วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ในสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรม บริหารธุรกิจ สังคมศาสตร์ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรม สารสนเทศ คหกรรมศาสตร์ และศิลปกรรมของครู คณาจารย์ นักวิชาการ และนักวิจัยทั้งภายในและภายนอกสถาบัน เป็นวารสารราย 6 เดือน จัดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม โดยที่ผลงานวิชาการดังกล่าวต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ทั้งนี้ทุกบทความจะได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย 3 ท่านต่อบทความ โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้เขียนบทความปัจจุบันวารสารวิจัยและนวัตกรรม</p> <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรมสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร ไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารของสถาบัน เนื่องจากสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด</p> <p>(Double-Blind Peer Review)<br />Print ISSN: 2586-9884<br />Online ISSN: 2730-2636</p> สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา th-TH วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร 2586-9884 แนวทางการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/273587 <p>วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพประกอบด้วย 5 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 ใช้งานเดิม เสริมสมรรถนะ แนวทางที่ 2 ใช้งานเดิม ต่อเติมสมรรถนะ แนวทางที่ 3 ใช้รูปแบบการเรียนรู้ สู่การพัฒนาสมรรถนะ แนวทางที่ 4 สมรรถนะเป็นฐาน ผสานตัวชี้วัดส่วน และแนวทางที่ 5 สมรรถนะชีวิตในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งแนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพมีสิ่งที่ต้องคำนึงที่สำคัญ คือ การกำหนดสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาผู้เรียน และสมรรถนะมีความชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียนผ่านการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม กิจกรรมควรหลากหลาย ท้าทาย และสอดคล้องกับสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาและบริบท ส่วนการวัดผลและประเมินผลผู้เรียนแบบเน้นสมรรถนะ วิธีการวัดผลและประเมินผลจะต้องหลากหลาย ครอบคลุม ตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ โดยบทบาทของครูมีความสำคัญมากที่สุดเพราะครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำ สนับสนุน และประเมินผลผู้เรียน ดังนั้นครูจึงควรมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเป็นอย่างดี</p> ปิติภาคย์ ปิ่นรอด Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 1 16 การพัฒนาวิดีโอคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาคร่างกายแก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/275276 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาวิดีโอคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาคร่างกายแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle 2) เพื่อประเมินคุณภาพวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนา 3) เพื่อประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนา 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อวิดีโอคอนเทนต์ที่พัฒนา สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) วิดีโอคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาคร่างกายแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle 2) แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านสื่อการนำเสนอ 3) แบบประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง 4) แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ดำเนินการโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีจับสลากจากรายชื่อนักศึกษาผู้ที่เคยรับชมวิดีโอคอนเทนต์และยินดีตอบแบบสอบถาม จำนวน 50 คน ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้ได้พัฒนาวิดีโอคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาคร่างกายแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle จำนวน 1 เรื่อง ความยาว 4.50 นาที ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า มีผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก <em>(</em> <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><strong> </strong>= 4.58, S.D. = 0.50) ผลการประเมินคุณภาพด้านสื่อการนำเสนออยู่ในระดับดี ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><strong> </strong>= 4.25, S.D. = 0.65) ผลการประเมินด้านการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><strong> </strong>= 4.81, S.D. = 0.41) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><strong> </strong>= 4.64, S.D. = 0.52) ดังนั้น วิดีโอคอนเทนต์เพื่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาคร่างกายแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริง</p> พรปภัสสร ปริญชาญกล กุลธิดา ธรรมวิภัชน์ กิติญาณี ศรีรักษา ภัคคนัมพร เพริดพริ้ง สุจิตรา อินทรศร Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/authorDashboard/submission/275276 2024-12-23 2024-12-23 7 2 17 34 แนวทางในการบริหารกิจการนักเรียนโรงเรียนคลองแสนสุข (สิทธิไชยบำรุง) สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา เขต 1 จังหวัดสมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276629 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความคาดหวังในการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนคลองแสนสุข (สิทธิไชยบำรุง) 2) ศึกษาแนวทางการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนคลองแสนสุขฯ แบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นในสภาพปัจจุบันการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนคลองแสนสุขฯ ระยะที่ 2 แนวทางพัฒนาการบริหารกิจการนักเรียนโรงเรียนคลองแสนสุขฯ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ระยะที่ 1 คือผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าระดับชั้น ครูผู้สอน และกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนคลองแสนสุขฯ ปีการศึกษา 2563 จำนวน 43 คน ระยะที่ 2 ผู้บริหารสถานศึกษาภายในและภายนอกโรงเรียนคลองแสนสุขฯ รวม 6 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ระยะที่ 1 คือแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและความคาดหวังในการบริหารกิจการนักเรียน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ระยะที่ 2 คือแนวทางพัฒนาการบริหารกิจการนักเรียน เป็นแบบสนทนากลุ่ม มี 6 ประเด็น คือ 1) การวางแผนงานกิจการนักเรียน 2) การบริหาร งานกิจการนักเรียน 3) การส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัยคุณธรรม จริยธรรม 4) การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5) การดำเนินการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน 6) การประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและความคาดหวังการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนคลองแสนสุขฯ ที่มีความต้องการมากที่สุด คือด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนคลองแสนสุขฯ ที่ต้องการพัฒนามากที่สุดคือ เรื่องการป้องกันพฤติกรรมความก้าวร้าวและยาเสพติด</p> ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ สุกัญญา สุขสถาน วรฑา ไชยาวรรณ กิจจา บานชื่น Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 35 47 แนวทางการฝึกอบรมวิชาชีพสำหรับทุกคนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276659 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของการฝึกอบรมวิชาชีพเพื่อช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาและสถานการณ์จริงในตลาดแรงงาน โดยช่วยให้ผู้คนได้พัฒนาตัวเองให้มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในการทำงานในสาขางานที่ต้องการ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศด้วยการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับทักษะและความรู้ที่เป็นประสบการณ์จริง บทความนี้เสนอแนะแนวทางในการฝึกอบรมวิชาชีพ เพื่อตอบสนองการพัฒนากำลังคนและความยั่งยืนของประเทศ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงานด้วยระบบการจัดการศึกษาสำหรับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา ทุกความต้องการ เพื่อตอบสนองรูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น การเรียน (Studying) การฝึกอบรม (Training) และ การเรียนรู้ (Learning) เพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษา เพิ่มโอกาสการฝึกทักษะ เพิ่มโอกาสการฝึกประสบการณ์อาชีพเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ให้กับผู้เรียนใน 3 แนวทาง ดังนี้</p> <p>1) การฝึกอบรมวิชาชีพในสถานศึกษาด้วยหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นแกนประถม-มัธยม เพื่อตอบสนองผู้เรียนวัยก่อนเข้าสู่สายอาชีพและโครงการห้องเรียนอาชีพ เพื่อตอบสนองผู้เรียนในระบบ ระดับชั้นมัธยมศึกษา</p> <p>2) การฝึกอบรมวิชาชีพสำหรับวัยทำงาน ด้วยหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต (Upskill/Reskill) เพื่อตอบสนองผู้เรียนในวัยทำงาน</p> <p>3) การฝึกอบรมวิชาชีพด้วยตนเอง ด้วยหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นสำหรับอาชีพหลัก อาชีพรอง อาชีพใหม่ และรูปแบบการฝึกอบรมวิชาชีพรูปแบบใหม่ที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองผู้เรียนตามอัธยาศัยที่อยู่นอกวัยเรียนและหลังเกษียณ</p> กิตติศักดิ์ ชยันตร์สุภาพ ทัศนีย์ ช่อเทียนทิพย์ ขจรศักดิ์ ศิริมัย Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 48 61 รูปแบบการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถ ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276673 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนารูปแบบการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่อสร้างรูปแบบการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย (2) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย และ (3) เพื่อจัดทำแนวทางการนำรูปแบบการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย แหล่งข้อมูล คือผู้ทรงคุณวุฒิ 15 คน โดยการเจาะจงตามคุณสมบัติ และ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูปฐมวัยสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สมัครใจเข้าร่วมใช้รูปแบบโดยผ่านความเห็นชอบของผู้บริหารระดับสถานศึกษา จำนวน <br />15 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) รูปแบบการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อหนุนเสริมความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับครูปฐมวัย (2) แผนกิจกรรมตามรูปแบบเพื่อสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์ (นักวิจัย) (3) ชุมชนวิชาชีพออนไลน์ครูปฐมวัย (4) แบบบันทึกผลการจัดกิจกรรม-สังเกตการมีส่วนในชุมชนวิชาชีพออนไลน์ของครูปฐมวัย (5) แบบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัย และ (6) ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างชุมชนวิชาชีพออนไลน์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้สำหรับครูปฐมวัย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบนี้มีชื่อว่า “A-P-E-S-2C Model” (2) การทดลองรูปแบบด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ พบว่า รูปแบบนี้สามารถส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูปฐมวัยในระดับมาก โดยมี (3) ข้อเสนอแนวทางการนำรูปแบบนี้ไปขยายผล และ ประยุกต์ใช้ มี 7 แนวทางหลัก</p> สุภาณี เส็งศรี ธงชัย เส็งศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 62 80 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของ โรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276723 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำนวน 100 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาความถี่จากค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของโรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนพรตพิทยพยัต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลง ด้านการกำหนดทิศทาง และด้านการวางแผนและควบคุมกลยุทธ์ มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ เท่ากับ 0.940 สามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 88.40 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ปาณเดชา พันธุ์โม้ สนั่น ประจงจิตร Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 81 96 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการสอนแบบ Google Classroom และการสอนแบบปกติ วิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชีของนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการบัญชี วิทยาลัยเทคนิคนครนายก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276818 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ1) หาประสิทธิภาพของบทเรียนวิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่นำไปใช้ในการสอน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการสอน ที่ใช้รูปแบบ Google Classroom และรูปแบบการสอนแบบปกติ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา ที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ Google Classroom กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการบัญชี วิทยาลัยเทคนิคนครนายก เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 40 คน แบ่งออกได้เป็น กลุ่มทดลอง จำนวน 20 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 20 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาระบบสารสนเทศทาง การบัญชีในภาคเรียนที่ 2/2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชี การสอนรูปแบบ Google Classroom แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชี สถิติที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ ค่าร้อยละ,ค่าเฉลี่ย,ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าคะแนนที</p> <p>ผลของการศึกษาวิจัย พบว่า</p> <ol> <li> ประสิทธิภาพของบทเรียนวิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่นำไปใช้ในการสอนมีประสิทธิภาพ 82.04/80.44</li> <li> ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li> ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ Google Classroom มีความพึงใจในระดับมาก</li> </ol> กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ สุกัญญา สุขสถาน วรฑา ไชยาวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 97 108 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำโดยใช้กระบวนการสอนแบบ MIAP https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/272434 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสอนแบบ MIAP เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ ที่มีคุณภาพ 2) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้กระบวนการสอนแบบ MIAP ร่วมกับ ชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้เรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา จำนวน 1 ห้อง 40 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสอนแบบ MIAP เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ 2) ชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruency : IOC) อยู่รหว่าง 0.67 – 1.00 ค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง 0.20 – 0.55 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.21 – 0.76 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสอนแบบ MIAP เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ มีคุณภาพ อยู่ในระดับดีมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.70, S = 0.11) 2) ชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>เท่ากับ 76.02/74.90 และ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยกระบวนการสอนแบบ MIAP ร่วมกับ ชุดฝึกรายวิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร เรื่อง อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธชณัฐ ผ่องโต Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 109 125 การพัฒนาคลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/275277 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด 2) ประเมินคุณภาพคลิปวิดีโอสั้นที่พัฒนาขึ้น 3) ประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อคลิปวิดีโอสั้นที่พัฒนาขึ้น 4) ประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อคลิปวิดีโอสั้นที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) คลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด 2) แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านสื่อการนำเสนอ 3) แบบประเมินผลการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง 4) แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อคลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ สมาชิกที่ติดตามเพจ Merc Station โดยได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย จากสมาชิกที่ติดตามเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และติ๊กต็อก Merc Station ที่เคยชมวิดีโอคอนเทนต์รายการประเภทเกมบนแพลตฟอร์มออนไลน์และยินดีตอบแบบสอบถาม จำนวน 50 คน ผลการพัฒนาได้คลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด จำนวน 4 คลิป ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า มีผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.67, S.D. = 0.48) ผลการประเมินคุณภาพด้านสื่อการนำเสนออยู่ในระดับดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.56, S.D. = 0.50) ผลการประเมินด้านการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =4.70, S.D. = 0.46) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.59, S.D. = 0.49) ดังนั้น คลิปวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของบริษัทเมอคิวรี่ ดิจิตอล จำกัด ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีคุณภาพ</p> กุลธิดา ธรรมวิภัชน์ พรปภัสสร ปริญชาญกล วรรณวนัช ศิริพิน สินีนาถ รัตนภูผา กมลชนก เดียงสระน้อย พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 126 144 รูปแบบการเพิ่มศักยภาพเพื่อการเป็นนักวิจัยนวัตกรรมของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิต ในสถาบันการศึกษาอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276814 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิต 2) สร้างรูปแบบการเพิ่มศักยภาพเพื่อการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิต และ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเพิ่มศักยภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ นักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิต จากวิทยาลัยที่สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 จำนวน 5 แห่ง แห่งละ 10 คน รวม 50 คน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ศักยภาพการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิตประกอบด้วย 6 ด้าน คือ ด้านการแสวงหาความรูป ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยนวัตกรรม ด้านการคิด ด้านการรู้จักและเข้าใจตนเอง ด้านการเรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัย และด้านการสื่อสาร 2) รูปแบบการเพิ่มศักยภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิตที่พัฒนาแล้ว มีลักษณะ 4 ประการ คือ ส่งเสริมให้รู้จักและเข้าใจตนเอง ส่งเสริมให้สร้างทีมและทํางานเป็นทีม ส่งเสริมให้เรียนรู้และพัฒนาตนเองด้วยการลงมือทําวิจัยนวัตกรรมด้วยตนเอง และส่งเสริมให้สะท้อนความคิดในการเรียนรู้ของตนเอง โดยมีขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นประสบการณ์ ขั้นนําเสนอ ขั้นอภิปรายและสรุป และขั้นสะท้อนความคิดและ 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการเพิ่มศักยภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพการเป็นนักวิจัยของนักศึกษาเทคโนโลยีบัณฑิตพบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว้าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งในด้านการรับรู้ตนเองเกี่ยวกับศักยภาพการเป็นนักวิจัยทุกด้าน และเกี่ยวกับความสามารถใน การเสริมพลังการทํางานในตนเองและยังสอดคล้องกับผลการประเมินตามสภาพจริงอีกด้วย</p> กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ สุกัญญา สุขสถาน วรฑา ไชยาวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 145 156 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการทำวิจัยของครู ในวิทยาลัยเทคนิคนครนายก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276928 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบทบาทและแนวทางการแก้ปัญหาของผู้บริหารวิทยาลัยเทคนิคนครนายกในการส่งเสริมการทำวิจัยของครูในวิทยาลัยเทคนิคนครนายก และ 2) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปฏิบัติของผู้บริหารในการส่งเสริมการทำวิจัยของครูในวิทยาลัยเทคนิคนครนายก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูวิทยาลัยเทคนิคนครนายก ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 123 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับลำดับปัญหาของผู้บริหารในการส่งเสริมการจัดทำวิจัยของครูวิทยาลัยเทคนิคนครนายก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านการส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จของการทำวิจัย อยู่ในระดับมาก 2) ด้านการมีความรับผิดชอบต่อครูผู้ทำวิจัย อยู่ในระดับมาก 3) ด้านการให้ความสำคัญกับการทำวิจัย อยู่ในระดับมาก 4) ด้านการให้ความยอมรับนับถือครูผู้ทำวิจัย อยู่ในระดับมาก 5) ด้านการส่งเสริมความก้าวหน้าในตำแหน่งงานของครูผู้ทำวิจัย อยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติผลการศึกษาที่ได้ คือ 1) ควรมีการกำหนดนโยบายในการส่งเสริมการทำวิจัย ที่ชัดเจน 2) มีจัดสรรงบประมาณในการประชุม อบรม สัมมนาเรื่อง การทำวิจัย 3) มีการประชุมชี้แจงเพื่อให้ครูทราบ นโยบายวัตถุประสงค์และความสำคัญของการทำวิจัย และจัดหา เอกสาร ตำรา อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการทำวิจัย 4) ควรมีการส่งเสริมให้มีการอบรม สัมมนา ประชุมปฏิบัติการอยู่เสมอ 5) มีการนิเทศติดตามและร่วมแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องในการทำวิจัย และ 6) มีการเผยแพร่ผลงาน ของครูในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม มีการกำหนดนโยบายพิจารณาให้ความดีความชอบ มีการเชิญวิทยากรให้ความรู้เรื่องการทำวิจัย และมีการคัดเลือกครูผู้มีผลงานดีเด่น เป็นผู้นำทางด้านวิชาการ และ ยกย่อง เช่น ให้เกียรติบัตร หรือประกาศเกียรติคุณ</p> สุกัญญา สุขสถาน ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ วรฑา ไชยาวรรณ กิจจา บานชื่น Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 157 168 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276712 <p>การวิจัยเรื่อง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 216 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามความพึงพอใจผ่านทางออนไลน์ (Google Form) สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-30 ปี รายได้ 10,001-15,000 บาท ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ต่ำกว่า 5 ปี ตำแหน่งพนักงาน ระดับความพึงพอใจ พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยรวมทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อม ด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ ด้านผู้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ และด้านความก้าวหน้าและความมั่นคงในหน้าที่การงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.63) พิจารณาตามรายด้าน พบว่า ด้านผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.02, S.D. = 0.05 ) รองลงมา ด้านสภาพแวดล้อม ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.93, S.D. = 0.02 ) และด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.73, S.D. = 0.08 ) ตามลำดับ</p> นภาภรณ์ ฤทธิวัชร์ พัฒพิมล ยะปัญญา อังศุวี หาญประโคน Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 169 181 การศึกษาคุณสมบัติของคอนกรีตผสมผงหินปูนและซิลิกาฟูมที่ส่งผลต่อการรับกำลังอัดประลัยของคอนกรีตสมรรถนะสูง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/277124 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณสมบัติผงหินปูนและซิลิกาฟูม โดยการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วยผงหินปูนและซิลิกาฟูม และ 2) เพื่อหาอัตราส่วนผสมใช้ผงหินปูนและซิลิกาฟูม โดยการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วยผงหินปูนและซิลิกาฟูม ที่ส่งผลต่อกำลังอัดประลัย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) อัตราส่วนผสมผงหินปูนแทนที่ปูนซีเมนต์ ที่กำลังอัด 200 ksc. ใช้ผงหินปูนแทนที่ปูนซีเมนต์ในอัตราส่วน 5 - 20% ลดปูนซีเมนต์ 5 - 20% ค่ากำลังอัดสูงสุด ได้แก่ สูตรที่ 5 ได้กำลังอัดที่ 137.61 ksc.</p> <p>2) อัตราส่วนผสมซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ ที่กำลังอัด 200 ksc. ใช้ซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ในอัตราส่วน 5 - 20% ลดปูนซีเมนต์ 5 - 20% ค่ากำลังสูงสุด ได้แก่สูตรที่ 3 ได้กำลังอัดที่ 109.02 ksc.</p> <p>3) อัตราส่วนผสมผงหินปูนและซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ ที่กำลังอัด 200 ksc. ใช้ผงหินปูนและซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ในอัตราส่วน 5 - 20% ลดปูนซีเมนต์ 5 - 20% ค่ากำลังอัดสูงสุด ได้แก่สูตรที่ 3 ได้กำลังอัดที่ 177.55 ksc.</p> <p>4) อัตราส่วนผสมผงหินปูนและซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ ที่กำลังอัด 300 ksc. ใช้ผงหินปูนและซิลิกาฟูมแทนที่ปูนซีเมนต์ในอัตราส่วน 5 - 20% ลดปูนซีเมนต์ 5 - 20% ค่ากำลังอัดสูงสุด ได้แก่สูตรที่ 3 ได้กำลังอัดที่ 241.57 ksc.</p> วิชัย คุ้มมณี รังสิต ยศศิริ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 182 195 การพัฒนาแอปพลิเคชันระบุตำแหน่งสำหรับครอบครัว ด้วยวงจรการพัฒนาโปรแกรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276846 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันระบุตำแหน่งสำหรับครอบครัว โดยใช้วงจรการพัฒนาโปรแกรม (Program Development Life Cycle) 2) ประเมินคุณภาพของแอปพลิเคชัน 3) สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้ และ 4) วิเคราะห์โมเดลธุรกิจโดยใช้เครื่องมือ Business Model Canvas กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจำนวน 3 ท่าน และกลุ่มผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน 30 คน ซึ่งสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น โดยประเมินคุณภาพซอฟต์แวร์ตามมาตรฐาน ISO/IEC 25010 แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันระบุตำแหน่งสำหรับครอบครัวถูกพัฒนาขึ้นด้วยภาษา Flutter บน Android Studio สำหรับใช้งานบนสมาร์ตโฟนระบบ Android 2) คุณภาพของแอปพลิเคชันได้รับการประเมินอยู่ในระดับดีเยี่ยม (ค่าเฉลี่ย 4.57) 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้แอปพลิเคชันอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.63) โดยเฉพาะด้านการออกแบบและการใช้งานที่สะดวกสบาย การตอบสนองที่รวดเร็วและข้อมูลที่ถูกต้อง 4) การวิเคราะห์โมเดลธุรกิจตาม Business Model Canvas พบว่า Value Propositions คือ ราคาที่เหมาะสมและความสะดวกในการใช้งาน ส่วน Customer Segment ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนระดับอนุบาล-มัธยมศึกษา Channels ที่ใช้ได้แก่ Facebook, Website และ Google Ads Key Partners ได้แก่ Play Store, Google และร้านขายเครื่องเขียน ส่วนแหล่งรายได้มาจากการดาวน์โหลดและอัปเดตแอปพลิเคชัน</p> สรญา เปรี้ยวประสิทธิ์ เสาวคนธ์ ตั้งภูริ อาทิตา บุญประสิทธิ์ ฐิกันยาพัชร นาดี วรินดา อนุอัน ชัญญานิษฎ์ ผลบุญ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 196 214 การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดการสอนเรื่องการคัดแยกชิ้นงานด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276737 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบประเมินคุณภาพและชุดการสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมี 2 กลุ่ม คือ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญ มีประสบการณ์ในการทำงานทางด้านระบบควบคุมอัตโนมัติไม่ต่ำกว่า 5 ปี มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระปริญญาโท จำนวน 15 คน และนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี สาขาวิชาเทคโนโลยีเมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t-test for dependent samples</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการสร้างสื่อการเรียนการสอนชุดทดลองเรื่องการคัดแยกชิ้นงานด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติโดยใช้ระบบเซอร์โวมอเตอร์ทำงานควบคู่กับระบบนิวเมติกส์และเขียนโปรแกรมควบคุมโดยอุปกรณ์ PLC จากการประเมินคุณภาพชุดการสอนของผู้เชี่ยวชาญมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าเท่ากับ 0.27 ซึ่งมีความแตกต่างน้อย ผลการทดลองค่าความยากง่ายของชุดแบบทดสอบที่นำไปใช้กับนักศึกษากลุ่มทดลอง P = 0.52 ซึ่งอยู่ในระดับความยากง่ายพอเหมาะ ผลการหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ R = 0.64 ซึ่งถือว่าเป็นข้อสอบที่ดีพอสมควรอาจต้องปรับปรุงบ้าง และเมื่อนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของชุดการสอนเปรียบเทียบคะแนนระหว่างเรียนกับหลังเรียน ซึ่งได้ค่าประสิทธิภาพของชุดการสอนเท่ากับ 90.50/82.62 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และมีค่ามากกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 แสดงว่านักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นหลังเรียนด้วยชุดการสอนนี้</p> สุนทร ก้องสินธุ ณัฐวิชช์ สุขสง พฤฒชวัชร ตลับทอง ชายชัย แสงโพธิ์ สุริยา มณีโสภา นฤมล ลครราช Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 215 229 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี สาขาพรานนก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/276961 <p>การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี สาขาพรานนก <br />มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยทางประชากรศาสตร์มีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนีสาขาพรานนก และ 2) ศึกษาปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนีสาขาพรานนก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 423 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยการหาค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 20 – 30 ปี มีรายได้ 20,001 - 30,000 บาท มีการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงาน / ลูกจ้างบริษัทเอกชน ด้านปัจจัยและพฤติกรรมมีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนีสาขาพรานนก พบว่า ด้านโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยประชากรศาสตร์มีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี สาขาพรานนก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด (7p's) มีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้าในร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี ซึ่งตามสมการมีตัวแปรอิสระจำนวน 2 ตัวแปร ที่มีอิทธิพลต่อร้านเดอะพิซซ่าคอมปะนี คือ ด้านบุคคลหรือพนักงาน และด้านกระบวนการ โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.269 และสามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ร้อยละ 12.2 สามารถนำมาแทนค่าในสมการพยากรณ์ได้ดังต่อไปนี้ Y<sup>4</sup> = 2.325 + 0.158 X5 + 0.135 X7</p> ศรัณย์รัตน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา พิมพ์ชนก สังวาลย์ สมหมาย เสถียรธรรมวิทย์ อมรรัตน์ พูลกำลัง ชัยสิทธิ์ เปรมปรอด Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 230 240 การพัฒนาคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/279279 <p>การพัฒนาคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วน วีไอที แมเนจเม้นท์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ 2) เพื่อประเมินความเหมาะสมของคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ โดยประชากรในการวิจัยคือ พนักงานบัญชีห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ จำนวน 55 คน ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อคู่มือเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน คือ แบบประเมินความพึงพอใจของคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การพัฒนาคู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) กรณีศึกษาห้างหุ้นส่วนวีไอที แมเนจเม้นท์ ประเมินความเหมาะสมของคู่มือที่สร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้องในระดับ 0.89 สามารถนำไปใช้งานได้ และผลประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อการใช้คู่มือการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD E-Filing) ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.50 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.64</p> อารียา พูลเพิ่ม สาริศา พิชัยฤกษ์ วารุณี เอี่ยมอารมณ์ ศิริพร หล้าอินตา ธราเชฎฐ์ สุคนธ์ ดิษยา จำนงค์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 241 253 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/272700 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรร 2) เพื่อศึกษานวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนจ่านกร้อง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 2. แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ 3. แบบประเมินนวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลศึกษานวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยรวมอยู่ในระดับที่ดี</p> รัฐติพล สีหะวงษ์ สุภาณี เส็งศรี ธงชัย เส็งศรี วราพร อนันตวงศ์ นิธิเดชน์ เชิดพุทธ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 254 271 การสร้างโปรแกรมระบบตรวจสอบการเข้าปฏิบัติงานพนักงานฝ่ายผลิต บริษัทไทสัน โพลทรี่ (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/278753 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างโปรแกรมระบบตรวจสอบการเข้าปฏิบัติงานพนักงานฝ่ายผลิตบริษัทไทสัน โพลทรี่(ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายก 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าใช้โปรแกรมระบบตรวจสอบการเข้าปฏิบัติงานพนักงานฝ่ายผลิต บริษัท ไทสัน โพลทรี่ (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายก เป็นการวิจัยแบบทดลอง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหาร หัวหน้างานแผนกฝ่ายผลิต เจ้าหน้าที่ และ พนักงานจัดทำเอกสาร บริษัทไทสัน โพลทรี่(ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายกจำนวน 25 คน การรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. โปรแกรมระบบตรวจสอบการเข้าปฏิบัติงานพนักงานฝ่ายผลิต บริษัทไทสัน โพลทรี่ (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายก ได้ถูกต้องตามความเหมาะสมกับงาน ในระดับมากที่สุด 2. ความพึงพอใจของผู้เข้าใช้งานระบบตรวจสอบการเข้าปฏิบัติงานพนักงานฝ่ายผลิต บริษัทไทสัน โพลทรี่ (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครนายก อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.82, S.D.=0.21) </p> ปาลีรัตน์ แดงดี รัชนี วงศ์ศิริ ราตรี เพียสีนุย วัฒนา พลวิชัย Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 272 285 แนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่ตำบลโคกมน อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/ivebjournal/article/view/272539 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในตำบลโคกมน อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2) ศึกษาแนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในตำบลโคกมน อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ประกอบด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวและร่วมทำกิจกรรมกับชุมชน จำนวน 250 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้บริหารชุมชน ผู้นำชุมชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวในชุมชน จำนวน 5 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาวิจัย พบว่า</p> <ul> <li>พฤติกรรมนักท่องเที่ยว พบว่า นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ตำบลโคกมน อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการพักผ่อน โดยลักษณะการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เดินทางเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวจะเดินทางโดยซื้อโปรแกรมกิจกรรมของการท่องเที่ยว และเลือกเดินทางในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุด มีระยะเวลาในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลา 1-2 วัน</li> </ul> <p>สำหรับแนวทางการสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่ตำบลโคกมน อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ควรมีแนวทางการดําเนินงานโดยการสร้างความเข้าใจร่วมกันไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการภาคเอกชน ชุมชนในพื้นที่ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยว ต้องให้ความสำคัญกับสื่อต่าง ๆ เช่นทำการตลาดผ่านจากบุคคลซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างความน่าสนใจและส่งผลให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยว ใช้ตัวบุคคลแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชนของพื้นที่ตำบลโคกมนและเชื่อมโยงพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงเทศกาลงานประเพณีประจำปี การทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์หลักคือการตลาดเชิงรุกผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงได้เร็วและข้าถึงในยุคปัจจุบัน </p> เมทิกา พ่วงแสง ฉันทนา ปาปัดถา ปาริชาติ ช้วนรักธรรม ชัยวุฒิ ชัยฤกษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-23 2024-12-23 7 2 286 298