วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2<br>มีวัตถุประสงค์เพื่อพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ <br>กำหนดจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)</p> Udon Thani Rajabhat University th-TH วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2286-7139 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/276057 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม และ 2) เปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม จำนวน 183 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test และ F-test ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.64) เมื่อเปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ผลการศึกษา พบว่า อายุ ระดับการศึกษา ประเภทบุคลากร ประสบการณ์การทำงานที่ต่างกัน มีการบริหารทรัพยากรมนุษย์ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นหน่วยงานที่ต่างกันมีการบริหารทรัพยากรมนุษย์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> เวชยันต์ พรหมจันทร์ จารุกัญญา อุดานนท์ กชกร เดชะคำภู Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-25 2024-12-25 13 2 1 21 การวิเคราะห์คำศัพท์ HSK ในเพลงของวง WayV (威神V) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/276058 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาจำนวนคำศัพท์ HSK ระดับ 1-6 ที่ปรากฏในเพลงของศิลปินวง WayV 2) เพื่อสำรวจและจำแนกระดับคำศัพท์ HSK ที่ปรากฏในเพลงของศิลปินวง WayV ตามระดับความยากของ HSK จากผลการศึกษาพบว่า คำศัพท์ HSK 1-6 ปรากฏอยู่ในทุกบทเพลงของศิลปินวง WayV แต่มีจำนวนมากน้อยที่แตกต่างกัน จากการจำแนกแต่ละระดับ พบว่า บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 1 มากที่สุดคือบทเพลง 噩梦 บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 2 มากที่สุดคือบทเพลง 浪漫发酵 บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 3 มากที่สุดคือบทเพลง 幸福遇见 บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 4 มากที่สุดคือบทเพลง 浪漫发酵 บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 5 มากที่สุดคือบทเพลง Electric Hearts บทเพลงที่มีคำศัพท์ HSK 6 มากที่สุดคือบทเพลง Bad alive ผลจากการศึกษาระดับคำศัพท์ HSK ในบทเพลงนี้มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาจีนในการฝึกฝนคำศัพท์ HSK จะช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนภาษาจีนเลือกเพลงที่เหมาะสมกับระดับภาษาจีนมาใช้ในการเรียนและการสอนได้อย่างเหมาะสม อันจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาความรู้และทักษะภาษาจีนให้ดียิ่งขึ้น</p> วรรณา เหล่าเขตกิจ อนงครัตน์ บังศรี ไพลิน สุโพธิ์แสน ทิฆัมพร พันธัง สุชาดา หาญสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-25 2024-12-25 13 2 23 36 ผลการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาต่อทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/275477 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม ระหว่างหลังเรียนกับก่อนเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และกลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ 2) เปรียบเทียบผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ระหว่างหลังเรียนกับก่อนเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และกลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ 3) เปรียบเทียบทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมหลังเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา กับกลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้มาจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 13 ห้องเรียน สุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 2 ห้องเรียน แล้วจับสลากอีกครั้งเพื่อจัดเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบประเมินทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้วิธีการทางสถิติ t-test แบบ Dependent Sample และการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (MANOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1. ทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และกลุ่มนักเรียนที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา และกลุ่มนักเรียนที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">3. ทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมหลังเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> รักสุดา อุดม ชาติชาย ม่วงปฐม Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-25 2024-12-25 13 2 37 51 การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและ การดำเนินการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผ่านการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการแบบเปิด (OPEN APPROACH) ร่วมกับแนวคิด CONCRETE-PICTORIAL-ABSTRACT https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/278299 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับแนวคิด Concrete-Pictorial-Abstract (CPA) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดผลหลังการทดลอง ถ้านักเรียนได้คะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม จะถือว่านักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับแนวคิด CPA เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการ (2) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยง เบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบ t (t-test) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับแนวคิด CPA มีความสามารถในการแก้ ปัญหาทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับจำนวนและการดำเนินการ มากกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วิศรุต ร่มโพธิ์ ญานิน กองทิพย์ ชิรา ลำดวนหอม Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-25 2024-12-25 13 2 53 67 ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/275812 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนและก่อนเรียน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนกับก่อนเรียน 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ของเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษารัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 2 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้มาโดยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม One Group pretest - posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 2) แบบวัดความสามารถด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Dependent T-test และ One-Sample T-test ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดสะเต็มศึกษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70</li> </ol> แจ่มจันทร์ ประสงสุข ชาติชาย ม่วงปฐม Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-27 2024-12-27 13 2 69 82 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/278122 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หลักการและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร วิเคราะห์ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จากการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นการวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บิดามารดาละเลยหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรหรืออุปการะเลี้ยงดู ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพตามอัตภาพ ดังนั้น บุตรมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาในฐานะลูกหนี้ร่วม ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุตรไม่ตกทอดไปยังกองมรดก และไม่สามารถบังคับคดีได้ การกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นการใช้ดุลพินิจของศาลในการพิจารณาถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี คดีฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไม่มีอายุความและสิทธิเรียกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเริ่มนับตั้งแต่วันที่เด็กเกิด</p> <p>คณะผู้วิจัยเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 โดยกำหนดบทลงโทษหรือมาตรการบังคับทางกฎหมายในกรณีที่บิดามารดาละเลยการชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร แก้ไขมาตรา 1598/41 เพื่อให้สิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นส่วนหนึ่งของกองมรดก เสนอปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 (1) ให้หนี้ในอนาคตไม่เป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทและแก้ไขมาตรา 193/33 ให้การเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไม่อยู่ภายใต้อายุความ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิของบุตรอย่างเหมาะสม</p> ญาตรี สมล่ำ กันยนา ศรีพฤกษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-27 2024-12-27 13 2 83 102 การยกระดับการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อสร้างประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว ตามบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร ในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/277333 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ของบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร 2) พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อสร้างประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวตามบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร ในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 3) สร้างโปรแกรมวิเคราะห์บุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหารสำหรับแนะนำเส้นทางท่องเที่ยว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ของบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร มีปัจจัยร่วม 4 องค์ประกอบ ได้แก่ Big eater, Shrugger, Activist และ Super taster และการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่เหมาะกับบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม Big eater และกลุ่ม Shrugger เน้นกิจกรรมที่มีการเรียนรู้และความสนุกสนาน ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่ม Activist และกลุ่ม Super taster เน้นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสร้างสรรค์ เรียนรู้ และมีความสนุกสนานไปพร้อมกัน ซึ่งมีเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหารจากการวิเคราะห์โดยโปรแกรมบุคลักษณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงอาหารสำหรับแนะนำเส้นทางท่องเที่ยว</p> ปรียาพร พิชิตรานนท์ พิชญา ขุนศรี วิศิษฐ์ศิริ ชูสกุล วรรณวิสา ไพศรี อรจิต ชัชวาลย์ กิติยา คีรีวงก์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-27 2024-12-27 13 2 103 121 การวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมของหนังสือวันเด็กแห่งชาติ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/277522 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมของหนังสือวันเด็กแห่งชาติ รวบรวมข้อมูลจากหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2558–2567 จำนวน 10 เล่ม วิเคราะห์ตามแนวคิดองค์ประกอบการสื่อสารประกอบด้วยผู้ส่งสาร สาร สื่อช่องทางการสื่อสารและผู้รับสาร ผลการวิเคราะห์พบว่า 1. ผู้ส่งสารหรือผู้ผลิตตัวบทเป็นเด็กและเยาวชน จำนวน 333 คน ประกอบด้วย นักเรียน นักศึกษาและเยาวชนทั่วไป 2. สารหรือตัวบทพบประเภทงานเขียนทั้งหมด จำนวน 246 เรื่อง แบ่งออกเป็นบันเทิงคดี จำนวน 223 เรื่อง ประกอบด้วยนิทาน การ์ตูน เรื่องสั้น จดหมาย บทกลอน ชีวประวัติ และพบผลงานศิลปะ จำนวน 23 เรื่อง โดยพบงานเขียนเรื่องสั้นมากที่สุด จำนวน 136 เรื่อง ส่วนเนื้อหาเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนแต่งขึ้นเกี่ยวกับการศึกษา การผจญภัย การประกอบอาชีพ สัตว์ เทคโนโลยี ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อน ประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ ครอบครัว ศาสนาประเพณีและวัฒนธรรม การปฏิบัติตน การท่องเที่ยว และผลงานศิลปะ โดยพบเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตนมากที่สุด จำนวน 96 เรื่อง 3. สื่อช่องทางการสื่อสารหรือสื่อและการกระจายตัวบทดำเนินการเผยแพร่ไปยังโรงเรียนต่าง ๆ และจำหน่ายหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ และ 4. ผู้รับสารหรือผู้อ่านเป็นกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป หนังสือวันเด็กแห่งชาติได้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ของวิถีปฏิบัติทางวาทกรรมด้านการสื่อสารที่กำหนดผู้ส่งสาร สาร สื่อช่องทางการสื่อสาร และผู้รับสารไว้อย่างชัดเจน เน้นการผลิตเพื่อเด็กและเยาวชนจึงทำให้การกระจายตัวบทสามารถส่งผ่านไปยังผู้อ่านได้ทั่วประเทศ</p> พิชญาวี ทองกลาง กานดา เจริญเตีย Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-27 2024-12-27 13 2 123 137 DEVELOPING SECOND-YEAR STUDENT TEACHERS’ TECHNOLOGICAL PEDAGOGICAL CONTENT KNOWLEDGE THROUGH MICRO-TEACHING IN A LEARNING MANAGEMENT COURSE https://so06.tci-thaijo.org/index.php/hsudru/article/view/276379 <p>This study aimed to 1) study TPCK development through Micro-Teaching, 2) explore supportive and obstructive factors, and 3) assess post-instruction TPCK development. The sample comprised 92 second-year student teachers who enrolled in a Learning Management Course at a university in Surin Province during the second semester of 2022. A mixed-methods approach was utilized, combining qualitative and quantitative data from lesson plan analyses, field notes of observations, semi-structured interviews, document reviews, and questionnaires. The results demonstrated high post-instruction TPCK proficiency in TPCK components due to Micro-Teaching, with the highest scores in Technological Knowledge (TK) and the lowest in Technological Content Knowledge (TCK). Effective mentorship and robust technological resources were identified as key supporting factors, while challenges included insufficient content knowledge and inappropriate technology integration. Overall, TPCK development was high ( = 4.19, S.D. = 0.67), highlighting the effectiveness of Micro-Teaching in enhancing the instructional competencies of student teachers.</p> Chittamas Suksawang Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2024-12-27 2024-12-27 13 2 139 157