วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil
<p>วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ดำเนินการโดยสำนักการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่รวบรวม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยในด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดจนการวิจัยในชั้นเรียน โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจ วารสารมีระบบการจัดการแบบออนไลน์ มีการประเมินคุณภาพบทความ<strong>โดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน (ที่ไม่สังกัดในหน่วยงานเดียวกันกับผู้เขียน)</strong> ในรูปแบบการประเมิน Double-blind คือผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อกันและกัน</p> <p>บทความที่ได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์ในวารสารฯ จะได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ (ThaiJO) โดยกำหนดการเผยแพร่วารสารฯ ปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p>
สำนักการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
th-TH
วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
3027-6187
<p><span style="font-size: 12pt;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ และไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอกบทความเพื่อใช้ประโยชน์ทางวิชาการ แต่ให้อ้างอิงข้อมูลแสดงที่มาของบทความทุกครั้งที่นำไปใช้ประโยชน์</span></p>
-
การพัฒนาแบบฝึกทักษะกีตาร์บลูแกรส ตามแนวคิดสมรรถนะในรายวิชาปฏิบัติกีตาร์ไฟฟ้าของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/276722
<p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเปรียบเทียบผลการเรียนก่อนและหลังเรียน จากการใช้แบบฝึกทักษะกีตาร์บลูแกรส ตามแนวคิดสมรรถนะที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะกีตาร์บลูแกรส ตามแนวคิดสมรรถนะกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาวิชาเอกปฏิบัติกีตาร์ไฟฟ้า ชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรีศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 13 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 1) แบบฝึกทักษะกีตาร์บลูแกรสตามแนวคิดสมรรถนะ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความรู้ ทักษะ 3) แบบสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ S.D. และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของผู้เรียน มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 89.24 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะกีตาร์บลูแกรสตามแนวคิดสมรรถนะ อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด 4.78 และ S.D. 0.38 ข้อเสนอแนะ ควรมีการนำแนวดนตรีตะวันตกท้องถิ่นมาทำการศึกษา และจัดการเรียนการสอนให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศ<!-- notionvc: afc90eb9-d456-4e2f-b7ca-e49cdaccf782 --></p>
รพีพล หล้าวงษา
ธนพล ตีรชาติ
ณัฐวัฒน์ โฆษิตดิษยนันท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
247
262
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบทางการบริหารที่ส่งเสริมโรงเรียนคุณภาพของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/277012
<p>วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางการบริหารที่ส่งเสริมโรงเรียนคุณภาพ ของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษา จำนวน 350 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.967 จัดกระทำข้อมูลโดยวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับหนึ่ง ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมของข้อมูลภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร 0.975 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ประกอบด้วย ค่าสถิติไคสแควร์ 15578.193 ค่าองศาอิสระ 780 และค่าความน่าจะเป็นในการทดสอบสมมติฐาน 0.001 ผลการวิจัยพบว่า มีองค์ประกอบการบริหารที่ส่งเสริมโรงเรียนคุณภาพ 4 องค์ประกอบคือ 1) การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มีตัวแปรสังเกตได้ 14 ตัวแปร ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.71-0.86 โดยตัวแปรด้านส่งเสริมพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความท้าทายในการเรียนรู้ การดำเนินชีวิตทั้งในและนอกโรงเรียน มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด 0.86 2) การพัฒนาคุณภาพผู้นำทางการศึกษา มีตัวแปรสังเกตได้ 9 ตัวแปร ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.71-0.87 โดยตัวแปรด้านส่งเสริมพัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรในการดำเนินงาน สร้างแรงจูงใจที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด 0.87 3) การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ มีตัวแปรสังเกตได้ 12 ตัวแปร ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.79-0.90 โดยตัวแปรด้านสร้างมาตรฐานการดำเนินงาน วัดและประเมินผลตามสภาพจริง และนำผลมาปรับปรุงแก้ไขต่อเนื่อง มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด 0.90 และ 4) การพัฒนาคุณภาพแหล่งเรียนรู้ มีตัวแปรสังเกตได้ 5 ตัวแปร ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เท่ากับ 0.72-0.93 โดยตัวแปรด้านสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพแหล่งเรียนรู้ร่วมกับชุมชน มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด 0.93<!-- notionvc: 40ec1a7d-de67-4fa9-8f3f-d07eadfb462c --></p>
สิทธิพงษ์ ปานนาคา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
263
280
-
การพัฒนาหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาคู่สามัญในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275883
<p>การส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณโดยบูรณาการแนวคิดสะเต็มศึกษาและใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรมซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตในศตวรรษที่ 21 การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบการออกแบบและพัฒนาหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม 2) พัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม 3) ศึกษาทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนหลังการเรียนรู้ด้วยหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 คน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาคู่สามัญจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ และการทดสอบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) กรอบการออกแบบและพัฒนาหนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม ประกอบด้วย การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การนำไปใช้ การประเมินผล และการเผยแพร่ 2) หนังสือเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (75.60/75.20) 3) นักเรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ระดับมากที่สุด (x̄=4.54, S.D.=0.46)<!-- notionvc: 4faf807f-5893-44b1-924b-66d3a2b7659a --></p>
มูนีเร๊าะ ผดุง
อัจฉราพร ยกขุน
สุลัยมาน เภอโส๊ะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
281
295
-
การส่งเสริมพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเกมมิฟิเคชัน
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275552
<p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเกมมิฟิเคชัน และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแต้มคะแนนการเรียนรู้กับพฤติกรรมการเรียนรู้และผลลัพธ์การเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลที่เรียนในรายวิชาหลักกระบวนการพยาบาล จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันในรายวิชาหลักกระบวนการพยาบาล และแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ในการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดเกมมิฟิเคชัน ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และทดสอบหาค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับ เปรียบเทียบคะแนนสถิติค่าทีของกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลางถึงดีมาก 2) คะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างกลางภาค ปลายภาคและโดยรวมอยู่ในระดับดี 3) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการเรียนรู้กลางภาคและปลายภาคอยู่ในระดับดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) และ 4) แต้มคะแนนการเรียนรู้กับพฤติกรรมการเรียนรู้และผลลัพธ์การเรียนรู้มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001)<!-- notionvc: 9566e97c-597f-4212-a0dd-b04232d5e62a --></p>
ฮานีฟะฮ เจ๊ะอาลี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
297
311
-
การพัฒนาระบบรายงานผลการดำเนินงาน Binla Education
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/278717
<p>การวิจัยนี้ใช้กระบวนการ PDCA ในการพัฒนาระบบรายงานผลการดำเนินงาน Binla Education มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาระบบรายงานผลการดำเนินงาน Binla Education 2) เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งาน โดยให้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเลือกจากตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ นักวิชาการศึกษา/บุคลากรสนับสนุนการศึกษาเป็นผู้ใช้งานเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพระบบรายงานผลการดำเนินงาน Binla Education และประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 52 คน มีวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูลสื่อ Binla Education มากกว่า 1 รายการ ได้แก่ เพื่อรายงานผลการดำเนินงานรายบุคคล, สาขาวิชา/หน่วยงานและรายวิชา ร้อยละ 86.54 เพื่อประกอบการขอตำแหน่งทางวิชาการ ร้อยละ 18.87 เพื่อประกอบการขอประเมินตามกรอบมาตรฐานสมรรถนะอาจารย์ ร้อยละ 22.64 และอื่น ๆ ร้อยละ 15.09 ซึ่งเป็นผู้ที่เคยใช้งาน Power BI ร้อยละ 41.51 และไม่เคยใช้งาน Power BI ร้อยละ 57.69 เมื่อได้ใช้งานระบบแล้ว มีความพึงพอใจในประสิทธิภาพและความพึงพอใจในภาพรวมต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก (x̄=4.50, S.D.=0.58) แสดงให้เห็นว่าระบบรายงานผลการดำเนินงาน Binla Education ใช้งานง่าย มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อความต้องการข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอต่อความต้องการ ข้อมูลถูกต้องน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยให้มองเห็นแนวโน้มผลการผลิตสื่อจากอดีตจนถึงปัจจุบัน<!-- notionvc: baa34189-48d9-43b8-a871-d8061aff2471 --></p>
กรณ์วรัตน์ นิลชาติ
ศรีรัตน์ ฟุ้งทศธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
313
328
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/277119
<p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการและจิตวิทยาศาสตร์ และเพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการและจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนากับเกณฑ์ที่กำหนด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 25 คน เครื่องมือการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยายและสถิติทดสอบทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม ผลการวิจัยเป็นดังนี้ 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า SCIENCE มีขั้นตอนสำคัญ 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การกระตุ้นความสนใจ 2) การกำหนดคำถามสำคัญ 3) การสำรวจตรวจสอบแบบร่วมมือ 4) การสร้างคำอธิบาย 5) การประยุกต์ความรู้กับสถานการณ์ใหม่แบบร่วมมือ 6) การสรุปผลการประยุกต์ความรู้ 7) การสะท้อนคิดท้ายคาบเรียน 2. คะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยขนาดอิทธิพลอยู่ในระดับต่ำและคะแนนเฉลี่ยจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยขนาดอิทธิพลอยู่ในระดับสูง<!-- notionvc: acce3ad3-db02-4e4b-be2c-8b4bf645bba2 --></p>
ธนลาวัณย์ เพียรค้า
เกริก ศักดิ์สุภาพ
ชยวัฏ ศิริพันธศักดิ์
อรวรรณ บัณฑิต
จันทิมันตุ์ จันทรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
329
343
-
การสังเคราะห์รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาเน้นโครงงานเป็นฐานด้วยการบูรณาการโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/278413
<p>การศึกษาในครั้งนี้เสนอแนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาเน้นโครงงานเป็นฐานด้วยการบูรณาการโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนในบริบทท้องถิ่นและโลก การวิจัยใช้กระบวนการวิจัยอิงการออกแบบ โดยใช้การประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ และใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ ซึ่งรูปแบบที่สังเคราะห์ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อม และสร้างแรงบันดาลใจด้วยการนำเสนอบริบทท้องถิ่น ขั้นที่ 2 กำหนดประเด็นปัญหา และตัดสินใจเลือกนวัตกรรม ขั้นที่ 3 ระดมความคิด และออกแบบวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ขั้นที่ 4 สร้างปฏิทินการทำโครงงานและลงมือสร้างชิ้นงาน ขั้นที่ 5 ติดตามความก้าวหน้า ทดสอบ ประเมินผลปรับปรุงนวัตกรรม ขั้นที่ 6 สรุปและนำเสนอนวัตกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และขั้นที่ 7 ประเมินผลการเรียนรู้ และเผยแพร่นวัตกรรม ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M=4.78, S.D.=0.40) การวิจัยในครั้งนี้มีส่วนช่วยพัฒนากรอบแนวคิดทางการศึกษาที่บูรณาการโมเดลทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเข้ากับสะตีมศึกษาที่มีแนวโน้มในการส่งเสริมทั้งความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและการคิดสร้างสรรค์ ผลการศึกษาให้แนวทางในการนำรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ในสภาพแวดล้อมการศึกษาที่หลากหลายซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป<!-- notionvc: d3261de6-1d89-407f-9601-7348fb63202e --></p>
สถาพร เรืองรุ่ง
อาฟีฟี ลาเต๊ะ
กานต์ตะรัตน์ วุฒิเสลา
สุระ วุฒิพรหม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
345
360
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนการสอนแบบ OBEM ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/276589
<p>การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนการสอนแบบ OBEM เป็นการเรียนการสอนแบบกลุ่มที่แบ่งตามระดับความสามารถของผู้เรียนร่วมกับการสอนที่เน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ และศึกษาความพึงพอใจหลังการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พื้นที่การศึกษาราชบุรี จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนการสอนแบบ OBEM แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อสรุปผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติทดสอบ t-test ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพบว่านักศึกษามากกว่าร้อยละที่ผ่านเกณฑ์วัดผลที่กำหนดหลังทำแบบทดสอบหลังเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุดต่อการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD ควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนแบบ OBEM<!-- notionvc: f769d4b7-d087-4b16-9ab7-f4af0429b600 --></p>
ผุสดี อย่างกลั่น
นิติมา อัจฉริยะโพธา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
361
373
-
ปัจจัยการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงานที่ส่งผลต่อสมรรถนะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/276534
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน และ 2) อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของปัจจัยการจัดการศึกษาที่มีต่อสมรรถนะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรสายวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จำนวน 400 คน ดำเนินการศึกษาด้วยวิธีโมเดลสมการโครงสร้างแบบวิธีกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน ซึ่งเป็นการหาความสัมพันธ์ของตัวแปรแฝงและตัวแปรสังเกตได้ ผลการศึกษาปัจจัยการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน ประกอบด้วย ด้านหลักสูตร ด้านการเรียนการสอน ด้านผู้สอน ด้านผู้เรียน ด้านสถานประกอบการ และด้านการเงิน นอกจากนี้ การเรียนควรมีครุภัณฑ์ อุปกรณ์และวัสดุที่เพียงพอต่อการเรียน หลักสูตรควรมีความยืดหยุ่น และการเรียนในปีสุดท้ายต้องฝึกอาชีพในสถานประกอบการจริง และผลการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อสมรรถนะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ด้านการเรียนการสอน ด้านผู้สอน ด้านสถานประกอบการ และด้านการเงิน ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อสมรรถนะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ด้านสถานประกอบการ และด้านการเงิน<!-- notionvc: d717b5cb-19ca-47ee-9209-fcba96a526ed --></p>
จุรีรัตน์ หายักวงษ์
เพชรไพรริน อุปปิง
จักเรศ เมตตะธำรงค์
ชารินี ไชยชนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
375
391
-
การพัฒนาทักษะการคิดเชิงออกแบบเพื่อความเป็นผู้ประกอบการด้วยกระบวนการ ACTMARR ในการศึกษาระดับประถมศึกษา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/278303
<p>การศึกษานี้มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการคิดเชิงออกแบบเพื่อสร้างความเป็นผู้ประกอบการในนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โดยใช้กระบวนการ ACTMARR ซึ่งประกอบด้วย 7 ขั้นตอน โดยนำเสนอแผนการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย 6 บทเรียน ซึ่งแต่ละบทเรียนนั้นมีกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ในสถานการณ์ที่กำหนด การประเมินผลของงานวิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ความสามารถของนักเรียนในการนำทักษะการคิดเชิงออกแบบมาพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่านักเรียนสามารถประยุกต์ใช้กระบวนการ ACTMARR ในการคิดเชิงออกแบบเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะทักษะในการระบุปัญหาและความต้องการ ซึ่งมีคะแนนสูงสุด (M=2.50, S.D.=0.70) นักเรียนสามารถเชื่อมโยงแนวคิดการออกแบบเข้ากับการแก้ไขปัญหาและนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และเหมาะสม นอกจากนี้ กิจกรรมที่ออกแบบยังช่วยส่งเสริมทักษะการคิดเชิงออกแบบและความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการประยุกต์ใช้กระบวนการ ACTMARR ในการพัฒนาทักษะดังกล่าวในระดับประถมศึกษา<!-- notionvc: f09e2302-3a46-4ca8-90b6-a89100894493 --></p>
นพดล ราชคม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
393
406
-
การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาขับร้องประสานเสียงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เอกดุริยางคศิลป์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/278338
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาหลักสูตรรายวิชาขับร้องประสานเสียงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เอกดุริยางคศิลป์ 2. ประเมินทักษะการร้องประสานเสียงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เอกดุริยางคศิลป์ 3. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยหลักสูตรรายวิชาขับร้องประสานเสียง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาเอกดุริยางคศิลป์ 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1. แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 2. แบบประเมินร่างหลักสูตร 3. แบบประเมินทักษะการร้องประสานเสียง 4. แบบประเมินผลความพึงพอใจของนักเรียน ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ 1. หลักสูตรรายวิชาขับร้องประสานเสียง มีค่าความเหมาะสมของร่างหลักสูตรโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄=4.67) 2. นักเรียนส่วนใหญ่ มีทักษะการร้องประสานเสียงโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก 3. นักเรียน มีความพึงพอใจมากที่สุดเรื่องเนื้อหามีความชัดเจน สามารถเรียนรู้ฝึกปฏิบัติได้และการวัดการประเมินผลโปร่งใสและแจ้งให้ทราบล่วงหน้า (x̄=4.69) และมีความพึงพอใจน้อยที่สุดในเรื่องหลักสูตรมีความทันสมัยและมีความหลากหลายของแบบฝึกหัดและบทเพลง (x̄=4.14) ข้อเสนอแนะ ผู้สอนควรได้รับการอบรมหรือฝึกปฏิบัติในการใช้หลักสูตรรวมถึงวิธีการประเมินผลอย่างเหมาะสมก่อนและบทเพลงในคู่มือสามารถปรับได้ตามเหมาะสมโดยมีแนวร้องตั้งแต่ 2-3 ไลน์ คีย์ไม่เกิน 2#2b<!-- notionvc: 79f19131-3e7c-421d-a920-5699b03ad270 --></p>
กุลธิดา นาคะเสถียร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
407
420
-
การกำหนดเกณฑ์การเลือกหลักสูตรการบริการและการท่องเที่ยวในระดับอุดมศึกษาในภาคใต้ของประเทศไทย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275403
<p>เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีบทบาทที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ทำให้สถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากเปิดหลักสูตรด้านการบริการและการท่องเที่ยวขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การลดลงของจำนวนนักศึกษาที่เข้าสู่ภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความเข้มข้นในการแข่งขันต่อสถาบันการศึกษา ดังนั้น งานศึกษานี้มีเป้าหมายเพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักศึกษาในการเลือกศึกษาต่อหลักสูตรการบริการและการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย พิจารณาปัจจัยการเลือก 29 ปัจจัย ผ่านการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 539 คน จากการวิเคราะห์องค์ประกอบสามารถระบุปัจจัยได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ ปัจจัยทางวิชาการ ปัจจัยที่ไม่ใช่วิชาการ และปัจจัยด้านโอกาสทางอาชีพ ปัจจัยทางวิชาการมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเลือกหลายหลักสูตร ยกเว้นหลักสูตรด้านการบิน ขณะที่ปัจจัยที่ไม่ใช่วิชาการมีผลกระทบต่อการเลือกทุกหลักสูตร ส่วนปัจจัยด้านโอกาสทางอาชีพส่งผลต่อการตัดสินใจเฉพาะต่อการเลือกหลักสูตรด้านส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น การศึกษานี้ช่วยส่งเสริมด้านทฤษฎีทางวิชาการโดยการขยายกลุ่มปัจจัยด้วยการบูรณาการปัจจัยย่อยและชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างนักเรียนในภาคใต้กับภูมิภาคอื่น ๆ นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังเสนอการประยุกต์ใช้จริงในแง่ของกลยุทธ์และการพัฒนา เพื่อดึงดูดนักเรียนให้เข้าศึกษาในหลักสูตรด้านการบริการและการท่องเที่ยว<!-- notionvc: 73038743-89e2-4105-ae30-7c0b0e3998a6 --></p>
ฉัตรพัฒน์ แสงเงิน
กฤษณ์ สินเจริญกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
421
435
-
การประเมินความพึงพอใจและความเชื่อมั่นในการใช้หุ่นจำลองช่วยสอนและฝึกทักษะการล้วงรกของนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน และแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/276470
<p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัย คือ ประเมินความพึงพอใจในการใช้หุ่นจำลองช่วยสอนและฝึกทักษะการล้วงรกในแพทย์ประจำบ้านและแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา และประเมินความเชื่อมั่นในนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านสาขาวิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ทีมผู้วิจัยสร้างหุ่นจำลองการล้วงรกใหม่ โดยใช้วัสดุจากซิลิโคนที่ให้ความนุ่มและขนาดใกล้เคียงกับมดลูกหลังคลอด รก และสายสะดือ โดยเชิญชวนนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน และแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาให้เข้าร่วมงานวิจัยในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยโดยความสมัครใจ ทั้งหมด 112 คน เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 62 คน แพทย์ประจำบ้าน 30 คน และแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา 20 คน ร้อยละการเข้าร่วมงานวิจัยแยกตามกลุ่มคือ 100 85.7 และ 83.3 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของความยากง่าย และความพึงพอใจในการใช้หุ่นจำลอง คือ 7.6±1.9 และ 8.1±1.4 ตามลำดับ คะแนนความเสมือนจริงของหุ่นจำลองโดยรวม คือ 7.2±1.6 โดยไม่มีความแตกต่างในกลุ่มแพทย์ประจำบ้านและแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คะแนนความมั่นใจในการทำหัตถการล้วงรกหลังจากฝึกกับหุ่นจำลองเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับคะแนนความมั่นใจก่อนฝึกกับหุ่นจำลอง (7.8±1.5 และ 3.4±2.7 ตามลำดับ) ความแม่นยำจากการใช้แบบสอบถามโดยใช้ค่า Cronbach’s alpha มีค่าเท่ากับ 0.88 หุ่นจำลองการสอนและฝึกทักษะการล้วงรกได้รับความพึงพอใจจากแพทย์ประจำบ้านและแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา และช่วยเพิ่มความมั่นใจการทำหัตถการในนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้าน<!-- notionvc: 8c6ccafa-0ffb-4ff8-aadf-7b62e32e3826 --></p>
หนึ่งฤทัย แซ่เอียบ
จิตเกษม สุวรรณรัฐ
อธิษฐาน รัตนบุรี
สิทธิโชค อนันตเสรี
เสาวคนธ์ บุญกำเนิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
437
450
-
การส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านสถิติด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275787
<p>ความฉลาดรู้ด้านสถิติเป็นประเด็นการเรียนรู้สำคัญในยุคที่สังคมขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดการส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านสถิติ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สาระสำคัญ ได้แก่ 1) ความฉลาดรู้ด้านสถิติเป็นความสามารถในการตีความและประเมินข้อสรุป ข้อโต้แย้ง หรือปรากฏการณ์ทางสถิติอย่างมีวิจารณญาณในบริบทที่หลากหลาย และการอภิปรายและสื่อสารความเข้าใจข้อสรุปทางสถิติ ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ข้อสรุป รวมทั้งความกังวลและการยอมรับข้อสรุปทางสถิติที่พบ 2) ความฉลาดรู้ด้านสถิติส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ผ่านกระบวนการแก้ปัญหาทางสถิติที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างคำถามทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมายข้อมูล และการใช้บทเรียนที่เน้นการอ่านรายงานทางสถิติในรูปแบบดิจิทัลผ่านการประยุกต์ใช้คำถามที่แสดงถึงความกังวล และ 3) เทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนช่วยให้กระบวนการแก้ปัญหาทางสถิติดำเนินไปได้อย่างราบรื่น สะดวก และรวดเร็ว ทั้งยังเป็นแหล่งข้อมูลรายงานทางสถิติซึ่งส่งเสริมให้เกิดความฉลาดรู้ด้านสถิติได้เป็นอย่างดี โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเตรียมและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในกระบวนการแก้ปัญหาทางสถิติ ทำให้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของการอภิปรายและการสื่อสารความเข้าใจข้อสรุปทางสถิติ ซึ่งเกิดจากการตีความ การโต้แย้ง และการประเมินอย่างมีวิจารณญาณนั่นเอง<!-- notionvc: 6bceaa6d-7f8e-42e8-adda-6d80c5244c3b --></p>
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์
ต้องตา สมใจเพ็ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
451
465
-
แนวคิดในการพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะการซักประวัติผู้ป่วยเสมือนจริง
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/276101
<p>โปรแกรมฝึกทักษะการซักประวัติผู้ป่วยเสมือนจริง เป็นนวัตกรรมการศึกษาด้านสื่อและเทคโนโลยีการเรียนการสอน บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวคิดการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่ส่งเสริมการฝึกทักษะการซักประวัติผู้ป่วย วิเคราะห์สาเหตุของการเกิดโรค และวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง ซึ่งกระบวนการพัฒนานวัตกรรมนี้เป็นไปตามมาตรฐานการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการ วางแผนและออกแบบแนวทางการพัฒนา จากนั้นบูรณาการเทคโนโลยีด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างผู้ป่วยเสมือนจริง สามารถกำหนดลักษณะหน้าตา บทบาทการเจ็บป่วยและการตอบคำถามที่เป็นมาตรฐาน สื่อสารกับผู้เรียนด้วยการสนทนาหรือพิมพ์โต้ตอบ ในขั้นตอนสุดท้ายมีการทดลองใช้งานและประเมินผล นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้การพัฒนานวัตกรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่ทันสมัยและมีคุณภาพตอบสนองต่อการใช้งานของผู้เรียนต่อไปในอนาคต<!-- notionvc: fe69907c-af0e-440b-8ad0-c23d8e00c3e6 --></p>
กรณ์วรัตน์ นิลชาติ
ศรีรัตน์ ฟุ้งทศธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
5 2
467
481