วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil <p>วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ดำเนินการโดยสำนักการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่รวบรวม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยในด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดจนการวิจัยในชั้นเรียน โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจ วารสารมีระบบการจัดการแบบออนไลน์ มีการประเมินคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ในรูปแบบการประเมิน Double-blind คือผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อกันและกัน</p> <p>บทความที่ได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์ในวารสารฯ จะได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ (ThaiJO) โดยกำหนดการเผยแพร่วารสารฯ ปีละ 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p> th-TH <p><span style="font-size: 12pt;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ และไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอกบทความเพื่อใช้ประโยชน์ทางวิชาการ แต่ให้อ้างอิงข้อมูลแสดงที่มาของบทความทุกครั้งที่นำไปใช้ประโยชน์</span></p> jeiljournalpsu@gmail.com (Wandee Suttharangsee) jeiljournalpsu@gmail.com (Sarawut Lertlamtraiphop) Tue, 29 Apr 2025 11:27:35 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการจัดการเรียนการสอนด้านการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ทางดนตรี: กรณีศึกษาสาขาวิชาดนตรีสากล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273658 <p class="p1">บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนด้านการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ทางดนตรีจากการถอดบทเรียนในการดำเนินงานของสาขาวิชาดนตรีสากล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ซึ่งออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ทางดนตรี ได้แก่ กระบวนการสร้างสรรค์ทางดนตรี ฐานความรู้ ข้อมูลอ้างอิง และปัจจัยอื่น ๆ ทั้งนี้ แนวทางการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย 1) จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน มุ่งเน้นให้นักศึกษาสร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ทางวิชาชีพหรือวิชาการ โดยต้องถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชนทั้งในรูปแบบการแสดงดนตรีและการรายงานการวิจัย 2) เนื้อหาสาระและกระบวนการจัดการเรียนการสอน ครอบคลุมหลักการจัดเตรียมฐานความรู้ของนักศึกษา การกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ และการส่งเสริมกระบวนการสร้างสรรค์ 3) สื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ได้แก่ ฐานข้อมูลและระบบสืบค้นงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์ทางดนตรี และเว็บไซต์และแบบฟอร์มสำหรับส่งผลงาน และ 4) การประเมินผล แบ่งออกเป็น การประเมินความก้าวหน้าและให้ข้อเสนอแนะป้อนกลับในทุกขั้นตอนสำคัญ การประเมินสรุปผลใช้วิธีการประเมินอิงผู้เชี่ยวชาญโดยคณาจารย์ในหลักสูตรทั้งหมด ข้อสรุปของบทความนี้คือการเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่สนับสนุนให้นักศึกษาเกิดการคิดสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานทางวิชาการดนตรี โดยอาศัยการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นระบบและคำนึงถึงความเหมาะสมกับบริบทของนักศึกษา</p> ปองภพ สุกิตติวงศ์ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273658 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยการบูรณาการการใช้ปัญหาเป็นฐาน โครงงานเป็นฐาน และการบรรยาย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คุณธรรมและจริยธรรม ในรายวิชาการคิดอย่างเป็นระบบ ของผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคยะลา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269330 <p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ในรายวิชาการคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งจัดโดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน โครงงานเป็นฐาน ควบคู่กับการบรรยาย โดยเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ดังนี้ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 2) คุณธรรมและจริยธรรมของผู้เรียน การออกแบบวิจัยเป็นแบบผสมผสานทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ 2 วิทยาลัยเทคนิคยะลา จำนวน 247 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และมาตรวัดคุณธรรมและจริยธรรม สถิติทดสอบสมมติฐาน คือ Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการศึกษา พบว่า 1) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ผู้เรียนมีคะแนนจากมาตรวัดคุณธรรมและจริยธรรมโดยการประเมินตนเองสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้เรียนสะท้อนผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่ามีรูปแบบหลากหลาย และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในชีวิต ทำให้เข้าใจเนื้อหาสาระของหลักการคิดอย่างเป็นระบบได้ง่ายขึ้น สามารถนำความรู้ต่อยอดในการเรียน และการประกอบอาชีพในอนาคต</p> วิจิตรา แตงทอง Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269330 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความตระหนักเกี่ยวกับโลกของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาด้วยการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหาอนาคต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/271473 <p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความตระหนักเกี่ยวกับโลกของนักศึกษาก่อนและหลังจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคต เพื่อเปรียบเทียบความตระหนักเกี่ยวกับโลกหลังเรียนระหว่างนักศึกษากลุ่มที่จัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคตกับกลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ และเพื่อศึกษาระดับความตระหนักเกี่ยวกับโลกของนักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคต ประชากรในการวิจัยคือ นักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 80 คน ผู้วิจัยคำนวณขนาดตัวอย่างได้จำนวน 66 คน และใช้วิธีสุ่มแบบยกชั้นเป็นกลุ่มที่จัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคต จำนวน 34 คน และกลุ่มที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบปกติ จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคต แผนจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีปกติ และแบบวัดความตระหนักเกี่ยวกับโลก (ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96) สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าทีที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคตมีความตระหนักเกี่ยวกับโลกหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2) ความตระหนักเกี่ยวกับโลกของนักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคตสูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) นักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาอนาคตมีความตระหนักเกี่ยวกับโลกทุกองค์ประกอบในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยรวมของความรอบรู้สูงที่สุด รองลงมาคือการเปิดใจกว้าง และการแก้ปัญหาระดับโลก</p> สุทธิพร แท่นทอง Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/271473 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานและปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเภสัชวิทยาการแพทย์พื้นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269410 <p class="p1">การเรียนรู้แบบเผชิญหน้าหรือการเรียนแบบออนไลน์อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอต่อการทำให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ รายวิชาเภสัชวิทยาการแพทย์พื้นฐานได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล และกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนรู้แบบผสมผสานในด้าน 1) ผลลัพธ์การเรียนรู้ 2) ความพึงพอใจของผู้เรียน และ 3) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เรียนที่ลงทะเบียนรายวิชาเภสัชวิทยาการแพทย์พื้นฐาน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (5 ระดับ) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติใช้โปรแกรม R โดยสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ พิสัย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้น ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้เรียนมีผลลัพธ์การเรียนรู้เฉลี่ย 4.20±1.07 คะแนน 2) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ 4.30±0.96 คะแนน และ 3) เกรดเฉลี่ยเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (r=0.70) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเป็นวิธีการที่เหมาะสมกับผู้เรียนยุคปัจจุบัน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามความพร้อมของตนเอง มีความยืดหยุ่น และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ในรายวิชาอื่น ๆ ได้</p> วริทธิ์ เรืองเลิศบุญ, สุพัตรา ลิ่มสุวรรณโชติ, กรณ์สุดา ทิพย์อาสน์, สุชารัศมิ์ ตั้งสุขฤทัย, วันดี อุดมอักษร Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/269410 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาองค์ประกอบตัวชี้วัดแผนที่ทักษะการให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น: หลักสูตรการจัดการอุตสาหกรรมการบินและการบริการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273725 <p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบตัวชี้วัดแผนที่ทักษะการให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น 2) กำหนดองค์ประกอบตัวชี้วัดแผนที่ทักษะการให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิคการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ตัวแทนจากสถานประกอบการ จำนวน 8 คน และการสัมภาษณ์แบบกลุ่มย่อย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียน อาจารย์ผู้สอนและตัวแทนจากสถานประกอบการ จำนวน 26 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของแผนที่ทักษะการบริการผู้โดยสารภาคพื้น ประกอบด้วย 3 ทักษะ คือ 1. ให้บริการผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก และผู้โดยสารพิเศษ ณ ประตูขึ้นเครื่อง และปรับตัวให้เข้ากับความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรม 2. แนะนำการใช้งานเครื่องเช็กอินอัตโนมัติด้วยตนเองให้กับผู้โดยสารได้ และปรับตัวให้เข้ากับความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรม และ 3. ปฏิบัติการสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารทางเครื่องบิน 2) วิธีการวัดองค์ประกอบ ด้วยแบบประเมินการตรวจสอบเอกสารขึ้นเครื่องของผู้โดยสาร การสังเกตจากการปฏิบัติงาน แบบทดสอบทักษะหลังเรียน และแบบทดสอบการปฏิบัติการสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารทางเครื่องบิน 3) แบ่งระดับผลคะแนนเป็น 2 ระดับ คือ 1. ระดับดี (C) มีคะแนนน้อยกว่า 90 คะแนน และ 2. ระดับมืออาชีพ (P) มีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 90 คะแนน 4) ได้แผนที่ทักษะการให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น และสามารถใช้เป็นแนวทางในการออกทรานสคริปต์แสดงผลทักษะของนักศึกษาต่อไป</p> ห้าวหาญ ทวีเส้ง, เครือมาศ ชาวไร่เงิน Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273725 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพด้วยกระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูในจังหวัดจันทบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272095 <p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับครู 2) ศึกษาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูที่เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้ และ 3) พัฒนาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบปฏิบัติการ เก็บข้อมูลด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดจันทบุรี ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาจันทบุรี จำนวน 15 คน การดำเนินการวิจัยประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 2) พัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับครู 3) นํากระบวนการไปใช้ 4) วิเคราะห์ ปรับปรุงและประเมินผลกระบวนการ และ 5) สรุปและนําเสนอผล ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับครูที่พัฒนาขึ้น เป็นกระบวนการที่บูรณาการแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ของครูและพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู ประกอบด้วยการดำเนินการหลัก คือ การพัฒนาความเข้าใจตนเอง การเรียนรู้และพัฒนาร่วมกันในสถานศึกษา และ การสะท้อนการเรียนรู้ 2) ผลการเรียนรู้ของครู ครูเกิดการพัฒนาตนเองที่สะท้อนสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในประเด็นหลักของการจัดการเรียนรู้ คือ การวางแผนและออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ และ 3) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูมีลักษณะสำคัญคือ ความเป็นกัลยาณมิตร และการสะท้อนการเรียนรู้ร่วมกัน</p> หฤทัย อนุสสรราชกิจ, อติราช เกิดทอง Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272095 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนรู้บูรณาการสะเต็มของนักศึกษาครูประถมศึกษาโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่อิงหลักการสภาพจริง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273158 <p class="p1">การพัฒนาครูสะเต็มที่เข้มแข็งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสะเต็มศึกษา จากการวิจัยที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้าเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาวิชาชีพที่มีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังความสามารถของนักศึกษาครูสะเต็มด้วยประสบการณ์การเรียนรู้สะเต็มตามสภาพจริง การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการจัดการเรียนรู้บูรณาการสะเต็มของนักศึกษาครูประถมศึกษาก่อนและหลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่อิงหลักการสภาพจริง และ 2) ศึกษาระดับพัฒนาการความสามารถในการจัดการเรียนรู้บูรณาการสะเต็มของนักศึกษาครูประถมศึกษาหลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่อิงหลักการสภาพจริง ผู้มีส่วนร่วมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริง 6 กิจกรรม กิจกรรมละ 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ 2) แบบทดสอบการออกแบบกิจกรรมบูรณาการสะเต็มแบบปลายเปิด และ 3) แบบประเมินการจัดการชั้นเรียนบูรณาการสะเต็ม สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ สถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกันและคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่อิงหลักการสภาพจริงนักศึกษามีความสามารถในการจัดการเรียนรู้บูรณาการสะเต็มสูงกว่าก่อนใช้ และพัฒนาการความสามารถในการจัดการเรียนรู้บูรณาการสะเต็มโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง</p> พวงผกา ปวีณบำเพ็ญ, ดวงเดือน วรรณกูล Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273158 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมความสามารถในการออกแบบเกมการเรียนรู้ของพี่เลี้ยงและแกนนำเด็กในมูลนิธิเด็กมุสลิมโดยใช้กระบวนการศึกษานอกระบบโรงเรียนแบบมีส่วนร่วมและการคิดเชิงออกแบบ กรณีศึกษา มูลนิธิอัลเกาษัร จ.สมุทรปราการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272167 <p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกแบบเกมการเรียนรู้ของพี่เลี้ยงและแกนนำเด็กในมูลนิธิเด็กมุสลิมโดยใช้กระบวนการศึกษานอกระบบโรงเรียนแบบมีส่วนร่วมและการคิดเชิงออกแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พี่เลี้ยงและแกนนำเด็กในมูลนิธิอัลเกาษัร จ.สมุทรปราการ จำนวน 20 คน จัดกระบวนการตามแผนการส่งเสริมความสามารถในการออกแบบเกมการเรียนรู้ของพี่เลี้ยงและแกนนำเด็กในมูลนิธิเด็กมุสลิม รวมจำนวนทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากแบบบันทึกการเรียนรู้ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบบันทึกการสนทนากลุ่มเพื่อประเมินเกมการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า พี่เลี้ยงและแกนนำเด็กได้ถอดบทเรียนและสะท้อนความสามารถในการออกแบบเกมการเรียนรู้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความรู้ ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการออกแบบเกมการเรียนรู้ และความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของเกมการเรียนรู้ 2) ด้านทักษะ ประกอบด้วย ทักษะที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมกระบวนการ ทักษะที่เกิดขึ้นจากการออกแบบเกมการเรียนรู้ และทักษะที่ได้จากการเล่นเกมการเรียนรู้ และ 3) ด้านทัศนคติ ประกอบด้วย ทัศนคติเชิงบวกต่อตนเองและการทำงานร่วมกับผู้อื่น และผลผลิตเป็นเกมการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์ที่ผ่านการทดสอบการเล่นมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง จำนวน 2 ชุด ได้แก่ เกม Bingo Emotion และเกมธุรกิจพันล้าน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำกิจกรรมกับเด็กในมูลนิธิต่อไปได้</p> ดานา โมหะหมัดรักษาผล, วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272167 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนแบบวาร์คและความสัมพันธ์กับเพศของนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/270716 <p class="p1">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนแบบวาร์ค (ประกอบด้วย การดู การฟัง การอ่าน-เขียน และการปฏิบัติ) และความสัมพันธ์ระหว่างเพศกับรูปแบบการเรียนแบบวาร์คของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะเทคนิคการแพทย์ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 167 คน เป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือในการศึกษาประกอบด้วยแบบสำรวจรูปแบบการเรียนแบบวาร์คตามแนวคิดของเฟลมมิ่งและมิลส์ ที่มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.892 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนแบบเดี่ยว จำแนกย่อยเป็นกลุ่มผู้รับรู้ด้วยการได้ยิน 29.9% กลุ่มผู้รับรู้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย 26.3% กลุ่มผู้รับรู้ด้วยการอ่านและเขียน 11.4% กลุ่มผู้รับรู้ด้วยภาพและสัญลักษณ์ 3.5% ตามลำดับ ส่วนรูปแบบการเรียนแบบผสมจำแนกย่อยเป็นแบบผสมสองลักษณะ 22.7% แบบผสมสามลักษณะ 6% แบบผสมสี่ลักษณะ 0.6% และเพศมีความสัมพันธ์กับรูปแบบการเรียนแบบผสมสามลักษณะเท่านั้น (Chi-square=10.000, Sig=.019)</p> กาญจนา จันทร์ประเสริฐ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/270716 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในรายวิชาทักษะการใช้ดิจิทัลผ่านการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/274072 <p class="p1">การเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้กับผู้เรียนเป็นประเด็นที่ผู้สอนให้ความสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาในรายวิชาทักษะการใช้ดิจิทัลที่จัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่มีบทบาทเป็นผู้สอนกับนักศึกษาที่มีบทบาทเป็นผู้เรียน ประชากรของการวิจัย คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาทักษะดิจิทัล ภาคการศึกษาที่ 2/2566 จำนวน 185 คน เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 130 คน ด้วยการสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ แบบทดสอบภาคปฏิบัติ และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาใช้การทดสอบแมนน์-วิตนีย์ยู และการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า นักศึกษามีผลลัพธ์การเรียนรู้และทักษะด้านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านการสื่อสาร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความรับผิดชอบในระดับมากที่สุด และพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่มีบทบาทเป็นผู้สอนกับนักศึกษาที่มีบทบาทเป็นผู้เรียนมีความแตกต่างกัน การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อนสามารถพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้กับผู้เรียน จึงควรนำไปประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนในรายวิชาอื่นต่อไป</p> บานเย็น แซ่หลี, จุไรรัตน์ พุทธรักษ์, สุพัฒธณา สุขรัตน์ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/274072 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดประสบการณ์ของนักศึกษาครู https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273906 <p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พัฒนาการด้านความสามารถในการจัดประสบการณ์ของนักศึกษาครูที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐาน และ 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาครูที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาครูปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จำนวน 1 กลุ่ม รวม 23 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินความสามารถในการจัดประสบการณ์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า one-way repeated measures ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการจัดประสบการณ์ของนักศึกษาครูมีพัฒนาการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาครูที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.73, S.D.=0.51)</p> ชนาธิป บุบผามาศ, อุบลวรรณ ส่งเสริม, ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม, สรัญญา จันทร์ชูสกุล Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/273906 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวรรณกรรมภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275353 <p class="p1">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวรรณกรรมภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย ผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 25 คน เป็นผู้สอนรายวิชาวรรณกรรมภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยในกำกับและมหาวิทยาลัยรัฐ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์รายบุคคล โดยคำถามสัมภาษณ์ได้รับการออกแบบตามองค์ประกอบ 4 ประการ เป็นการออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาของ Zais และวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาตามแนวคิด Student-instructor continuum ของ Mackh โดยเน้นที่บทบาทของผู้เรียน กิจกรรมการเรียนรู้ และบทบาทของผู้สอน เป็นกรอบในการสำรวจกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าบทบาทของผู้เรียนสอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยม และทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสท์ (ร้อยละ 28.8) ลำดับที่ 2 คือบทบาทของผู้เรียนสอดคล้องกับทฤษฎีพุทธิปัญญา (ร้อยละ 25.8) ในด้านกิจกรรมการเรียนรู้ที่พบมาก 2 ลำดับแรก สอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (ร้อยละ 36.1) และทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสท์ (ร้อยละ 28.9) ส่วนลำดับที่ 3 สอดคล้องกับทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม (ร้อยละ 21.7) บทบาทของผู้สอนที่ปรากฏมากที่สุด สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสท์ (ร้อยละ 31.7) ลำดับที่ 3 คือทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (ร้อยละ 24.4) และลำดับที่ 3 คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (ร้อยละ 22) ดังนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวรรณกรรมภาษาอังกฤษสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสท์มากที่สุด แต่ก็ยืดหยุ่นแตกต่างกันไปตามความหลากหลายของผู้สอนและผู้เรียน โดยมีการพิจารณาประเด็นเรื่องความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนประกอบการจัดการเรียนรู้ด้วย</p> ปณิดา มัณยานนท์, ธีรนุช อนุฤทธิ์ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275353 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 บัณฑิตหลักสูตรโมบิลิตี้ของไทยและการตัดสินใจทำงานในตลาดแรงงานสากล: ปัจจัยผลักดันและปัจจัยดึงดูด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275597 <p class="p1">การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าสู่ตลาดแรงงานสากลของบัณฑิตโมบิลิตี้และพัฒนากรอบแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมให้บัณฑิตของหลักสูตรโมบิลิตี้เข้าสู่ตลาดแรงงานสากลมากขึ้น โดยใช้ทฤษฎีปัจจัยดึงดูดและผลักดันการย้ายถิ่นเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสนทนาแบบกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นบัณฑิต หลักสูตรโมบิลิตี้ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งของประเทศไทย จำนวน 37 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจให้บัณฑิตหลักสูตรโมบิลิตี้ตัดสินใจไปทำงานในต่างประเทศ 5 ลำดับแรก ประกอบด้วย (1) รายได้และสวัสดิการที่ดีกว่า (2) การได้เปิดโลกทัศน์และเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดน (3) การได้เพิ่มสมรรถนะด้านภาษา (4) สร้างสมรรถนะสากล และ (5) ความมั่นคงทางการเมืองและคุณภาพชีวิต ผลการวิจัยสะท้อนว่าหากหลักสูตรโมบิลิตี้ต้องการส่งเสริมให้บัณฑิตเข้าสู่ตลาดแรงงานสากลเพิ่มมากขึ้น หลักสูตรโมบิลิตี้ควรเพิ่มความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการหลักสูตรใน 3 ด้าน ได้แก่ องค์ความรู้เชิงวิชาชีพ กิจกรรมเสริมหลักสูตร การสร้างคลังข้อมูลและโต๊ะช่วยเหลือ</p> ปิยวรรณ รุ่งวรพงศ์ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/275597 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้ปัญหาในการเขียนภาษาอังกฤษทางวิชาการของผู้เรียนชาวไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/271186 <p class="p1">การศึกษานี้สำรวจถึงอุปสรรคที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยของไทยเผชิญเมื่อเขียนภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และสำรวจวิธีการที่พวกเขาใช้ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 54 คน กรอกแบบสอบถามเพื่อทราบข้อมูลว่าเผชิญปัญหาใดบ้างในการเขียน และนักศึกษา 8 คนที่ถูกเลือกเข้าร่วมกลุ่มย่อยเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเพิ่มเติมและวิธีที่พวกเขารับมือกับปัญหาเหล่านี้ ในการเปิดเผยปัญหาการเขียนของนักศึกษาได้ใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และอัตราร้อยละ และข้อมูลเชิงคุณภาพถูกจัดกลุ่มโดยใช้แนวคิดที่คล้ายคลึงกันจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่านักศึกษาประสบปัญหาหลัก ๆ 2 ด้าน ได้แก่ 1) อุปสรรคทางอารมณ์ เช่น ความมั่นใจต่ำและขาดแรงจูงใจ (x̄=3.67, S.D.=0.61) และ 2) ปัญหาด้านภาษา เช่น ข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ (=3.50, S.D.=0.53) ดังนั้น นักศึกษาส่วนใหญ่จึงใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อรับมือกับอุปสรรคเหล่านี้ เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเขียน การทำงานเป็นกลุ่ม และการใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อตรวจสอบไวยากรณ์ของตนเอง</p> อภิญญา มาโนชญ์ภิญโญ Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/271186 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700 โครงสร้างองค์ประกอบทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในการเรียนรู้แบบสตูดิโอออกแบบเป็นฐานในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272108 <p class="p1">การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์คือความสามารถในการสร้างความคิดที่ใหม่และมีคุณค่าเพื่อการแก้ปัญหา ประกอบด้วย คิดลื่นไหล คิดยืดหยุ่น และคิดริเริ่ม เป็นทักษะที่ช่วยให้สถาปนิกสร้างงานออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรอบแนวคิดการศึกษาในครั้งนี้แสดงองค์ประกอบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ คิดลื่นไหล คิดยืดหยุ่น และคิดริเริ่ม ผ่านแบบประเมินตนเองด้านความคิดสร้างสรรค์ ผลข้อมูลแสดงค่าความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนิสิตนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาตรี โดยมุ่งยืนยันโครงสร้างองค์ประกอบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์จากตัวแปรแฝง โดยสำรวจผ่านแบบประเมินตนเองของนักศึกษาทั่วประเทศ 600 คน จาก 4,000 คน (Hair et al., 2010) โดยการสุ่มอย่างมีลำดับขั้น ตัวชี้วัดทั้งหมดส่งผลอย่างมีนัยสำคัญที่ .01 คิดหลากหลายมีค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักสูงสุดที่ 0.912 วัดจากตัวแปรสังเกตได้ 5 ตัวแปร โดยการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่หลากหลายมีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุม ค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักเท่ากับ 0.736 และ 0.659 ตามลำดับ คิดริเริ่มมีค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักที่ 0.788 ประกอบด้วยตัวแปรสังเกตได้ 6 ตัวแปร ความคิดที่ไม่ธรรมดามีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือการสร้างทางเลือกไม่ซ้ำใคร มีค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักเท่ากับ 0.798, 0.739 ตามลำดับ คิดยืดหยุ่นมีค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักน้อยสุดที่ 0.688 จากตัวแปรสังเกตได้ 5 ตัวแปร ถึงแม้ค่าตัวชี้วัดมีค่าสัมประสิทธิ์คะแนนมาตรฐานของน้ำหนักสูงสุดคือ การเชื่อมโยงการแก้ปัญหาที่แตกต่าง (0.927) รองลงมาคือมองหาความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (0.732) ผลจากการศึกษาพบความสัมพันธ์ของคุณลักษณะทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และรูปแบบการเรียนรู้ ที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการชั้นเรียนแบบสตูดิโอเป็นฐานที่สนับสนุนทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนิสิต นักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คือ สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนหาทางเลือกที่หลากหลาย ยืดหยุ่นในการคิด และริเริ่มคิดแตกต่างเพื่อการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว</p> ธาดาพัฒน์ ลิมาภรณ์วณิชย์, ใจทิพย์ ณ สงขลา, แบรด โฮแคนสัน Copyright (c) 2025 วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jeil/article/view/272108 Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700