https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/issue/feed วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 2024-12-27T20:49:39+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.ชนะศึก วิเศษชัย husojournalpnru@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>HUSO Journal of Humanities and Social Sciences</strong><br />คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร</p> <p>วารสาร HUSO เป็นวารสารวิชาการราย 6 เดือน จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้และผลการศึกษาวิจัยในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป ได้มีเวทีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกับเครือข่ายทางวิชาการทั้งภายในและภายนอกประเทศ</p> <p>กองบรรณาธิการยินดีรับพิจารณาบทความวิชาการจากนักวิชาการทุกท่าน โดยบทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์จะผ่านกระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ผ่านระบบการประเมินแบบ <strong>Double-Blind Peer Review</strong> ซึ่งผู้ประเมินและผู้เขียนจะไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของกันและกัน</p> <p>ทั้งนี้ บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว มิได้สะท้อนถึงความคิดเห็นของกองบรรณาธิการหรือคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครแต่อย่างใด รวมถึงไม่ครอบคลุมถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการจัดพิมพ์</p> <p>วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร มุ่งเน้นการเผยแพร่งานวิชาการที่มีความลุ่มลึกทางวิชาการ มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมองค์ความรู้ใหม่ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>ทั้งนี้ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปี 2568 เป็นต้นไป วารสารขอสงวนสิทธิ์ <strong>ไม่รับพิจารณาตีพิมพ์บทความที่เน้นเพียงการสำรวจความพึงพอใจหรือการมีส่วนร่วม</strong> ซึ่งมีลักษณะเป็นการเก็บข้อมูลเชิงบรรยายหรือสถิติเบื้องต้นโดยไม่มีการวิเคราะห์หรือสังเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากบทความประเภทดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับแนวทางและวัตถุประสงค์ของวารสารที่มุ่งเน้นการนำเสนอองค์ความรู้เชิงลึกและข้อค้นพบใหม่ที่มีคุณค่าทางวิชาการ</p> <p>วารสารขอแนะนำให้ผู้เขียนปรับปรุงบทความให้มีการวิเคราะห์เชิงลึก การอภิปรายผลที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเสนอข้อค้นพบที่มีนัยสำคัญเชิงวิชาการ เพื่อให้ผลงานมีความเหมาะสมและมีศักยภาพในการเผยแพร่ต่อสาธารณะในระดับวิชาการ</p> <p><strong>หมายเหตุ:</strong> กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการไม่ส่งคืนบทความต้นฉบับให้แก่ผู้เขียน</p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/279784 GUIDELINES FOR SUBMITTING CITIZEN PETITIONS REQUESTING THE CONSTITUTIONAL COURT TO CONSIDER AND DECIDE CASES IN ACCORDANCE WITH THE CONSTITUTION OF THE KINGDOM OF THAILAND, B.E.2017 2024-12-08T14:52:25+07:00 ณัฐพัชร์ เพ็ชรอาภรณ์ natthaphat@pnru.ac.th พิชญ์สินี ศรีสวัสดิ์ Natthaphat@pnru.ac.th ปิยนันท์ ศรีทองทิม Natthaphat@pnru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสภาพปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการยื่นคำร้องของประชาชนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคดี โดยการเขียนบทความครั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อค้นพบเป็นแนวทางสำหรับใช้เป็นวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป และผลการศึกษาพบว่า ควรมีบทบัญญัติและข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ชัดเจนเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายประการ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างเหมาะสมและมีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถยึดเป็นหลักในการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องตรงตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย</p> <p>บทสรุปและข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ ดังนี้</p> <ol> <li>ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ วิธีการและวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง เพื่อให้สามารถนำไปเป็นหลักในการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น</li> <li>ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นคดีเกี่ยวกับการยื่นคำร้องของประชาชนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคดี</li> </ol> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/275741 RELATIONSHIP BETWEEN ECONOMIC MONOPOLIES AND THAI POLITICS 2024-08-19T10:34:38+07:00 โพธิ์คิน ขวาอุ่นหล้า pokim.itr@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนผูกขาดทางเศรษฐกิจกับการเมืองไทย วิเคราะห์ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ และจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหา จากการศึกษาพบว่ากลุ่มการเมืองต้องอาศัยกลุ่มทุนใหญ่มาช่วยสนับสนุนให้อยู่ในอำนาจรัฐได้ยาวนาน รัฐจึงให้การคุ้มครองกลุ่มทุนใหญ่ จึงเรียกได้ว่าเป็นการสมยอมกันระหว่างกลุ่มทุนใหญ่กับรัฐบาล โดยต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์ให้กันและกัน แต่เป็นการทำลายผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้แนวโน้มการเมืองในอนาคตจะทำงานแบบเข้าข้างกลุ่มทุนใหญ่ เกิดวัฒนธรรมผูกขาด ระบบอุปถัมภ์ทุน และการยึดกุมการกำกับดูแล ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการคอร์รัปชัน และส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เกิดความล้มเหลวของตลาดที่ไม่สามารถทำงานตามกลไกเพื่อนำมาซึ่งการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพได้ สำหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่าง ๆ ให้มากขึ้น สนับสนุนให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นกรรมการคอยสอดส่องดูแลเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ปรับปรุงกฎหมาย วิธีพิจารณาทางการปกครองให้เคร่งครัด มีบทลงโทษที่ชัดเจน และบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/276388 REVIEWING MEDIA IMPACT IN THAI POLITICS: PARASOCIAL INTERACTION AND AUTHENTICITY 2024-09-19T09:56:27+07:00 พีรวัส ทันอินทรอาจ peerawat2000@hotmail.com <p>บทความนี้นำการวิจัยในอดีตมาศึกษา เพื่อตรวจสอบผลกระทบของการเปิดรับสื่อ การปฏิสัมพันธ์กึ่งสังคม ต่อความจริงแท้ทางการเมือง และประสิทธิภาพทางการเมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจว่า สื่อมีอิทธิพลต่อมิติของตัวแปรที่กล่าวมาข้างต้นอย่างไร บทความนี้เน้นนำเสนอบทบาทของการเปิดรับสื่อในการหล่อหลอมทัศนคติทางการเมือง และความสำคัญของการปฏิสัมพันธ์กึ่งสังคม ในการส่งเสริมความไว้วางใจต่อรัฐบาลและบุคคลในสื่อ พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ความเป็นของแท้ทางการเมือง ได้แก่ ความเป็นธรรมดา ความสอดคล้องกัน และความรวดเร็วทันที ซึ่งถูกส่งผลกระทบจากการนำเสนอในสื่อ นอกจากนี้ ยังเน้นถึงการกระตุ้นของสื่อดั้งเดิมและสื่อสังคมออนไลน์ ต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองและประสิทธิภาพทางการเมือง บทความนี้ มีการสรุปโดยเน้นถึงความจำเป็นในการศึกษาในอนาคต เพื่อทำความเข้าใจว่า พลวัตรของตัวแปรเหล่านี้ทำงานอย่างไร โดยเฉพาะในภูมิทัศน์สื่อที่พัฒนาในประเทศไทย รวมถึงผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตย โดยมีข้อมูลสนับสนุน</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/278117 LEGAL MEASURES IN SUPERVISING LOCAL GOVERNMENT ORGANIZATIONS BY THE STATE : IMPLEMENTATION OF THE INTEND AND PROVISIONS OF THE CONSTITUTION OF THE KINGDOM OF THAILAND B.E 2560, SECTION 250 CLAUSE 5: A CASE STUDY OF MUNICIPALITIES 2024-11-25T13:33:54+07:00 อาภาพงศ์ กฤตเวทิน bb4697437@gmail.com จรัล เล็งวิทยา bb4697437@gmail.com บรรเจิด สังคะเนติ bb4697437@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีการปกครองแบบกระจายอำนาจและการกำกับดูแล สภาพปัญหาของมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเทศบาลของไทยกับต่างประเทศ และเพื่อหาแนวทางการแก้ไขมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลเทศบาลให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 250 วรรคห้า เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยจากเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่มย่อย ระดมความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการศึกษา มีดังนี้</p> <ol> <li>แนวคิด ทฤษฎีการปกครองแบบกระจายอำนาจเป็นการที่รัฐบาลได้ผ่องถ่ายอำนาจและภาระหน้าที่บางอย่างไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเทศบาลทำแทน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงมหาดไทย <br />ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเทศบาล ในลักษณะของการ “ควบคุมกำกับดูแล” <br />ซึ่งแตกต่างจากความสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทยกับจังหวัดและอำเภอที่อยู่ในลักษณะ “ควบคุมบังคับบัญชา” <br />ที่มีมาแต่เดิม</li> <li>มาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเทศบาลที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มีหลายมาตราไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 250 วรรคห้า</li> <li>เปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเทศบาลของไทยกับประเทศฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา พบว่า แต่ละประเทศมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ในส่วนข้อดีและมีความเหมาะสม สามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้ตัวอย่างเช่น การยกเลิกการกำกับดูแลก่อนกระทำของประเทศฝรั่งเศส การให้ประชาชน ร้อยละ 2 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมกันเข้าชื่อเพื่อให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกข้อบัญญัติท้องถิ่นและสามารถตรวจสอบการบริหารของท้องถิ่นและเทศบาลของประเทศญี่ปุ่น และสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐบาลมลรัฐกำหนดให้มีมาตรฐานหรือดัชนีชี้วัดความสำเร็จของงานให้ท้องถิ่นและเทศบาลถือปฏิบัติ</li> <li>แนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เพื่อให้เกิดการอนุวัติเป็นไปตามเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 250 วรรคห้า</li> </ol> <p><strong> ข้อเสนอแนะ</strong></p> <p> ควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 48 ปัญจทศ (6) มาตรา 48 โสฬส (8) มาตรา 62 มาตรา 62 ตรี วรรคห้า มาตรา 69 มาตรา 73/1 มาตรา 75 และมาตรา 75 ทวิ</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/271031 GUIDELINES FOR DEVELOPING HUMAN RESOURCE COMPETENCIES IN A DISRUPTION ERA OF SMALL AND MEDIUM ENTERPRISES IN BANGKOK 2024-02-06T14:53:09+07:00 สิริพร พงศ์หิรัญสกุล siriporn.po@pnru.ac.th พัชรี ฉลาดธัญกิจ siriporn.po@pnru.ac.th ณรงค์ฤทธิ์ ประสานตรี siriporn.po@pnru.ac.th กาญจนา จินดานิล siriporn.po@pnru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการเปลี่ยนฉับพลันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการเปลี่ยนฉับพลันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เขตกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อจัดทำคู่มือการพัฒนาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการเปลี่ยนฉับพลันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เขตกรุงเทพมหานคร การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานที่เน้นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพเลือกแบบเจาะจง จำนวน 9 คน ประกอบด้วยภาคการผลิต จำนวน 3 คน ภาคการค้าจำนวน 3 คน และภาคบริการ จำนวน 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 400 คน โดยการสุ่มแบบโควต้า เครื่องมือในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ที่จำเป็นในยุคของการเปลี่ยนฉับพลันผู้ประกอบการให้ข้อมูลความคิดเห็นด้านสมรรถนะส่วนบุคคล ด้านสมรรถนะหลัก และด้านสมรรถนะตามสายงาน อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านสมรรถนะองค์การอยู่ในระดับปานกลาง 2) แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการเปลี่ยนฉับพลันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เขตกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ด้าน พบว่าสมรรถนะส่วนบุคคล จำเป็นต้องพัฒนาทั้งบุคลิกภาพ ความสามารถในการสื่อสาร และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สมรรถนะหลัก จำเป็นต้องพัฒนาการทำงานร่วมกับผู้อื่น การยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม ความขยันและความรับผิดชอบ สมรรถนะตามสายงาน จำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความเชี่ยวชาญในสายอาชีพ และมีความสามารถในการจัดการ และสมรรถนะองค์การ จำเป็นต้องพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจและความคิดเชิงนวัตกรรม และ 3) คู่มือการพัฒนาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุคการเปลี่ยนฉับพลันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เขตกรุงเทพมหานคร ได้นำสมรรถนะทั้ง 4 ด้านดังกล่าวมาเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมรรถนะของนักทรัพยากรมนุษย์</p> 2024-06-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/272848 THE ROLE OF DAILY NEWSPAPERS IN ENHANCING THE COOPERATION AMONG ASEAN MEMBER COUNTRIES 2024-04-17T11:42:24+07:00 ภัทรเวช ฟุ้งเฟื่อง bhathravej@yahoo.com ดวงกมล ชาติประเสริฐ duangkamol.c@Chula.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทหนังสือพิมพ์รายวันต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน และทิศทางของเนื้อหาที่มีส่วนในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนอย่างไร ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงปริมาณ (content analysis) ผ่านแนวคิดการเลือกข่าวต่างประเทศ ผลการศึกษาพบว่า หนังสือพิมพ์รายวันนำเสนอเนื้อหารายประเทศสมาชิกมากที่สุด รองลงมาการนำเสนอในรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนำเสนอในฐานะอาเซียน น้อยที่สุด โดยการนำเสนอเนื้อหารายประเทศมีการกล่าวถึงประเทศเมียนมามากที่สุด รองลงมาเป็นมาเลเซีย และอินโดนีเซียตามลำดับ ขณะที่เนื้อหาในฐานะประชาคมอาเซียนมีการนำเสนอด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมากที่สุด รองลงมาเป็นเนื้อหาด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียนตามลำดับ</p> <p> สำหรับประเด็นการนำเสนอความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน พบว่า มีการนำเสนอเนื้อหาที่สร้างการตระหนักรู้ในบทบาทของประเทศสมาชิกมากที่สุด รองลงมาเป็นเนื้อหาด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคม และการสร้างความเข้าใจในการรวมตัวและผลที่จะได้รับจากการเป็นประชาคมอาเซียน</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/277395 BELIEFS, RITUALS, AND THE ROLES OF THE ORIGINAL CITY PILLAR SHRINE IN PAK KLONG OM, NONTHABURI PROVINCE 2024-09-12T10:04:36+07:00 สราวุฒิ เขียวพฤกษ์ 6003032403rumail@gmail.com <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมาและความสำคัญของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี 2) วิเคราะห์ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี 3) วิเคราะห์สัญลักษณ์ที่ปรากฏภายในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี และ 4) วิเคราะห์บทบาทหน้าที่ของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี งานวิจัยฉบับนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่ศึกษาข้อมูลจากเอกสารและใช้วิธีเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างวิจัย คือ กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี และนักท่องเที่ยวและผู้เลื่อมใสศรัทธา จำนวน 50 คน และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์แล้วนำเสนอผลการศึกษาวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม จังหวัดนนทบุรี เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อเป็นศาลประจำเมือง ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยผสมผสานทั้งวัฒนธรรมไทย จีน และศาสนาพราหมณ์ฮินดูเข้าด้วยกัน 2) ความเชื่อต่อเจ้าพ่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม มี 7 ประการ ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ โชคลาภ การขอบุตร การงาน การศึกษา ความปลอดภัยและความรัก ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันและผู้ที่มีความศรัทธาต่อเจ้าพ่อศาลหลักเมืองเดิมนั้นยังได้เข้าร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ในรอบปีของเจ้าพ่อศาลหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม ซึ่งมี 4 พิธีกรรม ได้แก่ พิธีกรรมในเทศกาลตรุษจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลกินเจ และประเพณีงานสมโภชศาลเจ้าพ่อหลักเมือง 3) สัญลักษณ์ของเครื่องสังเวยและเครื่องบวงสรวงภายในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อมสะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อที่หลากหลาย โดยวัตถุเหล่านี้ทำหน้าที่แทนความหมายทางจิตวิญญาณและทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ศรัทธากับระบบความเชื่อที่ศาลเจ้าถือปฏิบัติ และ 4) จากความเชื่อและพิธีกรรมสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม คือ บทบาทด้านจิตใจและสังคม ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับผู้ศรัทธา ทำให้เกิดความสบายใจ ความมุ่งมั่นและมีกำลังใจในการต่อสู้กับชีวิต บทบาทด้านการตอบแทนช่วยเหลือสังคม โดยเป็นศูนย์รวมใจสร้างความสามัคคีทั้งภายในและภายนอกชุมชน นำไปสู่การแบ่งปันและสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสังคม บทบาทด้านเศรษฐกิจ ผู้คนที่มาสักการะจะช่วยสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย และบทบาทด้านวัฒนธรรม คือ ศาลหลักเมืองเดิม ปากคลองอ้อม เป็นแหล่งที่มีการสืบทอดและเผยแพร่วัฒนธรรมจีน เพราะชาวบ้านในชุมชนและบริเวณโดยรอบศาลเจ้า รวมถึงผู้ศรัทธายังคงมีการสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรมเหล่านี้ให้คงอยู่ในปัจจุบัน และการมีอยู่ของศาลเจ้ายังก่อได้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับจีนได้เป็นอย่างดี</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/275901 THE PRESERVATION AND INHERITANCE OF THE TRADITION OF LUANG PHO KHIAO SUKHOPHUTTHO BHAWAWA, WAT HUAKU SAMUT PRAKAN PROVINCE 2024-09-17T11:10:52+07:00 สุกฤตาวัฒน์ บำรุงพานิช Sukrittawat_jom@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมาประเพณีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา 2) อนุรักษ์และสืบสานประเพณีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา พื้นที่วิจัยในตำบลศีรษะ<br />จรเข้น้อย อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง การสนทนากับกลุ่มเจ้าอาวาส และผู้เกี่ยวข้องกับวัดกลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบลศีรษะจรเข้น้อย กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีตำบลศีรษะจรเข้น้อย กลุ่มสภาวัฒนธรรมอำเภอบางเสาธง กลุ่มชาวบ้านและกลุ่มผู้รู้ท้องถิ่นในอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประวัติความเป็นมาประเพณีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควาเกิดขึ้นใหม่จากแรงศรัทธาของคนในชุมชนศีรษะจรเข้น้อยที่มีต่อองค์หลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา ได้มีแนวคิดร่วมกับคนในชุมชนจัดงานประเพณีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา มีการจัดขบวนแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควาเกิดขึ้นในรูปแบบขบวนเล็ก ๆ แห่ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน 2) การอนุรักษ์และสืบสานประเพณีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา เป็นประเพณีประดิษฐ์เพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมขบวนแห่ผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา โดยได้ปรับเปลี่ยนลักษณะบางประการ ให้เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น ให้เยาวชนรุ่นหลังไม่หลงลืมประวัติศาสตร์ มีการประดิษฐ์ดนตรีการรำแห่ขบวนผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา นำจังหวะกลองยาวมาผสมผสานกับทำนองเพลงพม่ากลองยาว มีจังหวะสนุกสนาน มีการประดิษฐ์รำแห่ขบวนผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา ได้นำท่ารำมาจากท่ารำแม่บทเล็กและได้มีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายประกอบการรำแห่ขบวนผ้าห่มหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/275941 THE DEVELOPMENT OF ENGLISH LISTENING COMPREHENSION ABILITY FOR PRATHOMSUKSA 4 STUDENTS AT THAI RATWITTAYA 93 SCHOOL (BAN LAD TAKHIAN) 2024-08-16T15:38:51+07:00 สุรศักดิ์ แจ่มเจริญ surasak.j@siu.ac.th ปรารถนา ผดุงพจน์ surasak.j@siu.ac.th สมสุข ค้ำชู surasak.j@siu.ac.th พัชรินทร์ โตตระกูล surasak.j@siu.ac.th วราภรณ์ วงศ์เพ็ญ surasak.j@siu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2) ศึกษาความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการฝึกการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 93 (บ้านลาดตะเคียน)ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ13101) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 19 คน คัดเลือกมาแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ แบบทดสอบวัดทักษะการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการฝึกการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้การฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.32/82.80 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด นักเรียนมีผลการทดสอบความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษในระดับดีมาก (ร้อยละ 82.80) และมีความพึงพอใจต่อการฝึกการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.71)</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/277408 DEVELOPMENT OF A PARTICIPATORY WASTE MANAGEMENT MODEL FOR THE NETWORK PARTNERS OF BANG BUA THONG MUNICIPALITY 2024-11-14T13:12:55+07:00 วิเชียร เจริญนนทสิทธิ์ joincheon1988@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง และ 3) พัฒนารูปแบบการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ที่มีประสิทธิภาพ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้เครื่องมือวิจัยที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา และการทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ค่า Cronbach's alpha = .91 เพื่อนำแบบสอบถามสำหรับแจกกลุ่มตัวอย่างสมาชิกโครงการธนาคารคัดแยกขยะประกันชีวิต จำนวน 376 คน กับการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 3 กลุ่ม จำนวน 41 คน คือ (1) ผู้บริหารเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง จำนวน 7 คน (2) กรรมการบริหารธนาคารคัดแยกขยะประกันชีวิต จำนวน 20 คน และ (3) ผู้นำชุมชนในพื้นที่เทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง จำนวน 14 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ด้วยการตรวจสอบแบบสามเส้า แล้วนำอ่านและตีความ เพื่อสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยต่อไป</p> <p>ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้</p> <p>1.ประสิทธิภาพการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x ̅ = 4.21, S.D.= .868) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าส่วนใหญ่ คือ โครงการฯ ช่วยให้มีการนำขยะมาใช้ซ้ำหรือนำไปขาย (x ̅ = 4.23, S.D.= .841) การดำเนินงานของโครงการฯ ช่วยลดจำนวนขยะในชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะขยะรีไซเคิลที่จะถูกคัดแยกไปแปรรูปเป็นสิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ หรือคัดแยกไปขายต่อให้ธนาคารคัดแยกขยะฯ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการฯ ช่วยให้สมาชิกได้รับประโยชน์จากการจัดการขยะทั้งทางตรง เช่น ลดปริมาณขยะในชุมชน ชุมชนมีความเป็นระเบียบและสะอาดยิ่งขึ้น</p> <ol start="2"> <li>ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทองโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.18, S.D.= .880) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าส่วนใหญ่ คือ แรงจูงใจด้านประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการธนาคารขยะฯ มีผลต่อการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกของโครงการธนาคารขยะฯ (x ̅ = 4.22, S.D.= .867) การสร้างจูงใจให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยการสื่อสารข้อมูลของโครงการผ่านช่องทางต่าง ๆ ประกอบกับการเสริมสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน</li> <li>รูปแบบการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง ที่มีประสิทธิภาพ ที่มีองค์ประกอบและวิธีการ คือ (1) การสร้างภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน (2) การจัดตั้งองค์การจัดการขยะ เป็นการจัดตั้งองค์การบริหารและการจัดการที่บริหารโดยประชาชนในรูปแบบคณะกรรมการ และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีองค์การภาคีเครือข่ายให้การสนับสนุน (3) การสร้างการมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงปัจจัยที่ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่หนึ่ง ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการบริหารและการจัดการเครือข่ายจัดการขยะ ได้แก่ ความตระหนักและการจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม แรงจูงใจด้านประโยชน์ที่จะได้รับ การประชาสัมพันธ์เชิญชวน และการโน้มน้าวชักจูงให้เข้ามามีส่วนร่วม และ ปัจจัยที่สอง ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการขยะ ได้แก่ ปริมาณขยะในพื้นที่ ศักยภาพและความสามารถในการจัดการขยะ การมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือของประชาชน การนำเทคโนโลยีและเทคนิคการจัดการขยะ และการให้ความสำคัญในการจัดการขยะของหน่วยงานรับผิดชอบ</li> </ol> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/279026 A STUDY ON THE OPERATIONAL EFFICIENCY OF THE CENTER FOR ASSISTANCE TO REINTEGRATION AND EMPLOYMENT FOR THE CENTRAL CORRECTIONAL INSTITUTION FOR DRUG ADDICTS 2024-11-25T15:03:06+07:00 ภีรนุช สุวรรณนิมิตร prelanuch.s@ku.th สุรีย์ฉาย พลวัน prelanuch.s@ku.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง และเพื่อเปรียบเทียบระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 200 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นแบบเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ประกอบด้วย การทดสอบ t - test และการทดสอบ One - way ANOVA</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการให้บริการ รองลงมา คือ ด้านความสำเร็จในการให้บริการ ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งการทดสอบสมมติฐานจำแนกตามอายุ รายได้ก่อนต้องโทษ อัตราโทษตามคำพิพากษา และความสัมพันธ์ในครอบครัว มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่วนจำแนกตามระดับการศึกษา อาชีพก่อนต้องโทษ และสถานภาพ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ข้อเสนอแนะของงานวิจัย มี 4 ด้าน คือ 1) ด้านการให้บริการ 2) ด้านการเข้าถึงบริการ 3) ด้านความสะดวกรวดเร็ว 4) ด้านความสำเร็จในการให้บริการ</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/279032 SATISFACTION IN USING THE MEDIAL CARE UNIT SERVICE OF FEMALE PRISONERS IN THE SAMUT PRAKAN CENTRAL PRISON 2024-11-25T15:02:43+07:00 ทัศณีย์ รัศมีเลอเลิศ prelanuch.s@ku.th สุรีย์ฉาย พลวัน Thassanee.ru@ku.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของการได้รับการรักษา และเพื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของการได้รับการรักษาส่วนบุคคล ของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำกลางสมุทรปราการ ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างผู้ต้องขังหญิงจำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษาความพึงพอใจในการเข้าใช้บริการสถานพยาบาลของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำกลางสมุทรปราการ ทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านการรักษาพยาบาล ด้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ด้านการได้รับยา ด้านสวัสดิการผู้ต้องขัง และด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขัง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านการรักษาพยาบาลอยู่ในระดับปานกลาง รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังอยู่ในระดับปานกลาง และค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการได้รับยาอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งการทดสอบสมมติฐานพบว่ากลุ่มอายุมีความพึงพอใจในการรับสิทธิการรักษาแตกต่างกัน ส่วนด้านอื่น ๆ มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p> ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้ สถานพยาบาลควรมีการปรับปรุงเรื่องการประสานงานกับหน่วยงานอื่น เพิ่มการให้บริการของแพทย์และพยาบาลภายนอกที่เข้ามาให้บริการภายในเรือนจำ มีการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ส่งเสริมการให้บริการอย่างเป็นธรรม</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/279252 GUIDELINES FOR CREATING CHARACTERS IN THE ANCIENT CITY OF BAN DONG LAKHON FOR TOURISM ADVERTISING MEDIA, NAKHON NAYOK PROVINCE 2024-11-25T12:08:54+07:00 พีรติ จึงประกอบ 23peerati.j@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษารวบรวมความรู้จากหลักทฤษฎีการออกแบบตัวละครจากประวัติศาสตร์เมืองโบราณบ้านดงละคร จังหวัดนครนายกจากผู้ที่มีประสบการณ์การด้านศิลปะการออกแบบ, ผู้นำชุมชนและสมาชิกในชุมชน เรื่องเล่ากล่าวขาน และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสู่การสร้างสรรค์ตัวละครการ์ตูนผู้คนเพศชายเพศหญิง ลักษณะการแต่งกายที่สะท้อนสมัยทวารวดีคล้ายประวัติศาสตร์เมืองโบราณบ้านดงละครช่วงเวลาที่รุ่งเรือง</p> <p>ระยะที่ 1 เก็บข้อมูลข้อมูลประวัติศาสตร์เมืองโบราณบ้านดงละคร ในลักษณะสภาพแวดล้อม บริบทการเมืองการปกครอง วิถีชีวิต ภูมิศาสตร์ที่ตั้งที่อยู่อาศัย การเจรจาค้าขายกับต่างชาติ เป็นข้อมูลสำหรับสารตั้งต้นการสร้างตัวละคร 1)ประวัติความเชื่อเรื่องเล่า 2)ภูมิปัญญาและประเพณีท้องถิ่น 3)ความเชื่อเมืองลับแลและวัดหนองทองทราย 4)ตำนานนางเงือกและบ่อน้ำศักสิทธิ์ สู่กระบวนการสร้างแบบร่างตัวละครและทดลองการรับรู้จากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนปฐมศึกษาที่มีความเหมาะสมกับลักษณะตัวละครรูปแบบตัวการ์ตูนที่มีความสามารถในการสื่อสารและส่งเสริมจินตนาการในเรื่องราวท้องถิ่น</p> <p>ระยะที่ 2 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบร่างตัวละครรูปแบบตัวการ์ตูน เป็นลักษณะกึ่งสมจริง(Se-mi realistic) การแสดงออกของตัวละครคือการแสดงออกท่าใบหน้าที่สะท้อนความสุข ความยินดีปรีดาที่สื่อสารถึงความเจริญรุ่งเรื่องในเมืองดงละครเนื่องด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสมัยทวารวดีที่เอื้ออำนวยการค้าขายและท่าทางเครื่องแต่งกายที่คล้ายลักษณะของอินเดียโดยมีอิทธิพลพื้นเมืองท่าค้าขายผสมอยู่ด้วย การแต่งกายตัวละครการ์ตูนผู้ชายและผู้หญิงไว้ผมยาวมุ่นเป็นมวย หรือประดับเครื่องศีรษะ นุ่งผ้ายาวครึ่งน่อง คาดเข็มขัดจากเครื่องเงินหรือลูกปัด มีผ้าคล้องไหล่ที่ใช้บอกฐานะของผู้คน ส่วนผู้หญิงจะเน้นเครื่องประดับตกแต่ง ที่เรียบง่ายไปจนถึงงานเพชรพลอยจากช่างฝีมือ และเพิ่มตัวละครการ์ตูนที่เป็นสัตว์หิมพานจากเรื่องเล่าวรรณคดีไทยเพื่อส่งเสริมจินตนาการทั้งช้าง หรือพญานาค ผลงานสร้างสรรค์การออกแบบตัวละครเมืองโบราณบ้านดงละครเป็นรูปแบบไฟล์ดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาหรือสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ เมืองโบราณบ้านดงละคร จังหวัดนครนายก</p> <p>ผลการวิจัยนี้พบว่า การออกแบบตัวละครตัวการ์ตูนจากประวัติศาสตร์เมืองโบราณบ้านดงละคร สามารถผลักดันสัดส่วนได้หลากหลายระดับ สามารถผสมผสานความเกินจริงเรื่องรูปร่างสัตว์หิมพานหรือเรื่องล่าความเชื่อ ที่มีความสอดคล้องกับชุมชนท้องถิ่น การประยุกต์ใช้งานรูปแบบสื่อดิจิทัลที่ทันสมัย เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และสื่อสังคมออนไลน์ ประยุกต์ใช้ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน งานภาพประกอบสินค้าชุมชน งานสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวหรืองานภาพยนตร์แอนนิเมชั่นต่อไป</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/273156 THAI PUAN COLORS: SYNTHESIZING A COLOR SET BASED ON THE STUDY OF THAI PUAN ETHNIC CULTURAL HERITAGE TO FURTHER ENHANCE THE CREATION OF WOVEN PRODUCTS IN PAK PHLI DISTRICT, NAKHON NAYOK PROVINCE 2024-12-13T18:59:45+07:00 ณัฐพล อ้นอารีย์ nuttaphol.o@pnru.ac.th วรพรรณ สุรัสวดี worapun@pnru.ac.th เสาวรส พวงแก้ว saowaros1@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องสีสันไทพวน : การสังเคราะห์ชุดสีจากการศึกษามรดกทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์ไทพวน เพื่อต่อยอดการสร้างสรรค์ผลภัณฑ์ผ้าทอในพื้นที่อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เป็นการศึกษาวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ไทพวน ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ในการได้มาซึ่งชุดสีเพื่อเป็นแนวทางการประยุกต์ใช้ร่วมกับผ้าทอของชุมชน โดยคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชนในพื้นที่อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผลจากการศึกษาสามารถสรุปออกมาเป็นชุดสีจากอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมประเพณีของชาติพันธุ์ไทพวนได้จำนวน 31 สี โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์เชิงลึกจากปราชญ์ชุมชนเพื่อหาวัฒนธรรมตัวแทนในพื้นที่ จากนั้นจึงใช้การเก็บภาพถ่ายจากประเพณีที่จัดขึ้นในชุมชน อาทิประเพณีประเพณีสูดเสื้อสูดผ้า รวมถึงอ้างอิงข้อมูลของประเพณีบุญกลางบ้าน และประเพณีสารทพวนเพิ่มเติมในการนำมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์อัตลักษณ์ พร้อมหยิบยกโครงสร้างทางวัฒนธรรมของยูเนสโกด้านมนุษยศาสตร์มาประกอบในการอ้างอิงเพื่อกำหนดความชัดเจนด้านอัตลักษณ์ และในกระบวนการสุดท้ายได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลชุดสีจากองค์ประกอบของภาพถ่าย พร้อมกับนำแนวคิดทฤษฎีสเกลภาพเพื่อกำหนดชุดสีตามหมวดหมู่ด้านอารมณ์และความหมายสำหรับการนำไปใช้งาน และได้ทำการทดลองสร้างสรรค์การใช้ชุดสีกับการทอผ้าในชุมชนเพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อไป</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/274600 THE CONCEPT AND ELEMENT OF THE CONTEMPORARY DANCE “FAITH IN WORSHIPING THE STARS” 2024-07-02T09:23:20+07:00 จิรพรรณ พึ่งบุญ ณ อยุธยา Jiraphan14@gmail.com สุรัตน์ จงดา Jiraphan14@gmail.com เฉลิมชัย ภิรมย์รักษ์ Jiraphan14@gmail.com <p>บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวคิดและสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดง ชุด ศรัทธาบูชาดาว สื่อทางวัฒนธรรมที่สื่อความหมายจากคติความเชื่อทางวัฒนธรรมประเพณีการบูชาดาว ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุดมการณ์ทางมายาคติจากโลกมายาแห่งจินตนาการผ่านมโนทัศน์ของผู้สร้าง ด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ จากการสังเกตและการสัมภาษณ์ รวมถึงการศึกษาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การสร้างแนวคิดการแสดงสร้างสรรค์ชุด ศรัทธาบูชาดาว เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะการแสดง จากคติความเชื่อทางวัฒนธรรมประเพณี “พิธีบูชาดาวนพเคราะห์” ของวัดเขตร์นาบุญญาราม จังหวัดจันทบุรี สื่อถึงความเชื่อในการจุดเทียนบูชาสะเดาะเคราะห์ดาวทั้ง 9 ดวง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมธาตุทั้ง 5 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุไม้ และธาตุทอง ทำให้ชีวิตสมดุลเป็นปกติสุข และเพื่อเสริมบุญบารมีให้กับตน</p> <p> 2) การสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย ชุด ศรัทธาบูชาดาว มีลักษณะดังนี้ 1.ดำเนินเรื่องด้วยรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย โดยนำเสนอเป็นเรื่องราว(story) มีระยะเวลาการแสดง 30 นาที 2. การสร้างทำนองเพลง ดนตรีประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีจีนเป็นหลักในการดำเนินทำนองผสมกับดนตรีไทย 3. การคัดเลือกผู้แสดงต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างสมบทบาท 4. การออกแบบลีลาท่ารําและการเคลื่อนไหว มีผสมผสานระหว่างนาฏศิลป์ไทยกับนาฏศิลป์ร่วมสมัย โดยใช้พหุวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายจีน-ญวณ เป็นแกนหลัก และออกแบบการเคลื่อนไหวในการแปรแถวต่าง ๆ ตามหลักการปักเทียนในการบูชาดาว โดยมีหลักการตามกำลังของดาวนพเคราะห์เป็นตัวกำหนด 5. การออกแบบเครื่องแต่งกาย สื่อถึงพหุวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายจีน-ญวณ และอัตลักษณ์ของเทพนพเคราะห์ตามความเชื่อ 6. การออกแบบการแต่งหน้า มีลักษณะของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (ไทย-ญวน-จีน) โดยนำแนวคิดจากการแต่งหน้าอุปรากรจีน (งิ้ว) มาผสมผสานกับการแต่งหน้าแนวสมัยใหม่ 7. การออกแบบเวที ฉาก และอุปกรณ์ประกอบการแสดง ใช้จอ LED ฉายภาพฉากผ่านจอ LED นำเสนอภาพเรื่องราวประกอบการแสดง มุ่งเน้นตามเนื้อเรื่องคติความเชื่อของเทพดาวนพเคราะห์ 8. การใช้แสงและเงา “Light &amp; Shadow” และการใช้สีต่าง ๆ แทนสัญญะในการแสดงสัญลักษณ์ของเรื่องราวในการบูชาดาวนพเคราะห์ขององค์เทพในแต่ละองค์ 9. ออกแบบสื่อมัลติมีเดียด้วยการฉายภาพลงบนจอ LED เพื่อให้เห็นภาพการนำเสนอเรื่องราวได้ชัดเจน เพิ่มอรรถรสให้ผู้ชมได้รับสุนทรียศาสตร์</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/husojournalpnru/article/view/279595 THE INFLUENCE OF PERCEIVED ORGANIZATIONAL SUPPORT ON EMPLOYEE RETENTION: A CASE STUDY OF PRIVATE COMPANIES IN RAYONG PROVINCE 2024-12-11T13:55:47+07:00 วาสนา พูลสวัสดิ์ Nhatphaphat_j@rmutt.ac.th ณัฐปภัสษ์ จุ้ยเจริญ nhatphaphat.jui@gmail.com ธีทัต ตรีศิริโชติ Nhatphaphat_j@rmutt.ac.th เบญจวรรณ ศฤงคาร Nhatphaphat_j@rmutt.ac.th <p>การรักษาความคงอยู่ของพนักงานถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาและความมั่นคงขององค์กร งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรกรณีศึกษาในบริษัทเอกชน จังหวัดระยอง 2) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับความคงอยู่ของพนักงาน กรณีศึกษาในบริษัทเอกชน จังหวัดระยอง 3) ศึกษาผลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรต่อการรักษาความคงอยู่ของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัทเอกชนในจังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือ ผู้ที่ถูกคัดเลือกมาจากพนักงานระดับปฏิบัติการของบริษัทเอกชนในจังหวัดระยอง มีจำนวนทั้งสิ้น 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อถือได้เท่ากับ 0.931</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กร พบว่า พนักงานมีความพึงพอใจต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในระดับที่ดีมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความยุติธรรม 2) ระดับความคิดเห็นของของปัจจัยการคงอยู่ของพนักงาน พบว่า พนักงานมีความพึงพอใจต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในระดับที่ดีมาก ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านวัฒนธรรมองค์การ และ 3) ผลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรต่อการรักษาความคงอยู่ของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัทเอกชนในจังหวัดระยอง จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรสามารถพยากรณ์ ความคงอยู่ของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัทเอกชนในจังหวัดระยอง ได้ร้อยละ 78.5 (R<sup>2</sup> = .785) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-12-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร