วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ (บทความได้รับการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ เป็นวารสารวิชาการของวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคมฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม วารสารนำเสนอบทความทางวิชาการเกี่ยวกับการสื่อสารของมนุษย์ทุกลักษณะ ตั้งแต่การสื่อสารภายในบุคคลและระหว่างบุคคล การสื่อสารสาธารณะและการสื่อสารมวลชน ไปจนถึงการสื่อสารในระยะไกล ขอบข่ายของบทความครอบคลุมกิจกรรมการสื่อสารทุกรูปแบบ อาทิ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา วารสารศาสตร์ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สื่อใหม่ รวมถึงงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม<span class="Apple-converted-space">&nbsp;</span></p> th-TH jca@rsu.ac.th (ผศ.ดร.ชัชญา สกุณา ) jca@rsu.ac.th (นิติ จิตวัฒนาธรรม) Thu, 02 May 2024 13:29:21 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การรับรู้และประสิทธิผลการอบรมเชิงปฏิบัติการค่ายพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารสำหรับคนรุ่นใหม่ภายใต้โครงการขยายเครือข่ายภาคี 10 สถาบันการศึกษารู้เท่าทันสิทธิของผู้บริโภค สำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273466 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้เท่าทันสิทธิผู้บริโภคของสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค และประสิทธิผลการอบรมเชิงปฏิบัติการค่ายพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารสำหรับคนรุ่นใหม่ ภายใต้โครงการขยายเครือข่ายภาคี 10 สถาบันการศึกษารู้เท่าทันสิทธิของผู้บริโภค สำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค โดยเป็นการศึกษาในรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ จากการใช้แบบสอบถาม ในการเก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ จำนวน 400 คน ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตมากที่สุด รองลงมา คือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตามลำดับการรับรู้การเท่าทันสิทธิผู้บริโภคสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภคของผู้เข้าร่วมการอบรม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ไม่เคยรู้จักสภาองค์กรของผู้บริโภค เหตุผลในการเข้าร่วมการอบรม เพราะมีความสนใจในเรื่องสิทธิของผู้บริโภค ก่อนการเข้าร่วมการอบรมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคที่ผู้เข้าร่วมให้ความสนใจ คือ ด้านการขนส่งและยานพาหนะ มากที่สุด หลังการเข้าร่วมโครงการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคที่ผู้เข้าร่วมให้ความสนใจและผลิตสื่อ คือ ด้านการขนส่งและยานพาหนะ มากที่สุด หลังจากการอบรมผู้เข้าร่วมทุกคนรู้เท่าทันสิทธิของผู้บริโภค รู้จักสำนักงานสภาองค์กรผู้บริโภค และมีความรู้และทักษะเพื่อใช้ในการผลิตสื่อสำหรับการขับเคลื่อนสิทธิผู้บริโภคทุกคน</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ประสิทธิผลการอบรมเชิงปฏิบัติการค่ายพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารสำหรับคนรุ่นใหม่ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ด้านผลผลิต มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านบริบท ด้านกระบวนการ และด้านปัจจัยนำเข้า ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ด้านผลผลิต พบว่า&nbsp; ผู้เข้าร่วมอบรมฯ ตระหนักรู้ถึงสิทธิของผู้บริโภคมากขึ้น มากที่สุด ที่ รองลงมา คือ สามารถนำความรู้และทักษะไปใช้ประโยชน์ในการใช้ชีวิตได้ในอนาคต และสามารถสื่อสารในประเด็นสิทธิผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องไปยังสาธารณะ ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ด้านบริบท พบว่า&nbsp; เป้าหมายของการฝึกอบรมฯ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการ&nbsp; มากที่สุด รองลงมา คือ การฝึกอบรมฯ ครั้งนี้มีความจำเป็นและความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมโครงการ ที่ และวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมฯ มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการ ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ด้านกระบวนการ พบว่า&nbsp; วิทยากรมีความรอบรู้ในหัวข้อการฝึกอบรมฯและความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เป็นอย่างดี มากที่สุด คือ วิทยากรให้ความเป็นกันเองกับผู้เข้าร่วมอบรมฯ และวิทยากรตอบคำถามตรงประเด็นและเข้าใจได้ง่าย ตามลำดับ</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ความพร้อมของทีมวิทยากร มากที่สุด รองลงมา คือ ความเหมาะสมของหัวข้อในการฝึกอบรม เช่น การบรรยายเรื่อง รู้สิทธิของผู้บริโภค, การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “เพื่อ(น)ผู้บริโภค”,ระดมสมอง แชร์ความคิด...ผลิตไอเดีย, การสร้างสรรค์คอนเทนต์ ด้วย Storytelling Canvas และความพร้อมของคณะกรรมการดำเนินงาน ตามลำดับ</p> อรรถญา พิกุลพารุ่งโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273466 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และปัจจัยพยากรณ์การให้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคในการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273470 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการให้ข้อมูลส่วนบุคคลต่อความตั้งใจใช้การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e - Payment) ผ่านช่องทางออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การรับรู้ความเสี่ยง ความปลอดภัย ความไว้วางใจ การรับรู้ถึงความง่าย การรับรู้ประโยชน์ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษาวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่เคยใช้รูปแบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น จำนวน 400 คน แบ่งออกเป็นการใช้บัตรเครดิต / บัตรเดบิต จำนวน 66 คน และ การใช้ Internet / Mobile Banking จำนวน 334 คน โดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ระดับความคิดเห็นในการเลือกใช้บริการบัตรเครดิต / บัตรเดบิต ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก พบว่า ปัจจัยที่มีความสำคัญลำดับแรก คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี รองลงมา คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ปัจจัยด้านด้านความปลอดภัย ซึ่งอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด และปัจจัยด้านความไว้วางใจ ปัจจัยด้านความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล &nbsp;ปัจจัยด้านการรับรู้ความเสี่ยง อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาระดับความคิดเห็นในการเลือกใช้บริการ Internet / Mobile Banking ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก พบว่า ปัจจัยที่มีความสำคัญลำดับแรก คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี ซึ่งอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด รองลงมา คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ปัจจัยด้านความปลอดภัย ปัจจัยด้านความไว้วางใจ ปัจจัยด้านความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และปัจจัยด้านการรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการทดสอบสมมติฐานการใช้การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) สามารถสรุปได้ว่า ผลการวิเคราะห์การใช้บัตรเครดิต / บัตรเดบิต พบว่า ปัจจัยด้านความไว้วางใจ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันกับความถี่ในการใช้บัตรเครดิต / บัตรเดบิต ขณะที่ปัจจัยด้านความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และปัจจัยความปลอดภัย มีความสัมพันธ์เชิงลบในทิศทางตรงข้ามกับความถี่ในการใช้บัตรเครดิต / บัตรเดบิต ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในส่วนของผลการวิเคราะห์การใช้ Internet / Mobile Banking พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงความง่าย มีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันกับความถี่ในการใช้บริการ Internet / Mobile Banking&nbsp; ขณะที่ปัจจัยด้านความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีความสัมพันธ์เชิงลบในทิศทางตรงข้ามกับความถี่ในการใช้บริการ Internet / Mobile Banking ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95</p> กุลชาติ รามโคตร Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273470 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจของผู้บรรยายกีฬามวยไทย กับการรับรู้และทัศนคติที่มีต่อ การอนุรักษ์กีฬามวยไทยของผู้รับชมที่เป็นแฟนมวยในเขตกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273473 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจที่ผู้บรรยายกีฬามวยไทยนำมาใช้บรรยายกีฬามวยไทย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจที่ผู้บรรยายกีฬามวยไทยนำมาใช้บรรยายกีฬามวยไทย กับการรับรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์กีฬามวยไทยของผู้รับชมที่เป็นแฟนมวยในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์กีฬามวยไทย กับทัศนคติที่มีต่อการอนุรักษ์กีฬามวยไทยของผู้รับชมที่เป็นแฟนมวยในเขตกรุงเทพมหานคร โดยในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้รับชมที่เป็นแฟนมวย ในเขตกรุงเทพมหานคร 5 สนาม จำนวน 400 คน และเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ จำนวน 5 คน</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจที่ผู้บรรยายกีฬามวยไทยนำมาใช้ในการบรรยายกีฬามวยไทย อยู่ในระดับมากที่สุด 2) กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้การอนุรักษ์กีฬามวยไทยในภาพรวมมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับรับรู้มากที่สุด และ 3) กลุ่มตัวอย่ามีทัศนคติที่มีต่อการอนุรักษ์กีฬามวยไทย ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมีทัศนคติทางบวกมาก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยตามสมมติฐาน พบว่า กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจที่ผู้บรรยายกีฬามวยไทยนำมาใช้บรรยายกีฬามวยไทย มีความสัมพันธ์กับการรับรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์กีฬามวยไทยของผู้รับชมที่เป็นแฟนมวยในเขตกรุงเทพมหานคร และการรับรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์กีฬามวยไทยมีความสัมพันธ์กับทัศนคติที่มีต่อการอนุรักษ์กีฬามวยไทยของผู้รับชมที่เป็นแฟนมวยในเขตกรุงเทพมหานคร</p> สโมสร อูบคำ, ฐิติ วิทยสรณะ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273473 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์กลุ่มผู้บริโภคตามปัจจัยการตลาดยั่งยืนและการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273486 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดยั่งยืนและการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่อวิเคราะห์กลุ่มผู้บริโภคตามปัจจัยการตลาดยั่งยืนและการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากผู้บริโภคจำนวน 500 คน โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์กลุ่มแบบไม่เป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 21-30 ปี มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทเป็นส่วนใหญ่ การศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นนักเรียน/นักศึกษา นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคคือ ปัจจัยด้านราคา ผลการวิเคราะห์กลุ่มแบบไม่เป็นขั้นตอน โดยอาศัยตัวแปรปัจจัยการตลาดยั่งยืนและการสื่อสารการตลาดในการจำแนกพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มผู้บริโภคได้เป็น 3 กลุ่มคือ ผู้บริโภคกลุ่มเขียวเข้มข้น ผู้บริโภคกลุ่มเขียวเข้ม และผู้บริโภคกลุ่มเขียวอ่อน</p> พิทักษ์ ชูมงคล Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273486 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 บทบาทและอนาคตของวีทูบเบอร์ในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273488 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วีทูบเบอร์ หรือ เวอร์ชัวร์ยูทูบเบอร์ ได้รับความนิยมขึ้นมาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในวัยรุ่นถึงวัยทำงานที่ชื่นชอบการ์ตูน เกม อนิเมชัน เพลงและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่เมื่อสถานการณ์การควบคุมโรคผ่อนคลายลง ทำให้ยอดการเข้าชมวีทูบเบอร์น้อยลงอย่างมาก วีทูบเบอร์จึงต้องมีการปรับบทบาทและการนำเสนอเพื่อให้เข้ากับบริบทในประเทศไทย บทความนี้จึงจะนำเสนอการวิเคราะห์การปรับบทบาทและแนวโน้มอนาคตของวีทูบเบอร์ในประเทศไทย</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทบาทของวีทูบเบอร์ในประเทศไทยถือเป็นช่องทางสำหรับสำหรับวัยรุ่นถึงวัยเริ่มทำงาน ผู้ที่อยากเป็นนักพากย์ นักร้อง หรือนักแสดง ที่ยังไม่มีความมั่นใจในรูปร่าง หน้าตา หรือการแสดงต่อหน้าผู้คน เป็นอาชีพเสริมที่มีความเป็นส่วนตัวไม่ต้องแสดงตัวตน หรือหากได้รับความนิยมมากพออาจจะทำเป็นอาชีพหลักได้ อีกประการหนึ่งประเทศไทยยอมรับในความหลากหลายทางเพศ จึงเป็นช่องทางให้เกิดวีทูบเบอร์ที่มีความหลากหลายทางเพศเกิดขึ้นด้วย นอกเหนือจากผู้ผลิตเนื้อหาแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีความตื่นตัวขึ้นด้วยทั้งผู้ออกแบบตัวละครอวทาร์ ผู้ทำภาพเคลื่อนไหว ผู้ทำเพลงประกอบ และผู้จัดการดูแลวีทูบเบอร์ วีทูบเบอร์ในประเทศไทยจึงมีบทบาทในการเพิ่มช่องทางในธุรกิจบันเทิงดิจิทัล คล้ายกับยูทูบเบอร์ แต่จะมีข้อจำกัดในการออกทำกิจกรรมในโลกความเป็นจริงบางกิจกรรมเท่านั้น</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; แนวโน้มอนาคตของวีทูบเบอร์ในประเทศไทยน่าจะมีอัตราการเปิดช่องใหม่ และการปิดช่องในอัตราที่ไล่เลี่ยกัน เอเจนซีต่าง ๆ น่ายังจะผลิตวีทูบเบอร์ออกมา แต่ผลิตออกมาในจำนวนที่ไม่มากนัก วีทูบเบอร์จะมีบทบาทมากขึ้นในการเป็นพรีเซนต์เตอร์ ให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำงานในสายงานที่ใช้เสียงเป็นหลัก วีทูบเบอร์เพศชาย และเพศทางเลือก อาจจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และได้รับความนิยมมากขึ้นตามกระแสซีรี่วาย เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์น่าจะเข้ามามีบทบาทในการออกแบบตัวละครอวทาร์ ทำให้เวลาในการออกแบบและทำภาพเคลื่อนไหวใช้เวลาน้อยลง และถูกลง วีทูบเบอร์อาจจะมีบทบาทเข้าไปในสื่อที่ต้องการกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานตอนต้น ทั้งสื่อทางการศึกษา ประกาศข่าว และการประชาสัมพันธ์ แต่จะยังเน้นไปในสื่อบันเทิงเป็นหลัก</p> ปิยะพล รอดคำดี Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273488 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ความเข้าใจและความรอบรู้ทางสุขภาพในบริการโทรเวชกรรม เรื่องโรคเฉพาะด้านที่ยุ่งยากซับซ้อนของประชาชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273490 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความเข้าใจและความรอบรู้ทางสุขภาพในบริการโทรเวชกรรมของประชาชน โดยเน้นที่โรคเฉพาะด้านที่ซับซ้อน คือ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด เวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมด้านฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) การสำรวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน จากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ และการสัมภาษณ์เชิงลึก 29 คน &nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยแสดงว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับโทรเวชกรรม และรับรู้ประโยชน์หลายประการ เช่น ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และสะดวกในการรับบริการทางการแพทย์ จำนวนร้อยละ 56.10 ของกลุ่มตัวอย่างมีประสบการณ์ใช้บริการโทรเวชกรรมมาเป็นเวลามากกว่า 8 เดือน โดยใช้จองคิวนัดหมายล่วงหน้า มีความรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับโรคเฉพาะด้านที่ซับซ้อนอยู่ในระดับมาก และการเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสารกับแพทย์และพยาบาลอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกแสดงให้เห็นความเข้าใจต่อโรคและโทรเวชกรรม ในกรณีของโรคเฉพาะด้านที่ยุ่งยากซับซ้อนแต่ละโรค คือ เข้าใจว่าโรคหลอดเลือดสมองมีอาการนำแต่ไม่ทราบว่ามีอาการอย่างไร โรคมะเร็งต้องอดทนและรักษาต่อเนื่อง การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดที่เริ่มต้นจากการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว &nbsp;และโรคที่มีผลจากสิ่งแวดล้อมที่มีการรับรู้ไม่มากนัก ทั้งนี้มีความเข้าใจว่าโทรเวชกรรมสามารถใช้สนับสนุนการรักษาโรคเหล่านี้ได้</p> สุทธิลักษณ์ หวังสันติธรรม, พนม คลี่ฉายา Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273490 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 แรงจูงใจการใช้สื่อดิจิทัลบนแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์และการเลือกผู้ให้บริการขนส่งสินค้าของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273493 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจการใช้สื่อดิจิทัลบนแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ของเจเนอเรชั่นวายพื้นที่กรุงเทพมหานครและพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์และการเลือกผู้ให้บริการรับส่งสินค้าที่สั่งจากแอพพลิเคชั่นของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานครจากการซื้อสินค้าออนไลน์ในแอพพลิเคชั่น Shopee และ Lazada และปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกผู้ให้บริการรับส่งพัสดุของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานครจากการซื้อสินค้าออนไลน์ในแอพพลิเคชั่น ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือกลุ่มเจเนอเรชั่นวายพื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 400 คน โดยทำการวิจัยเชิงปริมาณแบบสำรวจวัดครั้งเดียวซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์กับการเลือกผู้ให้บริการรับส่งพัสดุจัดส่งสินค้าออนไลน์ในแอพพลิเคชั่น ทั้งนี้สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือการหาร้อยละและค่าสถิติไค-สแควร์ (Chi-square)</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์จากแอพพลิเคชั่นของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายขึ้นอยู่กับแรงจูงใจการใช้สื่อดิจิทัลบนแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์มีค่า sig ต่ำกว่า 0.05 จึงมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีรายละเอียดพฤติกรรม 6 ด้านดังนี้ 1) พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ด้านประเภทของสินค้าที่ซื้อออนไลน์มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่า ของใช้เด็กอ่อนและของเล่นมากที่สุด 2) พฤติกรรมด้านช่วงเวลาที่ใช้สื่อดิจิทัลในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่าระหว่างการเดินทางมากที่สุด 3) พฤติกรรมด้านระยะเวลาที่ใช้สื่อดิจิทัลในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ประกอบการตัดสินใจซื้อที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่าระยะเวลา 15-30 นาทีมากที่สุด 4) พฤติกรรมด้านความถี่ที่เข้าชมร้านค้าทางการ (Official Shop) บนแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่า เข้าชมร้านค้า 1-4 ครั้งต่อเดือนมากที่สุด 5) พฤติกรรมด้านมูลค่าเฉลี่ยต่อชิ้นที่ซื้อสินค้าในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่าราคาสินค้าเฉลี่ยต่อชิ้น 1001-5000 บาทมากที่สุด 6) พฤติกรรมด้านพื้นที่ทำกิจกรรมในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจโดยรวมพบว่า ชมสินค้าบนหน้า Mall ของแอพพลิเคชั่น เช่น Laz Mall, Shopee Mall มากที่สุด และชมหน้าแจกคูปองโค้ดส่วนลดสินค้าเพื่อนำคูปองไปเลือกซื้อสินค้าต่อในแอพพลิเคชั่นภายหลัง มากรองลงมา และผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการเลือกผู้ให้บริการขนส่งสินค้าขึ้นอยู่กับแรงจูงใจการใช้สื่อดิจิทัลในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์มีค่า sig ต่ำกว่า 0.05 จึงมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการเลือกผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้าน 1) ระยะเวลาการจัดส่งสินค้าในประเทศที่ใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า 2) ความปลอดภัยสมบูรณ์ของตัวสินค้าที่จัดส่งมาถึงจากการผู้ให้บริการขนส่งสินค้าในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ 3) ค่าบริการในการจัดส่งสินค้าที่บรรจุกล่องขนาดเล็ก(s) ถึงสินค้าที่บรรจุกล่องขนาดกลาง(m) โดยจัดส่งในประเทศในแอพพลิเคชั่นสินค้าออนไลน์ ทั้ง 3 ด้านขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลด้านรายได้ของกลุ่มเจเนอเรชั่นวายโดยมีค่า sig ต่ำกว่า 0.05 จึงมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ณัฏฐ์ธนพงศ์ วุฒิเทพบัญชา, วิรัตา ขวัญแพ, ธวัช รวมทรัพทย์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273493 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การสื่อสารนโยบายการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้นำท้องถิ่นในยุคดิจิทัล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273496 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ปัจจุบันการสื่อสารการเมืองได้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ในยุคที่การสื่อสารสามารถไปถึงกันโดยง่ายจากการแพร่กระจายของแพลตฟอร์มดิจิทัล และพัฒนาการทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด การเลือกที่จะสื่อสารอะไรออกไปก็ยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างการเมืองในระดับท้องถิ่นที่มีความสำคัญกับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะมีความใกล้ชิด และประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดในการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำท้องถิ่นที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักในการสื่อสารเพื่อประสานงาน การสื่อสารนโยบายการเมืองโดยผู้นำท้องถิ่นจึงได้กลายเป็นส่วนสำคัญในระบบการเมืองการปกครอง เนื่องจากนโยบายการเมืองที่ดี และตรงใจประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประชาชนสนใจ และตัดสินใจเลือก ผู้นำท้องถิ่นที่รู้ว่าควรนำเสนอนโยบายทางการเมืองในเรื่องใด และรู้ว่าประชาชนในท้องถิ่นต้องการอะไรมากที่สุด ก็จะสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนได้ไม่ยาก ดังนั้นการสื่อสารนโยบายทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่น เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายว่าจะแก้ปัญหาและพัฒนาให้ท้องถิ่นเป็นอย่างไรในอนาคตได้อย่างชัดเจน รวมถึงมีความสามารถที่สื่อถึงวิธีการที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย สามารถเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอย่างหลากหลายในยุคดิจิทัลมาใช้งานอย่างกลมกลืน จะนำไปสู่การโน้มน้าวจิตใจให้ประชาชนหันมาเลือกตนเองได้แม้จะอยู่ในยุคที่การพัฒนาทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว</p> กานต์ศุภณัฐ์ สุวรรณนิคม, หฤทัย ปัญญาวุฒิตระกูล, กานต์ บุญศิริ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273496 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 The Management of Jinan City, Cultural Image Communication in the Perspective of New Media https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273557 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; With the rapid rise of new media, its influence on the communication of urban image is becoming more and more significant. In this context, as a metropolis with a long history and rich culture, how to more effectively use new media to shape and disseminate its unique urban cultural image is the main issue discussed in this paper. This paper firstly gives a comprehensive overview of the main body of Jinan cultural image communication. It is argued that the subject of communication is not only the traditional government, media and other institutions, but also includes more diversified participants such as enterprises and the public. In the new media environment, these communication subjects are involved in the communication of Jinan culture in their own way, thus making the cultural image of Jinan more rich and three-dimensional.</p> Xiaolin Luo, Somdech Rungsrisawat Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273557 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของบุคคลที่มีชื่อเสียงกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273561 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา อิทธิพลของบุคคลที่มีชื่อเสียงกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต ผู้วิจัยได้กำหนดระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล (Questionnaire) ซึ่งการรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียว (One-Short Descriptive Study) ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 20-23 ปี และกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 มากที่สุด โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Instagram มากที่สุด โดยเปิดรับข่าวสารจากประเภทของบุคคลที่มีชื่อเสียงประเภท ดารา/นักแสดง มากที่สุด และความบ่อยครั้งในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจากบุคคลที่มีชื่อเสียง วันละ 1 ครั้ง มากที่สุด ทัศนคติต่อคุณลักษณะของบุคคลที่มีชื่อเสียง ด้านความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trustworthiness) โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยปานกลาง ด้านความชำนาญ เชี่ยวชาญ (Expertise) โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย ด้านความดึงดูดใจ (Attractiveness) โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย ด้านความเหมือน (Similarity) ที่มีผลโดยรวมอยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต ด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับบ่อย ด้านโภชนาการ โดยรวมอยู่ในระดับบางครั้ง ด้านการทำกิจกรรมทางร่างกาย โดยรวมอยู่ในระดับบางครั้ง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า การเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ และอิทธิพลด้านคุณลักษณะของบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต</p> ดวงทิพย์ เจริญรุกข์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273561 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 The International Communication Strategy of Kunqu Arts https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273562 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; This paper aims to explore the international communication strategy of Kunqu art and analyze its development and challenges under the background of globalization. The purpose of the study is to put forward effective international communication strategies to promote the wide dissemination and acceptance of Kunqu art on the international stage by studying the unique charm and communication status of the art. The research issues focus on the opportunities and challenges faced by Kunqu art in the international communication, as well as how to formulate targeted communication strategies to enhance its competitiveness and influence in the international cultural market. Through literature review, questionnaire survey and in-depth interview, this study reveals the core issues of Kunqu art in international communication, and proposes innovative communication strategies in order to promote the global influence of Kunqu art. Combined with the relevant theories of international communication, the advantages and disadvantages of Kunqu art in international communication are analyzed. Visit kunqu opera performances and promotion activities at home and abroad to understand its communication effect and audience response under different cultural backgrounds.</p> Yibo Li, Krisana Chueachainat Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273562 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 จากปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ผ่านงานสร้างสรรค์ช้างวาดรูปสู่ประเด็นลิขสิทธิ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273564 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงปรากฏการณ์ช้างวาดรูปในฐานะงานสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ระหว่างศิลปิน ควาญช้างกับช้างที่สะท้อนอุดมการณ์นิเวศสำนึกผ่านงานศิลปะภาพวาด โดยการสร้างสรรค์ผลงานเป็นกระบวนการที่เกิดจากการร่วมสร้าง (Co-creation) บนความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงอิงกัน (Symbiotic relationship) ระหว่างคนกับช้าง ผลงานภาพวาดสะท้อนคุณค่าทั้งในเชิงจริยศาสตร์สภาวะแวดล้อมและสุนทรียศาสตร์สื่อผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ด้วยการใช้สัญรูปที่แสดงสภาวะความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติและสัญรูปที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับธรรมชาติ ผลงานดังกล่าวมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่นำรายได้สู่ผู้ครอบครองช้างและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องตามมาคือ สิทธิในผลงานอันประกอบด้วยกรรมสิทธิ์และข้อถกเถียงในประเด็นสิทธิทางเศรษฐกิจของผลงานคือเรื่องลิขสิทธิ์ บทความสะท้อนมุมมองทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ที่กำหนดให้ผู้สร้างสรรค์ที่มีสภาพบุคคลได้ลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงช้าง แต่ถ้าบุคคลเป็นผู้ต่อยอดงานสร้างสรรค์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์น่าจะผลักดันได้ว่าบุคคลเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์เพื่อการอ้างลิขสิทธิ์</p> ณชรต อิ่มณะรัญ, รัชชา สถาพรพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273564 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาวิเคราะห์ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยความรุนแรง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273565 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความวิจัยชิ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแสดงความรุนแรงจากความ อยุติธรรม ทั้งหมด 5 เรื่อง ได้แก่ 1) Taxi Driver 2) The Brave One 3) Law Abiding Citizen 4) Death Wish 5) Joker โดยใช้แนวความคิดเรื่ององค์ประกอบของภาพยนตร์เล่าเรื่อง (Storytelling element) เป็นกรอบในการศึกษา เป็นการวิเคราะห์ตัวบท (Textual analysis) ผลการศึกษาพบว่า ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแสดงความรุนแรงจากความอยุติธรรม ซึ่งตัวละครหลักมักเป็นผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงทางกายและทางใจ แต่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อไม่สามารถพึ่งพาระบอบความยุติธรรมได้ ตัวละครจึงต้องหันมาพึ่งตนเอง ส่วนมากจะเป็นภาพยนตร์ประเภท Drama และรองลงมาเป็นภาพยนตร์ประเภท Thriller และ Crime ตามลำดับ ความขัดแย้งของตัวละครส่วนมากจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละครกับสังคม หรือกับบุคคล โดยเกือบทุกเรื่องจะเป็นการจบแบบปลายปิด และมีการวางโครงเรื่องแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ (Linear Narrative Film) โดยฉากภาพยนตร์มักจะอยู่กลางเมืองใหญ่ ส่วนมากอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีบางเรื่องที่เป็นยุคอดีต บทสนทนาของตัวละครหลักมักจะแสดงออกถึงความอัดอั้นภายในใจผ่านทางคำพูดและน้ำเสียง โดยส่วนมากเป็นน้ำเสียงที่เรียบเฉยที่แสดงให้เห็นถึงความบอบช้ำภายในจิตใจ ภาพยนตร์จะใช้เทคนิคด้านภาพโดยการใส่เทคนิคพิเศษ (Special effect) เพื่อเพิ่มความสมจริง</p> วิสุทธิ์ ชลธาร, กฤษดา เกิดดี Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273565 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 ภาพสะท้อนปัญหาสังคมผ่านการเล่าเรื่องในภาพยนตร์สั้นนักศึกษาที่ได้รับรางวัลช้างเผือกพ.ศ. 2555 – 2564 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273566 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาวิจัยเรื่อง “ภาพสะท้อนปัญหาสังคมผ่านการเล่าเรื่องในภาพยนตร์สั้นนักศึกษาที่ได้รับรางวัลช้างเผือก พ.ศ. 2555 – 2564” มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพสะท้อนปัญหาสังคม รวมถึงวิเคราะห์เทคนิคการสร้างสรรค์และกลวิธีการเล่าเรื่องในภาพยนตร์สั้นนักศึกษาที่ได้รับรางวัลช้างเผือกระหว่างปี 2555 – 2564 สำหรับการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) แบบวิเคราะห์ตัวบท (Textual Analysis) ผู้วิจัยได้คัดเอาเฉพาะประเด็นที่ได้สาระเกี่ยวกับการสะท้อนปัญหาสังคม กลวิธีการเล่าเรื่อง และเทคนิคการสร้างสรรค์ในภาพยนตร์สั้นนักศึกษาที่ได้รับรางวัลช้างเผือก พ.ศ. 2555 – 2564 มาทำการวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในส่วนของกรอบแนวคิด ด้านการสะท้อนปัญหาสังคม ได้แก่ ปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ด้านเทคนิคการสร้างสรรค์ และด้านการเล่าเรื่องมาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง โดยมีการเลือกกลุ่มภาพยนตร์สั้นนักศึกษาที่ได้รับรางวัลช้างเผือก พ.ศ. 2555 – 2564 มาศึกษาจำนวน 11 เรื่อง</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ภาพยนตร์ทั้ง 11 เรื่อง มีการสะท้อนปัญหาสังคมไทยใน 3 ประเด็กหลัก คือ 1) ปัญหาทางสังคม ได้แก่ การหย่าร้าง ยาเสพติด ปัญหาครอบครัว คุกคามทางเพศ ความเห็นแก่ตัว และความไม่รับผิดชอบ 2) ปัญหาด้านการเมือง ได้แก่ ความสูญเสีย ถูกจำกัดสิทธิ์ 3) ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ปัญหาความยากจน สำหรับกลวิธีการเล่าเรื่อง เป็นการเล่าเรื่องแบบฮอลลีวูดคลาสิก ซึ่งมีโครงสร้างการเล่าเรื่องเรียงลำดับเวลาต่อเนื่องทั้ง 11 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วย องค์หนึ่งช่วงวางฐานเรื่อง องค์สองช่วงการเผชิญหน้า และองค์สามช่วงการคลี่คลาย รวมถึงการจบเรื่องโดยไม่มีข้อยุติชัดเจน ตัวละครเอกแต่ละเรื่องมีเพียงตัวเดียว สำหรับแก่นเรื่องมุ่งเน้นเกี่ยวกับการวิพากษ์สังคม ความขัดแย้งส่วนใหญ่นำเสนอขัดแย้งภายในจิตใจของตัวละครเอก ด้านตัวละครเอกมีทั้งมิติเดียวและหลายมิติ ส่วนฉากภาพยนตร์ทุกเรื่องถ่ายทำจากสถานที่จริง รวมถึงสัญลักษณ์ที่ปรากฏส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ทางภาพ ด้านความต้องการของตัวละครเอกภาพยนตร์เกือบทุกเรื่อง ตัวละครเอกมีความต้องการเพื่อตอบสนองตนเอง และภาพยนตร์ส่วนใหญ่มีปูมหลังที่ส่งผลต่อตัวละครเอก</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับเทคนิคการสร้างสรรค์ ผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์แต่ละเรื่องใช้ขนาดภาพขนาดไกล ภาพขนาดปานกลาง และภาพขนาดใกล้ ทุกเรื่อง ใช้มุมกล้องจากการรับรู้ของผู้ชมในแบบออบเจ็คตีฟ รวมถึงใช้มุมระดับสายตา เป็นหลัก ด้านการเคลื่อนไหวกล้อง ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ใช้การแพน แสงและสีมีการใช้แสงนุ่มมากกว่าแสงแข็งแต่รูปแบบการจัดแสง มีทั้งรูปแบบไฮคีย์และรูปแบบโลว์คีย์ที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงสีที่ปรากฏในภาพยนตร์ใช้สีโทนร้อนและสีโทนเย็นมีจำนวนไม่แตกต่างกัน ส่วนเสียงสนทนา ตัวละครในภาพยนตร์ใช้เสียงสนทนาในการสื่อสารทุกเรื่อง รวมถึง มีการใช้เสียงประกอบภาพยนตร์เพื่อความสมจริงทุกเรื่องเช่นกัน นอกจากนี้ภาพยนตร์ส่วนมากใช้เสียงดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องมาประกอบฉาก และนำมาใช้ในฉากตอนจบของภาพยนตร์ด้วย สุดท้าย ผู้สร้างสรรค์ใช้การตัดต่อแบบอินเสิร์ทเกือบทุกเรื่อง และตัดต่อด้วยการเชื่อมภาพแบบตัดตรง และแบบเฟด ทุกเรื่องเช่นกัน</p> วินัย บุญคง Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273566 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของอัตนิยมเชิงวัฒนธรรมและความเป็นสากลที่มีผลต่อพฤติกรรมตอบสนองต่อโฆษณาแฝง บนยูทูบของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273567 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการสำรวจทัศนคติด้านอัตนิยมเชิงวัฒนธรรมและความเป็นสากลของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นที่มีผลต่อพฤติกรรมตอบสนองภายหลังจากการรับชมโฆษณาแฝงในยูทูบ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และวิเคราะห์ตามลักษณประชากรของกลุ่มตัวอย่าง คือ เพศ อายุ และสถานภาพสมรส ของกลุ่มตัวอย่างชาวญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวและปริมณฑลที่รับชมคลิปวิดีโอบนยูทูบมีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 200 คน นำข้อมูลจากแบบสอบถามมาทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรทัศนคติที่มีผลต่อพฤติกรรมตอบสนองแยกตามลักษณะประชากรมากที่สุด ได้แก่ ทั้งเพศชายและเพศหญิงมีความเป็นสากลสูง กลุ่มเพศชายชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ในขณะที่เพศหญิง ชอบพูดคุยและเรียนรู้ (สื่อสาร) กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างและประเทศอื่นๆ สำหรับกลุ่มอายุ 20 – 39 ปี มีความเป็นอัตนิยมเชิงวัฒนธรรมสูง และมีความรู้สึกแย่เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตในประเทศของตนเอง ส่วนกลุ่มอายุ 40 – 59 ปี มีความเป็นสากล ชอบการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างและประเทศอื่นๆ กลุ่มสถานภาพโสด/ไม่มีบุตร ชอบพูดคุยและเรียนรู้ (สื่อสาร) กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างและประเทศอื่นๆ ส่วนกลุ่มสถานภาพอื่นๆ &nbsp;ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างและต่างประเทศ</p> วรวรรณ องค์ครุฑรักษา Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273567 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดการการสื่อสารขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั่นจักรยานในช่วงการเกิดสถานการณ์โควิด -19 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273573 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อ ประชาชนเป็นจำนวนมาก ภาครัฐ ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีมาตรการในการแก้ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันต้องมีแผนการสื่อสารในภาวะวิกฤตที่ใช้ในการสื่อสารกับภาคประชาชน ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้รับสารสามารถใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจหรือใช้เพื่อประพฤติปฏิบัติตัว และดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง โดยกิจกรรมการปั่นจักรยานเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้น และได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินกิจกรรมให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานณ์ภายใต้ความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน โดยช่องทางการสื่อสาร และทัศนคติ เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมการปั่นจักรยาน และยิ่งการรับรู้ข้อมูลทั้งด้านมาตรการสาธารณสุขในการจัดกิจกรรมการปั่นจักรยานรูปแบบวิถีใหม่ในสถานการณ์โควิดไวรัส – 19 ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรม แต่ในขณะเดียวกันอิทธิพลกลุ่มอ้างอิง กลับเป็นตัวแปรที่ไม่ส่งผลต่อทัศนคติ และการเข้าร่วมกิจกรรมการปั่นจักรยานรูปแบบวิถีใหม่ในสถานการณ์โควิดไวรัส – 19</p> เบญจวรรณ อภินันท์รุ่งโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273573 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อโปรโมต Squid Game บนช่องทาง TikTok https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273575 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษานี้ มุ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การสื่อสารของ&nbsp;&nbsp; Netflix US&nbsp; ที่ใช้โปรโมตซีรีส์ Squid&nbsp;&nbsp; Game&nbsp;&nbsp; บนช่องทาง TikTok โดยเน้นความสำคัญไปที่กลยุทธ์เฉพาะแพลตฟอร์มที่ใช้ในการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัล ด้วยการใช้วิธีการวิจัย แบบผสมผสาน (mixed method) โดยใช้การวิจัยเชิงเชิงปริมาณเพื่อศึกษาการมีส่วนร่วม ของผู้ใช้ TikTok ในการมีส่วนร่วมกับNetflix&nbsp; US's&nbsp; TikTok&nbsp; และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาโดยการศึกษาโพสต์ ที่ใช้โปรโมตซีรีส์&nbsp;&nbsp; Squid&nbsp;&nbsp; Game ที่มีส่วนร่วมสูงสุด&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า กลยุทธ์ด้านเนื้อหาที่ใช้โปรโมตซีรีส์&nbsp;&nbsp; Squid&nbsp;&nbsp; Game&nbsp; Squid&nbsp; Game&nbsp; ได้แก่ การสื่อสารโดยใช้จากอารมณ์ขัน ความตื่นเต้น และการเชื่อมโยงทางอารมณ์ โดยหลักๆ จะสื่อสารผ่านวิดีโอแบบสั้นและมีม (meme) นอกจากนั้น องค์ประกอบสำคัญที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของกลุ่มผู้ใช้ TikTok ได้แก่ การใช้เพลงประกอบซีรีส์ การใช้แฮชแท็ก (hashtag) และการใชhอีโมจิ (emoji) อย่างไรก็ดี ในการเพิ่มประสิทธิภาพการโปรโมตซีรีส์ Squid Game ผ่านช่องทาง Tiktok ควรใช้เนื้อหา ที่หลากหลาย&nbsp;&nbsp; ใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้งาน (user generated content) และการโพสต์ อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของข้อเสนอแนะในการวิจัยในอนาคต ควรศึกษาแพลตฟอร์มและซีรีส์ อื่นๆ ด้วย เพื่อให้เข้าใจภาพรวมการโปรโมตด้วยการใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น</p> CHEN YU TIEN, Chawaporn Dhamanitayakul Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273575 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 สื่อมวลชนกับการตั้งสมญานามสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273579 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาเรื่อง “สื่อมวลชนกับการตั้งสมญานามสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการวิเคราะห์องค์ประกอบการตั้งสมญานามให้สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ผลการศึกษาในประเด็นการวิเคราะห์องค์ประกอบการตั้งสมญานาม พบ 2 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การตั้งสมญานามจากพฤติกรรม ในประเด็นนี้พบ 2 สมญานาม ได้แก่ “สภาลวงละคร” และ “แตก ป. รอรีไทร์” 2. &nbsp;การตั้งสมญานามจากชื่อ พบ 1 สมญานาม ได้แก่ “(วัน) นอมินี” ส่วนประเด็นกลวิธีการใช้ภาษาตั้งสมญานาม พบ 2 กลวิธี ได้แก่ 1. การใช้คำสแลง ประเด็นนี้พบ 2 สมญานาม ได้แก่ “แกงส้ม ‘ผลัก’ รวม” และ “ดาวดับ” 2. การเล่นเสียงสัมผัส พบ 1 สมญานาม ได้แก่ “แจ๋วหลบ จบแล้ว”</p> ทรงยศ บัวเผื่อน, นนทชา คัยนันทน์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273579 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลสำคัญต่อชนชั้นนำในการควบคุมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยช่วง พ.ศ. 2440-2479 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273581 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลสำคัญต่อชนชั้นนำที่มีต่อการควบคุมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยช่วง พ.ศ. 2440-2478 ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่มีอิทธิพลสำคัญในช่วงเริ่มต้นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยและที่ส่งผลถึงปัจจุบัน โดยเป็นการศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์และด้วยการสรุปประเด็น มีการศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิ ขอบเขตศึกษาข้อมูลในภาพรวมเชิงประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5-7 จำแนกการศึกษาวิจัยออกเป็นพัฒนาการตามรัชสมัยต่าง ๆ และบทบาทในการควบคุมภาพยนตร์ผ่านการตรวจภาพยนตร์ก่อนฉาย (เซนเซอร์) ผลการวิจัยพบว่า ชนชั้นนำตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกและศิลปะวิทยาการด้านภาพยนตร์เข้ามาในประเทศเป็นกลุ่มแรก ด้วยเหตุผลที่ต้องการการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย และในฐานะผู้ปกครอง ชนชั้นนำได้เข้าครอบงำความคิดของประชาชนผ่านการชี้นำว่าภาพยนตร์เป็นสื่ออันตรายอันส่งผลให้เกิดการร่างกฎหมายเพื่อควบคุมภาพยนตร์ในเวลาต่อมา ดังนี้จึงเป็นการบ่มเพาะวัฒนธรรมความหวาดกลัวต่อผู้สร้างภาพยนตร์ไทยให้หลีกเลี่ยงการสร้างภาพยนตร์ที่เสี่ยงจะขัดต่อความสงบและศีลธรรมอันดีที่รัฐกำหนดบรรทัดฐานไว้</p> วินิจพรรษ กันยะพงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์ http://creativecommuns.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/article/view/273581 Thu, 02 May 2024 00:00:00 +0700