วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej <p><strong>Journal of Environmental Education Medical and Health</strong><br /><strong>วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ<br />Print ISSN: 3027-8678<br />Online ISSN: 3027-866X</strong></p> สมาคมนักวิจัยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จังหวัดกาฬสินธุ์ th-TH วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 3027-8678 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง คัดกรองสุขภาพจิตในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274539 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development: R&amp;D) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง คัดกรองสุขภาพจิตในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1) การประเมินสภาพปัญหาปัจจุบัน ระยะที่ 2) ยกร่างรูปแบบการเฝ้าระวัง คัดกรอง ระยะที่ 3) ปรับปรุงพัฒนา ระยะที่ 4) นำรูปแบบไปทดลองใช้ และระยะที่ 5) การประเมินผลการดำเนินงานตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น (Model Evaluating) โดยใช้ระยะเวลาการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 – เดือนมกราคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดย การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่มีโรคประจำตัว มีอาชีพเป็นเกษตรกร ร้อยละ 57.78 มีรายได้ 5000 ถึง 10,000 บาทต่อเดือน ผู้ดูแลผู้ป่วยมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกับผู้ป่วย คิดเป็นร้อยละ 35.56 มีลักษณะโครงสร้างของครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว คิดเป็นร้อยละ 76.67 ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาการดูแลผู้ป่วยเท่ากับ 15.12 ปี ภาพรวมของสัมพันธภาพในครอบครัวอยู่ในระดับปานกลาง แต่ขาดการสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีรายได้ สร้างอาชีพ ภาพรวมภาระเชิงปรนัยและอัตนัยอยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทำนายกับตัวแปรตาม พบว่า ระบบบริการในชุมชน แกนนำผู้ดูแลผู้ป่วยสุขภาพจิตในชุมชน การดูแลผู้ป่วยและญาติ และการดำเนินงานสุขภาพจิตในชุมชน มีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นำมาสู่การยกร่างรูปแบบการเฝ้าระวัง คัดกรองสุขภาพจิต โดยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง คือ “BRM Model” หรือ “บุรีรัมย์ โมเดล” นำรูปแบบไปทดลองใช้ในปี 2565 ผลการดำเนินงานตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น (Model Evaluating) พบว่าในปี 2563 ผู้ป่วยจะเข้ารับบริการเฉลี่ย 3.11 ครั้ง/ คน/ ปี ซึ่งน้อยกว่าช่วงหลังการนำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยเข้ารับบริการสุขภาพจิตและจิตเวชในการให้บริการผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นเป็น 4.77 ครั้ง/ คน/ ปี ที่ระดับ (t-test) = -5.468 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อัตราการฆ่าตัวตายลำเสร็จลดลง และร้อยละของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้าถึงบริการเพิ่มสูงขึ้น</p> ศิลา จิรวิกรานต์กุล Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 1 9 ประสิทธิผลโปรแกรมเสริมสร้างความรู้และทักษะของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/272666 <p> การศึกษากึ่งทดลอง (quasi-experimental research) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของโปรแกรมเสริมสร้างความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ (Health-related quality of life; HRQoL) ของผู้ป่วยในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึง เดือนพฤศจิกายน 2566 ระหว่างกลุ่มทดลอง (n = 71) และกลุ่มควบคุม (n = 71) โดยก่อนและหลังกระบวนการวิจัยผู้ดูแลทั้งสองกลุ่มได้รับการประเมินความรู้และทักษะการดูแลผู้ป่วยในขณะที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้รับการประเมิน HRQoL ด้วยเครื่องมือ EQ-5D-5L (European Quality of life 5 Dimension) และแบบประเมินความเจ็บปวด (Visual Analog Scale; VAS) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ทดสอบไคสแควร์ (Chi-square test) และการทดสอบค่าที (t-test)<br /> ผลลัพธ์หลังจากได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 1 เดือน ทำให้ผู้ดูแลมีความรู้เพิ่มขึ้นและมีทักษะการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น(<em>p</em>&lt;0.001) นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมี HRQoL เพิ่มขึ้น โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ย EQ-5D-5L และ EQ-VAS เท่ากับ 0.663± 0.18 (เพิ่มขึ้น +0.44) และ 71.97± 13.71 (เพิ่มขึ้น +23.10) ตามลำดับ และมากกว่ากลุ่มควบคุม (<em>p</em>&lt;0.001)</p> ทัศนีย์ เวทยาวงศ์กุล ศิริธัญญ์ ตัญบุญยกิจ ธเนศ สังข์ศรี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 10 20 การพัฒนาศักยภาพของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลวังตะกู อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274540 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลวังตะกู อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมและรูปแบบการพัฒนาศักยภาพผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลวังตะกู อำเภอเมืองจังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตำบลวังตะกู อำเภอเมืองนครปฐม จำนวน 32 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดย การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ทักษะผู้ช่วยเหลือในการดูแลผู้สูงอายุตามกิจวัตรประจำวันตามความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) และทักษะผู้ช่วยเหลือในการดูแลผู้สูงอายุตามบทบาทหลัก โดยรวมและรายข้อ ก่อนดำเนินการ อยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินการ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยก่อนและหลังการดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงานทักษะผู้ช่วยเหลือในการดูแลผู้สูงอายุตามกิจวัตรประจำวันตามความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel ADL index) และทักษะผู้ช่วยเหลือในการดูแลผู้สูงอายุตามบทบาทหลัก มีมากกว่าก่อนดำเนินงาน</p> ศิวัช ปิยะรัตนวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 21 27 การพัฒนาแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม เพื่อยุติการแพร่กระจายของวัณโรคในจังหวัดชัยนาท https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274541 <p> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ( Participatory Action Research) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1 ) ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์วัณโรคในจังหวัดชัยนาท 2) ศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของจังหวัดชัยนาท 3) พัฒนาแนวทางการการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมวัณโรคของจังหวัดชัยนาท เก็บข้อมูลจากการสนทนาแบบกลุ่ม ( focus group discussion ) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in depth interview ) กำหนดกระบวนการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานควบคุมวัณโรคในพื้นที่ วิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จากการสนทนากลุ่มนำเสนอข้อมูลเป็นความเรียง (Descriptive Analysis) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบคัดกรองอาการสงสัยวัณโรคปอดของกองวัณโรคที่ประยุกต์ให้เป็นรูปแบบออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม เพื่อยุติการแพร่กระจายของวัณโรคในจังหวัดชัยนาท กำหนดให้เน้นการดำเนินการเชิงรุกในชุมชน ด้วยการใช้แบบคัดกรองอาการสงสัยวัณโรคปอด ของกองวัณโรค ซึ่งประยุกต์ให้เป็นรูปแบบออนไลน์ มาใช้ในการคัดกรอง สร้างรูปแบบการบันทึกข้อมูลผ่าน google form สำหรับการบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ นำผู้ที่มีคะแนนประเมินตั้งแต่ 3 คะแนนขึ้นไป เข้าสู่การตรวจที่โรงพยาบาลในเครือข่ายผ่านการนัดอย่างเป็นระบบ ดำเนินการขึ้นทะเบียนเมื่อวินิจฉัยเป็นวัณโรค เข้าสู่กระบวนการรักษาติดตาม และรายงานตามระบบ ตลอดจนมีการนัดหมายติดตามอาการ กรณีตรวจไม่พบวัณโรค กำหนดเป้าหมายการคัดกรองประชาชนทุกกลุ่มไม่เฉพาะเจาะจงใน 7 กลุ่มเสี่ยง ตามผลการศึกษาที่พบว่ามีผู้ได้รับการวินิจฉัยวัณโรคปอด เป็นกลุ่มที่อยู่นอก 7 กลุ่มเสี่ยง จำนวน 127 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.63 ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยทั้งหมด</p> มนตรี หนองคาย Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 28 35 ผลของโปรแกรมการเสริมพลังทางบวกต่อความผาสุกทางจิตวิญญาณผู้ดูแลหลักในผู้ป่วย ระยะท้ายโรคมะเร็ง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274542 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และความผาสุกทางจิตวิญญาณในผู้ดูแลหลักผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็งก่อน และหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการเสริมพลังทางบวกต่อความผาสุกทางจิตวิญญาณผู้ดูแลหลักในผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็ง 2) เปรียบเทียบผลของการใช้โปรแกรมเสริมพลังทางบวกต่อความผาสุกทางจิตวิญญาณในผู้ดูแลหลักผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็ง เป็นการวิจัยกึ่งทดลองชนิดกลุ่มเดียวกันวัดผลก่อน และหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนมจำนวน 33 ราย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แบบประเมินสุขภาพจิต General Health questionnaire ฉบับภาษาไทย (Thai GHQ-28) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนด้านสุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และความผาสุกทางจิตวิญญาณด้วยสถิติ Dependent pair sample t-test<br /> ผลการวิจัย พบว่า ระดับสุขภาพจิตโดยรวม ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม มีค่าคะแนนระดับน้อย หลังเข้าร่วมโปรแกรม มีค่าคะแนนระดับมาก ระดับคุณภาพชีวิตโดยรวม ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าคะแนนเฉลี่ยระดับน้อย หลังเข้าร่วมโปรแกรม มีค่าคะแนนเฉลี่ยระดับมาก และระดับความผาสุกทางจิตวิญญาณในผู้ดูแลหลักผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็งโดยรวม ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับน้อย หลังการเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับมาก เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้านสุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และความผาสุกทางจิตวิญญาณ ก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมการเสริมพลังทางบวกต่อความผาสุกทางจิตวิญญาณผู้ดูแลหลักในผู้ป่วยระยะท้ายโรคมะเร็ง พบว่า หลังได้รับโปรแกรมการทดลอง มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P &lt; 0.05</p> กรรธิมา ฝาระมี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 36 44 ผลการกระตุ้นการไหลของน้ำนมในแม่หลังคลอดด้วยคลื่นเหนือเสียง (ultrasound diathermy) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274543 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการกระตุ้นการไหลของน้ำนมในแม่หลังคลอดด้วยคลื่นเหนือเสียง (ultrasound diathermy ) กลุ่มตัวอย่างเป็นแม่หลังคลอดที่มาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลโพนพิสัยในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2567 จำนวน 30 ราย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุม 15 รายที่ได้รับการพยาบาลตามปกติและกลุ่มทดลอง 15 ราย ที่ได้รับโปรแกรมการกระตุ้นการไหลของน้ำนมด้วยคลื่นเหนือเสียงจำนวน 3 ครั้งคือหลังคลอด 24, 32 และ 40 ชั่วโมง โดยทำการกระตุ้นก่อนการให้นมบุตรหรือหลังการให้นมบุตรแล้ว 2 ชั่วโมง วัดปริมาณการไหลของน้ำนม ความสุขสบายและความเจ็บปวดเต้านมขณะให้นมบุตรก่อนการกระตุ้นครั้งแรกและหลังการกระตุ้นทุกครั้ง ใช้ความเข้มของคลื่นเหนือเสียงเท่ากับ 2.0 w/cm<sup>2 </sup>กระตุ้นเต้าละ 11 นาที โดยวน sound head บริเวณลานนม 1 นาทีและทำการวนรอบๆเต้านมอีก 10 นาที หลังจากนั้นบีบหัวนมเพื่อตรวจวัดปริมาณการไหลของน้ำนม สอบถามความสุขสบายและความเจ็บปวดขณะให้นมบุตร ผลการทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีอายุเฉลี่ย 25.07 ปี (SD=3.94) อายุครรภ์เฉลี่ย 38.27 สัปดาห์ (SD=0.88) น้ำหนักทารกแรกคลอดเฉลี่ย 3,023.60 (SD=416.18 ) กลุ่มควบคุมมีอายุเฉลี่ย 24.13 ปี (SD=5.80) อายุครรภ์เฉลี่ย 38.13(SD=0.99) น้ำหนักทารกแรกคลอดเฉลี่ย 2,745 (SD=2,4,109) ทั้งสองกลุ่มมีความตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกรายส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 6-9 เดือน ปริมาณการไหลของน้ำนมของกลุ่มทดลองมากว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ P&lt;0.05 ความสุขสบายขณะให้นมบุตรในกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ P&lt;0.05 ความเจ็บปวดเต้านมขณะให้นมบุตรในกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ P&lt;0.05 และความพึงพอใจของกลุ่มทดลองอยู่ในระดับดี</p> รัศมี จิตโม้มา ภคพร ตู้จินดา นวลวรรณ ปู่วัง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 45 55 การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นร่วมกับมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดและทารกมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275073 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอการศึกษาการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นร่วมกับมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดและทารกมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ซึ่งเป็นภาวะแทรกช้อนทางสูติศาสตร์ที่สำคัญ มีความเสี่ยงสูงที่รุนแรง หญิงไทย สถานภาพสมรสคู่ อายุ 16 ปี ตั้งครรภ์ที่ 1 อายุครรภ์ 34+4 สัปดาห์ รับไว้ในโรงพยาบาลระหว่างวันที่ 6-14 ธันวาคม 2566<br /> ผลการศึกษา พบว่า มาด้วยอาการเจ็บท้อง ท้องแข็งเป็นมา 20 นาที มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ไม่มีน้ำเดิน เด็กดิ้นดี สัญญาณชีพแรกรับ ชีพจร 88 ครั้งต่อ นาที อัตราการหายใจ 20 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 117/82 มิลลิเมตรปรอท หลังได้รับยายับยั้งการคลอด 1 ชั่วโมงยังไม่ดีขั้น มดลูกยังหดรัด ทุก 15 นาที จึงส่งต่อโรงพยาบาลนครนายก รับรักษาในห้องคลอด 5 วัน ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้ วันที่ 6 ของการรักษา อายุครรภ์ 35+2 สัปดาห์ แพทย์วินิจฉัยมีการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นร่วมกับมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ซีด และทารกมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต จึงดำเนินการคลอดโดยวิธีผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ทารกแรกเกิด Apgar score 9-10-10 น้ำหนัก 2,710 กรัม มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ Dtx. 40 mg% ย้าย NICU</p> พรรณวดี ฉายบุญครอง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 56 63 ผลของการใช้แบบประเมิน Pediatric Early Warning Score (PEWS) ร่วมกับการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันต่อผลลัพธ์การปฏิบัติการพยาบาล ตึกกุมารเวชกรรม สถาบันบำราศนราดูร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274144 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของแนวทางการใช้แบบประเมิน Pediatric Early Warning Score ร่วมกับการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน ตึกกุมารเวชกรรม สถาบันบำราศนราดูร กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม 1)พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 10 คน 2)ผู้ป่วยเด็กโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันจำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1)แนวทางการใช้แบบประเมิน Pediatric Early Warning Score (PEWS) ร่วมกับการใช้กระบวนการทางพยาบาลไปใช้กับผู้ป่วยเด็กโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน 2)แบบสอบถามการรับรู้ต่อความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในการใช้แนวทางแบบประเมิน Pediatric Early Warning Score 3)แบบสอบถามการรับรู้ต่อความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาล 4)แบบประเมินคุณภาพแนวทางการใช้แบบประเมิน Pediatric Early Warning Score ร่วมกับการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาล 5)แบบประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล 6)แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการใช้แนวทางการใช้แบบประเมิน Pediatric Early Warning Score ร่วมกับการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบที<br /> ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ต่อความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในการใช้แนวทางแบบประเมิน Pediatric Early Warning Score และคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ต่อความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลตามมาตรฐานการพยาบาล ภายหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ (p&lt;.001) ซึ่งผู้ปกครองของผู้ป่วยเด็กโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวทางอยู่ในระดับมากที่สุด</p> รัตนภรณ์ บวรวนิชพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 64 73 ประสิทธิภาพการตรวจติดตามความเค็มในอาหารด้วยเครื่องวัดเค็มในผู้ป่วยสูงอายุ ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ในตำบลร่อนพิบูลย์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274085 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการใช้เครื่องวัดเค็มและการให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่มีเกลือสูงในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงที่คุมไม่ได้ (ค่าเฉลี่ย systolic blood pressure (SBP) ≥140 มิลลิเมตรปรอท และค่าเฉลี่ย diastolic blood pressure (DBP) ≥90 มิลลิเมตรปรอท) งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบโดยสุ่มเลือกผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข้าร่วมโปรแกรมโดยการใช้เครื่องวัดเค็มในอาหารก่อนรับประทานและการให้ความรู้ (กลุ่มทดลอง) และให้ความรู้เพียงอย่างเดียว (กลุ่มควบคุม) และทดสอบความไวต่อการรับรสเค็ม เป็นเวลา 6 สัปดาห์<br /> ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เข้าร่วมทั้งหมด จำนวน 114 ราย แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 57 ราย และกลุ่มควบคุม จำนวน 57 ราย มีอายุเฉลี่ย 73.56±9.10 และ 74.73±9.01 ปี ตามลำดับ พบว่าหลังจากสัปดาห์ที่ 6 กลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงค่า SBP และ DBP อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em> &lt; 0.05) โดยมีค่าเฉลี่ย SBP เท่ากับ 137.01±8.98 มิลลิเมตรปรอท (ลดลง 8.81) และค่าเฉลี่ย DBP เท่ากับ 94.19±3.17 มิลลิเมตรปรอท (ลดลง 13.12) ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มทดลองมีการปรับเปลี่ยนความไวต่อการรับรสเค็มที่ความเข้มข้นเกลือต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (<em>P</em> &lt;0.001) โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.78±13.14 มิลลิโมลต่อลิตร (ลดลง 4.99)</p> ทัศนา คชเชน ศิริธัญญ์ ตัญบุญยกิจ ธเนศ สังข์ศรี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 74 82 การประเมินการถ่ายภาพรังสีทรวงอกจากเครื่องเอกซเรย์ดิจิตอล ด้วยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ในทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยวิกฤติเด็ก โรงพยาบาลสมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274545 <p> งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพ และค่าดัชนีรังสี ค่าเบี่ยงเบนรังสีจากภาพถ่ายรังสีทรวงอกทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยวิกฤติเด็ก โรงพยาบาลสมุทรปราการกับเกณฑ์เหมาะสมของบริษัทผู้ผลิต และเทียบกับเป้าหมายหน่วยงาน จากระบบดิจิทัลเอกซเรย์เคลื่อนที่ (Mobile Carstream) โดยใช้ข้อมูลก่อนพัฒนาของทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยวิกฤติเด็ก ที่เข้ารับบริการตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 – 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 600 แผ่นภาพ (เดือนละ 100 แผ่นภาพ) และ ข้อมูลช่วงพัฒนา1กรกฎาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 600 แผ่นภาพ (เดือนละ 100 แผ่นภาพ) วิเคราะห์ค่าดัชนีรังสีและค่าเบี่ยงเบนรังสีและระดับคุณภาพ ช่วงก่อนพัฒนาและช่วงพัฒนา พรรณนาข้อมูลด้วย จำนวน ค่าร้อยละ และเทียบกับเป้าหมายหน่วยงาน<br /> ผลวิจัยกลุ่มทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยวิกฤติเด็ก มีช่วงอายุ 0-1 เดือน น้ำหนักตัวช่วง 800- 2500 กรัม ในจำนวนภาพถ่ายรังสีทรวงอก 1,200 ภาพ ช่วงหกเดือนแรก กลุ่มก่อนพัฒนา 600 ภาพ (1 ม.ค.- 30 มิ.ย. 2566) มีร้อยละสัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง 52.8 ต่อ 47.2 และช่วงหกเดือนหลัง กลุ่มพัฒนา (1 ก.ค.- 31 ธ.ค. 2566) 600 ภาพ มีร้อยละสัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง ร้อยละ 50.4 ต่อ 49.6 ผลการประเมินค่าดัชนีรังสี (EI) ค่าเบี่ยงเบนรังสี (DI) ช่วงก่อนพัฒนาช่วงหกเดือนแรก อิงเกณฑ์เหมาะสมของบริษัท พบภาพรังสี (Under) ร้อยละ 3.50 ภาพรังสีที่มีค่าต่ำ (Low) 14.50 ภาพรังสี (Optimum) 68.34 ภาพรังสีที่มีค่าสูง (High) ร้อยละ 9.83 และภาพรังสีที่มีมีค่าสูงกว่า (Over) ร้อยละ 3.83 ช่วงพัฒนา ช่วงหกเดือนหลัง ไม่พบภาพรังสีที่มีต่ำกว่า (Under) หรือร้อยละ 0 ภาพรังสีที่มีค่าต่ำ (Low) เพียงร้อยละ 2.34 ภาพรังสีอยู่เกณฑ์เหมาะสม (Optimum) เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 95 (เกินเป้าหมายหน่วยงานที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ90) ภาพรังสีที่มีมีค่าสูง (High) ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2.99 และไม่พบภาพรังสีที่มีค่าสูงกว่า (Over) หรือร้อยละ 0</p> อรทัย โยธิการ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 83 93 ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมพลังสุขภาพจิตต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274624 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุปะสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิต ต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 46 คน ที่มารับบริการรักษาที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาทและโรงพยาบาลหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี สุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 23 คน กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิต เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบประเมิน ภาวะซึมเศร้า 9Q ของกรมสุขภาพจิต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ dependent t-test และ independent t-test<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) คะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01</p> จักรกรินทร์ รัชวิจักขณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 94 102 การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งไตที่มีภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่แข็งตัวและได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไปเพื่อผ่าตัดไตโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic radical nephrectomy) :กรณีศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274625 <p> กรณีศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์: เพื่อนำแนวคิดแบบแผนสุขภาพตามทฤษฎีทางการพยาบาลของกอร์ดอน และทฤษฎีทางการพยาบาลของโอเร็ม มาประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งไตที่มีภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่แข็งตัวและได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไปเพื่อผ่าตัดไตโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic radical nephrectomy) วิธีการศึกษา: ศึกษาผู้ป่วยมะเร็งไตและได้รับการผ่าตัดไตโดยการส่องกล้อง จำนวน 1 ราย ที่เข้ารับการดูแลรักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เครื่องมือที่ใช้เป็นเวชระเบียนผู้ป่วยใน โดยการศึกษาข้อมูลทั่วไป ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และผลลัพธ์ทางการพยาบาล ในระยะก่อนได้รับยาระงับความรู้สึก ระยะขณะได้รับยาระงับความรู้สึก ระยะฟื้นจากการให้ยาระงับความรู้สึก และระยะหลังได้รับยาระงับความรู้สึก<br /> ผลการศึกษา พบว่า ระยะก่อนได้รับยาระงับความรู้สึกผู้ป่วยมีปัญหาไม่สุขสบายจากการปวดจุกบริเวณชายโครงด้านซ้ายร้าวไปเอวด้านหลัง และวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด ระยะขณะได้รับยาระงับความรู้สึก ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ภาวะคุกคามชีวิต หากมีการบาดเจ็บในช่องท้อง และช่องเยื่อหุ้มปอด ระยะฟื้นจากการให้ยาระงับความรู้สึกเสี่ยงต่อภาวะหายใจลำบาก พร่องออกซิเจน และอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ ในระยะหลังได้รับยาระงับความรู้สึก พบว่า ผู้ป่วยไม่สุขสบายจากการปวดแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้อง และผู้ป่วยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งปัญหาและความเสี่ยงทุกอย่างได้รับการดูแลแก้ไข การทำผ่าตัดราบรื่นดี ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ และนัดตรวจหลังจำหน่ายกลับบ้าน 2 สัปดาห์ รวมเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 9 วัน</p> นันทพร พืชพิสุทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 103 115 การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกในระยะวิกฤต โรงพยาบาลกาฬสินธุ์: กรณีศึกษา 2 ราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274678 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบข้อวินิจฉัยการพยาบาล การพยาบาลและผลลัพธ์การพยาบาลในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก กรณีศึกษา 2 รายและเพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก โรงพยาบาลกาฬสินธุ์<br /> ผลการศึกษา : กรณีศึกษารายที่ 1 หญิงไทย อายุ 40 ปี การวินิจฉัย Basal gangion Hemorrage เข้ารักษาด้วยอาการ ซึมลง แขนและขาด้านขวาอ่อนแรง เป็นก่อนมาโรงพยาบาล 4 ชั่วโมง ประวัติโรคร่วม ความดันโลหิตสูง รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง หยุดยาเอง ขาดการเข้าตรวจตามนัด ระดับความรู้สึกตัวแรกรับGlasgow comascore(GCS) E3VTM5 Motor power left grade V right grade 0 รับการรักษาด้วยการผ่าตัดสมอง Craniectomy with remove clot และควบคุมภาวะความดันโลหิตสูง พบปัญหาขณะดูแล ได้แก่ ภาวะ Acute respiratory failure, Hypertension, Hypokalemia ปัญหาการเคลื่อนไหวบกพร่อง หลังรับการรักษาผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนของโรค อาการผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายโดยแพทย์อนุญาต<br /> กรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทย อายุ 44 ปี การวินิจฉัย Intracerebral hemorrhage เข้ารักษาด้วยอาการ แขน ขา อ่อนแรงซีกซ้าย ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ซึมลง เป็นก่อนมาโรงพยาบาล 2 ชั่วโมง ปฏิเสธโรคประจำตัว มีประวัติสูบบุหรี่และดื่มสุรา ระดับความรู้สึกตัว Glasgow comascore (GCS) E2VTM5 Motor power left grade III right grade V รับการรักษาด้วยการควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงและวางแผนผ่าตัดสมอง ญาติปฏิเสธการรักษาด้วยการผ่าตัดสมองไม่กดนวดหัวใจ เลือกการรับการรักษาแบบประคับประคองต้องการให้ผู้ป่วยตายดี ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงและมีภาวะสมองตาย แพทย์ได้แจ้งอาการให้ญาติผู้ป่วยรับทราบอาการเปลี่ยนแปลงและแผนการรักษาและให้ข้อมูลการบริจาคอวัยวะในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตายให้ญาติรับทราบ ญาติตัดสินใจบริจาคอวัยวะทุกส่วนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ให้กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยในวาระสุดท้ายของชีวิต</p> วารุณี เข็มลา Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 116 129 การพยาบาลผู้ป่วยแผลผ่าตัดติดเชื้อหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม : กรณีศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274387 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อที่ตำแหน่งผ่าตัด โดยคัดเลือกผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมและมีโรคร่วม ที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกหญิง โรงพยาบาลสระบุรี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน ข้อมูลจากผู้ป่วยและญาติ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าจากตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล ประเมินปัญหา ระบุข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผนการพยาบาล และประเมินผลการพยาบาลครอบคลุมองค์รวม<br /> ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่วยกรณีศึกษารายนี้เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัวร่วม ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมได้12วัน คือ มีการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดสะโพกซ้าย ซึ่งสาเหตุเกิดจากความไม่พร้อมของผู้ดูแล ที่ขาดการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ได้รับการรักษาโดยแพทย์ผ่าตัดเปิดปากแผลเพื่อล้างแผล พร้อม re-suture ใหม่ ร่วมกับ ให้ยาปฏิชีวนะฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เป็นเวลา 10 วัน อาการติดเชื้อดีขึ้นแพทย์จำหน่ายกลับบ้านได้</p> ศรีสอางค์ ชุ่มละมัย Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 130 136 ผลของกระบวนการพัฒนาตำบลต้นแบบส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยชุมชนมีส่วนร่วม ในเขตพื้นที่ตำบลหนองช้าง อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274398 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลกระบวนการพัฒนาตำบลต้นแบบส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยชุมชนมีส่วนร่วมในเขตพื้นที่ตำบลหนองช้าง อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูล ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมายเชิงพื้นที่ ได้แก่ ตำบลหนองช้าง จำนวน 1 ตำบล ,กลุ่มเป้าหมายเชิงสถานที่ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 3 แห่ง และกลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัยและผู้เลี้ยงดู จำนวน 45 คู่ โดยใช้เกณฑ์คัดเข้ากลุ่มตัวอย่างและการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ระยะเวลาศึกษา เดือน มิถุนายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เกณฑ์ตำบลมหัศจรรย์ 1,000 วัน Plus ,เกณฑ์สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานแห่งชาติ ด้านสุขภาพ 4D ,คู่มือ DSPM ,Program Triple P ,แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ และแบบวัดทักษะพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการของผู้เลี้ยงดู สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบความแตกต่างภายในกลุ่มด้วย Paired t-test<br /> ผลการวิจัย พบว่า กระบวนการพัฒนาตำบลต้นแบบส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยชุมชนมีส่วนร่วมมีกระบวนการเรียนรู้แก่แกนนำชุมชนที่เกี่ยวข้อง โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาตำบลมหัศจรรย์ 1,000 วัน Plus ที่ครอบคลุมการดูแลเด็กปฐมวัยในกลุ่มอายุ 0 - 2 ปี รวมถึงครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มหญิงหลังคลอด ร่วมกับการยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานแห่งชาติ ด้านสุขภาพ 4D สำหรับกระบวนการเรียนรู้แก่พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า ใช้โปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวกโดยครอบครัวมีส่วนร่วมที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยในกลุ่มอายุ 2 - 5 ปี ซึ่งตำบลหนองช้างผ่านการรับรองเป็น ตำบลมหัศจรรย์ 1,000 วัน Plus ,สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานแห่งชาติ ด้านสุขภาพ 4D ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 100 และหลังเข้าร่วมกระบวนการ เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้ง 5 ด้าน ร้อยละ 100 ,ระดับความฉลาดทางด้านอารมณ์ ด้านดี ส่วนใหญ่ ปกติ ร้อยละ 88.89 ,ด้านเก่ง ส่วนใหญ่ ปกติ ร้อยละ 91.11 และด้านสุข ส่วนใหญ่ ปกติ ร้อยละ 100 และทักษะพฤติกรรมของผู้ปกครองของเด็กปฐมวัย ส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 91.11 โดยภาพรวมหลังเข้าร่วมโปรแกรม ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยมีทักษะพฤติกรรม สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.05)</p> ประครอง วิเชียรสาร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 137 148 ปัจจัยที่มีผลต่อการหกล้มในผู้สูงอายุในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสระ ตำบลท้ายสำเภา อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274416 <p> วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อการหกล้มในผู้สูงอายุ การสำรวจแบบภาคตัดขวางของงานวิจัยนี้ได้เก็บข้อมูลในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในตำบลท้ายสำเภา ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 145 ราย ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายและวิเคราะห์สถิติพรรณนา ไคสแควร์ และการถดถอยลอจิสติก<br /> จากการสำรวจผู้สูงอายุในตำบลท้ายสำเภาพบความชุกของการหกล้มในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เท่ากับ 26.89% มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในที่มีนัยสำคัญ (<em>P</em> &lt; 0.05) คือ ปัญหาการทรงตัวทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสหกล้มได้ 6.79 เท่า (Odds Ratio = 6.79; CI 95% (2.14-21.48)) นอกจากนี้พบว่าการจัดการปัจจัยภายนอกให้มีสภาพแวดล้อมในบ้านที่ปลอดภัย เช่น มีแสงสว่างชัดเจน ช่วยป้องกันการหกล้มได้อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em> = 0.004) (Odds Ratio = 0.17; CI 95% (0.05-0.58)) และการจัดวางสิ่งของภายในบ้านให้เป็นระเบียบช่วยลดโอกาสในการหกล้มได้อย่างมีนัยสำคัญ (<em>P</em> = 0.003) (Odds Ratio = 0.08; CI 95% (0.01-0.43))</p> สายพิณ โต๊ะหีม ธเนศ สังข์ศรี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 149 157 การพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงร่วมกับมีภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ : กรณีศึกษา 2 ราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274779 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย ศึกษาในผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงร่วมกับกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลันที่มีความเสี่ยงสูงและความรุนแรงที่แตกต่างกันจำนวน 2 รายในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 1 โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ คัดเลือกกรณีศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะปอดอักเสบรุนแรงร่วมกับกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน เก็บรวบรวมข้อมูลจากประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการการรักษาพยาบาล เวชระเบียน การสังเกตอาการ การสัมภาษณ์ญาติผู้ป่วย<br /> ผลการศึกษาพบว่าข้อวินิจฉัยการพยาบาลของผู้ป่วยกรณีศึกษา 2 ราย ที่เหมือนกันคือ 1) แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง 2) ปริมาตรเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากมีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต 3) มีภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลท์และเกลือแร่ในร่างกาย 4) มีการติดเชื้อในระบบต่างๆของร่างกาย 5) เสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ 6) ญาติและผู้ป่วยมีความกังวลเนื่องจากมีภาวะเจ็บป่วยสำหรับข้อวินิจฉัยการพยาบาลของผู้ป่วยกรณีศึกษา 2 ราย ที่แตกต่างกันของกรณีศึกษารายที่ 1 คือ ขาดความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยที่เจาะคอเมื่อกลับไปอยู่บ้าน และรายที่ 2 คือ ผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายอยู่ในภาวะเครียด </p> จิราพร ภูผาลัย Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 158 166 กรณีศึกษา: การพยาบาลแบบองค์รวมผู้ป่วยแผลกระจกตาเสี่ยงตาบอดสูง โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ : กรณีศึกษา 3 ราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274780 <p> การศึกษากรณีศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ 2) เสริมพลังการดูแลตนเองของผู้ป่วยแผลกระจกตาและผู้ดูแลให้สามารถดูแลตนเองได้ หลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล ศึกษาในผู้ป่วยแผลกระจกตาเสี่ยงตาบอดสูง<strong>: </strong>กรณีศึกษา 3 ราย ในหอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ การเก็บรวบรวมข้อมูล จากประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษาทางการแพทย์ จากเวชระเบียน การสอบถามปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยและญาติและการสังเกต<br /> ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาของผู้ป่วยที่เหมือนกันคือ 1) เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น 2) ไม่สุขสบาย เนื่องจากปวดและระคายเคืองตา 3) วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ 4) เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากตามัว 5) ขาดความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติตัวเมื่อจำหน่ายจากโรงพยาบาล ปัญหาผู้ป่วยที่แตกต่างกันคือ กรณีศึกษาที่ 1 เสี่ยงต่อกระจกตาทะลุเนื่องจากกระจกตาบางลง กรณีศึกษาที่ 2 เสี่ยงต่อการเกิดต้อหินจากกระจกตาบวมมากและ กรณีศึกษาที่ 3 คือมีภาวะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน Hypoglycemia, Hyperglycemia จากการศึกษาครั้งนี้พบว่าหลังจากให้การพยาบาลแบบองค์รวมโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยและผู้ดูแลคลายความวิตกกังวลเรื่องโรคและการรักษาผู้ป่วยผู้ดูแลสามารถดูแลตนเองได้</p> เพลินพิศ บุญสุนทรกุล Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 167 173 กระบวนการดูแลผู้ใช้สารเสพติดแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โพนสวาง อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274527 <p> งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participation Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพร้อม ความเข้มแข็งของหมู่บ้าน และกระบวนการดูแลผู้ใช้สารเสพติดแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโพนสวาง อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยศึกษาตั้งแต่ เดือน เมษายน - พฤษภาคม 2567 รวม 2 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือ ชุดปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดตำบลและหมู่บ้าน จำนวน 82 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแนวทางการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมานโดย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน และ Dependent t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการดูแลผู้ใช้สารเสพติดแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วย การวิเคราะห์ชุมชน, การจัดโครงสร้างและกำหนดบทบาท, การวางแผน, การดำเนินการ, การติดตามประเมินผลและถอดบทเรียน ทำให้ชุดปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดตำบลและหมู่บ้านมีความพร้อมในการดูแลผู้ใช้สารเสพติดหลังดำเนินการโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยที่หลังดำเนินงานมีค่าคะแนนเฉลี่ยแตกต่างจากก่อนดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งในด้านการเตรียมพื้นที่, การค้นหา, การคัดกรอง, การบำบัดฟื้นฟูสภาพ และการลดอันตรายจากยาเสพติด จนสามารถค้นหา คัดกรอง และบำบัดผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนเพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมา และหมู่บ้าน/ชุมชนมีความเข้มแข็งด้านการต่อต้านยาเสพติดอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก</p> พนม ขันธบูรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 174 183 ประสิทธิผลการทับหม้อเกลือต่อการลดลงของขนาดหน้าท้องในมารดาหลังคลอด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274609 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการทับหม้อเกลือต่อการลดลงของขนาดหน้าท้องในมารดาหลังคลอด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเดื่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างเดียว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือ มารดาหลังคลอดที่คลอดปกติ จำนวน 10 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับบริการการทับหม้อเกลือ วันเว้นวัน จำนวน 3 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย สายวัดเพื่อวัดระดับหน้าท้องในมารดาหลังคลอด การทับหม้อเกลือ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ paired t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผลการทับหม้อเกลือพบว่าผลการลดลงของระดับขนาดหน้าท้องในมารดาหลังคลอดก่อนการทับหม้อเกลือพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับการลดลงของหน้าท้องอยู่ที่ 93.62 (S.D.=7.95) และหลังการทับหม้อเกลือพบว่า ค่าเฉลี่ยระดับการลดลงของหน้าท้องอยู่ที่ 90.00 (S.D.= 8.12) ระดับการลดลงของระดับหน้าท้องในมารดาหลังคลอดก่อนและหลังการทับหม้อเกลือ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00</p> สุพรรษา มีวิชา Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 184 191 ผลของการประคบสมุนไพรร้อนชื้นเพื่อลดอาการปวดหลังส่วนล่างในหญิงตั้งครรภ์แรกที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่ 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274610 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการประคบสมุนไพรร้อนชื้นต่อระดับความปวดหลังส่วนล่างของหญิงตั้งครรภ์แรกที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการประคบสมุนไพรร้อนชื้น กลุ่มตัวอย่างได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบบันทึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ด้วยวิธีการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ และสถิติ Paired t test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผลการเปรียบเทียบอาการปวดหลังส่วนล่างของหญิงตั้งครรภ์แรกที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่ 3 ก่อนและหลังการประคบสมุนไพรร้อนชื้น พบว่า เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระดับความปวดก่อนและหลังการประคบสมุนไพรร้อนชื้น พบว่า การประคบสมุนไพรร้อนชื้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความปวดหลังส่วนล่างในหญิงตั้งครรภ์แรกที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่ 3 ก่อนและหลังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) โดยหลังจากการประคบสมุนไพรร้อนชื้นในหญิงตั้งครรภ์มีอาการปวด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.52 (S.D. = 1.208) ซึ่งลดลงจากก่อนการประคบสมุนไพรร้อนชื้น ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 (S.D. = 1.256) </p> จุฑารัตน์ แวดล้อม Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 192 199 ผลของโปรแกรมการพยาบาลแบบไร้รอยต่อเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านแบบประคับประคอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275074 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One group pretest-posttest design) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพยาบาลแบบไร้รอยต่อเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านแบบประคับประคอง พื้นที่อำเภอเขาวง โรงพยาบาลเขาวง โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ได้แก่ ผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านแบบประคับประคองที่ได้รับการส่งต่อเพื่อรับบริการดูแลแบบประคับประคองในเครือข่ายบริการสุขภาพของโรงพยาบาลเขาวง และผู้ดูแลหลักของผู้ป่วยดูแลแบบประคับประคองทั้งเพศหญิงและชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2567 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 ระยะเวลา 12 สัปดาห์ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึกข้อมูลและโปรแกรมการพยาบาลแบบไร้รอยต่อเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านแบบประคับประคอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จำนวน ร้อยละ และ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการพยาบาลแบบไร้รอยต่อเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านแบบประคับประคอง ผู้ป่วยระยะท้ายมีคะแนนเฉลี่ยความทุกข์ทรมานจากอาการรบกวนโดยรวม และมีคะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การดูแลโดยรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p&lt;0.001) และผู้ดูแลมีคะแนนเฉลี่ยภาวะเครียดก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> อดิศร อุดรทักษ์ นภาพร อารมณ์สวะ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 200 208 ความชุกของภาวะพร่องและขาดวิตามินดีในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มารับบริการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274691 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความชุกของภาวะพร่องและขาดวิตามินดีในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease; CKD) และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาในการสัมผัสแสงแดดและระดับของ 25-hydroxyvitamin D ในซีรั่ม การศึกษานี้เป็นการสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน พ.ศ. 2567 ด้วยการสัมภาษณ์ระยะเวลาในการสัมผัสแสงแดดและข้อมูลจากเวชระเบียน จากนั้นนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ทดสอบไคสแควร์ และทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน<br /> ผลงานวิจัยนี้พบว่า ผู้ป่วย CKD ที่อาสาสมัครเข้าร่วมทั้งหมด จำนวน 220 ราย ประกอบด้วยระยะ 3a จำนวน 8 ราย ระยะ 3b จำนวน 28 ราย ระยะ 4 จำนวน 33 ราย และระยะ 5 จำนวน 151 ราย พบว่าผู้ป่วย CKD ในจังหวัดสมุทรสาครมีความชุกของภาวะพร่องและขาด 25-hydroxyvitamin D ในซีรั่มตามระยะของ CKD คือ ผู้ป่วยที่มี 25-hydroxyvitamin D &lt; 20 นก./มล. (ภาวะขาดวิตามินดี) (CKD ระยะ 3a = 2%, 3b = 9.2%, 4 = 13.3% และ 5 = 75.5%) ในขณะที่ 25-hydroxyvitamin D ระหว่าง 20-29 นก./มล. (ภาวะพร่องวิตามินดี) (CKD ระยะ 3a = 3.9%, 3b = 11.7%, 4 = 17.5% และ 5 = 67%) นอกจากนี้ ระดับวิตามินดีในเลือดจะลดลงตามระยะ CKD ที่เพิ่มขึ้น (P = 0.011) เช่นเดียวกับค่าอัลบูมินในซีรั่มและฮีโมโกลบินมีปริมาณลดลงตามระยะ CKD ที่เพิ่มขึ้น (P = 0.010 และ P = 0.001 ตามลำดับ) เมื่อวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันพบว่าการสัมผัสแสงแดดต่อวันมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับ 25-hydroxyvitamin D ในซีรั่ม (r = 0.23, P &lt;0.001)</p> ศุภศรัณย์ ศุภพัฒนพงศ์ ธเนศ สังข์ศรี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 209 219 การพัฒนาแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้รับบริการมีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274401 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้รับบริการมีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลที่โรงพยาบาลสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน 2) สำรวจการนำแนวทางการจัดการเมื่อพบผู้รับบริการมีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลไปทดลองใช้ในโรงพยาบาล และ 3) ติดตามผลการดำเนินงานการติดตามและวินิจฉัยผู้รับบริการที่โรงพยาบาลที่มีค่าความดันโลหิตสูงอันตราย (SBP ≥ 180 mmHg และ/ หรือ DBP ≥ 110 mmHg) เก็บข้อมูลจากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมทดลองนำร่อง 33 แห่ง แบ่งเป็น การตอบแบบสำรวจการประเมิน Flow Chart แนวทางฯ และข้อมูลผู้รับบริการที่มาโรงพยาบาลที่มีค่าระดับความดันโลหิตสูงอันตรายที่ควรได้รับการวินิจฉัยหรือการติดตาม ระยะเวลาดำเนินงานทดลองใช้แนวทางฯ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ<br /> ผลการศึกษาพบว่า การนำแนวทางฯ ไปทดลองใช้ในโรงพยาบาล 33 แห่ง สามารถเพิ่มการยืนยันวินิจฉัยและการติดตามในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอันตรายได้ โดยมีการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ 1) เพิ่มการยืนยันวินิจฉัยขึ้นทะเบียนรักษาโรคความดันโลหิตสูงในวันนั้น มีผลการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงหลังเข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 24.55 สูงกว่าก่อนเริ่มโครงการ ร้อยละ 21.06 และในปีงบประมาณ มีผลการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง หลังเข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 52.92 สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 22.46 2) เพิ่มการติดตามและยืนยันวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง ภายใน 1-7 วัน มีผลการดำเนินงานหลังเข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 14.98 สูงกว่าก่อนเริ่มโครงการร้อยละ 14.35 และภายในปีงบประมาณ มีผลการดำเนินงานหลังเข้าร่วมโครงการ ร้อยละ 46.58 สูงกว่าก่อนเริ่มโครงการ ร้อยละ 35.64 ทั้งนี้แนวทางการจัดการเมื่อพบผู้รับบริการมีความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาล ผ่านการประเมินและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ กรมควบคุมโรค ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565</p> หทัยชนก เกตุจุนา ณัฐธิวรรณ พันธ์มุง เบญจมาศ นาคราช ขวัญชนก ธีสระ สุภาพร ศุภษร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 220 230 สมรรถนะทางวัฒนธรรมของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274551 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ(Survey Research) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของสมรรถนะทางวัฒนธรรม และเปรียบเทียบสมรรถนะทางวัฒนธรรมของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม ปีการศึกษา 2566 จำนวน 222 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยการหาความตรงตามเนื้อหาและหาความเชื่อมั่นด้วยวิธีครอนบาคได้เท่ากับ0.982 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one way analysis of variance) และวิเคราะห์ Post Hoc ด้วย LSD<br /> ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มีระดับสมรรถนะทางวัฒนธรรมในภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากโดยมีสมรรถนะทางวัฒนธรรมรายด้านเรียงตามลำดับดังนี้ 1) ด้านการมีความไวต่อการแสดงออกทางวัฒนธรรม 2) ด้านการมีความสามารถในการ ติดต่อสื่อสาร 3) ด้านการเคารพความเป็นบุคคล 4) ด้านการเข้าใจความต่างทางวัฒนธรรมและ 5) ด้านการให้การพยาบาลที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ส่วนผลการเปรียบเทียบสมรรถนะทางวัฒนธรรมของนักศึกษา พบว่าสมรรถนะทางวัฒนธรรมของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 แตกต่างจากนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> เจริญชัย หมื่นห่อ วิภาวรรณ สีหาคม Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 231 237 การพยาบาลผู้ป่วยโรคต้อหินที่มีภาวะความดันลูกตาสูงและมีโรคเบาหวานร่วม ที่มารับการตรวจแบบผู้ป่วยนอก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274712 <p> การศึกษากรณีศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคต้อหินที่มีภาวะความดันลูกตาสูงและมีโรคเบาหวานร่วมที่มารับการตรวจแบบผู้ป่วยนอก เลือกแบบเฉพาะเจาะจง กรณีศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคต้อหินที่มีภาวะความดันลูกตาสูงและมีโรคเบาหวานร่วมที่มารับการตรวจแบบผู้ป่วยนอก โดยศึกษาจากเวชระเบียนระบบ <u>HOSxP</u> ข้อมูลจากการสอบถามผู้ป่วยและญาติ การศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ การตรวจและการรักษาของจักษุแพทย์ ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษา การใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพ การมาตรวจตามนัดอย่างต่อเนื่อง ความดันลูกตาลดลง ไม่เกิดภาวะตาบอด และภาวะแทรกซ้อนจากโรคร่วม โดยการติดตามนัดทั้งหมด 7 ครั้ง รวมระยะเวลาในการดูแล 11 เดือน 20 วัน<br /> ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยเป็นต้อหินจากการมาคัดกรองเบาหวานเข้าจอประสาทตา ซึ่งถือเป็นผู้ป่วยต้อหินรายใหม่ที่เริ่มการรักษาด้วยการให้ยาหยอดลดความดันลูกตา (anti-glaucoma drug) เพื่อดูการตอบสนองต่อยาและติดตามความดันลูกตา ดังนั้นพยาบาลผู้ป่วยนอกจักษุจึงมีบทบาทสำคัญในการให้การพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วยต้อหินรายใหม่ที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ในการให้คำแนะนำเสริมแรงการปรับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการดูแลของผู้ป่วยและญาติ จะส่งผลให้ผู้ป่วยอยู่กับโรคได้อย่างปลอดภัยจากภาวะตาบอดได้</p> ฐิตารีย์ รุกขชาติ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 238 246 การพัฒนาและการใช้แบบตรวจสอบรายการความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ได้รับบริการระงับความรู้สึกเพื่อการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ได้รับบริการระงับความรู้สึก ตามการรับรู้ของวิสัญญีพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274665 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาแบบตรวจสอบรายการความปลอดภัยฯ 2) เพื่อประเมินผลการใช้แบบตรวจสอบรายการความปลอดภัยฯ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรในการนําแบบตรวจสอบรายการความปลอดภัยฯ ไปใช้ และ 4) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขในการนําแบบตรวจสอบรายการความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ได้รับบริการระงับความรู้สึกไปใช้ตามการรับรู้ของวิสัญญีพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิสัญญีในโรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 164 คน คำนวณจากสูตรของเครซซี่และมอร์แกน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ได้รับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.93-0.96 และค่าความเที่ยงโดยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง 0.91-0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นไปได้ในการนําแบบตรวจสอบความปลอดภัยไปใช้อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 3.94, SD = .08) ปัญหาและอุปสรรคในการนำแบบตรวจสอบความปลอดภัยไปใช้อยู่ในระดับน้อยที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=1.49, SD=.06) ช่วงที่ทำการศึกษาพบอุบัติการณ์การรั่วซึมสารน้ำออกนอกหลอดเลือดดำผู้ป่วยและบวมมากที่สุดจำนวน 14 ราย (ร้อยละ 0.28) รองลงมาพบภาวะหลอดลมหดเกร็งจำนวน 9 ราย (ร้อยละ 0.18) และพบภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการจัดท่าน้อยที่สุดจำนวน 1 ราย (ร้อยละ 0.02)</p> ทัศนีย์ สุนทร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 247 258 ประสิทธิผลของนวัตกรรม Save IV Line https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274629 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบ 2 กลุ่มวัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของนวัตกรรม Save IV Line โดยใช้กระบวนการ PDCA และการมีส่วนร่วมของทีมพยาบาลหอผู้ป่วยใน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเด็กอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปี ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลปง จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ (1) แบบบันทึกอัตราการเลื่อนหลุดของเข็มแทงน้ำเกลือ (2) แบบบันทึกระยะเวลาที่ใช้ในเตรียมอุปกรณ์และการผูกยึดน้ำเกลือ และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ และผู้ปกครองผู้ป่วยเด็ก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา independent t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า อัตราการเลื่อนหลุดของเข็มแทงน้ำเกลือในผู้ป่วยเด็กกลุ่มควบคุม เท่ากับร้อยละ 64.00 และกลุ่มทดลอง ร้อยละ 16.00 ระยะเวลาที่ใช้ในเตรียมอุปกณ์และการผูกยึดน้ำเกลือระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; 0.001) โดยใช้ระยะเวลาเฉลี่ยในกลุ่มควบคุม เท่ากับ 177.16 วินาที (SD=16.44) ส่วนกลุ่มทดลอง เท่ากับ 45.04 วินาที (SD=5.10) พยาบาลวิชาชีพและผู้ปกครองผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม นวัตกรรม Save IV Line เป็นอุปกรณ์ที่ตัดเย็บง่าย ผลิตจากวัสดุที่หาง่าย ใช้วัสดุเหลือใช้ในหน่วยงาน มีต้นทุนของวัสดุอุปกรณ์และการตัดเย็บต่ำ ในราคาชิ้นละ 20 บาท และสามารถนำมาใช้ซ้ำได้</p> ณีรนุช วงค์เจริญ พิมพ์ใจ ลังการ์พินธุ์ พัชรินทร์ ไชยบาล ทัพพ์ขวัญ ศรีรัตยาวงค์ พรทิพย์ ปาอิน วิชานีย์ ใจมาลัย อิชยา มอญแสง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 259 266 ความพึงพอใจของผู้รับการตรวจราชการและนิเทศงานเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ ที่มีต่อการตรวจราชการและนิเทศงาน กรณีปกติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง ปีงบประมาณ 2566 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275077 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะของผู้รับการตรวจราชการและนิเทศงานเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอที่มีต่อการตรวจราชการและนิเทศงาน กรณีปกติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง ปีงบประมาณ 2566 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้รับการตรวจราชการและนิเทศงานเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ จำนวน 289 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะของผู้รับการตรวจราชการและนิเทศงานเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจ ด้วยสถิติ Independent Samples T-test และ One-way ANOVA<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความพึงพอใจต่อการตรวจราชการและนิเทศงาน กรณีปกติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง ปีงบประมาณ 2566 ภาพรวมระดับมาก (Mean=4.31,S.D.=0.49) และรายด้านระดับมาก ได้แก่ ด้านความรู้ (Mean=4.44,S.D.=0.50) ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล(Mean=4.34, S.D.=0.51) ด้านกระบวนการตรวจราชการและนิเทศงาน (Mean=4.25,S.D.=0.54) และด้านทักษะ (Mean=4.23,S.D.= 0.56) ตามลำดับ การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจของผู้รับการตรวจราชการและนิเทศงานเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน (t =1.49, Sig.=0.136) ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการตรวจราชการและนิเทศงาน ได้แก่ ประเด็นรูปแบบ กระบวนการ ร้อยละ 36.28 ประเด็นช่วงเวลา ร้อยละ 32.24 และประเด็น หัวข้อ ตัวชี้วัด ร้อยละ 12.90 ตามลำดับ </p> เฉลิม เกตุพงษ์พันธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 267 276 ประสิทธิภาพการบริหารจัดการการเงินการคลังของโรงพยาบาล จังหวัดหนองบัวลำภู ปีงบประมาณ 2564–2566 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275078 <p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง และวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์การเงินการคลังของโรงพยาบาลในจังหวัดหนองบัวลำภู ช่วงปีงบประมาณ 2564–2566 ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 6 แห่ง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างการวิจัยแบบเจาะจง (purposive sampling) เก็บข้อมูลทั่วไปและข้อมูลการดำเนินกิจกรรมการบริหารการเงินการคลังจากคณะกรรมการบริหารการเงินการคลัง (CFO) ของโรงพยาบาล ตามรายชื่อในคำสั่งที่แต่งตั้งปีงบประมาณ 2566 ทั้งหมด 72 คน ได้รับการตอบกลับ 69 คน (ร้อยละ 95.83) เก็บข้อมูลทางการเงินการคลังของโรงพยาบาล เพื่อประเมินการบรรลุเป้าหมายตัวชี้วัดด้านการบริหารการเงินการคลัง จากเว็บไซต์ของกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่อื่นเกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรด้านการบริหารจัดการการเงิน การคลัง กับประสิทธิภาพการบริหารจัดการการเงินการคลัง ด้วยสถิตินอนพาราเมตริก Spear mann’s correlations และ Linear Regression กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านการเงินการคลัง ปี 2564 -2566 พบว่า โรงพยาบาลทุกแห่งไม่มีวิกฤติด้านการเงิน โดยมีความเสี่ยงวิกฤติการเงินในระดับปกติ – ระดับต่ำ (ระดับ 1–2) คะแนนประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง 7 Plus efficiency score ไม่ผ่านเกณฑ์ มีคะแนนอยู่ระหว่าง 1–4 คะแนน จากการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์การเงินการคลัง พบว่า ทุกโรงพยาบาลมีแนวโน้มสัดส่วนรายได้ต่อค่าใช้จ่าย (I/E Ratio) ลดลง ทุนสำรองสุทธิ (NWC) และเงินบำรุงคงเหลือสุทธิหลังหักหนี้ (HMBRD) ลดลง ส่วนแนวโน้มการผ่านเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง 7 Plus efficiency score ดีขึ้นเล็กน้อย ผลประเมินกิจกรรมการบริหารการเงินการคลัง ตามการรับรู้และการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ CFO มีคะแนนเฉลี่ยในระดับมากที่สุด (4.25–5.00) ทั้ง 5 ด้าน และพบว่า ด้านการกำกับติดตามและประเมินผล มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P-value &lt; 0.01</p> สง่า ไชยนา Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 277 286 ผลของโปรแกรมการจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หอผู้ป่วยสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275084 <p> การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental) แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ ทำการเก็บข้อมูลทั้งก่อนและหลังการทดลอง Two-group pretest – posttest designs เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หอผู้ป่วยสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มละ 30 คน ดำเนินการศึกษาระหว่าง มีนาคม ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2567<br /> ผลการวิจัย มารดาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง กลุ่มทดลอง ก่อนการใช้โปรแกรม มีความรู้เฉลี่ย 7.7 (S.D.= 1.49) หลังการใช้โปรแกรมมีความรู้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 14.9 (S.D.= 0.35) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระดับ (p-value &lt; 0.0001) ในกลุ่มควบคุม ก่อนการใช้โปรแกรมความรู้เฉลี่ย 8.6 (S.D.= 1.49) หลังการใช้โปรแกรมมีความรู้เฉลี่ย 10.4 (S.D.= 1.49) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value &lt; 0.0001) พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยผลต่าง 7.2 เพิ่มขึ้นซึ่งมากกว่ากลุ่มควบคุมมีค่าคะแนนเฉลี่ยผลต่าง 1.8 และเมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยผลต่างพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value &lt; 0.0001) พบว่า คะแนนผลการประเมินความรุนแรงความปวดของหญิงตั้งครรภ์หลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อครบ 72 ชั่วโมง ค่าคะแนนผลการประเมินความรุนแรงความปวดของหญิงตั้งครรภ์หลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง กลุ่มทดลอง ค่าคะแนนเฉลี่ย 1.0 (S.D.= 0.00) ซึ่งน้อยกว่า กลุ่มควบคุม ที่มีค่าคะแนนเฉลี่ย 1.9 (S.D.= 0.31) เมื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ย พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีระดับ .05 (p-value &lt; 0.0001)</p> ณัฐชยา แสงสี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 287 296 การพัฒนาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ไม่เลือกการบำบัดทดแทนไตต่อเนื่องในชุมชนตามบทบาทพยาบาลศูนย์ดูแลต่อเนื่อง โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275085 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้รูปแบบแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ไม่เลือกการบำบัดทดแทนไตต่อเนื่องในชุมชนตามบทบาทพยาบาลศูนย์ดูแลต่อเนื่อง โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ทำการศึกษาในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2566 กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย จำนวน 11 คน ญาติผู้ดูแล จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ไม่เลือกการบำบัดทดแทนไต แบบสัมภาษณ์ทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลต่อเนื่องความต้องการรูปแบบแนวทางการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน แบบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ไม่เลือกการบำบัดทดแทนไต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้รับบริการการดูแลต่อเนื่องแบบประคับประคองอย่างเหมาะสมตามระดับความรุนแรงการเจ็บป่วยและความต้องการการดูแลต่อเนื่อง ผู้ดูแล มีความรู้เกิดทักษะและมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ตรงตามความต้องการผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโดยระดับความพึงพอใจต่อการดูแลต่อเนื่องที่ได้รับในภาพรวมในระดับสูงร้อยละ 86.96 มีความสามารถดูแลสุขภาพตนเองเพิ่มมากขึ้น จัดการภาวะแทรกซ้อนเบื้อต้นได้ เมื่อมีภาวะวิกฤตสามารถติดต่อโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที</p> นงค์นุช โฮมหงษ์ เพ็ญจันทร์ โฮมหงษ์ ศิริวรรณ สิงหศิริ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 297 305 พฤติกรรมสุขภาพและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลศีขรภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274781 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาพฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลศีขรภูมิ เก็บข้อมูลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับการรักษาที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลศีขรภูมิและได้รับการประเมินโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2566 ใช้โปรแกรมประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดออนไลน์ (Thai CV risk calculator) ประเมินโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า วิเคราะห์เปรียบเทียบ 2 กลุ่มตัวอย่างโดยใช้ Mann-Whitney U test และ Chi-squared test<br /> ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่าง 275 คน อายุเฉลี่ย 54.66±7.11 ปี พบผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง ร้อยละ 6.18 (17 คน) พฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภค พฤติกรรมการใช้ยา และพฤติกรรมการจัดการความเครียด มีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> ธรรมรัตน์ วาวงศ์มูล Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 306 312 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274783 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและปัจจัยสวนบุคคล กับพฤติกรรมการ ปองกันโรคโควิด 19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 338 คน ในเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติ Multiple logistics regression นำเสนอค่าความสัมพันธ์ในรูปแบบAdjusted Odds Ratio (AOR) ช่วงความเชื่อมั่นที่ 95% ที่ระดับนัยสำคัญทางสถติ (p-value &lt; 0.05)<br /> ผลการศึกษาพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.318, p &lt; 0.001) ในส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ได้แก่ เพศชาย (AOR = 0.41, 95% CI=0.19-0.86, p-value = 0.018) และการจบการศึกษาระดับชั้น ปวส. ขึ้นไป (AOR =0.33, 95% CI=0.16-0.68, p-value = 0.003) ในขณะเดียวกันพบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพและปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ได้แก่ ผู้ที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 ในระดับไม่ดีและพอใช้ (AOR = 0.28, 95% CI=0.15-0.56), p-value &lt; 0.001) ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (AOR =2.32, 95% CI=1.21-4.46, p-value = 0.012) และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวไม่เคยติดเชื้อโควิด 19 (AOR =3.16, CI=1.18-8.44, p-value = 0.022)</p> นภัสรดา จันทร์ขอนแก่น เกษร สำเภาทอง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 313 322 ประสิทธิผลของการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ อำเภอพิบูลมังสาหาร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274789 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 75 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แนวทางการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด แบบบันทึกภาวะสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Chi-square test และ Paired sample t-test เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ ในด้านความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในเลือด การลดยา และการหยุดยารักษาโรคเบาหวาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานได้รับการลดยาเบาหวาน ตั้งแต่เดือนที่ 3 เป็นต้นไป ร้อยละ 61.33 และเมื่อสิ้นสุดการศึกษาเดือนที่ 6 พบว่ามีผู้ป่วยเบาหวาน ที่สามารถเข้าสู่ระยะสงบได้ ร้อยละ 13.33 โดยพบว่าระดับความดันโลหิต ไขมันแอลดีแอล และ ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับก่อนศึกษา (p&lt;0.05) และอัตราการกรองไตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> ชณัฏฐา เรืองสุทธิภาพ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 323 330 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275093 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Survey research by Cross sectional study) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง และเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ ในโรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี ระหว่างเดือน มีนาคม – พฤษภาคม 2567 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 302 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย และแบบประเมินคุณภาพชีวิต The European Organization for the Research and Treatment of Cancer Quality of Life Questionnaire Core 30 (EORTC QLQ - C30) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และทดสอบสมมติฐานงานวิจัย โดยใช้สถิติเอฟ (F–test) เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 65.23 มีอายุอยู่ระหว่าง 34-88 ปี (อายุเฉลี่ย 61.88, SD <u>+</u> 10.69) เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม ร้อยละ 36.76 รองลงมาคือโรคมะเร็งปอด ร้อยละ 16.23 ด้านสภาวะสุขภาพโดยรวม (global health status) มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 65.54 (SD <u>+</u> 11.340) ซึ่งมากกว่าค่าอ้างอิงมาตรฐาน แสดงให้เห็นว่าคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างด้านสภาวะสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี ด้านความสามารถในการทำหน้าที่ (functional scales) พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยมิติด้านความสามารถในการทำหน้าที่ในทุกด้านสูงกว่าค่าอ้างอิงมาตรฐาน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างสามารถทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้เกือบเป็นปกติ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตด้านความสามารถในการทำหน้าที่ไปในทางที่ดี ด้านกลุ่มอาการ (symptom scales) พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถด้านกลุ่มอาการน้อยกว่าค่าอ้างอิงมาตรฐานในเกือบทุกด้าน แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างไม่ค่อยมีความผิดปกติจากอาการเจ็บป่วยและจากการรักษา จึงส่งผลให้คุณภาพชีวิตด้านกลุ่มอาการไปในทางที่ดี โดยพบว่า กลุ่มอาการที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่าค่าอ้างอิงมาตรฐาน ได้แก่ ปัญหาด้านการเงินมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.47 (SD + 25.77) รองลงมา คือ ปัญหาการคลื่นไส้อาเจียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.35 (SD + 21.81) และปัญหาการท้องเสียมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.51 (SD + 19.73)</p> ปิมประภา แพงศรี Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 331 338 ปัจจัยทางคลินิกที่ส่งผลต่อระดับยาวาร์ฟารินนอกช่วงการรักษา โรงพยาบาลศีขรภูมิ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274982 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางคลินิกที่ส่งผลต่อระดับยาวาร์ฟารินนอกช่วงการรักษาในโรงพยาบาลศีขรภูมิ มีรูปแบบการศึกษาคือ retrospective cohort โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและฐานข้อมูลผู้ป่วยคลินิกวาร์ฟารินตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2567 ใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อแสดงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์แบบถดถอยพหุคูณเพื่อหาตัวแปรอิสระที่มีความสัมพันธ์กับค่า INR นอกช่วงการรักษา<br /> ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทั้งหมด 117 ราย มีอายุเฉลี่ย 69.25±11.62 ปี เป็นเพศหญิง ร้อยละ 60.68 โรคที่มีข้อบ่งชี้มากที่สุดคือ Atrial fibrillation ร้อยละ 83.76 และมีผู้ป่วย 16 ราย ร้อยละ 13.68 ที่มีค่า TTR น้อยกว่าร้อยละ 65 อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุด ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน ร้อยละ 3.42 (4 ราย) จากการวิเคราะห์ หาปัจจัยที่สัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีค่าการแข็งตัวของเลือดในช่วงเป้าหมายน้อยกว่าร้อยละ 65 เพิ่มความเสี่ยงระดับยาวาร์ฟารินสูงกว่าช่วงการรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (odd ratio =12.235, p=0.003)</p> วลีรัตน์ วริทธิธรรม Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 339 345 ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ของสถานพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275009 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ของสถานพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรี ประชากรคือสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมการโฆษณา ความรู้ ความคิดเห็น และประวัติการถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามจำนวน 182 คน (ร้อยละ 57.41) สถานพยาบาลที่ปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ครบถ้วน ร้อยละ 85.2 สถานพยาบาลปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 บางส่วน ร้อยละ 11.5 และสถานพยาบาลที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ร้อยละ 3.3 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ปัจจัยระดับการศึกษา (P = 0.048) ปัจจัยลักษณะสถานพยาบาล (P = 0.001) ปัจจัยช่องทางที่ใช้โฆษณา (P &lt; 0.001) ปัจจัยวัตถุประสงค์การโฆษณา (P &lt; 0.001) ปัจจัยความรู้เกี่ยวกับการโฆษณาตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 (P &lt; 0.001) ทัศนคติต่อข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณา (P = 0.03) การถูกตักเตือนโดยเจ้าหน้าที่ (P &lt; 0.001) และการถูกดำเนินคดี (P &lt; 0.001) มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> กมลภัทร์ สวัสดิ์โกศล Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 346 357 รูปแบบการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล ตำบลเขาโร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274933 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล ตำบลเขาโร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานและคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล จำนวน 151 คน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถามความพร้อมของชุมชน และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดย แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis)<br /> ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์ของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน มีการพัฒนาฐานข้อมูลและพัฒนาศักยภาพด้านความรู้และพฤติกรรมของประชาชน มีการบริหารจัดการความเสี่ยง และดำเนินการตามกฎหมายเมื่อเกิดข้อร้องเรียน รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ความพร้อมของชุมชนในด้านบรรยากาศ ภาวะผู้นำ ทรัพยากร อยู่ในระดับสามารถปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน มีรูปแบบการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างเครือข่าย สร้างการสื่อสารความรู้ นำไปสู่การสร้างกลไกการทำงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เกิดนโยบายสาธารณะ นำไปสู่ชุมชนปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างยั่งยืน</p> โชติมา รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ซอฟียะห์ นิมะ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 358 369 ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมในเด็กป่วยโรคปอดบวมของผู้ดูแลเด็กในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274969 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมในเด็กป่วยโรคปอดบวมของผู้ดูแลเด็กในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยโรค ปอดบวม 2 กลุ่ม ๆ กลุ่มละ 17 คน เครื่องมือวิจัย คือโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวม ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนระภายในกลุ่มด้วยสถิติ Wilcoxon Sign Rank test การทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ Mann - whitney U - test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05<br /> ผลวิจัย พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้เกี่ยวกับการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมและพฤติกรรมของผู้ดูแลในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้เกี่ยวกับการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมและพฤติกรรมของผู้ดูแลในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมมีความแตกต่างกันกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ดังนั้นควรส่งเสริมการรับรู้ในการป้องกันการกลับป่วยซ้ำโรคปอดบวมในเด็กป่วยโรคปอดบวมให้กับผู้ดูแลเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ดูแลเด็กป่วยที่มีอายุสูง</p> มลฤดี บรรเทา Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 370 379 ต้นทุนฐานกิจกรรมของการบริการแพทย์ทางไกล โรงพยาบาลบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274972 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนต่อครั้งของการบริการแพทย์ทางไกล โรงพยาบาลบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ และเปรียบเทียบต้นทุนฐานกิจกรรมของการบริการแพทย์ทางไกล โรงพยาบาลบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ กับอัตราการจ่ายชดเชยที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้วยการวิเคราะห์ต้นทุนฐานกิจกรรม (ABC) ของแคปแลนและคูเปอร์ (Kaplan &amp; Cooper) ในการประมาณค่าต้นทุนกิจกรรมในการบริการแพทย์ทางไกลสำหรับผู้ป่วยนอก กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 1) พจนานุกรมกิจกรรมการบริการแพทย์ทางไกล 2) แบบบันทึกปริมาณเวลา และ 3) แบบบันทึกต้นทุน เครื่องมือดังกล่าวผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน เก็บข้อมูลด้วยการสังเกตและบันทึกเอกสารทางการเงิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br /> ผลการศึกษา พบว่า ต้นทุนต่อหน่วยของการบริการแพทย์ทางไกลสำหรับผู้ป่วยรายใหม่เท่ากับ 264.37 บาทต่อครั้ง และต้นทุนต่อหน่วยสำหรับผู้ป่วยรายเก่าเท่ากับ 201.11 บาทต่อครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราค่าชดเชยที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 100 บาทต่อครั้ง พบว่า ต้นทุนต่อหน่วยของการบริการแพทย์ทางไกลสำหรับผู้ป่วยรายใหม่สูงกว่าอัตราการจ่ายชดเชยของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่ากับ 164.37 บาท ส่วนต้นทุนต่อหน่วยของการบริการแพทย์ทางไกลสำหรับผู้ป่วยรายเก่าสูงกว่าอัตราการจ่ายชดเชยของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่ากับ 101.11 บาท</p> สาลินี มูลเขียน เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล อภิรดี นันท์ศุภวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 380 390 สภาพการณ์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ในมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275086 <p> การวิจัยเชิงสำรวจนี้คณะผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในมารดาหลังคลอดบุตรคนแรก กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอดในตึกสูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 150 ราย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงและความเชื่อมั่น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาแก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ลักษณะครอบครัวขยาย อาชีพรับจ้าง ทำงานนอกบ้าน รายได้เฉลี่ยครอบครัว 13,495.42 บาทต่อเดือน (SD = 16,419.5) ความรู้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= =13.86, SD = 1.42) ทัศนคติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระดับปานกลาง (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=63.4, SD = 3.54) การรับรู้สมรรถนะในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระดับปานกลาง (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=51.43, SD= 8.06) ได้รับการสนับสนุนจากพยาบาลระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=8.12, SD = 1.22) ได้รับการสนับสนุนจากสามีระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=5.49, SD= 0.78) คะแนนสัมพันธภาพระหว่างคู่สมรสอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 112 , SD= 13.1) และผลการติดตามอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวที่ 7, 14, 45 วัน และ 6 เดือน พบว่าอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเท่ากับร้อยละ 78, 79, 40, และ 37 ตามลำดับ </p> นวพร มามาก สุภาวดี นาคสุขุม วันเพ็ญ ถี่ถ้วน อรวรรณ ดวงใจ วงค์ชญพจณ์ พรหมศิลา Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 391 398 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในผู้รับการตรวจสุขภาพ ประจำปีเชิงรุกของศูนย์อนามัยที่ 6 ปีงบประมาณ 2566 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275145 <p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบศึกษาย้อนหลังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกภาวะเมตาบอลิกซินโดรมและหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมในผู้รับการตรวจสุขภาพประจำปีเชิงรุกของศูนย์อนามัยที่ 6 จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างเลือกตามเกณฑ์จากข้อมูลผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปจำนวน 377 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิผลตรวจสุขภาพประจำปี วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา สถิติวิเคราะห์ไคสแควร์หาความสัมพันธ์<br /> ผลการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่เพศหญิงร้อยละ 76.4 พบมากช่วงอายุ 35-44 ปี ร้อยละ 51.7 น้ำหนักเกินร้อยละ 56.8 เส้นรอบเอวเกินส่วนใหญ่เพศหญิงร้อยละ 41.9 ความดันโลหิตสูงร้อยละ 33.7 ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่วนใหญ่เพศชายร้อยละ 40.9 ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงส่วนใหญ่เพศชายร้อยละ 26.1 ความชุกของการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมโดยรวมร้อยละ 14.0 ส่วนใหญ่เพศชายร้อยละ 17.2 พบมากช่วงอายุ 45-60 ปี ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศกับระดับน้ำตาลในเลือดสูง,ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงและความดันโลหิตสูง อายุกับระดับน้ำตาลในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง, กิจกรรมทางกายกับระดับน้ำตาลในเลือดสูง</p> มนสิชา เปลี่ยนเพ็ง สลิลทิพย์ โกพลรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 399 405 สถานการณ์การดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ของแม่ที่มีความสัมพันธ์กับ ภาวะแรกเกิดของทารกในเขตสุขภาพที่ 6 ปี2565 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275146 <p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ของแม่ ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะแรกเกิดของทารกในเขตสุขภาพที่ 6 ปี 2565 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ เด็กปฐมวัย อายุ 9 เดือน ถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน และพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กในเขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 482 คน ในเขตสุขภาพที่ 6 เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก และแบบสอบถาม แม่พ่อหรือผู้ดูแลเด็กที่มีความสัมพันธ์ ทางสายโลหิตกับเด็ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ chi – square (x<sup>2</sup>- test)<br /> ผลการศึกษา พบว่า การฝากครรภ์คุณภาพครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์มี ความสัมพันธ์กับน้ำหนักแรกเกิดของทารก* การคลอด อายุครรภ์เมื่อคลอด มีความสัมพันธ์กับ น้ำหนักแรกเกิด และภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดของทารก* วิธีการคลอดมีความสัมพันธ์กับ ภาวะออกซิเจนเมื่อแรกเกิดที่ 1 นาที และที่ 5 นาที* โรคประจำตัวขณะตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์น้ำหนักแรกเกิดและภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดของทารก* ภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักแรกเกิดและภาวะแทรกซ้อนหลักคลอดของทารก* การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ของมารดา มีความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดของทารก* การได้รับยาบำรุงขณะตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับภาวะออกซิเจนเมื่อแรกเกิดที่ 1 นาที และ ที่ 5 นาที และ โรคประจำตัวของทารกแรกเกิด* (*=p&lt;0.05)</p> นุชจรินทร์ พูลสวัสดิ์ สุปวีณา พละศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 406 413 การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลายปราศจากยาสลบใน รพ.กาฬสินธุ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275422 <p> การศึกษานี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ซึ่งทำโดยอายุรแพทย์ทางเดินอาหาร รวมทั้งศึกษาข้อมูลทั่วไป วิธีการเตรียมลำไส้ ความสะอาดของลำไส้ ระยะเวลาการทำหัตถการ ผลข้างเคียง และผลการวินิจฉัยจากการส่องกล้อง รวบรวมรายงานกลุ่มผู้ป่วย (Case series) ทุกรายที่ได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลายโดยไม่ได้รับยาสลบ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565 จนถึง 31 ส.ค. 2566 ไม่นับรวมผู้ป่วยที่ได้รับการส่องกล้องเพื่อติดตามการรักษา ผลการศึกษา : ผู้ป่วยได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลายโดยไม่ได้รับยาสลบทั้งหมด 18 ราย ทุกรายได้รับการวินิจฉัย ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง คุณภาพการเตรียมลำไส้ดีมาก</p> เฉลิมพล พรตระกูลพิพัฒน์ อุทัยวรรณ จิระชีวนันท์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 414 418 การพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการประเมินความสมเหตุผลของการใช้ยาโอเมพราโซลในการป้องกันแผลทางเดินอาหารจากการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ในโรงพยาบาลชุมพลบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/273928 <p> การศึกษานี้มีรูปแบบเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการประเมินความสมเหตุผลของการใช้ยาโอเมพราโซลชนิดรับประทานในการป้องกันการเกิดแผลทางเดินอาหารจากการใช้ NSAIDs ในโรงพยาบาลและประเมินความคิดเห็นต่อการใช้แนวทางปฏิบัติในการประเมินความสมเหตุผลในการใช้ยาโอเมพราโซลในการป้องกันแผลทางเดินอาหารจากใช้ NSAIDs ที่พัฒนาขึ้น การวิจัยดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม - กันยายน พ.ศ.2566 แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนาแนวทางปฏิบัติฯ และระยะที่ 2 การประเมินความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมการศึกษาต่อการใช้แนวทางปฏิบัติฯ ในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 13 คน ประกอบด้วย แพทย์ที่ทำการตรวจรักษา จำนวน 4 คน พยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการในแผนกผู้ป่วยนอกและทำหน้าที่คัดกรองผู้ป่วย จำนวน 5 คน เภสัชกรห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอกและทำหน้าที่จ่ายยาแก่ผู้ป่วย จำนวน 4 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา<br /> ผลการศึกษา: แนวทางปฏิบัติฯที่พัฒนาจากการศึกษานี้ประกอบด้วย เกณฑ์อนุมัติการใช้ยา (ข้อบ่งใช้ วิธีการประเมิน และขนาดยา) การประเมินผลการรักษา และการใช้ระบบการแจ้งเตือนการสั่งยาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ HOSxP ผู้เข้าร่วมการศึกษามีความคิดเห็นเชิงบวกต่อการนำแนวทางปฏิบัติฯไปใช้ทั้งทุกระยะ ได้แก่ ระยะก่อนพัฒนา ระยะหลังจากทดลองใช้ และระยะนำไปใช้จริง ค่าเฉลี่ยของคำถามด้านประโยชน์ของการใช้แนวทางปฏิบัติฯมีค่ามากที่สุด (4.33, 4.56 และ 4.62) ค่าเฉลี่ยของคำถามด้านความยาก-ง่ายในการใช้แนวทางปฏิบัติฯมีค่าน้อยที่สุด (3.25, 4.00 และ 4.13)</p> พิชญา อุดมศิลป์ อุไรวรรณ อกนิตย์ ตุลาการ นาคพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 419 429 การประเมินผลลัพธ์ของแนวทางปฏิบัติในการประเมินความสมเหตุผลของการใช้ยาโอเมพราโซลในการป้องกันแผลทางเดินอาหารจากการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ที่พัฒนาโดยโรงพยาบาลชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/274867 <p> การศึกษานี้เป็นรูปแบบการเก็บรวบรวมข้อมูลไปข้างหน้ามีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความสมเหตุผลของการสั่งใช้ยาโอเมพราโซลและประเมินมูลค่ายาในการป้องกันแผลในทางเดินอาหารจากการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs; NSAIDs) เปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้แนวทางปฏิบัติฯ และประเมินปัญหาการใช้ยา กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่รับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกที่มารับยาแอสไพรินต่อเนื่อง หรือมาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อที่ได้รับ NSAIDs และอาจได้รับยาป้องกันการเกิดแผลทางเดินอาหารระยะเวลา 1 เดือน ดำเนินการศึกษาระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 15 กันยายน พ.ศ.2566 โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล<br /> จากการศึกษาพบว่า ในผู้ป่วยทั้งหมด 100 รายที่มีการใช้ยาโอเมพราโซลในการป้องกันแผลทางเดินอาหารจาก NSAIDs พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ได้รับยาแอสไพรินจำนวน 91 ราย และมี 9 รายที่ได้รับยานาพรอกเซน หลังพัฒนาแนวทางปฏิบัติฯ และนำไปใช้ประเมินผู้ป่วยมีการใช้ยาโอเมพราโซลไม่สมเหตุผลลดลงจากร้อยละ 46.35 เหลือร้อยละ 9.00 และมูลค่ายาโอเมพราโซลที่ใช้ไม่สมเหตุผลลดลงจาก 96.74 บาทต่อราย เหลือ 13.03 บาทต่อราย ปัญหาการใช้ยาคือความร่วมมือในการใช้ยา จำนวน 13 ราย รองลงมาคือการได้รับยาที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีข้อบ่งใช้ทางวิชาการ จำนวน 9 ราย</p> พิชญา อุดมศิลป์ อุไรวรรณ อกนิตย์ ตุลาการ นาคพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 430 438 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษากับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา จังหวัดชลบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275147 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษา พฤติกรรมทางเพศ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษากับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ปี การศึกษา 2566 จังหวัดชลบุรี จำนวน 596 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิตกับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ chi - square test<br /> ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 15-19 ปี ร้อยละ 57.2 อายุเฉลี่ย 15.38 ปี (SD = 1.74) ความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาโดยรวม พบว่าอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.10, SD= 0.56) เมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า ด้านการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีค่าคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด อยู่ในระดับดี (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.43, SD = 0.62) จำนวน 507 คน (ร้อยละ 85.1) รองลงมา ด้านการตัดสินใจ อยู่ในระดับดี (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.32, SD = 0.61) จำนวน 521 คน (ร้อยละ 87.4) ด้านการเข้าถึงข้อมูลอยู่ในระดับดี (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.10, SD = 0.80) จำนวน 441 คน( ร้อยละ 74.0) ส่วนด้านที่พบน้อยที่สุด คือ ด้านการซักถาม อยู่ในระดับปานกลาง (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 3.50, SD = 0.91) จำนวน 289 คน (ร้อยละ 48.5 ) ตามลำดับ ความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001)</p> สุวิมล เสาวรส นุชจรินทร์ พูลสวัสดิ์ พรพรรณ เจริญวัฒนวิญญู รติรัตน์ วัฒนาสกุลรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 439 445 รูปแบบการดูแลผู้ป่วยและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเสี่ยงสูงในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275200 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีกลุ่มตัวอย่างเป้นผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง แบบประเมินพฤติกรรมการเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนเสี่ยงในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงตามหลัก 3อ2ส เก็บข้อมูลก่อนและหลังการใช้แนวทางปฏิบัติ โดยใช้สถิติ Paired sample t–test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลอง จำนวน 8 ด้าน ดังนี้ 1) ผลของการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ 2) ผลความเข้าใจข้อมูลและบริการสุขภาพ 3) ผลของการโต้ตอบซักถามเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจ 4) ผลของการตัดสินใจด้านสุขภาพ 5) ผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตนเอง 6) ผลของการบอกต่อข้อมูลด้านสุขภาพ 7) ผลการบอกต่อข้อมูลด้านสุขภาพ 8) ผลของ อ.1 อาหาร, อ.2 ออกกำลังกาย และหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าก่อนการทดลอง คือด้าน ส.1การสูบบุหรี่ และส.2สุรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 </p> ปักษิณ สารชัย Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 446 457 ผลของแรงจูงใจ การให้คุณค่า และแรงสนับสนุนทางสังคมต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดของผู้เข้ารับการที่คลีนิคยาเสพติดโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275186 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของแรงจูงใจ การให้คุณค่า และแรงสนับสนุนทางสังคมต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดของผู้เข้ารับการที่คลีนิกยาเสพติดโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมการทดลองเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น จำนวน 44 คน และกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้รับโปรแกรมปกติ จำนวน 44 คน ข้อมูลถูกรวบรวมจากทั้งสองกลุ่มในสองช่วงเวลา คือ ก่อนและหลังการทดลองระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 ถึง 31 พฤษภาคม 2567 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มอิสระ และใช้สถิติ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ไม่อิสระ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนแรงจูงใจในการป้องกันยาเสพติด ทัศนคติต่อการป้องกันยาเสพติด การให้คุณค่าแก่ตัวเอง แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตน ความตั้งใจในการเลิกใช้สารเสพติด และพฤติกรรมการใช้สารเสพติดในกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> สุขุมาภรณ์ บุญญาสุ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 458 469 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลางต่อเนื่องในชุมชน โดยใช้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เขตอำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275183 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลางต่อเนื่องในชุมชนโดยใช้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เขตอำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ทำการศึกษาในช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน ปี 2566 กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง จำนวน 145 คน ญาติผู้ดูแล จำนวน 145 คน ทีมสหวิชาชีพ จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสัมภาษณ์ทีมสหสาขาวิชาชีพและภาคีเครือข่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการพัฒนารูปแบบพบว่ามีความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้น ก่อนพัฒนาค่าคะแนน ADL เฉลี่ยก่อนพัฒนามีค่า 8.86 คะแนน ภายหลังการพัฒนามีค่า 9.50 คะแนน เมื่อทดสอบด้วยสถิติ paired t-test พบว่า คะแนนเฉลี่ย ADL ภายหลังการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลางต่อเนื่องในชุมชนโดยใช้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 2.84)</p> วัชราพร ดวงแก้ว อรทัย ธรรมป๊อก อัญชลี ศรีสุตา ธนิตา จิตนารินทร์ มาลีวรรณ เกษตรทัต Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 470 479 การประเมินผลลัพธ์การบริการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รูปแบบร้านยาแห่งหนึ่ง จังหวัดอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275182 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลลัพธ์ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่รับบริการ วิเคราะห์ต้นทุน จุดคุ้มทุน รูปแบบการดำเนินงาน ปัจจัยความสำเร็จ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกและฐานข้อมูลของร้านยา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้รับบริการที่ร้านยาทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567- เดือนมิถุนายน 2567 ที่มีข้อมูลบันทึกบริการในฐานข้อมูลโปรแกรมสำเร็จรูปและข้อมูลในไฟล์ ที่ร้านยาเก็บรายการยาที่จ่ายกับต้นทุนค่ายา คัดเลือกร้านยาแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา <br /> ผลการวิจัย มีผู้ป่วยรับบริการ 2,005 คน 3,982 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 62) มาด้วยอาการสำคัญ ไข้/ไอ/เจ็บคอ มากสุด รองลงมาคือ ปวดข้อ/เจ็บกล้ามเนื้อ และอาการทางผิวหนัง (ร้อยละ 37, 25 และ 13 ตามลำดับ) ติดตามผลการรักษาเมื่อครบ 3 วันพบว่าผู้ป่วยหายเป็นปกติร้อยละ 84 ทุเลาร้อยละ 15 ไม่ทุเลาร้อยละ 0.6 ต้นทุนในการจัดบริการ CI คิดเป็น 150.7 บาทต่อครั้ง จุดคุ้มทุนของร้านยาคือมีผู้มารับบริการ CI 262 ครั้งต่อเดือน หรือ 8.7 คนต่อวัน</p> ภาคภูมิ อินตายวง สุมินทร เบ้าธรรม Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 480 490 การพัฒนาแนวทางการเฝ้าระวังการแพ้ยาและอาการไม่พึงประสงค์จากยา โรงพยาบาลหาดสำราญเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275179 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการเฝ้าระวังการแพ้ยาและอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่โรงพยาบาลหาดสำราญเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดตรัง เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบย้อนหลังโดยใช้กระบวนการถอดบทเรียน ใช้ทั้งวิธีการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณประกอบด้วยผู้ป่วย 140 คนที่มีประวัติการแพ้ยาและอาการไม่พึงประสงค์จากยา ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยจำนวน 20 คน โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูลเวชระเบียนของโรงพยาบาล แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และบันทึกการสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา <br /> ผลการวิจัยพบว่าแนวทางที่พัฒนาขึ้นชื่อว่า "Drug Allergy Management and Monitoring System" (DAMMS MODEL) เป็นระบบการเฝ้าระวังและจัดการการแพ้ยาแบบครบวงจรที่ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจจับ การประเมิน การเฝ้าระวัง การจัดการ และความปลอดภัย หลังการนำไปใช้ สัดส่วนของการตรวจพบผู้ป่วยแพ้ยาเพิ่มขึ้นจาก 18.56% เป็น 31.43% ขณะที่สัดส่วนของผู้ป่วยที่พบอาการไม่พึงประสงค์จากยาลดลงจาก 81.44% เป็น 68.57% ระบบนี้ช่วยให้การบันทึกและรายงานข้อมูลมีความสมบูรณ์และป้องกันการเกิดอาการแพ้ซ้ำ</p> ธิรัตว์ พาพล Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 491 501 การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยง ภายใต้การปฏิรูปเขตสุขภาพ จังหวัดอ่างทอง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275202 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และศึกษาประสิทธิผลรูปแบบการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงภายใต้การปฏิรูปเขตสุขภาพจังหวัดอ่าทอง ระหว่างเดือน เมษายน - ตุลาคม 2566 กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินความรอบรู้สุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. แบบสอบถามความคิดเห็นความเป็นไปได้ของรูปบแบบ แบบสอบถามความพึงพอใจของทีมสุขภาพและกลุ่มเสี่ยง แบบเก็บข้อมูลผลลัพธ์ทางคลินิก แบบเก็บข้อมูลผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบค่าทีแบบคู่<br /> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) การกำหนดทิศทางนโยบาย 2) เพิ่มศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข 3) ระบบการคัดกรองประเมินสุขภาพด้วย Health Station 4) ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ 5) สร้างกลุ่มให้คำปรึกษาผ่าน Application line 6) ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง (3 หมอ) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ ความเป็นไปได้ของรูปแบบอยู่ในระดับมาก กลุ่มเสี่ยงมีความรอบรู้ด้านสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส<strong>. </strong>เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ความพึงพอใจของทีมสุขภาพต่อการใช้รูปแบบ อยู่ในระดับมาก (mean=4.28, S.D.=0.36) ความพึงพอใจของกลุ่มเสี่ยงอยู่ในระดับมาก (mean=4.30 S.D.=0.28) ผลลัพธ์ทางคลินิก ระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ก่อนและหลังการใช้รูปแบบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ส่วนดัชนีมวลกายไม่แตกต่างกัน (p&lt;0.05)</p> สมยศ แสงหิ่งห้อย รัชนีย์ จิตร์กระจ่าง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 502 513 การดำเนินงาน และปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินงานชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275252 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาการดำเนินงานชมรมผู้สูงอายุปัจจัยความสำเร็จในการดำเนินงานของชมรมผู้สูงอายุ และ แรงจูงใจของผู้สูงอายุในการเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลนาป่า กลุ่ม ตัวอย่างคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คุณสมบัติ จำนวน 40 คน เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกวิธีการวิเคราะห์ใช้สถิติพรรณนา<br /> การศึกษา พบว่า การดำเนินงานของชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลนาป่า เป็นไปตาม POSDCoRB ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การวางแผนกิจกรรมโดยจัดประชุมคณะกรรมการฯ ในทุกเดือน 2) การจัดหน่วยงานมีการกำหนดมีโครงสร้างหน้าที่ประกอบด้วย 6 หน่วยงาน ได้แก่ ผู้บริหารเทศบาลตำบลนาป่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านท้องคุ้ง เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลนาป่า เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลนาป่า สมาชิกชมรมผู้สูงอายุและ คณะกรรมการบริหารชมรมผู้สูงอายุ 3) จัดบุคลากรเพียงพอและเหมาะสม 4) มีระบบการอำนวยการที่ดี มีการสั่งการและประสานางานไปยังฝ่ายต่างๆ ในการดำเนินงานได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย 5) มีระบบการประสานงานที่ดีและมีช่องทางสื่อสารที่ทันสมัย 6) รายงานผลปฏิบัติงานทุกเดือน และ 7) งบประมาณสนับสนุนเพียงพอทั้งจากกองทุนตำบล ภาคเอกชน และจากภายในชมรมเอง สำหรับปัจจัยความสำเร็จการดำเนินงานของชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลนาป่ามาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) ด้านผู้นำชมรม มีภาวะผู้นำ มีจิตอาสา ความเสียสละ 2) งบประมาณ มีแหล่งทุนสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ 3) มีการประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับแรงจูงใจ เข้าร่วมชมรมมาจาก ปัจจัยภายใน 3 ปัจจัย ได้แก่ ความต้องการ ทัศนคติ และความสนใจพิเศษ ปัจจัยภายนอก 5 ปัจจัย ได้แก่ การให้บริการตรวจสุขภาพ กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ การให้ความรู้ การประกวดแข่งขัน ได้รางวัล และการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค</p> รัฐกานต์ พิพัฒน์วโรดม ทิพย์วรรณ จูมแพง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 514 524 ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กรณีศึกษา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาบัว https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275197 <p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey study) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กรณีศึกษา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาบัว อำเภอเรณู จังหวัดนครพนม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาศัยอยู่ในตำบลบ้านนาบัว ในเขตพื้นที่บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาบัว จังหวัด อายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 128 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 28 มีนาคม 2567 ถึง 28 พฤษภาคม 2567 รวมระยะเวลา 2 เดือน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม แบบสอบถามความเครียด แบบสอบถามคุณภาพชีวิต แบบสอบถามการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ผลการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 64.10 (จำนวน99 คน) และ อายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 63.00 ร้อยละ (จำนวน 80 คน) สถานภาพสมรส คู่ ร้อยละ 77.30 (จำนวน 99 คน) ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ประถมศึกษา ร้อยละ 92.20 (จำนวน118คน)ใช้แรงงาน/ทำไร่/ทำนา/ทำสวน/รับจ้าง/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 64.10 (จำนวน82 คน) วิเคราะห์ปัจจัยทำนายผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) พบว่า มีตัวแปรการสนับสนุนทางสังคม (B=.379, p-value=.000) และตัวแปรคุณภาพชีวิต (B=.470, p-value=.000) สามารถร่วมกันทำนายการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ร้อยละ 57.3 (R2=.573)</p> สุภัค จันทร์สองดวง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 525 532 การพัฒนาระบบการบริการผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ในจังหวัดกาฬสินธุ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275254 <p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ใน จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 165 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน Simple logistic regression และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากแลกเปลี่ยนวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ประเด็น ตามลำดับชั้นของข้อมูล<br /> ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยเป็นเพศชาย ร้อยละ 63.64 มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ร้อยละ 50.91 (ค่าเฉลี่ยอายุ 59 ปี SD. = 15.99) ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 53.33 ได้รับยาปฏิชีวนะภายใน 1 ชั่วโมง ร้อยละ 75.61 (เฉลี่ย 50 นาที SD. = 94.40) ผลการรักษาในครั้งนี้ พบจำหน่ายเสียชีวิต ร้อยละ 21.21 การวิเคราะห์เมื่อควบคุมตัวแปรแล้ว พบว่า ปัจจัยที่มีแนวโน้วโอกาสเกิดความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ เพศ และอาชีพ รูปแบบการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ได้แก่ การวินิจฉัยโรค การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาโปรแกรมการจอง ICU การจัดตั้ง Rapid response system/team (RRS/RRT) และพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอีกเสบซี</p> จิรศักดิ์ คามจังหาร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 533 543 ผลของการใช้โปรแกรมป้องกันโรคเบาหวานรายใหม่ในพระภิกษุสงฆ์กลุ่มเสี่ยง โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275255 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi -experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมป้องกันโรคเบาหวานในพระภิกษุกลุ่มเสี่ยงรายใหม่ โดยวัดก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมในคะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมโปรแกรมการป้องกันโรคเบาหวานรายใหม่ในกลุ่มเสี่ยงพระภิกษุ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา ทำการศึกษาในช่วงเดือน ธันวาคม 2565 - มิถุนายน 2566 รวมระยะเวลา 7 เดือน กลุ่มตัวอย่างพระภิกษุกลุ่มเสี่ยงต่อโรคเบาหวานรายใหม่ จำนวน 30 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ทางสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวาน แบบประเมินความพึงพอใจการ เข้าร่วมโปรแกรมฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ก่อน-หลัง ด้วยสถิติเชิงอนุมาน paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า พระภิกษุกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานรายใหม่ 30 รูป พบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมพบว่า ความรู้ทางสุขภาพต่อการป้องกันโรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อการป้องกันโรคเบาหวาน และ ความพึงพอใจต่อโปรแกรมป้องกันโรคเบาหวานรายใหม่ เพิ่มขึ้นทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 (t = 8.68, 5.83, 3.90 ตามลำดับ)</p> เปรมนิพัช แก้วร่วมเพชร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 544 550 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตในผู้สูงอายุในชุมชน อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275251 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุในชุมชน อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ประกอบด้วย Care manager, Care giver, ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุข, ผู้นำชุมชน, และเจ้าหน้าที่จากเทศบาล, พมจ. และกศน. 5 คน ระยะเวลาดำเนินการเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 25567 ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก เวทีประชาคม เสวนากลุ่มย่อย การสังเกต และการถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสถิติเชิงพรรณนา พบว่า รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในชุมชน อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ประกอบด้วย 1) การเสริมสร้างความรู้โรคซึมเศร้าและการส่งเสริมสุขภาพจิต 2) บทบาทหน้าที่ของเครือข่ายแกนนำ 3) การค้นหา/คัดกรองผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า และ 4) การส่งต่อผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า เมื่อนำรูปแบบไปทดลองใช้พบว่า หลังการทดลอง 1) กลุ่มตัวอย่างมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังภาวะซึมเศร้าของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) 2) ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองภาวะซึมเศร้าจากเครือข่ายแกนนำเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 64.2 เป็นร้อยละ 92.5 3) ผู้สูงอายุมีภาวะซึมเศร้าเข้าถึงบริการเพิ่มมากขึ้นจาก ร้อยละ 42.1 เป็นร้อยละ 90.5</p> พีรสันต์ ปั้นก้อง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 551 561 การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ : กรณีศึกษา 2 ราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275280 <p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เข้ารับการรักษาที่ หอผู้ป่วยอายุรกรรมชายโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ตั้งแต่ระยะแรกรับ ระยะดูแลต่อเนื่อง จนกระทั่งระยะการวางแผนจำหน่าย รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย ญาติและเวชระเบียน การประเมินอาการ ซักประวัติ ตรวจร่างาย เพื่อให้ทราบปัญหา ความต้องการของผู้ป่วย เพื่อนำข้อมูลมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผนการพยาบาล โดยใช้แนวคิดการประเมินผู้ป่วยตามแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มในการดูแลผู้ป่วย และมีการประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง กระทั่งผู้ป่วยกลับบ้าน<br /> ผลการศึกษา : จากการศึกษากรณีศึกษา ทั้ง 2 ราย พบว่าพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล ชักประวัติ ประเมินอาการ การเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วย การจัดกิจกรรมพยาบาลเพื่อให้ตรงกับความต้องการและปัญหาของผู้ป่วยในแต่ละราย ดังนั้นพยาบาลจึงต้องมีสมรรถนะ ตั้งแต่การประเมิน การคาดการณ์โอกาสเสี่ยง การประสานงานกับทีมสหวิชาชีพ การให้ข้อมูล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาพยาบาลที่รวดเร็ว ครอบคลุมมีประสิทธิภาพทันเวลา เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยลดอัตราการเสียชีวิตผู้รับบริการพึงพอใจ บุคลากรมีความปลอดภัย</p> นิดา ประสานเกษม Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 562 570 การพัฒนาโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง โรงพยาบาลหนองคาย จังหวัดหนองคาย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275305 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้โปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง โรงพยาบาลหนองคาย ทำการศึกษาในช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน ปี 2566 ประชากรคือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง 468 คน และญาติผู้ดูแล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) ผู้ป่วยโรคหลอดลเลือดสมองระยะกลางที่ผ่านโปรแกรมการวางแผนจำหน่าย จำนวน 60 คน 2) ญาติผู้ดูแล จำนวน 60 คน 3) ทีมสหวิชาชีพ จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความพร้อมการดูแล แบบประเมินความเครียด แบบเก็บข้อมูลภาวะแทรกซ้อนและการรักษาซ้ำ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการวางแผนจำหน่าย ภายหลังการจำหน่ายครบ 1 เดือน พบว่ากลุ่มที่เข้าร่วมโปรแกรมการวางแผนจำหน่าย จำนวน 60 ราย มีภาวะแทรกซ้อน ลดลงกว่ากลุ่มที่ไม่เข้ารับโปรแกรม ร้อยละ 56.67 การกลับมารักษาซ้ำ ลดลง ร้อยละ 43.33 การทดสอบคะแนนความพร้อมมีคะแนนเพิ่มขึ้นภายหลังการเข้าโปรแกรมจาก 3.32 คะแนน ภายหลังมีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.69 คะแนน ทดสอบด้วยสถิติ paired t-test พบว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 2.42) การทดสอบคะแนนความเครียดก่อนเข้าโปรแกรม มีค่า 4.62 คะแนน ภายหลังการใช้โปรแกรมมีค่าคะแนนความเครียดเฉลี่ยลดลง 1.50 คะแนน ทดสอบด้วยสถิติ paired t-test พบว่า คะแนนเฉลี่ยความเครียดต่อการดูแลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 2.84)</p> ชุติมา ลิ้มประยูร Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 571 579 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในสถาบันบำราศนราดูร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275301 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในสถาบันบำราศนราดูร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน สถาบันบำราศนราดูร คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 35 คน โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการเข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบประเมินพลังอำนาจของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเทียม แบบสอบถามประเมินความรู้พฤติกรรมการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเทียม และแบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติตัวของของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเทียม 2) เครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) .ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่เข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หลังทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพลังอำนาจสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2).ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่เข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หลังทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และมีพฤติกรรมการปฏิบัติตัวสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชญาญ์ณัฏฐ์ อำพันทอง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 580 590 การเปรียบเทียบกรณีศึกษา: การพยาบาลผู้ป่วยเอชไอวีที่ติดเชื้อฝีดาษลิง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275334 <p> การศึกษาครั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยเอชไอวีที่ติดเชื้อฝีดาษลิงกรณี 2 ราย ศึกษาข้อมูลจากประวัติผู้ป่วยนำมาเปรียบเทียบตามแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ระยะเวลาตั้งแต่ วันที่ 1 ถึง 15 เมษายน 2567<br /> ผลการศึกษา พบว่า รายที่ 1 ชายไทย อายุ 29 ปี ป่วยเอชไอวี 5 เดือน มาโรงพยาบาลด้วยมีไข้ ปวดบวมมีตุ่มหนองที่อวัยวะเพศ มา 4 วัน รายที่ 2 ชายไทย อายุ 27 ปี ป่วยเอชไอวี 8 ปี มาโรงพยาบาลด้วยไข้ ปวด ตุ่มหนองที่แขน ใบหน้า มา 11 วัน ประเด็นปัญหาที่สำคัญของทั้ง 2 รายที่เหมือนกันได้แก่ มีผื่นติดเชื้อที่ผิวหนัง ปวดบริเวณตุ่มหนอง ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง วิตกกังวลเกี่ยวกับโรค ประเด็นปัญหาที่ต่างกันได้แก่ กลัวสูญเสียภาพลักษณ์ และมีโอกาสดื้อยาต้านไวรัส รายที่ 1 นอนโรงพยาบาล 6 วัน รายที่ 2 นอนโรงพยาบาล 15 วัน</p> สมพร นรขุน Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 591 599 ผลของการวางแผนจำหน่ายต่อการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275335 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการวางแผนจำหน่ายต่อการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่เข้ารับ การรักษาในหอผู้ป่วยในชาย และหญิง โรงพยาบาลสวี จังหวัดชุมพร ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และสมัครใจเข้าร่วมวิจัย จำนวน 60 คน ดำเนินการวิจัยช่วง กุมภาพันธ์ 2567 – พฤษภาคม 2567 โดยเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด (Purposive sampling) กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุมและ กลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน กลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมแผนการจำหน่าย จำนวน 3 ครั้ง ได้รับการประเมิน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง ระดับน้ำตาลในเลือด ในวันแรกรับ หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในกลุ่ม เปรียบเทียบคะแนนการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง ระดับน้ำตาลในเลือดในระยะก่อนการทดลองหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการวิเคราะห์สถิติ two – way analysis of variance : repeated measure ANOVA และ independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มที่ได้รับการวางแผนจำหน่ายมีค่าเฉลี่ยคะแนน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองของวันแรก วันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกันไม่มีความแตกต่าง ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน หลังจากทดลองแล้วพบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองในวันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากวันแรกรับ และผลระดับน้ำตาล ในเลือด จากการทดลองพบว่า วันเสร็จสิ้นทันที และหลังเสร็จสิ้นสี่สัปดาห์ ลดลงจากวันแรกรับ ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนน การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเองในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม จากการศึกษาพบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองไม่มีความแตกต่างกันและพฤติกรรมการดูแลตนเองไม่มีความแตกต่างกัน และหลังจากทดลองค่าเฉลี่ยคะแนนระดับน้ำตาลในเลือดในกลุ่มทดลองต่ำกว่า กลุ่มควบคุม</p> ทรรศนีย์ บัวทอง Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 600 608 ผลของแนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความคิดและพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย โดยใช้แนวคิดซาเทียร์ จังหวัดสกลนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275337 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความคิดและพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย โดยใช้แนวคิดซาเทียร์ จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ พยาบาลที่ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิต ภาคีเครือข่าย และผู้ป่วยโรคจิตเวชที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย จำนวน 46 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเครียด 9 และแบบประเมินการฆ่าตัวตาย 8Q เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างก่อนและหลังทดลองด้วยสถิติ paired t test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ภาวะซึมเศร้า ก่อนพัฒนากลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับปานกลางมีค่าเฉลี่ย 13.82 คะแนน ภายหลังการพัฒนา พบว่า ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเป็นไม่มีภาวะ มีค่าเฉลี่ย 3.12 คะแนน จากการทดสอบทางสถิติพบว่ามีค่าเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p &lt;.05, t = 4.22 ภาวะฆ่าตัวตาย ก่อนพัฒนากลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 9.03 คะแนน ภายหลังการพัฒนาพบว่า ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเป็นไม่มีภาวะ มีค่าเฉลี่ย 2.23 คะแนน จากการทดสอบทางสถิติพบว่ามีค่าเฉลี่ยการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p &lt;.05, t = 4.22</p> จิราพร มณีปกรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 609 614 การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งครรภ์ไข่ปลาอุกร่วมกับมีการบาดเจ็บของกระเพาะปัสสาวะ: กรณีศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275347 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งครรภ์ไข่ปลาอุกร่วมกับมีการบาดเจ็บของกระเพาะปัสสาวะ ศึกษาในผู้ป่วยหญิงอายุ 31 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 15 มีนาคม 2567 ด้วยอาการสำคัญ ปวดท้องน้อย มีเลือดออกทางช่องคลอดมาก 3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ วินิจฉัยมะเร็งครรภ์ไข่ปลาอุก ได้รับการผ่าตัดมดลูก และปีกมดลูก 2 ข้าง ระยะก่อนผ่าตัด เสี่ยงต่อภาวะช็อกจากการเสียเลือด ไม่สุขสบายปวดท้องน้อย<br /> ผลการศึกษา: ระยะหลังผ่าตัด ไม่สุขสบายจากอาการท้องอืด มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไม่ถ่ายอุจจาระ ได้รับการตรวจส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ พบการบาดเจ็บที่กระเพาะปัสสาวะ เข้ารับการผ่าตัดซ่อมแซมกระเพาะปัสสาวะ หลังผ่าตัดใส่ท่อช่วยหายใจต่อเครื่องช่วยหายใจ 2 วันถอดท่อหายใจได้เปลี่ยนเป็นออกซิเจนอัตราการไหลสูง ได้ให้การพยาบาลป้องกันการติดเชื้อที่ปอด ควบคุมและบริหารยาแก้ปวด ป้องกันการติดเชื้อที่แผล ผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ จิบน้ำ และรับประทานอาหารได้ ท้องไม่อืดตึง ใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ปัสสาวะสีเหลืองใส จำหน่ายกลับบ้านวันที่ 26 มีนาคม 2567 รวมระยะเวลานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 11 วัน</p> จินตนา อุบลทิพย์ Copyright (c) 2024 วารสารสิ่งแวดล้อมศึกษาการแพทย์และสุขภาพ 2024-06-30 2024-06-30 9 2 615 622 ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275492 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ครั้งนี้มีวัตถุเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ จำนวน 430 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นระหว่างเดือน ตุลาคม 2566 – ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา นำเสนอโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 25 และ 75 ใช้สถิติเชิงอนุมานในการหาปัจจัยทำนายโดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีทั้งหมด 3 ปัจจัย ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถแห่งตน และการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการพลัดตกหกล้ม โดยสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ร้อยละ 55.7 (R<sup>2</sup>=0.561, R<sup>2</sup>adj=0.557, SE<sub>est</sub>= 3.8428, F= 181.137, p &lt; 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการวิจัยพบว่าแนวทางการป้องกันการการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ควรคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าว</p> สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์ นุชจรินทร์ แก่นบุปผา พนาไพร โฉมงาม นัจจรินทร์ ผิวผ่อง ดวงกมล หน่อแก้ว Copyright (c) 2024 2024-06-30 2024-06-30 9 2 623 635 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hej/article/view/275550 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสริมของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำนวน 302 คน โดยใช้สูตรการคำนวณสูตรของ Wayne ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ Multistage Random Sampling แบ่งสัดส่วนตามสาขา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม มีค่า IOC เท่ากับ 0.70 และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt; 0.05&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง เป็นเพศหญิง ร้อยละ 58.3 อายุเฉลี่ย 20.5 ปี (SD=0.96) กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ร้อยละ 38.4 และรายได้ของท่านเฉลี่ยต่อเดือน &lt;5,000 บาท ร้อยละ 60.3 กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ข้อมูลการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ (Mean=35.61, SD=5.54) ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean= 4.90, SD=1.60) และพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ (Mean=32.08, SD=4.82) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสริม พบว่า ปัจจัยด้านการเคยซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม การเคยบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม การเคยซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้ ตัวเอง/ผู้อื่น/ทั้งตัวเองและผู้อื่น และการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และข้อมูลการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มีโอกาสในการมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสริม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value&lt;0.05</p> จุฑามาศ แก้วจันดี เบญญาภา หลงชิณ รจรินทร์ สิทธิโสม Copyright (c) 2024 2024-06-30 2024-06-30 9 2 636 643