดตัวของมดลูก สามารถยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดได้สำเร็จและตั้งครรภ์ต่อจนอายุครรภ์ถึง 39 สัปดาห์ รายที่ 2 หญิงตั้งครรภ์อายุ 28 ปี G1P0-0-0-0 ANC ที่ คลินิกฝากครรภ์ ครั้งแรกอายุครรภ์ 11 สัปดาห์ ฝากครรภ์ตามนัด เมื่ออายุครรภ์ 33<sup>+3</sup> สัปดาห์เจ็บครรภ์คลอดและมีน้ำเดิน 4 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้สำเร็จ เนื่องจากมีการเปิดขยายของปากมดลูกและมีน้ำเดิน คลอดปกติทาง ช่องคลอด น้ำหนักทารก 2,120 กรัม APGAR Score =9-8-8 ทารกมีภาวะหายใจหอบลึก แพทย์จึงได้ส่งต่อทารกไปรักษาที่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิของจังหวัด</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275881
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ จังหวัดนครราชสีมา
2024-08-19T04:54:41+07:00
นันทพัทธ์ ธีระวัฒนานนท์
nannapat.12@hotmail.com
ศิวะยุทธ สิงห์ปรุ
nannapat.12@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหาการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบและทดลองใช้ในพื้นที่ ระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนารูปแบบ และประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างในการประเมินผลรูปแบบฯ เป็นกลุ่มผู้ป่วยวัณโรค และผู้ดูแลผู้ป่วยวัณโรค แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 68 คน ในพื้นที่ที่ศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม เก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม สังเกต สัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา สถิติอนุมาน (Inferential statistic) ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย โดยใช้สถิติ Paired sample t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ จังหวัดนครราชสีมา มีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) การประชุมวางแผนการดำเนินงานการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนในกลุ่มเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ (2) การทำงานแบบบูรณาการในรูปแบบเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ (3) การพัฒนาความรู้และทักษะของวิทยากรกระบวนการ (4) การคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบ (5) การติดตามประเมินผล โดยทำการทดลองใช้โปรแกรมการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ จังหวัดนครราชสีมา เป็นเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบ ทดลองใช้ในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่เปรียบเทียบในอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยในเรื่องความรู้เรื่องวัณโรคและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคมากกว่า กลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) และกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยในเรื่องของพฤติกรรมการป้องกันการแพร่เชื้อวัณโรคในชุมชนของผู้ป่วยวัณโรคของกลุ่มผู้ป่วยวัณโรคและผู้ดูแลผู้ป่วยวัณโรค มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของผลเสมหะในเดือนที่ 2 พบว่า ผลการตรวจเสมหะหาปริมาณเชื้อวัณโรคในเดือนที่ 2 กลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงของผลเสมหะเป็นลบ คิดเป็นร้อยละ 85.3 ส่วนในกลุ่มเปรียบเทียบยังคงมีผลเสมหะเป็นบวกอยู่ คิดเป็นร้อยละ 41.1 และผลการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบกิจกรรมในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ ในพื้นที่ศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276015
ประสิทธิผลของการพัฒนาศักยภาพทีมนำระดับจังหวัดเพื่อการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุ ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงมาก จังหวัดสุรินทร์
2024-09-09T13:55:31+07:00
อนงค์ มณีศรี
anongemssurin@hotmail.com
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของการพัฒนาศักยภาพทีมนำระดับจังหวัดเพื่อการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงมาก จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 328 คน โดยสุ่มจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์มาโรงเรียน ในพื้นที่อำเภอเมืองสุรินทร์ ปราสาท และสังขะ คัดเลือกผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก ดำเนินกิจกรรมทั้งหมด 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถตนเองต่อการเกิดอุบัติเหตุ ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และการปฏิบัติตัวเพื่อเอาชีวิตรอดภัยบนท้องถนน ก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05<br /> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 58.8 มีอายุระหว่าง 13-18 ปี มีอายุเฉลี่ย 16.02 ปี (S.D. = 1.509 ปี) โดยนักเรียนขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ตอนอายุ 12 ปี ร้อยละ 30.8 ซึ่งอายุน้อยที่สุดคือ 7 ปี อายุมากที่สุดคือ 18 ปี ผู้หัดขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นักเรียนเป็นพ่อแม่ ร้อยละ 54.9 รองลงมาคือฝึกเอง ร้อยละ 21.0 และญาติพี่น้อง ร้อยละ 17.7 ตามลำดับ ผู้ปกครองอนุญาติให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปโรงเรียนเมื่อช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 58.5 ส่วนใหญ่ไม่มีใบขับขี่ ร้อยละ 80.2 ซึ่งนักเรียนเคยประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 51.5 โดยบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ร้อยละ 75.7 หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถตนเองต่อการเกิดอุบัติเหตุ ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และการปฏิบัติตัวเพื่อเอาชีวิตรอดภัยบนท้องถนน มากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p < 0.05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276232
การวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่อส่วนแสดงในสวนสัตว์นครราชสีมา
2024-08-08T17:08:29+07:00
วิชิต กองคำ
kongkham35@gmail.com
วนิดา แผลงปัญญา
Miss_bonus@hotmail.com
<p> การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เข้าชมส่วนแสดงต่างๆ ภายในสวนสัตว์นครราชสีมา เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในการพัฒนาองค์การสวนสัตว์ให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยทำการเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวที่เข้าชมสวนสัตว์นครราชสีมา จำนวน 1,318 กลุ่ม<br /> จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มารูปแบบครอบครัวมากที่สุด (ร้อยละ 71) มีสมาชิกแบบกลุ่มในสัดส่วน 2-3 คน และ มากกว่า 4 คนขึ้นไป โดยคิดเป็นร้อยละ 49 เท่ากัน นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้าชมส่วนแสดงโดยใช้รถจักรยาน (ร้อยละ 43) จากผลการสำรวจระยะเวลาและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าชมส่วนแสดงพบว่ามีเพียง 5 ส่วนแสดงเท่านั้นที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจเต็ม 12 คะแนน ได้แก่ โชว์แมวน้ำ เต่าและสัตว์เลื้อยคลาน บ่อจระเข้ ลิงชิมแพนซี และช้างแอฟริกา ในขณะที่ส่วนแสดงที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจน้อยที่สุดเพียง 4 คะแนน มี 3 ส่วนแสดง ได้แก่ ลิงไทย ซิมิตาร์-ฮอร์นออริกซ์ และวิลเดอร์บีสท์</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276240
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองและครอบครัวต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลและระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางใหญ่ ตำบลสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
2024-09-09T14:03:43+07:00
ราเชนทร์ ประสพศิลป์
yangyai_nrsm@hotmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองและครอบครัวต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลและระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 60 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เก็บข้อมูลระหว่าง ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า 1) การรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการทดลอง พบว่าหลังการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ย การรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) พฤติกรรมการจัดการตนเองและครอบครัว หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองและครอบครัว มากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการทดลอง พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการจัดการตนเองและครอบครัว แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ระดับน้ำตาลเกาะสะสมเม็ดเลือดแดง (HbA1C) ภายหลังการได้รับโปรแกรมฯ ในกลุ่มทดลองต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยภายหลังการได้รับโปรแกรมฯ ในกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลเกาะสะสมเม็ดเลือดแดง (HbA1C) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277434
ผลของโปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อมต่อสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงสมองเสื่อม
2024-09-20T12:39:57+07:00
จักรกรินทร์ รัชวิจักขณ์
jaruk_kum@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุ ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุในอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และอำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ดำเนินการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 46 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 23 คน กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อม เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองได้แก่ โปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบทดสอบสมรรถภาพของสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ไคสแคว์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ dependent t-test และ independent t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ค่าคะแนนเฉลี่ยสมรรถภาพสมองของกลุ่มทดลอง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) หลังการทดลองคะแนนเฉลี่ยสมรรถภาพสมองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276460
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
2024-09-09T14:16:07+07:00
ทศวรรษ เกิดติ๋ง
s64561802018@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธาดา
s64561802018@ssru.ac.th
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน และ 4) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 59 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษากลุ่มบริหารงานวิชาการหรือหัวหน้าฝ่ายวิชาการ และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 354 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.993 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2) ระดับการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง เท่ากับ .834 และ 4) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม และด้านวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ร่วมกันพยากรณ์ความแปรปรวนของการปฏิบัติงานของครูสายงานการสอน ได้ร้อยละ 71.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276461
การบริหารความเสี่ยงด้านการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
2024-09-09T15:20:22+07:00
ปาริชาติ ธรรมสุวรรณ
s64561802029@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธาดา
s64561802029@ssru.ac.th
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารความเสี่ยงด้านการบริหารงานงบประมาณ และนำเสนอแนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา และ ครูผู้สอน โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 80 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารความเสี่ยงด้านการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 อยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 มี 6 ด้าน ประกอบด้วย ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยงด้าน ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือขององค์กร ตามลำดับ</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277437
การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลพระยืน จังหวัดขอนแก่น
2024-09-18T20:53:25+07:00
ณัชชา กิ่งคำ
limmanee_99@hotmail.com
พรภิวรรณ เพียสังกะ
limmanee_99@hotmail.com
จาติกา รัตนดาดาษ
limmanee_99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลพระยืน จังหวัดขอนแก่น กลุ่มอย่างได้แก่ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและผู้ดูแลจำนวน 30 คน ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระยืน ในระหว่างเดือนมีนาคม ถึง สิงหาคม พ.ศ.2567 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการทดสอบความรู้ของผู้ป่วยและผู้ดูแล เกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ก่อนจำหน่ายได้ทดสอบความรู้ และสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วยและผู้ดูแลหลังจำหน่าย การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ แจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสถิติค่าที่แบบจับคู่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการประชุม สนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์และการสังเกต ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา แล้วนำเสนอข้อมูลแบบบรรยาย<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1)การให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังสามารถช่วยเพิ่มระดับความรู้ของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ คะแนนเฉลี่ยหลังการให้ความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05) ซึ่งแสดงถึงประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้ ในการเสริมสร้างความรู้ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรดปอดอุดกั้นเรื้อรัง 2) ความพึงพอใจของผู้ป่วยและผู้ดูแล พึงพอใจระดับ “มากที่สุด” ร้อยละ 83.33 3)อัตราการกลับมารักษาช้ำภายใน 28 วัน เท่ากับ ร้อยละ 6.67 และ4) ผู้เข้าร่วมการวิจัยมีความความพึงพอใจต่อรูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ร้อยละ 68.75</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277438
การพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
2024-09-19T15:02:37+07:00
พลอยนภัส พงษ์สุวรรณ์
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ Action Research เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้และมีปัญหาซับซ้อนที่สมัครใจเข้าร่วมการศึกษาจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ข้อมูลมือสอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลประวัติการรักษา การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เครื่องมือในการวัดผลลัพธ์ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน แบบประเมินความพึงพอใจ ต่อรูปแบบการจัดการรายกรณี การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาหาค่าความถี่ สถิติร้อยละของข้อมูลทั่วไป และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ<br /> ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีพบว่า ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการมีค่าคะแนนเฉลี่ยของการมีพฤติกรรมที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น ร้อยละ100 มีค่า HbA1C ลดลงจากก่อนเริ่มกิจกรรม ร้อยละ 100 โดยวงรอบที่1 มีค่าเฉลี่ยการลดลงของ HbA1C 4.77% วงรอบที่ 2 ลดลงจากวงรอบที่ 1 เฉลี่ย 2.42%</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277439
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลในชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
2024-09-16T12:50:19+07:00
ณิชาพร นุสนทรา
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแลในชุมชน แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา ระยะที่ 2 ระยะพัฒนารูปแบบ และระยะที่ 3 ประเมินผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver: CG) ของศูนย์สุขภาพชุมชนของโรงพยาบาลโพนพิสัย 19 คน และญาติผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม การสอบถามความรู้ และประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ศูนย์สุขภาพชุมชนโรงพยาบาลโพนพิสัยยังไม่มีรูปแบบในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ชัดเจน CG ขาดความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วย ขาดความรู้ในการใช้แบบคัดกรองและการบันทึกแบบรายงานต่างๆ ทำให้ขาดความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยในชุมชน รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย (1) Care plan (2) การบันทึกสุขภาพ (3) กิจกรรมการเยี่ยมครั้งละ 2 ชม เดือนละ 4 ครั้ง การดูแลจนกว่าผู้สูงอายุจะเสียชีวิต (4) การประสานงานหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และ (5) การนัดประชุม CG เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อส่งรายงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นภายหลังการนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ พบว่า CG มีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001) ญาติมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001) และผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีคะแนน ADL เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.7 ไม่พบภาวะแทรกซ้อนและการติดเชื้อใดๆ รวมทั้ง CG และญาติมีความพึงพอใจต่อรูปแบบที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับดี</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277440
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
2024-09-16T13:17:46+07:00
ศรีแพร เอ้งฉ้วน
sirisakpom64@gmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ต โดยได้ดำเนินการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง ดำเนินการระหว่างเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม 2567 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิในอำเภอเมืองภูเก็ต จำนวน 351 คน ข้อมูลถูกรวบรวมโดยใช้แบบสอบถามที่ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ปัจจัยการสนับสนุนจากสังคม และพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด<br /> ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ในระดับดี แต่ยังมีความรู้บางอย่างไม่ถูกต้อง ปัจจัยการสนับสนุนจากบุคคลรอบข้างมีผลบวกต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีการสนับสนุนในระดับดีจากครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะในด้านการให้ข้อมูลและการช่วยดูแล นอกจากนี้ พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดส่วนใหญ่อยู่ในระดับพอใช้ถึงดี แต่ยังมีบางส่วนที่ควรปรับปรุง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/276962
การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ต่อความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง ของกลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทพลาสติกแห่งหนึ่ง
2024-09-09T15:25:07+07:00
วรพล สงชุม
woraposong111@gmail.com
เสรีย์ ตู้ประกาย
woraposong111@gmail.com
ปิยะรัตน์ ปรีย์มาโนช
woraposong111@gmail.com
นันท์นภัสร อินยิ้ม
woraposong111@gmail.com
โกวิท สุวรรณหงษ์
woraposong111@gmail.com
วัฒนา จันทะโคตร
woraposong111@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเสี่ยงทางการยศาสตร์จากท่าทางการทำงานที่จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างของกลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทพลาสติกแห่งหนึ่ง จากกลุ่มตัวอย่าง 55 คน ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามด้านอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง และการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์โดยใช้เครื่องมือ ประเมินรยางค์ส่วนบนคือ RULA (Rapid Upper Limb Assessment) และรยางค์ส่วนล่างคือ REBA (Rapid Entire Body Assessment) ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของท่าทางการทำงาน<br /> ผลการศึกษาพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ ร้อยละ 100 เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 35.13 ปี ระดับการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ร้อยละ 63.64 และจากการประเมินความเสี่ยงของท่าทางการทำงาน ของพนักงานในแต่ละลักษณะงานของแต่ละแผนก ผลความเสี่ยงทางการยศาสตร์ด้วยแบบประเมิน RULA พบว่า พนักงานในแผนกทำลูกลอย มี คะแนน Final score เท่ากับ 3 อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ระดับ 2 คือ ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมและติดตามวัดผลอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 30.77 และจากการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ด้วยแบบประเมิน REBA พบว่า พนักงานในแผนกฉีดขึ้นรูป มีคะแนน final score เท่ากับ 12 อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ 5 คือความเสี่ยงสูงมาก ควรรีบปรับปรุงทันที คิดเป็นร้อยละ 36.67 และพนักงานในแผนกบรรจุชิ้นงานส่วนใหญ่ มีคะแนน final score เท่ากับ 10 อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ 4 คือความเสี่ยงสูง ควรวิเคราะห์เพิ่มเติมและควรรีบปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 66.67</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277442
การพัฒนารูปแบบการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มารับบริการที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง
2024-09-16T13:32:25+07:00
ฉันทนา อ่อนสมจิตร์
wuttisakboon@hotmail.com
สุภาวดี คงโพธิ์น้อย
wuttisakboon@hotmail.com
สุภาพรรณ อยู่ประเสริฐ
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทเกี่ยวกับทัศนคติในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของหญิงวัยเจริญพันธุ์ ในเขตบางเขน กรุงเทพฯ เพื่อพัฒนารูปแบบการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มารับบริการที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง และประเมินรูปแบบการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มารับบริการที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง ระยะที่ 1 ศึกษาบริบทเกี่ยวกับทัศนคติในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก กลุ่มตัวอย่างที่มารับบริการจำนวน 110 คน ด้วยแบบสอบถามทัศนคติของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 ใช้รูปแบบการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในหญิงวัยเจริญพันธุ์จำนวน 110 คน ที่มารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของคลินิกพัฒนารูปแบบและนวัตกรรมบริการสุขภาพสตรี สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง ระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม 2567-7 กรกฎาคม 2567 ระยะที่ 4 ประเมินผลการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก<br /> ผลการศึกษา พบว่า หญิงวัยเจริญพันธุ์ขาดความรู้เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกและอาย หลังการพัฒนาพบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องโรคมะเร็งปากมดลูกด้านทักษะการเข้าถึง หลังการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากที่สุด (M = -5.66, SD = 6.04) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากมีการให้ข้อมูลการเข้าถึงโรคมะเร็งที่ถูกต้อง ความพึงพอใจต่อการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้านกระบวนการ/ขั้นตอนการให้บริการหลังการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากที่สุด (M = -5.22, SD = 4.73) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277445
การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ จังหวัดสระแก้ว
2024-09-20T13:05:01+07:00
กัลยารัตน์ จตุพรเจริญชัย
jaruk_kum@hotmail.com
ทวีชัย สายทอง
jaruk_kum@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพ (2) เพื่อพัฒนากระบวนการจัดทำนโยบาย และแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ (3) เพื่อพัฒนากระบวนการนำแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพสู่การปฏิบัติ และกระบวนการควบคุม กำกับ ติดตามผลการดำเนินงาน (4) เพื่อพัฒนากระบวนการประเมินผลการบริหารแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ โดยใช้ CIPP Model ใช้แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก, แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และแบบสอบถามกระบวนการบริหารแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นทีมผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว จำนวน 134 คน สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา (1) ผลการศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดสระแก้ว เป็นผลสืบเนื่องจาก กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ระยะ 20 ปี (ด้านสุขภาพ) การปรับรูปแบบระบบบริหารภายใต้นโยบายกระทรวงสาธารณสุข และตัวชี้วัดผ่านเกณฑ์เป้าหมาย ร้อยละ 60.00 ด้วยสาเหตุจากกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพในหลายขั้นตอนที่ยังไม่สมบูรณ์ (2) ผลการพัฒนากระบวนการจัดการนโยบายแผนยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดสระแก้ว ด้วยการบูรณาการยุทธศาสตร์ทุกระดับ การจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์สุขภาพโดยการวิเคราะห์ SWOT Analysis ภายใต้กรอบ Six building blocks การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาและถ่ายทอดนโยบายแผนยุทธศาสตร์สุขภาพแบบมีส่วนร่วม จัดเวทีให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเสนอแผนยุทธศาสตร์สุขภาพ และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์สุขภาพ (3) ผลการพัฒนากระบวนการนำแผนยุทธศาสตร์สุขภาพสู่การปฏิบัติ จังหวัดสระแก้ว ด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติจัดทำแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ มาตรการ กิจกรรมหลัก โดยใช้แนวทาง PDCA การพัฒนาช่องทางการสื่อสาร เพื่อควบคุมกำกับประเมินผลยุทธศาสตร์ (4) การประเมินผลการพัฒนากระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดสระแก้ว ด้วยการนิเทศงานสาธารณสุขผสมผสาน การประเมินผลโครงการ การดำเนินงานด้านสุขภาพ การกำหนดผู้จัดการยุทธศาสตร์ การพัฒนาโปรแกรมรายงานข้อมูลตามตัวชี้วัด HDC Web KPI เพื่อควบคุม กำกับ ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์ และงบประมาณแบบ Real time (5) ความคิดเห็นต่อการพัฒนากระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพ พบว่า ระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 81.33</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277446
การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบอุดตันเฉียบพลันที่ได้รับยา rt-PA ในโรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด : กรณีศึกษา
2024-09-20T13:16:27+07:00
สุปราณี โสดถานา
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการจัดการ การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบอุดตันเฉียบพลันที่ได้รับยา rt-PA ที่มารับบริการในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลพนมไพร แบบกรณีศึกษา 2 ราย ตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล การประเมินผู้ป่วย การคัดกรองผู้ป่วย การวินิจฉัย การรักษาและการส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบอุดตันที่ได้รับยา rt-PA ของโรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วย 2 รายนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและได้มาตรฐาน ตั้งแต่เริ่มมีอาการเตือน ญาตินำส่งโรงพยาบาลทันที ถึงโรงพยาบาลผู้ป่วยได้เข้าในระบบ Stroke Fast Track ซึ่งทีมพยาบาลห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินมีบทบาทสำคัญมากในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่การประเมินแรกรับ การคัดกรองเบื้องต้น อาการสำคัญ Onset time ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต โรคประจำตัว ผลการตรวจร่างกาย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การส่ง CT อาการและอาการแสดงทางรคลินิกที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ การรายงานแพทย์ทันทีเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันเวลา ตาม Stroke Fast Track Protocol และได้รับยา rt-PA ภายในระยะเวลา 4.5 ชั่วโมง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277449
การเฝ้าระวังการปนเปื้อนไวรัสโนโรในน้ำอุปโภคบริโภคที่ใช้ในโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
2024-09-20T13:38:13+07:00
อิริยะพร กองทัพ
wuttisakboon@hotmail.com
อาภากร นบนอบ
wuttisakboon@hotmail.com
วัชรี ทองขาว
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฝ้าระวังการปนเปื้อนไวรัสโนโรในน้ำอุปโภคบริโภคที่ใช้ในโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต ในปีงบประมาณ 2566 โดยเก็บตัวอย่างน้ำอุปโภคบริโภคจากโรงแรม จำนวน 15 แห่ง โรงแรมละ 4 ตัวอย่าง รวม 60 ตัวอย่าง ในเดือนมิถุนายน 2566 และนำตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์โดยวิธี Realtime RT-PCR ซึ่งอ้างอิงตามวิธีมาตรฐาน ISO 15216-2:2019<br /> ผลการตรวจวิเคราะห์ ไม่พบไวรัสโนโร ทั้ง 60 ตัวอย่าง โดยสรุปจากข้อมูลผลการตรวจวิเคราะห์เพื่อเฝ้าระวังไวรัสโนโร สามารถบ่งบอกได้ว่าสุขลักษณะของกระบวนการผลิต เก็บรักษา และให้บริการน้ำอุปโภคบริโภคในโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการที่มีอยู่เพียงพอในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสโนโร</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277452
ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยเด็กระยะวิกฤต โรงพยาบาลขอนแก่น
2024-09-16T13:41:14+07:00
รุ้งลาวรรณ ศุภิรัตนกุล
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบศึกษากลุ่มเดียววัดก่อน-หลังการทดลอง (The One-Group Pretest-Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยเด็กระยะวิกฤต โรงพยาบาลขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง คือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเด็กระยะวิกฤต (PICU) โรงพยาบาลขอนแก่น ทั้งหมด จำนวน 17 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบบันทึก แบบประเมิน และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แจกแจงในรูปของความถี่ ร้อยละ และสถิติที (t-test)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการเปรียบเทียบการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผน ของพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ในหอผู้ป่วยเด็กระยะวิกฤต โรงพยาบาลขอนแก่น ด้านการให้ข้อมูลพบว่า หลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทอลอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.000) 2. การประเมินความเสี่ยงการเกิดท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผน แบบประเมิน MAAS เป็นเครื่องมือที่นำเข้ามาใช้ใหม่ พบว่า หลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทอลอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.000) 3. การประเมินและการจัดการความปวด เปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ย พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน 4. การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผน พบว่า หลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.000) 5. การสื่อสารในทีมอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า หลังและก่อนการทดลอง ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value >.05 (0.86) ความพึงพอใจในการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุด โดยไม่ได้วางแผน อยู่ในระดับมากขึ้นไป จำนวน 17 คน (ร้อยละ 100)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277453
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม จังหวัดสกลนคร
2024-09-20T13:53:03+07:00
สุภาณี กิตติสารพงษ์
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและผลของการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนครในช่วงเดือน เมษายน - กันยายน พ.ศ. 2566 ได้รับการคัดเลือกแบบการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จำนวน 364 คน มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุและแบบประเมินภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม (Thai-FRAT) การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลทั่วไปใช้ค่าจำนวน ร้อยละ, พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุวิเคราะห์และภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม (Thai-FRAT) วิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน เปรียบเทียบก่อน-หลังร่วมกิจกรรม โดยใช้สถิติ Pair sample t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นทุกด้าน ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อสุขภาพตนเองมีค่าเฉลี่ย 3.21(SD=.206) การออกกำลังกายมีค่าเฉลี่ย 3.28 (SD=.295),โภชนาการมีค่าเฉลี่ย 3.16 (SD=2.31) อยู่ในระดับปานกลาง และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม ก่อนร่วมกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับเสี่ยงสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.57, SD=.548) หลังร่วมกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =3.25, SD= 1.071) เปรียบเทียบก่อน-หลัง เข้าร่วมกิจกรรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277456
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว
2024-09-16T13:52:39+07:00
นพพล ศรีทองใบ
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การออกกำลังกาย โภชนาการ การพัฒนาจิตวิญญาณ การจัดการกับความเครียด และพฤติกรรมการจัดการตนเอง และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 1-3 จำนวน 155 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามปัจจัยการส่งเสริมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การออกกำลังกาย โภชนาการ การพัฒนาจิตวิญญาณ และการจัดการกับความเครียดของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ของตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว โดยรวมมีค่าเฉลี่ยระดับการปฏิบัติบางครั้ง (1-2 ครั้งต่อสัปดาห์) (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 2.84) 2) พฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว สระแก้ว โดยรวมมีค่าเฉลี่ยระดับการปฏิบัติบางครั้ง (มีการปฏิบัติปานกลาง หรือ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์) (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.04) 3) ด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการออกกำลังกาย ด้านโภชนาการ ด้านการพัฒนาจิตวิญญาณ และด้านการจัดการกับความเครียด กับพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง (<em>r</em> = .61) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277458
เสียงจากชุมชน: การศึกษาเชิงคุณภาพเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ในการจัดการโรคไตเรื้อรังในจังหวัดอุบลราชธานี
2024-09-16T14:01:13+07:00
บรรเทิง พลสวัสดิ์
boonserm_wan@hotmail.com
ฐิติมา โกศัลวิตร
boonserm_wan@hotmail.com
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
boonserm_wan@hotmail.com
เมธาพร อัครศักดิ์ศรี
boonserm_wan@hotmail.com
พัชรี ใจการุณ
boonserm_wan@hotmail.com
อรนิตย์ จันทะเสน
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และบริบทการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 2) วิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค และความต้องการในการดูแลผู้ป่วย 3) ศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของเครือข่ายชุมชนในการดูแลและชะลอไตเสื่อม เก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ จำนวน 4 คนได้แก่ แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเครือข่ายชุมชน ได้แก่ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ญาติผู้ดูแลหลัก ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน 13 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม โดยแนวทางการสนทนากลุ่มผ่านการตรวจความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไตเรื้อรัง 2) ระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 3) การสื่อสารและประสานงานในการดูแลผู้ป่วย 4) การเข้าถึงบริการสุขภาพ และ 5) ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277460
การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ที่มีภาวะซึมเศร้า :เปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย
2024-09-13T22:26:19+07:00
มัตตัญญุตา โสภา
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษารายกรณีนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดและมีภาวะซึมเศร้า กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย กรณีศึกษารายที่ 1 เป็นเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคร่วมโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ โรคซึมเศร้า กรณีศึกษารายที่ 2 เป็นเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและมีโรคร่วมโรคซึมเศร้า โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจงผู้ป่วยที่มารับบริการที่งานการพยาบาลผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลโนนศิลา โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน ข้อมูลจากการพูดคุยซักถามจากผู้ป่วยและญาติ วิเคราะห์เปรียบเทียบโดยใช้กรอบแนวคิดแบบแผน สุขภาพของกอร์ดอน ในการประเมินค้นหาปัญหา และใช้กระบวนการทางการพยาบาลในการตั้งข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผนและปฏิบัติการพยาบาล<br /> ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า ซึ่งพบในผู้ป่วยเบาหวานทั้ง 2 รายนี้ ทำให้การดูแลตัวเองแย่ลง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ จำเป็นต้องให้การวินิจฉัยและให้การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อนตามมา เช่น โรคหัวใจ ไตเสื่อม โรคสมองเสื่อม</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277461
การพยาบาลผู้สูงอายุโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดเตียง โดยการใช้แนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลในครอบครัว :กรณีศึกษา 2 ราย
2024-09-16T21:10:58+07:00
มานีจันทร์ สารสี
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการจัดการสุขภาพในผู้สูงอายุโรคไม่ติดต่อเรื้อที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดเตียงที่มีภาวะพึ่งพิง เป็นการเปรียบเทียบการจัดการสุขภาพในผู้สูงอายุโรคไม่ติดต่อเรื้อที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดเตียงที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 2 ราย ที่เข้ารับบริการที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองไผ่ เครือข่ายโรงพยาบาลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ดำเนินการศึกษา ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ถึง วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบเก็บรวบรวมข้อมูล เวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ การสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน พยาธิสภาพของโรค การรักษา การวางแผนการดูแลสุขภาพครอบครัวโดยใช้แนวคิดแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลในครอบครัว และปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล<br /> ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 ราย มีปัญหาที่เหมือนกัน คือ มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรัง ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันลดลง มีภาวะข้อยึดติดมีภาวะพร่องโภชนาการและผู้ดูแลขาดความตระหนักในการดูแลผู้ป่วยให้เหมาะสมกับโรค ผู้ป่วยรายที่ 1 ไม่มีรับรู้ต่อสภาวะสุขภาพของตัวเองญาติรับรู้สภาวะสุขภาพของผู้ป่วย แต่ขาดความตระหนักและทักษะกระตุ้นในการดูแลฟื้นฟูสุขภาพ ไม่มีความพร้อมด้านผู้ดูแล ทำให้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมีแนวโน้มแย่ลง ผู้ป่วยรายที่ 2 ผู้ป่วยและญาติรับรู้ต่อภาวะสุขภาพของตัวเอง แต่ไม่กล้าขยับตัวกลัวเจ็บตอนที่แผลยังไม่หายและขาดความตระหนักในการดูแลฟื้นฟูกายภาพ ผู้ดูแลพร้อมแต่ขาดทักษะและความมั่นใจ ทำให้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมีแนวโน้มดีขึ้นคะแนน ADL เพิ่มขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277657
ผลของการวางแผนจำหน่ายต่อการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน งานการพยาบาลผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสวี
2024-09-23T13:25:01+07:00
ทรรศนีย์ บัวทอง
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการวางแผนจำหน่ายต่อการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่เข้ารับ การรักษาในหอผู้ป่วยในชาย และหญิง โรงพยาบาลสวี จังหวัดชุมพร ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และสมัครใจเข้าร่วมวิจัย จำนวน 60 คน ดำเนินการวิจัยช่วง กุมภาพันธ์ 2567 – พฤษภาคม 2567 โดยเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด (Purposive sampling) กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุมและ กลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน กลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมแผนการจำหน่าย จำนวน 3 ครั้ง ได้รับการประเมิน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง ระดับน้ำตาลในเลือด ในวันแรกรับ หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในกลุ่ม เปรียบเทียบคะแนนการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง ระดับน้ำตาลในเลือดในระยะก่อนการทดลองหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการวิเคราะห์สถิติ two – way analysis of variance : repeated measure ANOVA และ independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มที่ได้รับการวางแผนจำหน่ายมีค่าเฉลี่ยคะแนน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองของวันแรก วันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกันไม่มีความแตกต่าง ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน หลังจากทดลองแล้วพบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองในวันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากวันแรกรับ และผลระดับน้ำตาล ในเลือด จากการทดลองพบว่า วันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ ลดลงจากวันแรกรับ ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม จากการศึกษาพบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองไม่มีความแตกต่างกันและพฤติกรรมการดูแลตนเองไม่มีความแตกต่างกัน และหลังจากทดลองค่าเฉลี่ยคะแนนระดับน้ำตาลในเลือดในกลุ่มทดลองต่ำกว่า กลุ่มควบคุม</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277658
ประสิทธิผลของการใช้แบบประเมินความเสี่ยงและแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรกของผู้คลอดที่คลอดทางช่องคลอด
2024-09-23T13:33:20+07:00
รุ่งตะวัน อัยวรรณ
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) นี้เพื่อเปรียบเทียบอัตราการตกเลือด อัตราความรุนแรงของการตกเลือดหลังคลอด และความพึงพอใจของพยาบาลต่อการใช้แบบประเมินความเสี่ยงและแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรกของผู้คลอดที่คลอดทางช่องคลอด โรงพยาบาลพระอาจารย์วัน อุตตฺโม จังหวัดสกลนคร เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2567 – พฤษภาคม 2567 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ข้อมูลในเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ที่บันทึกภาวะสุขภาพ (การสูญเสียเลือดจากการคลอดทางช่องคลอด) และรายงานการคลอดของมารดาที่คลอดทางช่องคลอด ที่บันทึกในโปรแกรม HOSxP แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติฯ จำนวน 15 คน กลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติฯ จำนวน 15 คน และพยาบาลที่ปฏิบัติงานในห้องคลอดอย่างน้อย 12 เดือน จำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัย คือ แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการป้องกันการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก แบบประเมินความเสี่ยง และแบบสอบถามความพึงพอใจสำหรับพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา และปรียบเทียบอุบัติการณ์ตกเลือดก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิก ข้อมูลที่ได้นำมาทดสอบวิเคราะห์ด้วยสถิติทดสอบฟิชเชอร์ (Fisher’s exact probability test)<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มผู้คลอดทางช่องคลอดที่ได้รับการดูแลโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยงและแนวปฏิบัติทางการพยาบาล มีอัตราการตกเลือดหลังคลอดในระยะแรกแตกต่างกับกลุ่มผู้คลอดทางช่องคลอดที่ได้รับการดูแลตามปกติ (p = .000) กลุ่มผู้คลอดทางช่องคลอดที่ได้รับการดูแลโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยงและแนวปฏิบัติทางการพยาบาล มีอัตราความรุนแรงของการตกเลือดหลังคลอดในระยะแรกน้อยกว่ากลุ่มผู้คลอดทางช่องคลอดที่ได้รับการดูแลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .000) พยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบประเมินความเสี่ยงและแนวปฏิบัติทางการพยาบาล ในระดับมาก 5 คน (ร้อยละ 100) โดยพยาบาลร้อยละ 100 มีความคิดเห็นว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวสามารถป้องกันการเกิดการตกเลือดหลังคลอดระยะแรกในห้องคลอดรวมทั้งสามารถปฏิบัติตามได้ทุกข้อ และสามารถใช้แนวปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277465
การพัฒนาแนวทางการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ในคลินิกหมอครอบครัวท่าวังหิน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี
2024-09-20T14:19:20+07:00
เรืองศิริ เจริญพงษ์
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจจากแบบสอบถามและการทำ Focus group มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์สถานการณ์แนวทางการป้องกันโรคโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้และพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของคลินิกหมอครอบครัวท่าวังหิน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี โดย ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดย content analysis ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง ร้อยละ 60.00 การรับรู้ของบุคคลเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน แรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง อยู่ในระดับสูง 2 ด้าน คือ แรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 80.13 และแรงสนับสนุนทางสังคมจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.67 พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 60.00 และแนวทางการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ของคลินิกหมอครอบครัวท่าวังหิน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ประกอบด้วย คู่มือการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ การสอนการใช้คู่มือ การจัดให้มีระบบการติดตามประเมินภาวะเสี่ยง การพัฒนาความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถจัดการเฝ้าระวังและป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในชุมชน และการสะท้อนผลการพัฒนาแนวทางและผลการปฏิบัติตามแนวทาง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277157
การประเมินมาตรฐานห้องส้วมสาธารณะ และการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียของห้องส้วมสาธารณะภายในช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่
2024-09-16T15:03:39+07:00
บัญชา ขำศิริ
bancha_kumsiri@hotmail.com
ปิยะพันธ์ เชื้อเมืองพาน
bancha_kumsiri@hotmail.com
กรรณิการ์ รัตนพันธ์
bancha_kumsiri@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินมาตรฐานห้องส้วมสาธารณะ ภายในช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 19 จุดตรวจสอบ 210 ห้อง โดยใช้แบบประเมินมาตรฐานห้องส้วมสาธารณะระดับประเทศ (HAS) และทดสอบการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย ด้วยชุดทดสอบโคลิฟอร์มแบคทีเรียเบื้องต้น (SI-2) 190 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลเบื้องต้นของห้องส้วมสาธารณะภายในท่าอากาศยานเชียงใหม่ 2) ข้อมูลลักษณะทางกายภาพของห้องส้วมสาธารณะ และ 3) ข้อมูลการปนเปื้อนทางชีวภาพของห้องส้วมสาธารณะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอในรูปแบบ ความถี่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และสถิติ T-test (Independent t - test)<br /> ผลการศึกษาพบว่า ห้องส้วมสาธารณะภายในช่องทางเข้าออกฯ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยรวมผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (HAS) คิดเป็นร้อยละ 52.63 และ 47.37 ตามลำดับ ส่วนที่ผ่านเกณฑ์ และไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านความสะอาด (Healthy: H) คิดเป็นร้อยละ 68.42 และ 31.58, ด้านความเพียงพอ (Accessibility: A) คิดเป็นร้อยละ 57.89 และ 42.11 และเกณฑ์ด้านความปลอดภัย (Safety: S) คิดเป็นร้อยละ 84.21 และ 15.79 ตามลำดับ จากการประเมินหลังจากการแนะนำแนวทางการปรับปรุงให้กับผู้เกี่ยวข้อง พบว่าส้วมสาธารณะภายในท่าอากาศยานเชียงใหม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ผลการทดสอบการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียในห้องส้วมชาย และห้องส้วมหญิง พบว่าห้องส้วมชายมีการปนเปื้อนมากกว่าห้องส้วมหญิง (ร้อยละ 25.26 และ 6.32) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝารองนั่ง ชักโครก และสายฉีดชำระ พบการปนเปื้อนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 34.21 และ 21.05 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียของห้องส้วมชาย และห้องส้วมหญิงภายใน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ พบว่าห้องส้วมหญิงมีค่าเฉลี่ยของจุดที่ไม่พบการปนเปื้อนมากที่สุดที่ 17.80±2.17 จุด (ร้อยละ 93.68) ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em><0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของจุดที่ไม่พบการปนเปื้อนในห้องส้วมชาย ที่ 14.20±2.59 จุด (ร้อยละ 74.74)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277133
การพัฒนารูปแบบการดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่ถูกงูกะปะกัด ในพื้นที่คาบสมุทรอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
2024-09-20T09:58:58+07:00
เสาวนิต อยู่ดี
vee7117@gmail.com
<p> การศึกษานี้ เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการดูแลผู้ป่วยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่ถูกงูกะปะกัด คาบสมุทรอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเจาะจง 1) กลุ่มผู้ป่วยที่ถูกงูกะปะกัด 30 คน 2) กลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 12 คน 3) ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบประเมินภาวะสุขภาพตามแบบแผนของกอร์ดอน 11 ด้าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า ผลการประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ นำไปสู่การพัฒนารูปแบบ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 1) เฝ้าระวังภาวะเลือดออกผิดปกติบริเวณรอยแผลและช่องเปิดของร่างกาย มีแนวทางรักษากรณีเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ 2) ตรวจเลือดสม่ำเสมอ 3) เฝ้าระวังและประเมินภาวะเลือดออกภายใน 4) ติดตามผลการรักษาต่อเนื่อง 6 เดือน ผลการใช้รูปแบบพบว่า ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด ได้แก่ ด้านคุณภาพบริการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />±SD.;4.53±0.62) ด้านการให้ข้อมูล (4.43±0.56) ด้านเจ้าหนี่หรือบุคลากรให้บริการ (4.30±0.70) และด้านกระบวนการขั้นตอนรับบริการ (4.17±0.59) ด้านประสิทธิผลของรูปแบบ ลดภาวะแทรกซ้อนหลังการพัฒนาดีกว่าก่อนพัฒนารูปแบบ ร้อยละ 66.67 </p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277375
รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ที่เชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพ ด้วย 3 หมอ ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันระยะเฉียบพลัน จังหวัดสงขลา
2024-09-21T15:01:34+07:00
มนมัย แคล้วคลอด
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ศึกษารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ที่เชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพด้วย 3 หมอในการเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันระยะเฉียบพลัน และแผนการพัฒนาการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันระยะเฉียบพลัน กลุ่มตัวอย่างมี 3 ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ จำนวน 6 คนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันระยะเฉียบพลัน จำนวน 3 คน ทีม 3 หมอ จำนวน 7 คน ใช้ข้อมูลจากการประเมินตนเองการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอด้วย UCCARE และข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-dept interview) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้ สถิติเชิงพรรณนา ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) จัดกลุ่มตามประเด็น<br /> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) มีการดำเนินการครบถ้วนตามองค์ประกอบ UCCARE คะแนนผลการการประเมินตนเอง เฉลี่ยเท่ากับ 3 มีการเชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพด้วย 3 หมอ ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดกั้นเรื้อรัง ได้แก่ การสะท้อนข้อมูลสุขภาพจากการดำเนินงานของ 3 หมอ ทำให้มีนโยบายการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ของเครือข่ายอำเภอชัดเจน การคัดเลือกประเด็นแก้ปัญหา เรื่องอาหารปลอดภัยซึ่งสนับสนุนการลดโรคจากการบริโภคอาหาร การสนับสนุนงบประมาณในการดูแลสุขภาพด้วย 3 หมอ ในโครงการ รู้ทัน โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ตีบ/อุดตัน ในระยะเฉียบพลัน เข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา และป้องกันไม่ให้เกิดเป็นซ้ำได้</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277659
ความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพกับคุณภาพผู้สูงอายุของตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
2024-09-23T13:42:28+07:00
กฤษณี เรียนทับ
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพตนเอง เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุ 305 คน เป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเป็นผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพของตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์รายข้อ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสูงสุด ต่ำสุด และวิเคราะห์รายข้อทุกข้อ การสนับสนุนทางสังคม หาค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย เฉลี่ยร้อยละ และเบี่ยงเบนมาตรฐาน คุณภาพชีวิต หาค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย เฉลี่ยร้อยละ และเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์การสนับสนุนทางสังคมกับคุณภาพชีวิต โดยวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหเพียร์สัน (Pearson’s correlation) <br /> ผลการวิจัย พบว่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ การสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพจากญาติ มีสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย จิตใจ สิ่งแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพจากเพื่อน มีสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย จิตใจ สังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพจากวัด มีสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การสนับสนุนทางสังคมในการดูแลสุขภาพจากสิ่งแวดล้อม มีสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277661
สถานการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องแผลติดเชื้อที่กระจกตา โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
2024-09-23T13:48:03+07:00
จีรณา ประกอบ
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์แผลติดเชื้อที่กระจกตา ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดแผลติดเชื้อที่กระจกตา และการรักษาโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิก ว่าเป็นแผลติดเชื้อที่กระจกตาที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยในที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2566 จำนวน 142 คน รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน วิเคราะห์ข้อมูลโดย ข้อมูลแจงนับ (categorical data) นำเสนอเป็นจำนวนและร้อยละ ส่วนข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuous data) ที่มีการกระจายตัวแบบปกติ นำเสนอโดยเฉลี่ย(Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard deviation ; SD) การหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องใช้สถิติ Binary logistic regression ค่าความเชื่อมั่น 95% CI โดยแสดงอัตราปัจจัยเสี่ยงคราวละปัจจัยด้วย Odds ratio (OR)<br /> ผลการศึกษา จำนวนผู้ป่วยแผลติดเชื้อที่กระจกตาที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องรักษาเป็นผู้ป่วยใน มีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี จาก 18 ราย ในปี 2562 เป็น 37 ราย ในปี 2566 ผู้ป่วยส่วนมากเป็นผู้ชาย 101 คน (71.1%) อายุที่พบมากที่สุด คือ 56 – 65 ปี (27.5%) อายุเฉลี่ย 47.15 ปี มีโรคประจำตัว 40 คน (28.2%) ส่วนมากมีอาชีพรับจ้าง (55.60%) ภูมิลำเนาของผู้ป่วยส่วนมากมาจากอำเภอชัยบาดาล(31.0%) รองลงมาคืออำเภอเมือง (25.4%) และสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลติดเชื้อที่กระจกตามากที่สุด คือ เศษเหล็กเข้าตา (55.6%) รองลงมา คือ หญ้าหรือใบไม้เข้าตา (29.6%) ส่วนมากเป็นแผลที่ตาข้างซ้าย (62.7%) ระยะเวลาที่มีอาการก่อนมาโรงพยาบาลเฉลี่ย 2.32 วัน เชื้อก่อโรคที่พบมากที่สุด คือ Pseudomonas aeruginosa 10 ราย (7.0%) รองลงมา คือ Staphylococcus coagulase negative 6 ราย (4.2%) และเชื้อรา 4 ราย ( 2.8%)<br /> ผลการรักษา พบว่า การมองเห็นดีขึ้น 111 ราย (78.2%) ควักลูกตา 4 ราย (2.8%) วันนอนเฉลี่ย (LOS) 17.8 วัน ส่งผู้ป่วยรักษาต่อเฉลี่ย 7 รายต่อปี ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 13,356.76 บาทต่อราย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันการเกิดแผลติดเชื้อที่กระจกตาอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ เพศชาย (Sig 0.038) โรคประจำตัวเบาหวาน (Sig 0.036) โรคประจำตัวความดันโลหิตสูง (Sig 0.035) อาชีพรับจ้าง (Sig 0.006) และอาชีพเกษตรกร (Sig 0.010)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277662
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษาภาวะติดเชื้อน้ำยาล้างไตทางหน้าท้องของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่บำบัดด้วยวิธีการล้างไตทางหน้าท้อง โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
2024-09-23T13:57:09+07:00
รัฐพล จิตร์ไทย
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังด้วยวิธี case-controlled study มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคล ลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในช่องท้อง ระหว่างผู้ป่วยกลุ่มรักษาต่อเนื่อง และกลุ่มที่ล้มเหลวในการรักษา และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยที่วินิจฉัยเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่บำบัดด้วยวิธีการล้างไตทางหน้าท้อง และมีการติดเชื้อในช่องท้อง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2565 จำนวน 276 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ไคสแควร์ การทดสอบที และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค<br /> ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยล้างไตช่องท้องทั้งสิ้น 276 คน มีการติดเชื้อที่สายล้างไตทางหน้าท้องร่วมด้วย ร้อยละ 13 เชื้อที่เป็นสาเหตุมากที่สุด Staphylococcus coagulase negative ร้อยละ 26.8 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความล้มเหลวในการรักษา ได้แก่ จำนวนครั้งการติดเชื้อ โรคเบาหวาน, Hemoglobin < 10 g/dl, Kt/V < 1.7 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277665
การพยาบาลผู้ป่วยโรคอ้วนร่วมกับเบาหวานที่มารับยาระงับความรู้สึกเพื่อผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ : กรณีศึกษา
2024-09-23T14:21:17+07:00
นฤมล สุวรรณวิโรจน์
limmanee_99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคอ้วนร่วมกับเบาหวานที่มารับยาระงับความรู้สึกเพื่อผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิงมาด้วยอาการปวดท้องน้อยด้านขวา แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่ง ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด ผู้ป่วยมีดัชนีมวลกาย 38.81 กิโลกรัม/เมตร<sup>2</sup> และมีเบาหวานเป็นโรคร่วม<br /> ผลการศึกษา พบว่า ประเมินความความยากในการใส่ท่อช่วยหายใจระดับ 2 สามารถใส่ท่อช่วยหายใจได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษ Vedeo laryngoscope with stylet โดยจัดท่าผู้ป่วยท่า Ramp position ให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย ระหว่างผ่าตัดไม่พบภาวะน้ำตาลสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ หลังผ่าตัดสามารถถอดท่อช่วยหายใจได้ ระยะการดูแลในห้องพักฟื้นผผู้ป่วยตื่นไม่เต็มที่ หายใจมีเสียงกรน ต้องได้รับออกซิเจนชนิดสูดดมนานกว่าผู้ป่วยรายอื่น จากการวางแผนการพยาบาลทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนรับยาระงับความรู้สึก ระยะให้ยาระงับความรู้สึก ระยะหลังให้ยาระงับความรู้สึก พบว่าผู้ป่วยปลอดภัยไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญี สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277666
พฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ตำบลกระแชง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-09-23T14:16:39+07:00
สุกัญญา เหล่าแค
jurirat3445@hotmail.com
รวีวัลย์ แพงตา
jurirat3445@hotmail.com
วรรณภรณ์ บัวหยาด
jurirat3445@hotmail.com
วลัยรัตน์ พิมพ์สาร
jurirat3445@hotmail.com
สุพรรษา ภูษา
jurirat3445@hotmail.com
พิชชาพร บุญสูง
jurirat3445@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในตำบลกระแชง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดจำนวน 213 คน โดยการสุ่มอย่างเป็นระบบ เก็บข้อมูลในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2567 โดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ<br /> ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากสารเคมีอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 99.08) โดยมีความเข้าใจผิดบางประการ เช่น การฉีดพ่นตอนแดดจัดไม่เป็นอันตราย ส่วนความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลางและระดับดีใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 49.76 และ 50.24) สำหรับระดับปัจจัยกระตุ้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 54.92) ส่วนพฤติกรรมการป้องกันตนเอง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี (ร้อยละ 90.61) โดยเฉพาะในช่วงก่อนและระหว่างการฉีดพ่น แต่ยังมีบางส่วนที่ปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ เช่น การอ่านฉลาก การใส่ชุดป้องกัน การงดกินอาหาร/สูบบุหรี่ ขณะฉีดพ่น การติดป้ายเตือนหลังฉีดพ่น การเก็บสารเคมี และการไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ </p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277672
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
2024-09-23T14:32:45+07:00
อุบล ตรังเมธีวัฒน์
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 2 ราย โดยกรณีศึกษาทั้ง 2 มีสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือดต่างกัน กรณีศึกษาที่ 1 เกิดจากการติดเชื้อ Leptospirosis with septic shock กรณีศึกษาที่ 2 เกิดจาก Pneumonia with ARF with ARDS with sepsis with septic shock ต้องได้รับการกำจัดแหล่งติดเชื้อโดยการให้ยาฆ่าเชื้อ ทั้ง 2 กรณีศึกษา มีอาการแสดงภาวะช็อกตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชน รายแรกได้รับการรักษา Fluid Resuscitation และ Nor – epinephrine มาจากโรงพยาบาลชุมชน รายที่ 2 ได้รับการรักษา Fluid Resuscitation มาจากโรงพยาบาลชุมชน และได้รับยา Nor – epinephrine ในโรงพยาบาลศูนย์ตรัง<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยทั้งสองรายได้รับการรักษาโดยการใส่ท่อช่วยหายใจ เปิดเส้นเลือดดำใหญ่ที่คอ (Central line Insertion) เพื่อให้ยาและสารน้ำ ให้ยากระตุ้นความดันโลหิต ในด้านการพยาบาลผู้ป่วยทั้งสองรายได้รับการประเมินภาวะสุขภาพของกอร์ดอน(Gordon) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลของผู้ป่วยทั้งสองรายที่แตกต่าง คือ 1) เซลล์ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจากประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซและการระบายอากาศลดลงจากการติดเชื้อที่ปอด 2)มีภาวะของเสียคั่งจากภาวะไตสูญเสียหน้าที่ 3) มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ 4) ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ 5) มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวแต่ละรายได้รับการแก้ไขจนผู้ป่วยพ้นระยะวิกฤต อาการดีขึ้น ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน รายที่ 1 แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ อีก 2 สัปดาห์ นัดมาติดตามอาการ ผู้ป่วยรายที่ 2 แพทย์ส่งตัวกลับไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลชุมชน เพื่อรอการ Recovery ของปอด</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277673
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะตกเลือดช็อกจากรกค้างติดแน่น และได้รับการผ่าตัดมดลูก
2024-09-23T14:50:33+07:00
สวิชญา กองสว่าง
adisak871987@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะตกเลือดช็อกจากรกค้างติดแน่นและได้รับการผ่าตัดมดลูกตั้งแต่แรกรับจนจำหน่าย กรณีศึกษาคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงเป็นมารดาหลังคลอดที่มีภาวะตกเลือดช็อกจากรกค้างติดแน่นและได้รับการผ่าตัดมดลูกที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วยสูติ-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลบ้านโป่ง เดือนมิถุนายน 2565 จำนวน 1 ราย ทำการศึกษาข้อมูลจากเวชระเบียน สัมภาษณ์ผู้ป่วยและครอบครัว การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็มให้การพยาบาลตามกระบวนการพยาบาล<br /> ผลการศึกษา พบว่า มารดาหลังคลอดที่มีภาวะตกเลือดช็อกจากรกค้างติดแน่นและได้รับการผ่าตัดมดลูก พบว่าผู้ป่วยเสี่ยงมีภาวะ Hypovolemic shock เนื่องจากเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ปวดแผลผ่าตัด อ่อนเพลีย เสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด ครอบครัวมีความวิตกกังวล พยาบาลจำเป็นต้องใช้ความสามารถทางการพยาบาลเข้ามาให้การดูแลช่วยเหลือ เพื่อแก้ไขให้ผู้ป่วยพ้นระยะวิกฤตสามารถกลับมาดูแลตนเองได้ โดยการสอน ชี้แนะ และใช้ทักษะการประเมินและการดูแลรักษาพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะรกค้างและได้รับการผ่าตัดมดลูกเพื่อลดอัตราแทรกซ้อนและการเสียชีวิต</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277706
การประเมินระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยา จังหวัดกาฬสินธุ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2566
2024-09-25T10:31:42+07:00
กัลย์ เนื่องโพธิ์
pitinut99@hotmail.com
กฤตนัน นิรงคบุตรสกุล
pitinut99@hotmail.com
<p> รายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและทบทวนระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยา ในจังหวัดกาฬสินธุ์ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยา จังหวัดกาฬสินธุ์ วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาแบบ Mixed methods แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบ ภาคตัดขวาง (Survey research by cross-sectional study) เพื่อศึกษาคุณลักษณะเชิงปริมาณของระบบเฝ้าระวัง โดยศึกษาข้อมูลผู้ป่วยที่มารับบริการในสถานพยาบาล 3 แห่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2566 2) การศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative study) ศึกษาขั้นตอนการรายงาน และ คุณลักษณะเชิงคุณภาพ ของระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยา<br /> ผลการศึกษา: ระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยา มีค่าความไวของการรายงานตามนิยามโรคปี 2563 และแนวทาง การสอบสวนและควบคุมวัณโรคปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 64.0 และค่าพยากรณ์บวกร้อยละ 100.0 ข้อมูลในระบบเฝ้าระวังโรคอาจไม่สามารถเป็นตัวแทนที่ดีของผู้ป่วยที่พบทั้งหมดจากการทบทวนเวชระเบียน สำหรับ คุณภาพข้อมูลพบว่าตัวแปรเพศ อายุ ที่อยู่ มีความถูกต้องร้อยละ 100.0 ส่วนตัวแปรที่เกี่ยวกับช่วงเวลา เช่น วันที่เอกซเรย์ วันที่ตรวจเสมหะ วันที่ขึ้นทะเบียน สถานะรักษา พบมีความถูกต้องน้อยกว่าร้อยละ 90.0 ส่วนความทันเวลาของการรายงาน พบว่ารายงานทันเวลาภายใน 5 วัน สำหรับคุณลักษณะเชิงคุณภาพพบว่า ขั้นตอนการปฏิบัติงานไม่ยุ่งยากและมีความยืดหยุ่น ได้รับการยอมรับและส่งผลให้มีความมั่นคงของระบบ ที่สามารถนําไปปรับใช้กับระบบเฝ้าระวังอื่นๆได้ แต่ด้วยภาระงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบหลัก จึงไม่สามารถ บันทึกข้อมูลได้ทันเวลา อีกทั้งยังไม่มีแนวทางการเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยาที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง สรุปและวิจารณ์: ระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยาของจังหวัดกาฬสินธุ์ พบค่าความไวของการรายงานอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277710
การพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุตำบลหนองบก อำเภอเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี
2024-09-25T10:38:39+07:00
จุติพร ผลเกิด
adisak871987@hotmail.com
เกศรา แสนศิริทวีสุข
adisak871987@hotmail.com
ภูมิพัฒน์ นริษทิ์ภูวพงษ์
adisak871987@hotmail.com
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ ตำบลหนองบก อำเภอเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้สูงอายุสมัครใจร่วมกิจกรรม 60 คน เครื่องมือประกอบด้วย แบบสำรวจข้อมูลการพลัดตกหกล้ม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบประเมินและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงรายบุคคลในการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพป้องกันการพลัดตกหกล้ม และแบบประเมินความพึงพอใจ ตรวจสอบค่าความตรงเชิงเนื้อหา และปรับปรุงเครื่องมือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ<br /> ผลการศึกษา การพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพลัดตกหกล้มสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน ประกอบด้วย1) พัฒนาแกนนำครูก.อาสาสมัครสาธารณสุขด้านการประเมินคัดกรอง ให้คำแนะนำและส่งต่อผู้มีความเสี่ยงฯและร่วมออกแบบการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 2) ฝึกอบรมผู้สูงอายุโดยครู ก มีการคัดกรองประเมินความเสี่ยงด้วยแบบประเมินและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงรายบุคคลที่สร้างขึ้น การวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ประเมินการเคลื่อนไหว ฝึกออกกำลังกายด้วยแรงต้านโดยใช้ยางยืด และวางแผนแก้ไขปัจจัยเสี่ยงรายบุคคลด้วย Mini care plan 3) การประเมินแนะนำปรับปรุงให้บ้านปลอดภัยฯร่วมกับภาคีเครือข่าย และ 4) การเยี่ยมเสริมพลัง ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ในการป้องกันฯ สูงกว่าก่อนดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และผู้สูงอายุหกล้มลดลง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277714
การพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดเอสทียกร่วมกับมีภาวะหัวใจล้มเหลว
2024-09-25T10:49:36+07:00
อภิญญา กิตติคุณ
boonserm_wan@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินโรค การรักษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดเอสทียกร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลว จำนวน 2 ราย โดยศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดเอสทียกร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลว ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนเมษายน2566 - เดือนตุลาคม 2566<br /> ผลการศึกษา : พบว่าผู้ป่วยรายที่ 1 ชายไทยอายุ 66 ปี อาชีพเกษตรกร ไม่มีโรคประจำตัว สูบบุหรี่ 10 – 15 มวนต่อวัน มาโรงพยาบาลด้วยเจ็บหน้าอกซ้าย ร้าวไปกราม เจ็บทะลุหลัง Pain score 10/10 คะแนน แพทย์วินิจฉัยเป็น STEMI Anterior wall ผู้ป่วยรายที่ 2 ชายไทยอายุ 48 ปี อาชีพทำประมง ไม่มีโรคประจำตัว เจ็บหน้าอก เหงื่อแตกตัวเย็น Pain score 10/10 คะแนน แพทย์วินิจฉัยเป็น STEMI Inferior wall ผู้ป่วยรายที่ 1 ได้รับการฉีดสีสวนหัวใจ ผู้ป่วยรายที่ 2 ได้รับยาละลายลิ่มเลือด และได้รับการฉีดสีสวนหัวใจ เปรียบเทียบทั้ง 2 ราย มีความแตกต่างกันด้านอายุ และมีปัจจัยเสี่ยงที่เหมือนกัน คือ สูบบุหรี่ ผู้ป่วยรายที่ 1 มีภาวะ Cardiogenic Shock และมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย ทำให้ได้รับยากระตุ้นความดันโลหิต การใช้เครื่องพยุงการทำงานของหัวใจ และยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยรายที่ 2 มีภาวะหัวใจหยุดเต้น ต้องได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพ และใส่ท่อช่วยหายใจ การประเมิน เฝ้าระวังอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ให้การพยาบาลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ในภาวะคุกคามต่อชีวิต ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิต ปลอดภัย และลดภาวะแทรกซ้อนได้</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277716
การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ : กรณีศึกษา 2 ราย
2024-09-25T10:53:21+07:00
จีระศักดิ์ เหล็กเพชร
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหนองนาคำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศึกษาข้อมูลการเจ็บป่วย ปัจจัยเสี่ยง พยาธิสภาพอาการและอาการแสดง การรักษา และการพยาบาล เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน คลินิกโรคเบาหวานแผนกผู้ป่วยนอก การสังเกต สัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ วิเคราะห์ข้อมูล แบบบันทึกทางการพยาบาลโดยใช้แนวคิดแบบประเมินผู้ป่วยตามแบบแผนทางด้านสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน เพื่อให้ทราบปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย นำข้อมูลที่ได้มาวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ให้การพยาบาลและประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล<br /> ผลการศึกษา : กรณีศึกษารายที่ 1 ชายไทยอายุ 67 ปี เป็นโรคเบาหวาน 22 ปี ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลได้ มีโรคร่วมความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรังระยะ 3B - 4 อาการสำคัญ นอนไม่รู้สึกตัว 1 ชั่วโมงก่อนถึงโรงพยาบาล วัดสัญญาณชีพอุณหภูมิ 36.8 เซลเซียส อัตราการเต้นของชีพจร 84 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 130/70 mmHg เจาะ DTX = 37 mg% แพทย์มีแผนการรักษาให้ 50% Glucose 50 ml vein push ช้าๆหลังจากนั้นผู้ป่วยรู้สึกตัวดีพูดคุยรู้เรื่อง เจาะเลือดส่ง lab CBC, BUN, Creatinine, Electrolyte ให้งดยาเบาหวานไว้ก่อน on iv 10%D/N/2 1000 ml vein drip 60 ml/hr. DTX ซ้ำใน 15 นาทีได้ 136 mg% สังเกตอาการ 6 ชั่วโมงตรวจ DTX ซ้ำทุก 1 ชั่วโมงพบระดับน้ำตาลในเลือด 136 – 180 mg% ซึ่งอยู่ในค่าเป้าหมายการรักษา อีกทั้งยังมีภาวะ hypokalemia ร่วมด้วย จึงรับการรักษาด้วย Elixer KCL 30 ml oral q 3 hr x 3 dose ให้กลับบ้าน และนัด F/U พรุ่งนี้เช้า repeat electrolyte และ FBS กรณีศึกษารายที่ 2 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 65 ปี 11 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง รับยาประจำที่โรงพยาบาลหนองนาคำ ได้รับการรักษาด้วยยารับประทาน ไม่ขาดยา อาการสำคัญ ซึมลง ไม่พูด 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล โดยมีประวัติว่าหลังตื่นนอนตอนเช้า ญาติพบผู้ป่วย ไม่กินอาหาร ซึมลง ไม่พูด ไม่ปัสสาวะตั้งแต่เมื่อคืน ญาติจึงพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลหนองนาคำ ตรวจพบว่า DTX แรกรับ 34 mg% ได้รับการรักษา 50% glucose 50 cc iv push และ 10 %DN/2 1000 ml iv rate 60 ml/hr เจาะ DTX ซ้ำ 15 นาที ได้ 210 mg% ผู้ป่วยรู้สึกตัว แต่ดูซึม ไม่ค่อยพูด มีท่าทางเหนื่อยอ่อนเพลีย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย มีปัญหาเรื่องซีด Hct = 24.6 vol% เมื่อสังเกตอาการ 1 ชั่วโมงเจาะ DTX ซ้ำ ได้ผล HI จึงได้มีการรักษา ด้วยยาฉีดอินซูลินที่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด คือ RI 10-unit SC และยังพบภาวะอื่นร่วมด้วยคือ hyperkalemia ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย จึงได้รับการรักษา ด้วย RI 10 unit + 50% glucose 50 ml iv slowly push , 10% Ca gluconate 1 amp iv push , 7.5%NaHCO3 1 amp iv push ,Kali mate 30 gm.+ น้ำ 50 ml oral stat ระหว่างที่อยู่ ER รพ.หนองนาคำ ยังปฏิเสธ RRT จึง refer รพ.ภูเวียง ที่ รพ.ภูเวียงผู้ป่วยยินยอมที่จะฟอกไต รพ.ภูเวียง refer ต่อ รพ.ชุมแพ เพื่อ RRT</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277717
การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่ได้รับการผ่าตัดและมีภาวะแคลเซียมต่ำ : กรณีศึกษา
2024-09-25T10:56:42+07:00
พรพิมล อาจจีน
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่ได้รับการผ่าตัดและมีภาวะแคลเซียมต่ำ ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 83 ปี มาโรงพยาบาลวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2566 มาด้วยอาการสำคัญ มีก้อนที่คอโตขึ้น กลืนลำบาก น้ำหนักลดลง 1 เดือน<br /> ผลการศึกษา: วินิจฉัยมะเร็งต่อมไทรอยด์ แพทย์นัดมาเพื่อผ่าตัด ระยะก่อนผ่าตัด มีความวิตกกังวล ระยะหลังผ่าตัด เสี่ยงต่อภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจ มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ปวดแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ได้วางแผนการพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน หลังผ่าตัดผู้ป่วยสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้ ให้การพยาบาลป้องกัน แก้ไขภาวะแคลเซียมต่ำจนระดับแคลเซียมปกติ ดูแลบาดแผลผ่าตัด แผลผ่าตัดแห้งดี ไม่ติดเชื้อ บรรเทาอาการปวดด้วยการบริหารยาและสอนการปฎิบัติตัว อาการผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายกลับบ้านวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2567 ผู้ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลรวม 4 วัน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277860
การประเมินผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลและการจัดการความขัดแย้งของพยาบาลหัวหน้าเวร โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น
2024-09-29T15:40:03+07:00
อรทัย พรรณานนท์
limmanee_99@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เปรียบเทียบทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลและการจัดการความขัดแย้งของพยาบาลหัวหน้าเวร โรงพยาบาลระดับตติยภูมิในจังหวัดขอนแก่น ก่อนและหลังได้รับโปรแกรม วิธีการศึกษา:การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) กลุ่มเดียววัดก่อน-หลังการทดลอง ดัดแปลงตามแนวคิดการจัดการความขัดแย้ง กลุ่มเป้าหมายพยาบาลวิชาชีพหัวหน้าเวรจำนวน 38 คน ศึกษาเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ.2567 ใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ One Way Repeated Measures Anova เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมินทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลและแบบประเมินการจัดการความขัดแย้ง<br /> ผลการศึกษาพบว่าทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมทันที (คะแนนเฉลี่ย = 81.08) ระยะติดตาม (คะแนนเฉลี่ย = 84.16) มีค่าสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (คะแนนเฉลี่ย = 74.84) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < .001 ) การจัดการความขัดแย้งภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมทันที (คะแนนเฉลี่ย = 15.92) และระยะติดตาม (คะแนนเฉลี่ย = 14.89) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (คะแนนเฉลี่ย = 9.39) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < .001 )</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277715
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพบุคลากรกลุ่มเสี่ยงด้วยกระบวนการพยาบาล เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง : โรงพยาบาลยโสธร
2024-09-25T23:14:30+07:00
วรณัน จันทราชัย
namthip2527_cam@hotmail.com
<p> การศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพสำหรับบุคลากรกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลยโสธร การวิจัยนี้ใช้วิธีการคัดเลือกประชากรกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 60 ราย โดยมีเกณฑ์การคัดเลือก ได้แก่ ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด > 150 mg/dL, คอเลสเตอรอล > 250 mg/dL, ดัชนีมวลกาย > 30 kg/m², รอบเอวในเพศชาย > 90 ซม. หรือเพศหญิง > 80 ซม., ระดับน้ำตาลในเลือด > 110 mg/dL และความดันโลหิต > 140/90 mmHg เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบบันทึกการประชุมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ และแบบเก็บรวบรวมข้อมูลผลการทดลองใช้รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพ<br /> ผลการวิจัยนี้พบว่า รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของบุคลากรกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และส่งเสริมให้บุคลากรมีสุขภาวะที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการจะสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการดูแลสุขภาพ อันจะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์โดยรวมของโรงพยาบาล</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277682
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง : กรณีศึกษา
2024-09-26T06:14:49+07:00
วรรณา ตาลเพชร
jeetom.35.har@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและการพยาบาลผู้ป่วยผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง โดยศึกษาในผู้ป่วยชาย อายุ 51 ปี มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มาโรงพยาบาลด้วยอาการสำคัญ ปวดแน่นท้อง และมีแผลที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย เป็นโพรงลึก<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาสำคัญที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ ได้แก่ มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง ไตวายเฉียบพลัน ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ปวดแน่นท้อง ภาวะซีด วิตกกังวล ภาวะน้ำท่วมปอด ปวดแผลผ่าตัด ซึ่งผลการดูแลรักษาทุกปัญหาได้รับการแก้ไขหมดไป ส่วนปัญหาที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสเกิด ได้แก่ เสี่ยงต่อเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่ง เสี่ยงต่อเกิดภาวะเลือดออกง่าย หยุดยาก เสี่ยงต่อการหายของแผลช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เสี่ยงต่อแผลติดเชื้อและเกิดแผลที่เท้าซ้ำ เสี่ยงต่อเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งได้รับการป้องกัน ติดตาม และเฝ้าระวัง ทำให้ทุกปัญหาไม่เกิดขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277678
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานรับรองคุณภาพและการพัฒนาคุณภาพ อย่างต่อเนื่องของโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก เขตสุขภาพที่ 8 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
2024-09-26T06:08:00+07:00
นิโลบล ช่วยแสง
trinnawat2565@gmail.com
พาณี สีตกะลิน
trinnawat2565@gmail.com
พรทิพย์ กีระพงษ์
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยในการดำเนินงานการเพื่อการรับรองและพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก เขตสุขภาพที่ 8 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานรับรองคุณภาพและการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องของโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก เขตสุขภาพที่ 8 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประขาการจำนวน 816 คน จากบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงชุมชนขนาดเล็กทั้ง 9 แห่ง ในเขตสุขภาพที่ 8 ที่ไม่ผ่านการรับรองคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 389 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย แบบสอบถามประกอบด้วยปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านโครงสร้าง ปัจจัยด้านกระบวนการ และผลลัพธ์การรับรองและพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง มีค่าความตรงที่ 0.91และความเที่ยงที่ 0.87 สถิติที่ใช้คือ สถิติเชิงพรรณนา และการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลส่วนมากเป็นเพศหญิงร้อยละ78.15 มีประสบการณ์ในการทำงานคุณภาพไม่เกิน 5 ปี ร้อยละ 82.52 และเข้ารับการอบรมในการพัฒนาคุณภาพ ร้อยละ 64.78 และ 2) ปัจจัยด้านโครงสร้างการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลชุมชน (ด้านผู้นำและการสื่อสาร) ปัจจัยด้านกระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลชุมชน (การเข้าถึงข้อมูลและการมีส่วนร่วมของผู้รับบริการ และ ประสบการณ์ในการเข้ารับการอบรมในงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลของบุคลากร มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานรับรองคุณภาพและการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277876
ผลของการให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 ในงานบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน จังหวัดลำพูน
2024-09-29T15:43:30+07:00
เพชรริน วิญญายอ
prayoon_wong55@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 ในงานบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน จังหวัดลำพูน ทำการศึกษาในช่วงเดือน พฤษภาคม 2564 – มกราคม 2565 รวมระยะเวลา 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะไตเสื่อม จำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย รูปแบบการให้ความรู้ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการป้องกันภาวะไตเสื่อม และแบบเก็บข้อมูลสถานะทางสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ก่อน-หลัง ด้วยสถิติเชิงอนุมาน paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาหรือความลำบากของผู้ป่วยส่วนมากคือที่อยู่อาศัย ร้อยละ 51.22 ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันส่วนมากไม่เป็นการพึ่งพิง ร้อยละ 80.49 อัตราการกรองของไต eGFR (มล./นาที/1.73 ตร.ม.) ส่วนมากอยู่ในช่วง 60-89 eGFR ร้อยละ 34.15 ระดับความเค็มในอาหาร ส่วนมากรับประทานเค็ม (≥ 0.90 %) ร้อยละ 54.47 พฤติกรรมสุขภาพที่เสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อมส่วนมากไม่สามารถการดื่มน้ำ 1.5-2 ลิตรต่อวันได้ ร้อยละ 38.62 ภายหลังการเข้าการอบรมให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมเป็นระยะเวลา 9 เดือน พบว่า ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 (t = 2.89, 3.82, 3.18)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277877
การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่มีภาวะปอดอักเสบ: กรณีศึกษา
2024-09-29T15:45:56+07:00
วรรณดี ไตรสังข์
pitinut99@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่มีภาวะปอดอักเสบ โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 77 ปี เข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ด้วยอาการสำคัญ ไข้ หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ และเจ็บแน่นหน้าอก 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคหัวใจขาดเลือดปี 2560 ทำ บอลลูน 3 เส้น พบแพทย์ตามนัดต่อเนื่อง<br /> ผลการศึกษา พบว่า ระยะก่อนตรวจ เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง ไม่สุขสบายเนื่องจากมีไข้ ผู้ป่วยมีโอกาสโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เสี่ยงจากภาวะแพร่กระจายเชื้อโคโรน่าไวรัส ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวล ระยะแพทย์ตรวจ มีการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสในร่างกาย เกิดภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบ ระยะหลังตรวจ ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวลกลัวอาการทรุดหนัก เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปห้องผู้ป่วยแยกโรค ได้ให้การพยาบาลตามมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยปลอดภัยเข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยแยกโรค สามารถจำหน่ายกลับบ้านในวันที่ 28 มิถุนายน 2566 รวมระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล 10 วัน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277732
การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือดที่กลับเป็นซ้ำและมีเลือดออกในสมองบริเวณ ที่ขาดเลือดร่วมกับภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง : กรณีศึกษา
2024-09-29T15:15:38+07:00
มณฑา นาคแสง
jeetom.35.har@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือดที่กลับเป็นซ้ำและมีเลือดออกในสมองบริเวณที่ขาดเลือดร่วมกับภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิง อายุ 64 ปี มีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำส่วนลึกขาข้างซ้าย และโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือด มาด้วยอาการสำคัญ ซึม ไม่พูด ก่อนมาโรงพยาบาล 4 ชั่วโมง<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาสำคัญที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ ได้แก่ มีภาวะสมองบวม มีของเสียคั่งในร่างกาย ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกขาข้างซ้าย มีภาวะซีด โปแตสเซียมต่ำ วิตกกังวล มีความรู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง ซึ่งผลการดูแลรักษาทุกปัญหาได้รับการแก้ไขหมดไป ส่วนปัญหาที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสเกิด ได้แก่ เสี่ยงต่อเกิดความดันในกะโหลกศีรษะสูง เสี่ยงต่อติดเชื้อในกระแสเลือด เสี่ยงต่อเกิดแผลกดทับ ข้อติด เสี่ยงต่อเกิดอาการชัก เสี่ยงต่อแผลผ่าตัดติดเชื้อ มีโอกาสเกิดการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งได้รับการป้องกัน ติดตาม และเฝ้าระวัง ทำให้ทุกปัญหาไม่เกิดขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277878
การพยาบาลมารดาหลังผ่าตัดคลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับมีภาวะ HELLP syndrome และคลอดก่อนกำหนด: กรณีศึกษา
2024-09-29T15:48:21+07:00
เมธาวดี ลาภสัมปันน์
jurirat3445@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลมารดาหลังผ่าตัดคลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับมีภาวะ HELLP syndrome และคลอดก่อนกำหนด โดยมารดาอายุ 30 ปี G<sub>2 </sub>P<sub>0 </sub>Ab<sub>1</sub>L<sub>0</sub> อายุครรภ์ 35 สัปดาห์ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 25 มีนาคม 2566 รับส่งต่อจากคลินิกแห่งหนึ่งในอำเภอบ้านหมี่หลังจากตรวจพบ Fetal IUGR with R/O Preeclampsia ส่งตัวมาเพื่อรักษาต่อ แพทย์วินิจฉัย Severe Preeclampsia ความดันโลหิต 188/100 มิลลิเมตรปรอท<br /> ผลการศึกษา: พิจารณาให้คลอดโดยผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้อง ภายหลังคลอดมีอาการชักเกร็งกระตุกประมาณ 30 วินาที เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากภาวะชัก มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของ Preeclampsia (HELLP syndrome) และเสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดใน 24 ชั่วโมงแรก ปวดแผล เสี่ยงแผลติดเชื้อ ได้ให้การพยาบาล ป้องกันภาวะชักซ้ำ ให้ยากันชัก 10% MgSO4 10 gm ใน 5% D/W 1,000 ml iv drip 1 gm/hr. ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด บรรเทาอาการปวดแผล ผู้ป่วยปลอดภัยยเริ่มรับประทานอาหารได้ กระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถไปให้นมบุตรได้ อาการดีขึ้นเป็นลำดับ จำหน่ายในวันที่ 3 เมษายน 2566 รวมระยะเวลนาอนโรงพยาบาล 9 วัน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277731
การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในพื้นที่ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
2024-09-29T14:59:50+07:00
สายน้ำผึ้ง ปิ่นทอง
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ความต้องการการดูแลระยะยาว 2) ศึกษาสภาพปัญหาการจัดบริการดูแลระยะยาว และ 3) พัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้สูงอายุ 220 คน ผู้ดูแล 100 คน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 40 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม แบบประเมินคุณภาพชีวิต และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์ความต้องการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในตำบลบางพูน จังหวัดปทุมธานี ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มติดสังคม มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับปานกลาง และไม่แสดงอาการซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม มีผู้สูงอายุบางส่วนที่อยู่ในกลุ่มติดบ้านและมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ สภาพปัญหาในการจัดบริการดูแลระยะยาว คือข้อจำกัดด้านงบประมาณ การขาดแคลนบุคลากร และการเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวประกอบด้วยการสร้างเครือข่ายการดูแล การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การจัดระบบการดูแลต่อเนื่อง การสร้างนวัตกรรมและสนับสนุนอุปกรณ์ การจัดตั้งกองทุนชุมชน และการพัฒนาระบบการเข้าถึงบริการฉุกเฉิน การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในตำบลบางพูนเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วน การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทชุมชน ส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ครอบคลุมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277879
การพยาบาลผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารทะลุที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษา
2024-09-29T15:51:05+07:00
สุณิสา บุตรเอก
wuttisakboon@hotmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารทะลุ ที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยชายไทยอายุ 48 ปี มาโรงพยาบาลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 มาด้วยอาการปวดท้องใต้ลิ้นปี่ ท้องอืด นอนราบไม่ได้ 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติโรคประจำตัว เก๊าต์ ไตวายเรื้อรัง ตับ มีประวัติรับประทานยาแก้ปวด Diclofenac<br /> ผลการศึกษา ส่งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบ ruptured hollow viscus organ แพทย์วินิจฉัย Peptic ulcer perforation with Sepsis ได้รับการผ่าตัด Explore laparotomy with Simple suture with Omental Graft ระยะก่อนผ่าตัด มีภาวะพร่องออกซิเจน มีภาวะช็อกจากพร่องสารน้ำและเกลือแร่ร่วมกับติดเชื้อในกระแสเลือด ได้ให้การพยาบาลให้ออกซิเจน ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาติดตามสัญญาณชีพใกล้ชิด ระยะหลังผ่าตัด เสี่ยงต่อภาวะช็อกซ้ำ เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ ปวดแผลผ่าตัดมาก ได้ให้การพยาบาล ติดตามสัญญาณชีพ บรรเทาอาการปวดแผล Morphine 3 mg iv stat prn ทุก 4 ชั่วโมง 48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด สามารถถอดท่อหายใจได้ หลังผ่าตัด 4 วัน เริ่มรับประทานอาหารได้ อาการดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านได้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 รวมระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 11 วัน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277773
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการรับรู้พลังอำนาจและการปฏิบัติกิจกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
2024-09-29T15:24:30+07:00
พรสุวรรณ จารุพันธุ์
iampun1976@gmail.com
สิรินทรา ฟูตระกูล
iampun1976@gmail.com
ปัณณทัต บนขุนทด
iampun1976@gmail.com
ชุมศรี ต้นเกตุ
iampun1976@gmail.com
<p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการประยุกต์ใช้โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อความผาสุกทางใจและคุณภาพชีวิตของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบศึกษาสองกลุ่มวัดซ้ำ 3 ระยะคือ ก่อนการทดลอง หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือนจำนวน 50 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางวัดช้ำและแบบหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม<br /> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน สูงกว่าผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มควบคุม และสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที ไม่แตกต่างจากหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มควบคุม และสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการดูแลหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันทีไม่แตกต่างจากหลังการทดลองเสร็จสิ้น 1 เดือน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277843
รูปแบบความสุขของผู้สูงอายุ จังหวัดอุตรดิตถ์
2024-09-29T15:36:11+07:00
รณภพ เกตุทอง
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพความสุขของผู้สูงอายุ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขของผู้สูงอายุ และ 3) สร้างและรับรองรูปแบบความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดอุตรดิตถ์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยใช้แบบสอบถามกับผู้สูงอายุ 290 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ เชิงคุณภาพเพื่อสร้างรูปแบบ โดยสนทนากลุ่มและยืนยันรูปแบบ โดยใช้เทคนิคเดลฟาย<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความสุข 5 มิติของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) มี 11 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขของผู้สูงอายุ โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การรับรู้สภาวะสุขภาพของตนเอง (Beta = 0.179) ค่านิยมส่วนบุคคล (Beta = 0.141) และการมีส่วนร่วมการทำประโยชน์เพื่อสังคม (Beta = 0.130) 3) รูปแบบกิจกรรมเสริมสร้างความสุขของผู้สูงอายุประกอบด้วย 15 กิจกรรม ครอบคลุมด้านสุขภาพ ความสัมพันธ์ การพัฒนาจิตใจ การเงิน และการมีส่วนร่วมในสังคม ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิ 20 ท่านได้ยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบและกิจกรรม โดยเห็นด้วยกับปัจจัยทั้ง 11 ด้าน (ค่าเฉลี่ย 4.40) และกิจกรรมส่งเสริมความสุข (ค่าเฉลี่ย 4.25) ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277890
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ความดันโลหิตและอัตราการกรองของไต ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่คลินิกความดันโลหิตสูง แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเขาพนม จังหวัดกระบี่
2024-09-30T09:11:07+07:00
รภัสสา รักเกื้อ
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ความดันโลหิต และอัตราการกรองของไต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 จำนวน 30 ราย ที่คลินิกความดันโลหิตสูง แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเขาพนม จังหวัดกระบี่ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการตนเอง แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเอง และแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการเชิงอนุมาณ (Pair t-test)<br /> ผลการวิจัย หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองและความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ยกเว้นด้านการจัดการความเครียด ระดับความดันโลหิตทั้งซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และอัตราการกรองของไตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277121
ประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์
2024-09-11T09:38:24+07:00
สุพรรษา จิตรสม
paesupansa@gmail.com
ธันยาพร โคตรชุม
paesupansa@gmail.com
ปัณณทัต บนขุนทด
paesupansa@gmail.com
ธีรวัฒน์ พงศ์ภาณุพัฒน์
paesupansa@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน โดยมีเกณฑ์คัดเข้าแบบการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.64 และความเที่ยงเท่ากับ 0.86 กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมการป้องกันการสูบบุหรี่ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีการรับรู้ความสามารถแห่งตน จำนวน 4 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนด้วยการทดสอบค่าที กำหนดนัยสำคัญที่ 0.05<br /> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีลักษณะทางประชากรคล้ายคลึงกัน การเปรียบเทียบภายในกลุ่มของกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของบุหรี่ ดีขึ้นกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ขณะทีไม่พบการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังในผลลัพธ์ของการไม่สูบบุหรี่ การรับรู้ความสามารถตนเองต่อการไม่สูบบุหรี่ เจตคติต่อการสูบบุหรี่ และความตั้งใจไม่สูบบุหรี่ (p>0.05) สำหรับการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วยสถิติที พบว่าภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนดีกว่ากลุ่มควบคุมเฉพาะด้านความรู้เกี่ยวกับโทษและพิษภัยของบุหรี่ เจตคติต่อการไม่สูบบุหรี่ และความตั้งใจไม่สูบบุหรี่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ขณะที่ด้านอื่น ๆ ไม่พบความแตกต่างกัน (p >0.05)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277552
ผลของการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินชีวิตของพนักงานในสถานประกอบการ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
2024-09-25T20:53:49+07:00
ฐาปานีย์ สิงห์บวรนันท์
aobaom.sing@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) เพื่อศึกษาผลของการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินชีวิตของพนักงานในสถานประกอบการ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นพนักงานในสถานประกอบการแห่งหนึ่ง ทำการสุ่มเลือกแบบง่ายโดยจับสลาก ให้สาขา 1 แห่ง เป็นกลุ่มทดลอง และอีก 1 แห่งเป็นกลุ่มควบคุม สุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยจับสลาก สาขาละ 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ 2) แบบประเมินตนเอง Stages of Change และ 3) แบบคัดกรองพฤติกรรมปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินชีวิต เครื่องมือที่ใช้ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบ Independent t-test, paired t-test และ Wilcoxon Signed rank test <br /> ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีระยะ stage of change สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05(P-value = 0.006) มีพฤติกรรมปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินชีวิตน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001) และมีพฤติกรรมปัจจัยเสี่ยงด้านการดำเนินชีวิตน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value = 0.001)</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277702
กรณีศึกษาผู้ป่วยเฉพาะรายเด็กโรคไตอับเสบเฉียบพลันร่วมกับโรคหืด
2024-09-26T10:42:40+07:00
สุนิสา จันทร์จินดา
milkyway8913@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเด็กโรคไตอักเสบเฉียบพลันร่วมกับโรคหืด กรณีศึกษาเป็นผู้ป่วยเด็กชายอายุ 6 ปี 7 เดือน มาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา วันที่ 16 มีนาคม 2567 ด้วยอาการปัสสาวะมีเลือดปน 7 วันก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจร่างกายพบภาวะความดันโลหิตสูง และเสียงหายใจมีเสียงหวีดที่ปอดทั้งสองข้าง<br /> ผลการศึกษา: ระหว่างการเข้ารับการรักษา พบปัญหาการคั่งของน้ำ เกลือ และของเสียในร่างกาย เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ hypertensive encephalopathy จากภาวะความดันโลหิตสูง เกิดภาวะไม่สมดุลของ อิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย มีโอกาสเกิดภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากมีการหดเกร็งของหลอดลม ตลอดจนผู้ดูแลเกิดความวิตกกังวลจากการเจ็บป่วยของบุตร เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 9 วัน และได้รับการจำหน่ายกลับบ้าน</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/277766
การพยาบาลผู้ป่วยกระเพาะอาหารส่วนปลายและลำไส้เล็กส่วนต้นตีบที่ได้รับการผ่าตัดเชื่อมต่อกระเพาะอาหารส่วนปลายกับลำไส้เล็กส่วนกลาง: กรณีศึกษา
2024-09-29T15:17:45+07:00
อรสา ลาภเจริญ
jeetom.35.har@gmail.com
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและการพยาบาลผู้ป่วยกระเพาะอาหารส่วนปลายและลำไส้เล็กส่วนต้นตีบที่ได้รับการผ่าตัดเชื่อมต่อกระเพาะอาหารส่วนปลายกับลำไส้เล็กส่วนกลาง โดยศึกษาในผู้ป่วยชาย อายุ 44 ปี 6 ปีก่อน มีประวัติเป็นโรคแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น 2 เดือนก่อนมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดแน่นท้อง ท้องอืด ได้รับการส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น พบกระเพาะอาหารส่วนปลายตีบ และส่งชิ้นเนื้อตรวจ ผลเป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นร่วมกับเกิดการอักเสบและพบเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ ได้แก่ มีภาวะขาดสารน้ำ ขาดความสมดุลของเกลือแร่โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส มีของเสียคั่งในร่างกาย วิตกกังวล เกิดภาวะแทรกซ้อนบาดเจ็บของท่อน้ำดีร่วมและท่อตับอ่อนขณะผ่าตัด ขาดความรู้ในการปฏิบัติตนหลังผ่าตัดเมื่อกลับไปบ้าน ซึ่งผลการดูแลรักษาทุกปัญหาได้รับการแก้ไขหมดไป ส่วนปัญหาที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสเกิด ได้แก่ เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร เสี่ยงต่อการสำลักเศษอาหาร น้ำย่อยเข้าสู่ปอด มีโอกาสเกิดการสูญเสียเลือดมากขณะผ่าตัด เสี่ยงต่อเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดตัดกระเพาะอาหารส่วนปลาย และเชื่อมกระเพาะอาหารส่วนปลาย ท่อน้ำดีร่วม และท่อตับอ่อนกับลำไส้เล็กส่วนกลาง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้รับการป้องกัน ติดตาม และเฝ้าระวัง ทำให้ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ