วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil
<p>วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ดำเนินการโดยสำนักการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่รวบรวม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยในด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดจนการวิจัยในชั้นเรียน โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจ วารสารมีระบบการจัดการแบบออนไลน์ มีการประเมินคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ในรูปแบบการประเมิน Double-blind คือผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อกันและกัน</p> <p>บทความที่ได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์ในวารสารฯ จะได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ (ThaiJO) โดยกำหนดการเผยแพร่วารสารฯ ปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p>
สำนักการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
th-TH
วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
3027-6187
<p><span style="font-size: 12pt;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ และไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอกบทความเพื่อใช้ประโยชน์ทางวิชาการ แต่ให้อ้างอิงข้อมูลแสดงที่มาของบทความทุกครั้งที่นำไปใช้ประโยชน์</span></p>
-
ผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานต่อสมรรถนะในการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษาพยาบาล
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/268814
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบแผนการวิจัยกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการเรียนในหัวข้อการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานต่อสมรรถนะในการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษาพยาบาล และศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 105 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในหัวข้อการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพตามช่วงวัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ 1) ข้อสอบประเมินความรู้แบบเลือกตอบ มีค่า KR-20=0.70 2) แบบประเมินสมรรถนะในการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค 0.959 และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน มีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค 0.954 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Paired-sample t-test ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.01 ผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานต่อสมรรถนะในการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p>
สิริทรัพย์ สีหะวงษ์
อังศวีร์ จันทโคตร
ภูษณิศา มีนาเขตร
ฉันทวรรณ วิชัยพล
อานนท์ สังขะพงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
323
337
-
การจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาด้วยการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการกับการทำงานในรายวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติและการประเมินผล
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/270173
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการกับการทำงาน และ 2) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการกับการทำงาน รายวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติและการประเมินผล ดำเนินการวิจัยโดยวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 คณะพาณิชยศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติและการประเมินผลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตของอาจารย์ผู้สอน และแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า 1) นักศึกษาสามารถบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้หลายด้าน ทั้งด้านสังคม ด้านพุทธพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย 2) นักศึกษามีระดับความคิดเห็นในภาพรวมระดับมากที่สุด (x̄=4.62, S.D.=0.42) โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่นมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด (x̄=4.79, S.D.=0.42) ส่วนประเด็นการช่วยฝึกให้ผู้เรียนมีเหตุผล มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด (x̄=4.47, S.D.=0.51)</p>
วิสุทธิณี ธานีรัตน์
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
339
356
-
การออกแบบผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ: กรณีศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269815
<p>การออกแบบผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติมีตัวอย่างเป็นจำนวนมากในผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แต่การส่งเสริมการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติให้กับนักเรียนโดยเฉพาะในประเทศไทยยังมีไม่มาก งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพมาจัดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนออกแบบผลงานสำหรับแก้ปัญหาของมนุษย์ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาการออกแบบผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กรณีศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คนจากโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ดำเนินกิจกรรมเป็นเวลา 4 สัปดาห์ตามแผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ออกแบบผลงานโดยใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของสิ่งมีชีวิตมาเป็นแรงบันดาลใจ นักเรียนสามารถนำเสนอความคิดการออกแบบผลงานในลักษณะของภาพวาดได้ดี ซึ่งภาพวาดพร้อมคำอธิบายประกอบช่วยแสดงให้เห็นถึงความคิดในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพมาใช้ในการออกแบบผลงานของนักเรียน แต่การออกแบบผลงานของนักเรียนยังไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดในการสร้างจริง ซึ่งจากผลการวิจัยที่ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการออกแบบผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติให้กับนักเรียน</p>
กิตติศักดิ์ มโนพัฒนกร
พงศ์ประพันธ์ พงษ์โสภณ
วุฒิพงษ์ ทวีวงศ์
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
357
372
-
ศักยภาพของการเรียนรู้บนฐานการออกแบบในการส่งเสริมการเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269771
<p>ประเทศไทยส่งเสริมสะเต็มศึกษา ซึ่งมีเป้าหมายหนึ่งคือการเพิ่มกำลังคนด้านสะเต็ม ในการนี้ นักเรียนควรได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาอัตลักษณ์สะเต็ม ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนเลือกศึกษาต่อและประกอบอาชีพด้านสะเต็ม เนื่องจากองค์ประกอบหลักของอัตลักษณ์สะเต็มคือการเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็ม การวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาว่า การเรียนรู้บนฐานการออกแบบ ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งสำหรับสะเต็มศึกษา มีศักยภาพในการส่งเสริมการเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็มหรือไม่ โดยผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 31 คน (หญิง 17 คน และชาย 14 คน) นักเรียนเหล่านี้ทำแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประเมินค่า ซึ่งวัดการเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็มทั้งจากตนเองและผู้อื่น ก่อนและหลังการเรียนรู้บนฐานการออกแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยายบ่งชี้ว่า นักเรียนยอมรับตนเองด้านสะเต็มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักเรียนยังรู้สึกเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็มเพิ่มขึ้นจากครูและสมาชิกในครอบครัว อย่างไรก็ตาม นักเรียนกลับรู้สึกเป็นที่ยอมรับด้านสะเต็มลดลงจากเพื่อน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติอนุมานบ่งชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกถึงการเป็นที่ยอมรับเหล่านี้ไม่มีนัยสำคัญ ดังนั้น การวิจัยในอนาคตจึงควรมุ่งหาหนทางในการส่งเสริมการเป็นที่ยอมรับและการพัฒนาอัตลักษณ์สะเต็มของนักเรียน</p>
ลือชา ลดาชาติ
วิศิษฏ์ ราชเนตร
ลฎาภา ลดาชาติ
วิลาวัลย์ โพธิ์ทอง
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
373
388
-
การพัฒนาชุดวัดแรงบิดชนิดไดนาโมมิเตอร์แบบเชือกด้วยโปรแกรมแลปวิว สำหรับนักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269220
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดวัดแรงบิดชนิดไดนาโมมิเตอร์แบบเชือก ด้วยโปรแกรมแลปวิว สำหรับนักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต 2) สำรวจความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดวัดแรงบิด ผู้วิจัยได้นำชุดวัดแรงบิดที่พัฒนาขึ้นมาทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาตรี วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการปฏิบัติงานช่างด้วยตนเอง โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ประกอบด้วยผู้ที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อนอย่างละ 10 คน เมื่อทดลองใช้เสร็จแล้ว จึงให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบสำรวจความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อชุดวัดแรงบิด และนำมาวิเคราะห์ผล การวิจัยพบว่า ชุดวัดแรงบิดสามารถใช้วัดแรงบิดได้ไม่เกิน 10 นิวตันเมตร โดยมีค่าผิดพลาดสูงสุด ±2.20% นักศึกษามีความพึงพอใจเฉลี่ยต่อชุดวัดแรงบิดอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเฉลี่ยเท่ากับ 0.52</p>
พงษ์ศิลป แก้วรัตนศรีโพธิ์
พิพัฒน์พงศ์ วัฒนวันยู
เอกณรงค์ ใจยงค์
นิพนธ์ จงพิทักษ์ศีล
พรเทพ บุญยเนตร
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
389
402
-
รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ร่วมกับแนวคิดเกมมิฟิเคชันแบบออนไลน์ที่เสริมสร้างสมรรถนะความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269576
<p>การพัฒนาของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปัจจุบันส่งผลให้เด็กมีโอกาสพบความเสี่ยงจากภัยออนไลน์ได้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยส่งเสริมให้มีสมรรถนะความฉลาดทางดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหาในการจัดการเรียนรู้ เช่น รูปแบบการสอนหรือสื่อที่ยังไม่ช่วยในการสร้างความรู้ความเข้าใจและ ไม่สร้างแรงจูงใจให้กับนักเรียนอย่างเพียงพอ จึงควรมีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นฝึกทักษะในการคิดวิเคราะห์ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติและสร้างแรงจูงใจในการเรียนผ่านการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบด้วยรูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ร่วมกับเกมมิฟิเคชันแบบออนไลน์ เป็นการบูรณาการขององค์ประกอบหลักของทั้งสามแนวคิดในแต่ละขั้นของการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ 1) การได้รับประสบการณ์ นักเรียนได้รับประสบการณ์ผ่านการมีส่วนร่วมระหว่างนักเรียนกับบทเรียนผ่านเรื่องราวที่มีความน่าสนใจและเป้าหมายที่ท้าทาย รวมถึงการใช้ตัวละครที่เป็นตัวแทนผู้เล่นหรืออวทาร์ 2) การสะท้อนคิด นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์และผลป้อนกลับ โดยมีการสร้างแรงจูงใจด้วย คะแนน รางวัล ระดับของผู้เล่น 3) การคิด นักเรียนสรุปความคิดรวบยอดและอภิปรายร่วมกัน ผ่านเครื่องมือการสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ และ 4) การปฏิบัติ นักเรียนประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากบทเรียนแบ่งบันความรู้ร่วมกันเป็นสังคมและมีการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน</p>
วชิรพรรณ ทองวิจิตร
ณัฐพล รำไพ
บุญรัตน์ แผลงศร
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
403
417
-
องค์ประกอบและแนวทางการเป็นองค์กรแห่งความสุขของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์พลิกผันทางการศึกษา
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/268796
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการเป็นองค์กรแห่งความสุขของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์พลิกผันทางการศึกษา โดยการศึกษาจากเอกสารและข้อมูลเชิงประจักษ์จากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่ประสบความสำเร็จ จำนวน 20 คน แล้วพัฒนาเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่าเกี่ยวกับองค์กรแห่งความสุขเพื่อสอบถามบุคลากรและผู้บริหาร จำนวน 540 คน จาก 9 สถาบัน ในประเทศไทย โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การตรวจสอบองค์ประกอบด้วยวิธีวิทยาวิจัยสามเส้าด้านข้อมูล และการยืนยันร่างแนวทางโดยวิธีการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า การเป็นองค์กรแห่งความสุขของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์พลิกผันทางการศึกษามี 10 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ความสุขด้านจิตใจ (2) ความสุขด้านสังคม (3) ความสุขด้านสถานะทางการเงิน (4) ความสุขทางสมอง (5) ความสุขจากครอบครัว (6) ความสุขด้านร่างกาย (7) ความสุขจากการปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบ (8) ความสุขทางวัฒนธรรมและศาสนา (9) ความสุขจากการผ่อนคลาย และ (10) ความสุขจากบรรยากาศและสภาพแวดล้อม ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างองค์กรแห่งความสุขของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์พลิกผันทางการศึกษาเพื่อให้สามารถบริหารจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์กรแห่งความสุขต่อไป</p>
พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ
ฤทธิเดช พรหมดี
วิบูลย์ ผกามาศ
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
419
434
-
การพัฒนาองค์ประกอบ ตัวชี้วัด และเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269225
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาองค์ประกอบ ตัวชี้วัด การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2) เพื่อตรวจความตรงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบ ตัวชี้วัด การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 3) เพื่อสร้างและหาคุณภาพเกณฑ์การประเมินการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยอาศัยทฤษฎีฉันทามติทางวัฒนธรรม และ 4) เพื่อสร้างและหาคุณภาพคู่มือการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาองค์ประกอบ ตัวชี้วัด การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ 11 ตัวชี้วัด ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การจัดการเรียนรู้ในสังคมพหุวัฒนธรรม มี 4 ตัวชี้วัด องค์ประกอบที่ 2 การบริหารสถานศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรม มี 4 ตัวชี้วัด องค์ประกอบที่ 3 การเรียนรู้ของผู้เรียนในสังคมพหุวัฒนธรรม มี 3 ตัวชี้วัด 2) โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าเป็นบวกระหว่าง 0.94-0.97 และมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 ทุกองค์ประกอบ 3) ผลการหาคุณภาพด้านความเหมาะสมของเกณฑ์การประเมินการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาโดยอาศัยทฤษฎีฉันทามติทางวัฒนธรรมมีความเหมาะสมทุกข้อ มีค่าภาพรวมเฉลี่ย 0.69 คือ เหมาะสมมาก และ 4) ผลการหาคุณภาพคู่มือการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ด้านความเหมาะสม ด้านความถูกต้อง ด้านความเป็นประโยชน์ และความเป็นไปได้ ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
รณธิชัย สวัสดิ์
กฤธยากาจนณ์ โตพิทักษ์
รัตนะ บัวสนธ์
สายฝน วิบูลรังสรรค์
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
435
450
-
วิชาศึกษาทั่วไป: บทบาทและความท้าทายของการจัดการการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269484
<p>ด้วยสภาวการณ์ปัจจุบันที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าทางสื่อเทคโนโลยี และกระแสสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาศึกษาทั่วไป ในบทความนี้มุ่งให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของหลักสูตรวิชาศึกษาทั่วไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่มีการพิจารณาจากแนวคิดที่พัฒนาการมาสู่ยุคปัจจุบัน จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับเป็นบทบาทและความท้าทายใหม่ของแต่ละสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องหาหนทางในการพัฒนาหลักสูตรวิชาศึกษาทั่วไปให้ตอบโจทย์ต่อผู้เรียน สถานศึกษา สังคม ตลอดจนประเทศชาติ ในขณะที่ยังคงต้องสามารถธำรงถึงอัตลักษณ์ของสถาบัน เพื่อให้นิสิตนักศึกษายังคงมีคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ของสถาบันท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและการพลิกผันของกระแสสังคม ด้วยการวิเคราะห์ผ่านหลัก SWOT Analysis และพบข้อค้นพบ 5 มิติปัจจัยที่สามารถนำไปฐานความคิดในการพิจารณาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาศึกษาทั่วไปในอนาคตต่อไป ประกอบไปด้วย 1) มิติด้านความหลากหลายของผู้เรียน 2) มิติด้านความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 3) มิติด้านการปรับตัวของผู้สอน 4) มิติด้านการสร้างการเรียนรู้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และ 5) มิติด้านการบริหารจัดการ</p>
พันธ์พนิต ช้างจันทร์
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
451
462
-
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ TAE Model เพื่อพัฒนาทักษะการบูรณาการข้ามศาสตร์ กรณีศึกษา กระจกเกรียบวัสดุศาสตร์ในวิถีไทยสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/270310
<p>ด้วยความก้าวหน้าสู่สังคมในศตวรรษที่ 21 เยาวชนเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้และการบูรณาการทางการศึกษาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา จะต้องส่งเสริมให้เยาวชนเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความเก่ง ฉลาด ทั้งทางด้าน "ศาสตร์" และ "ศิลปะ" อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุนี้ การจัดการเรียนการสอนตามวิถีทาง STEAM Education ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญ เริ่มต้นด้วยการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมที่จะพัฒนา ในการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ด้วย “TAE MODEL” จากนั้นใช้ทักษะการบูรณาการข้ามศาสตร์ ครูผู้สอนสนับสนุนผลักดัน สร้างแรงบันดาลใจ ดึงศักยภาพของนักเรียนออกมา ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถบูรณาการทางด้านศาสตร์และศิลป์ และเสริมสร้างผู้เรียนเป็นนวัตกร บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอต้นแบบสู่การพัฒนาทักษะการบูรณาการข้ามศาสตร์ เพื่อการต่อยอด สร้างสรรค์นวัตกรรม โดยมีกระจกเกรียบ วัสดุศาสตร์ในวิถีไทยเป็นสื่อกลางจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการบูรณาการข้ามศาสตร์ มุ่งเน้นการต่อยอด สร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อเป็นต้นแบบแนวทางการจัดการเรียนการสอน พัฒนาการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ตลอดจนการเพิ่มคุณค่า มูลค่าผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ควบคู่การอนุรักษ์มรดกทางภูมิปัญญาของไทยอย่างยั่งยืน</p>
รัชพล เต๋จ๊ะยา
Copyright (c) 2024 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
4 3
463
474