https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/issue/feed
วารสารเครือข่ายส่งเสริมการวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-11-24T15:58:14+07:00
ดร.กฤษดา เชียรวัฒนสุข
hsrnj.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการบริหารงานร่วมกันระหว่างสถาบัน ในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในรูปแบบการจัดประชุมวิชาการ เผยแพร่ผลงานในวารสารวิชาการ การเพิ่มศักยภาพนักวิจัยให้มีความรู้ความเข้าใจในบริบทที่มีการปรับเปลี่ยนตามกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ รวมถึงการร่วมมือกันสร้างผลงานวิจัยเพื่อนำองค์ความรู้สู่ชุมชน สังคมและประเทศชาติให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/282585
ความเกี่ยวข้องของข้อมูลทางบัญชีในการอธิบายราคาหลักทรัพย์และการกำกับดูแลกิจการในฐานะตัวแปรกำกับ
2025-05-25T19:26:56+07:00
พิเชษฐ์ สิทธิโชคสกุลชัย
pichet.sit@stou.ac.th
สุวิทย์ ไวยทิพย์
suwit.v@rmutp.ac.th
พัทรียา เห็นกลาง
pattareya.h@rmutp.ac.th
สุขุมาลย์ ชำนิจ
pichet.sit@stou.ac.th
กชกร ณ นครพนม
Kodchakorn.Nan@stou.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) อิทธิพลของกำไรต่อหุ้นและมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นในการอธิบายราคาหลักทรัพย์ และ (2) อิทธิพลร่วมของการกำกับดูแลกิจการที่มีต่อกำไรต่อหุ้นและมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นในการอธิบายราคาหลักทรัพย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ประชากรคือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีข้อมูลครบถ้วนระหว่างปี 2560-2565 จำนวน 254 บริษัท (1,524 ข้อมูล) ตัวแบบที่นำมาใช้คือ Ohlson (1995) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า (1) กำไรต่อหุ้นและมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นมีอิทธิพลเชิงบวกต่อราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ (2) การกำกับดูแลกิจการช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของกำไรต่อหุ้นในการอธิบายราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 สำหรับตัวแปรควบคุมคือ ขนาดของกิจการและความเสี่ยงทางการเงินมีอิทธิพลเชิงลบและบวกต่อราคาหลักทรัพย์ตามลำดับ</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พิเชษฐ์ สิทธิโชคสกุลชัย, สุวิทย์ ไวยทิพย์, พัทรียา เห็นกลาง, สุขุมาลย์ ชำนิจ, กชกร ณ นครพนม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/286428
แนวทางการบูรณาการคุณลักษณะที่สำคัญต่อการปรับตัวและขับเคลื่อนองค์กร ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่องค์กรดิจิทัลของบุคลากร
2025-07-19T21:44:26+07:00
กฤตพลลภ์ คิรินทร์
65810082@go.buu.ac.th
ปรัชนันท์ เจริญอาภรณ์วัฒนา
paratchanun@go.buu.ac.th
จินดาภา ลีนิวา
jindapa.le@go.buu.ac.th
<p>การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บุคลากรต้องปรับตัวทั้งในด้านทักษะ เทคโนโลยี และทัศนคติ องค์กรจึงจำเป็นต้องออกแบบแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของบุคลากรอย่างแท้จริง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบแนวทางการบูรณาการคุณลักษณะที่สำคัญต่อการปรับตัวและขับเคลื่อนองค์กรในกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่องค์กรดิจิทัลของบุคลากร โดยอิงจากผลการจำแนกกลุ่มตามกรอบคุณลักษณะ 4 มิติ 17 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความรู้ทักษะเชิงดิจิทัล 2) ทัศนคติ/แรงจูงใจสำเร็จ 3) ความสามารถในการปฏิบัติงาน และ 4) คุณลักษณะการเรียนรู้เฉพาะบุคคล โดยใช้วิธีการวิเคราะห์การจำแนกกลุ่ม มาสร้างโปรไฟล์กลุ่มบุคลากรแต่ละกลุ่ม พร้อมออกแบบแนวทางการพัฒนาที่เฉพาะเจาะจงที่ได้จากการรวมประเด็นด้านทักษะ ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมการเรียนรู้ มาเป็นโครงสร้างเดียวเพื่อการพัฒนาอย่างมีกลยุทธ์ ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มย่อยที่มีลักษณะเฉพาะด้านศักยภาพและความต้องการพัฒนาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แนวทางการฝึกอบรมที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่มสามารถตอบสนองต่อความแตกต่างดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม และมีศักยภาพในการนำไปประยุกต์ใช้เป็นแผนพัฒนารายกลุ่มหรือรายบุคคล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขององค์กรในยุคดิจิทัล ผลลัพธ์ของการศึกษานี้มีคุณค่าเชิงประยุกต์สำหรับผู้บริหารองค์กร และหน่วยงานด้านทรัพยากรมนุษย์ในการวางนโยบายฝึกอบรม และออกแบบการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของบุคลากรแต่ละกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับตัวและขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กฤตพลลภ์ คิรินทร์, ปรัชนันท์ เจริญอาภรณ์วัฒนา, จินดาภา ลีนิวา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/281434
การเพิ่มศักยภาพด้านภาวะความเป็นผู้นำต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐ
2025-06-29T17:41:45+07:00
จุฑา มุกนพรัตน์
jutha_m@mail.rmutt.ac.th
ธีทัต ตรีศิริโชติ
teetut@go.buu.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล การเพิ่มศักยภาพ และภาวะความเป็นผู้นำที่มีผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างกำลังพลของกระทรวงกลาโหม จำนวน 400 คน จาก 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ หน่วยละ 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อายุงาน และรายได้ต่อเดือน ไม่มีผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่การเพิ่มศักยภาพด้านการพัฒนา (β = 0.350) ด้านการเปลี่ยนแปลง (β = 0.120) และภาวะความเป็นผู้นำด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา (β = 0.250) มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยตัวแปรทั้งสามตัวสามารถร่วมกันพยากรณ์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของหน่วยงานภาครัฐได้ร้อยละ 55.2 ข้อเสนอแนะจากการศึกษาประกอบด้วย การสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกและการยอมรับนวัตกรรม และการพัฒนาภาวะผู้นำที่สามารถกระตุ้นการใช้ปัญญาของบุคลากรในองค์กร งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มศักยภาพและภาวะความเป็นผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 จุฑา มุกนพรัตน์, ธีทัต ตรีศิริโชติ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/278940
ผลกระทบของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อนิติบุคคลที่เป็นศาสนสถาน กรณีศึกษา: วัดในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-05-20T17:05:23+07:00
สวรส กัญภัคขจร
sawaros.kan@kbu.ac.th
มงคล กล้าผจญ
mongkol.kla@kbu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของนิติบุคคล ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการจัดเก็บภาษีนี้ทำให้บุคคลที่เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นจากเดิม รวมทั้งขาดความเข้าใจในการคำนวณภาษีซึ่งมีความซับซ้อน ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยการสำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของวัดในกรุงเทพมหานคร เริ่มในเดือนมกราคม พ.ศ.2563 ถึงเดือนเมษายน 2567 ใช้สถิติร้อยละและเชิงพรรณนาโดยใช้โปรแกรมคำนวณภาษี ผู้วิจัยพบว่า วัดที่ทำการศึกษามีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนมาก โดยนำมาจัดสรรให้ประชาชนเช่าเพื่อการพักอาศัย และเพื่อการพักอาศัยรวมถึงทำการค้าขายในสถานที่เดียวกัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของวัดเพื่อทำธุรกิจและพักอาศัยจะมีภาระภาษีมากที่สุด รองลงมาคือผู้เช่าเพื่อพักอาศัย ทั้งนี้ผู้เช่ากลุ่มที่ทำการค้าและพักอาศัยนั้นมีภาระภาษีเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าวิธีการจัดเก็บภาษีแบบเดิม และกลุ่มผู้เช่าเพื่อพักอาศัยเพียงอย่างเดียวเสียภาษีลดลง</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สวรส กัญภัคขจร, มงคล กล้าผจญ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/284339
แนวทางการยกระดับศักยภาพโฮมสเตย์สู่มาตรฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดปทุมธานี
2025-06-23T11:17:52+07:00
พัชราภรณ์ จันทรฆาฎ
patcharaporn.jan@vru.ac.th
กานต์มณี ไวยครุฑ
kanmanee@vru.ac.th
ภัทราพร จันทร์สุริย์
pattraporn@vru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพโฮมสเตย์สู่มาตรฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในจังหวัดปทุมธานี และ 2) เพื่อได้แนวทางการยกระดับศักยภาพโฮมสเตย์สู่มาตรฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดปทุมธานี โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ประกอบการโฮมสเตย์ที่เปิดดำเนินกิจการอยู่ จำนวน 10 แห่ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลอง PRIMO-F Analysis, PEST Analysis, SWOT Analysis วางแผนกลยุทธ์ด้วยเทคนิค TOWS Matrix และกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จด้วย Balanced Scorecard ประกอบด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่ 1) กลยุทธ์เชิงรุก (1) พัฒนาเนื้อหาประชาสัมพันธ์กิจกรรมท้องถิ่นผ่านสื่อออนไลน์ เช่น คลิปสั้นเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น (2) จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เช่น ตลาดเช้าชุมชน และ (3) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อจัดอบรมทักษะเทคโนโลยีให้แก่พนักงานโฮมสเตย์ 2) กลยุทธ์เชิงป้องกัน (1) ปรับรูปแบบบริการให้น่าสนใจขึ้น เช่น เสนอแพ็กเกจโฮมสเตย์ 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่ต้องการความรวดเร็ว (2) สร้างระบบบริการออนไลน์พื้นฐาน เช่น Line Official หรือ Google Form สำหรับจองห้องพัก แทนเว็บไซต์เต็มรูปแบบ และ (3) วางแผนรับมือภัยธรรมชาติ เช่น จัดจุดหลบภัยยามน้ำท่วม มีป้ายแจ้งเตือน 3) กลยุทธ์เชิงแก้ไข (1) ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านโครงการ Soft Loan หรือ SME-Fund เพื่อนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (2) นำระบบพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาประยุกต์ใช้เบื้องต้น และ 4) กลยุทธ์เชิงรับ (1) จัดทำคู่มือการใช้เทคโนโลยีอย่างง่ายสำหรับพนักงานภายในโฮมสเตย์ เช่น การใช้แอปพลิเคชันจองที่พัก หรือระบบรีวิว</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พัชราภรณ์ จันทรฆาฎ, กานต์มณี ไวยครุฑ, ภัทราพร จันทร์สุริย์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/286852
ปัจจัยส่วนบุคคล การรับรู้คุณค่าตราสินค้า และการสื่อสารปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อความตั้งใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือ
2025-07-19T20:28:11+07:00
ทัตพงศ์ นามวัฒน์
thatphong.n@gmail.com
ธนพร สินไชย
tnp.jana@gmail.com
ประภาพรรณ ไชยานนท์
prapaphunch_chaiyanont@yahoo.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ระดับการรับรู้คุณค่าตราสินค้า การสื่อสารปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ และความตั้งใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือ และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือ 8 มหาวิทยาลัย ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์ จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควต้า โดยเลือกตัวอย่างตามสัดส่วนของจำนวนนักศึกษาในแต่ละมหาวิทยาลัย และใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า การสื่อสารปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือสูงที่สุด (β = 0.427) รองลงมาได้แก่ ความเชื่อมโยงกับตราสินค้า (β = 0.384) และความภักดีต่อตราสินค้า (β = 0.196) ตามลำดับ โดยสามารถร่วมกันพยากรณ์ความตั้งใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือได้ร้อยละ 66.30 สร้างสมการทำนายในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ Z = 0.427 (การสื่อสารปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์) + 0.384 (ความเชื่อมโยงกับตราสินค้า) + 0.196 (ความภักดีต่อตราสินค้า)</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ทัตพงศ์ นามวัฒน์, ธนพร สินไชย, ประภาพรรณ ไชยานนท์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/285054
ผลกระทบของความพึงพอใจของลูกค้าและบุพปัจจัยต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-06-24T13:19:46+07:00
ธัญญารัตน์ เจริญเชื้อ
thanya7676@gmail.com
ประยงค์ มีใจซื่อ
p.meechaisue@gmail.com
นรพล จินันท์เดช
norapol9@yahoo.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของความพึงพอใจของลูกค้าและบุพปัจจัยต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน ประกอบไปด้วยข้อมูลคุณภาพจากการสัมภาษณ์นำร่องจำนวน 10 ราย สัมภาษณ์เชิงยืนยัน 6 ราย และข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามของผู้ที่เคยใช้บริการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 456 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสร้างแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการบริการมีผลกระทบทางบวกต่อภาพลักษณ์ตราสินค้า และการตัดสินใจซื้อ แต่ไม่มีผลกระทบทางตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้า ส่วนภาพลักษณ์ตราสินค้ามีผลกระทบทางบวกต่อความพึงพอใจของลูกค้า แต่ไม่มีผลกระทบทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อ สำหรับความพึงพอใจของลูกค้า มีผลกระทบทางบวกต่อการตัดสินใจซื้อ จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่าคุณภาพการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านรูปลักษณ์ภายนอก มีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อหากคุณภาพการบริการนั้นมีภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ข้อค้นพบเหล่านี้สามารถนำไปพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการบริการ สร้างภาพลักษณ์ตราสินค้าให้มีความน่าเชื่อถือ เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน</p>
2025-12-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธัญญารัตน์ เจริญเชื้อ, ประยงค์ มีใจซื่อ, นรพล จินันท์เดช
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/283699
การศึกษาผลกระทบของการดำเนินงานอย่างยั่งยืนต่อผลการดำเนินงานของกิจการ โดยมีนวัตกรรมสีเขียวเป็นตัวแปรส่งผ่าน: กรณีศึกษากลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรและสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศไทย
2025-06-24T18:11:45+07:00
เบญจมาศ จันอำรุง
jbbenjamas@gmail.com
ทิพย์รัตน์ เลาหวิเชียร
fbustrl@ku.ac.th
วุฒิไกร งามศิริจิตต์
Wuttigrai.n@gmail.com
สุรางค์ เห็นสว่าง
surang.m@ku.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการดำเนินงานอย่างยั่งยืนต่อผลการดำเนินงานของกิจการ โดยมีนวัตกรรมสีเขียวเป็นตัวแปรส่งผ่าน กลุ่มตัวอย่างคือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรและสินค้าอุตสาหกรรม จำนวน 154 แห่ง ระหว่างปี พ.ศ. 2561–2565 ใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูล LSEG และรายงานประจำปี วิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า การดำเนินงานอย่างยั่งยืนมีอิทธิพลเชิงบวกต่อการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว (β = 0.191, p < 0.05) อย่างไรก็ตามการดำเนินงานอย่างยั่งยืนส่งผลเชิงลบทั้งทางตรง (β = –0.168, p < 0.01) และทางอ้อมผ่านนวัตกรรมสีเขียว (β = –0.058, p = 0.077) ต่อผลการดำเนินงานของกิจการ ขณะเดียวกันนวัตกรรมสีเขียวมีอิทธิพลเชิงลบต่อผลการดำเนินงาน (β = –0.308, p < 0.01) ผลลัพธ์สะท้อนข้อจำกัดด้านต้นทุนและบริบทของอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างต้นทุนคงที่สูง ซึ่งยังไม่สามารถแปลงการดำเนินงานอย่างยั่งยืนเป็นประโยชน์ทางการเงินได้ในระยะสั้น งานวิจัยนี้มีส่วนเติมเต็มช่องว่างด้านความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการส่งผ่านของการดำเนินงานอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรมสีเขียวในประเทศกำลังพัฒนา และเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ต่อผู้บริหารและผู้กำหนดนโยบายเพื่อออกแบบระบบสนับสนุนที่เหมาะสม</p>
2025-12-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เบญจมาศ จันอำรุง, ทิพย์รัตน์ เลาหวิเชียร, วุฒิไกร งามศิริจิตต์, สุรางค์ เห็นสว่าง
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsrnj/article/view/286392
THE ROLE OF BRAND LEGITIMACY FOR CUSTOMER FORGIVENESS
2025-06-28T21:07:43+07:00
Patcharee Hongthong
patcharee_ho@kkumail.com
Pensri Jaroenwanit
penjar@kku.ac.th
James E. Nelson
James.Nelson@Colorado.edu
Bilal Khalid
Bilal.kh@kmitl.ac.th
<p>This research examines the impact of Brand Legitimacy on consumer forgiveness following brand failure, with Brand Nostalgia as a mediating process. Based on the Institutional Theory, the study develops and tests a structural model where Brand Legitimacy positively influences Brand Nostalgia and Brand Forgiveness, and Brand Nostalgia has a positive impact on Brand Forgiveness in return. The data were compiled from 1,286 Thailand consumers who had been exposed to a brand failure in the airline and smartphone service industries. Confirmatory factor analysis (CFA) and structural equation modeling (SEM) supported the three hypothesized relationships at a good level of model fit and ability to explain variance. Brand Legitimacy was found to be a significant predictor, both directly and indirectly via nostalgia influencing Brand Forgiveness. Some misspecifications regarding AVE and discriminant validity were identified, however model fit improved reliability. The findings offer implications on the emotional and cultural salience of legitimacy in post-crisis recovery, that is, brands that align with the values held by consumers and bring back nostalgic memories may regain consumer trust. This study also complements branding literature by linking institutional congruence with affective routes of brand recovery and forgiveness.</p>
2025-12-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Patcharee Hongthong, Pensri Jaroenwanit, James E. Nelson, Bilal Khalid