วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw <p><strong>"วารสารนิสิตวัง"</strong> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาสนศึกษา ปรัชญา ภาษาและภาษาศาสตร์ จิตวิทยา การศึกษา สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ กฎหมาย บริหารธุรกิจ การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยตีพิมพ์เผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม </p> <p>(เนื่องจากวารสารนิสิตวัง ได้รับการปรับกลุ่มวารสารจาก TCI กลุ่ม 3 เป็น TCI กลุ่ม 2 ตามประกาศของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ดังนั้น การเผยแพร่ในวารสารจะมีค่าธรรมเนียม ตั้งแต่เล่มปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม-ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป)</p> <p>- ประเภทของผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสาร มี 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย</p> <p>- รับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>- บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับประเมินคุณภาพทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประเมิน (reviewers) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้พิจารณาบทความ และผู้เกี่ยวข้อง (double-blinded review)</p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับ : </strong>ศาสนศึกษา ปรัชญา ภาษาและภาษาศาสตร์ จิตวิทยา การศึกษา สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ กฎหมาย บริหารธุรกิจ การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์</p> <p><strong>*</strong><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ : </strong><strong>บทความภาษาไทย 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน), บทความภาษาอังกฤษ 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน)**</strong><br /><strong>**</strong><strong>กรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ วารสารขอแจ้งว่า สงวนสิทธิ์คืนเงินค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong> <strong>**</strong></p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br /> กำหนดให้โอนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางบัญชีธนาคาร ดังนี้<br /> ชื่อบัญชี <strong>มมร. วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย</strong><br /> ธนาคาร กรุงไทย <strong>สาขาประตูน้ำพระอินทร์</strong><br /> เลขที่บัญชี <strong>126-1-27835-6</strong><br /> <strong> ***(ผู้ส่งบทความจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับแจ้งจากวารสารเท่านั้น)***</strong></p> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสารนิสิตวัง 1513-4423 การพัฒนาทักษะและเครือข่ายครูในการสร้างสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ช่วยส่งเสริมเยียวยาจิตใจแก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/268961 <p>การศึกษาวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาทักษะทางด้านการสื่อสารจำเป็นสำหรับครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2) พัฒนาทักษะการสื่อสารและการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ช่วยส่งเสริมเยียวยาจิตใจแก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ให้แก่คุณครู และ 3) สร้างเครือข่ายครูในการเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้บนโลกออนไลน์เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการหนุนเสริมชุมชนทางการศึกษาเพื่อสันติภาพ/สันติสุข กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้จัดการ/ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และสภานักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วยการสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>การพูดคุย การสื่อสาร ตลอดจนการสร้างสรรค์สื่อเพื่อช่วยเยียวยาจิตใจ ครูไม่สามารถสร้างการดึงดูดให้นักเรียนมีความรู้สึกลืมภาพความทรงจำในเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ที่ผ่านมาทางโรงเรียนส่วนใหญ่ใช้การสื่อสารโดยใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนาเพื่ออธิบายต่อสถานการ์ที่เกิดขึ้นโดยการปลอบประโลมจิตใจ</li> <li>หลังการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการผลิตสื่อ ครูมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงขึ้นกว่าก่อนการพัฒนาทักษะโดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลัง 3.79 (S.D.= 0.72) และค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อน 3.61 (S.D. = 0.87) แสดงว่าการพัฒนาทักษะและเครือข่ายครูในการสร้างสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ช่วยพัฒนาทักษะด้านทักษะการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับครู ด้านการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และด้านเครือข่ายครูในการเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์บนโลกออนไลน์ของครูในโรงเรียนทีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ได้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้</li> <li>ความพร้อมที่ครูและโรงเรียนสามารถดำเนินการได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยระบบการในการบริหารจัดการของแต่ละโรงเรียนที่มีข้อจำกัดอาจดำเนินการไปไม่ราบรื่นมากนัก ทั้งนี้การสร้างเครือข่ายจึงขึ้นอยู่กับรูปแบบของการหนุนเสริมทางการศึกษาในโรงเรียน ที่เน้นในเรื่องของแลกเปลี่ยนและการเป็นที่ปรึกษา และการเป็นผู้ฝึก (Coaching) ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะนำมาสู่ประโยชน์ของการสร้างเครือข่ายของครูทั้งในแง่ของการมีทักษะชีวิต การคิดเชิงบวก การมีผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับฟังที่ดี</li> </ol> สุรชัย ไวยวรรณจิตร สุไรยา หนิเร่ รุ่งโรจน์ ชอบหวาน มูฮำหมัดราพีร์ มะเก็ง ธีรวัช จาปรัง อับดุลคอลิก อัรรอฮีมีย์ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 1 13 การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการนิเทศแบบฐานข้อเท็จจริง (FACT BASED) ร่วมกับ Fraction Test Series By GeoGebra & Canva https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/269466 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวทางการการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการนิเทศแบบฐานข้อเท็จจริง (FACT BASED) ร่วมกับ Fraction Test Series By GeoGebra &amp; Canva 2) สร้างคู่มือการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการนิเทศแบบฐานข้อเท็จจริง (FACT BASED) ร่วมกับ Fraction Test Series By GeoGebra &amp; Canva 3) ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 4) ประเมินความคิดเห็นของครูต่อการใช้คู่มือฯ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนเอกชนจังหวัดชลบุรี จำนวน 27 โรงเรียน โดยการเลือกแบบเจาะจงจากโรงเรียนที่มีนักเรียนสมัครใจเข้ารับการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 เป็นครู จำนวน 47 คน และนักเรียน จำนวน 1,314 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบสนทนากลุ่ม 2) แบบประเมินความเหมาะสมของเทคนิคฯ 3) คู่มือการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วนฯ 4) แบบทดสอบชุด Fraction Test Series By GeoGebra &amp; Canva 5) แบบทดสอบความสามารถด้านคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 ของสำนักทดสอบทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 6) แบบประเมินความคิดเห็นของครูที่มีต่อคู่มือฯ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าที </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>แนวทางการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ กระบวนการบริหารจัดการ กระบวนการจัดการเรียนการสอน กระบวนการวัดและประเมินผล กระบวนการนิเทศ ติดตามและประเมินผล และกระบวนการวิจัยและพัฒนา พัฒนาเป็นเทคนิคการนิเทศแบบฐานข้อเท็จจริง (FACT BASED) ร่วมกับ Fraction Test Series By GeoGebra &amp; Canva ที่มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด คู่มือการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วนฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้ และความคิดเห็นของครูที่มีต่อคู่มือการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เศษส่วนฯ อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด</p> สุจริยา ขมสนิท Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 14 26 การบริหารสถานศึกษาต้นแบบคุณธรรมอาชีวศึกษา : กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคนิคโพธาราม จังหวัดราชบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/269019 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและถอดบทเรียนการบริหารจัดการสถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม : กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคนิคโพธาราม จังหวัดราชบุรี 2) ศึกษาประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการเป็นสถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เน้นวิจัยแบบกรณีศึกษา (Case Study) โดยเลือกกรณีศึกษาแบบกำหนดเกณฑ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหาร ครูแกนนำ นักเรียนแกนนำ คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครอง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ ตัวผู้วิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบบันทึกภาคสนาม แบบบันทึกการสังเกต แบบบันทึกการสัมภาษณ์ และรายงานการวิจัยแบบพรรณนา (Description) และพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description) </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>บทเรียนการบริหารโครงการสถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม : กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคนิคโพธารามจังหวัดราชบุรี 3 ด้าน ที่ทำให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จ ประกอบด้วย 1) มีการวางแผน (Planning) การดำเนินงานสถานศึกษาคุณธรรมอย่างเป็นระบบ ได้แก่ (1) การกำหนดผลงานที่ต้องการ (Output) (2) การกำหนดเค้าโครงการทำงาน (3) การกำหนดกิจกรรม (Activity) และผู้รับผิดชอบ (4) การคิดงบประมาณ 2) การนำแผนไปปฏิบัติ (Implementing) ได้แก่ (1) การมอบหมายการปฏิบัติแก่ผู้รับผิดชอบ (2) การเตรียมการปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติหรือดำเนินการ (3) การติดตาม กำกับ ดูแล และช่วยเหลือให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน 3) การติดตาม กำกับ และประเมินผล (Evaluating) ได้แก่ (1) การตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแผน (2) การตรวจสอบผลงานว่าเป็นไปตามที่กำหนดไว้ (3) การพิจารณาปัญหาและอุปสรรคที่ต้องการ รวมถึงการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้สามารถนำไปสู่ภาคปฏิบัติได้จริง และ (4) รายงานผลการปฏิบัติงาน </li> <li>ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการเป็นสถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม 2.1 ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นต่อโรงเรียน ได้แก่ 1) ด้านวินัยเพิ่มขึ้น 2) มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองมากขึ้น 3) มีจิตอาสาช่วยงานโรงเรียนและชุมชนมากขึ้น 4) พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ลดลง 5) พฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น 6) ผลการสอบวีเน็ตดีขึ้นทั้งโรงเรียน 2.2 ประสิทธิผลที่มีต่อชุมชน ได้แก่ 1) มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมมากขึ้น 2) มีวินัยในตนเองและสังคมมากขึ้น 3) มีจิตอาสาช่วยงานสังคมมากขึ้น 4) ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 5) ลดปัญหาอาชญากรรมในชุมชน</li> </ol> พระมหาไชยถนอม หาระสาย สุภาวดี ภิรมย์รัตน์ สิรินธร สินจินดาวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 27 37 อาหารไทย : ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/269640 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการทางด้านอาหารไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และ 2) ศึกษาหาแนวทางการพัฒนาขับเคลื่อนอาหารไทยเพื่อเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ และเอกสารทุติยภูมิที่เกี่ยวข้อง โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่<strong><em> </em></strong>แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และแบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการนำข้อมูลทั้งหมดมาเรียบเรียง จัดระเบียบ และแยกประเภทชุดข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่จะนำมาตอบคำถามตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และนำเสนอข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>พัฒนาการทางด้านอาหารไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 ยุคได้แก่ 1) ยุคสุโขทัยอาหารไทยจะอยู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายโดยมีอาหารหลักคือข้าวกับแกงและมีปลาเป็นส่วนประกอบสำคัญ 2) ยุคกรุงศรีอยุธยา อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติ แต่อาหารหลักก็ยังคงมีปลาเป็นส่วนประกอบ มีอาหารประเภทน้ำจิ้ม และ มีการใช้กะทิจากมะพร้าว ใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหาร 3) ยุคกรุงธนบุรี อาหารไทยมีความคล้ายคลึงกับสมัย กรุงศรีอยุธยา แต่อาหารจีนจะเข้ามามีอิทธิพลกับอาหารไทยมากขึ้น โดยเริ่มมีวิธีการปรุงอาหารประเภทตุ๋น และทอด 4) ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคนี้จะมีอาหารที่หลากหลายทั้งอาหารว่าง อาหารหวาน อาหารคาว และอาหารจานเดียว มีการผสมผสานภูมิปัญญาอาหารไทยกับอาหารนานาชาติแล้วปรับปรุงแต่งรสชาติให้มีความกลมกลืนในแบบอาหารไทย</li> <li>การขับเคลื่อนอาหารไทยเพื่อเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์มีแนวทางดังนี้ 1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการเน้นพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ 2) การผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลก 3) การพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ 4) การส่งเสริมการผลิตโดยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และการวิจัยพัฒนาในทุกภาคสาขาการผลิตที่เกี่ยวข้องกับอาหารไทย 5) การขับเคลื่อนนโยบาย และการพัฒนาข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับอาหารไทยอย่างต่อเนื่อง 6) การพัฒนาและสนับสนุนช่องทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศ</li> </ol> เบญจภัคค์ เจริญมหาวิทย์ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 38 46 การพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/270316 <p>การวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้วิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล ให้เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียนภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่ม กระบวนการวิจัยนี้มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหา 2) ขั้นตอนการฝึกปฏิบัติ 3) ขั้นการนำไปใช้ และ 4) ขั้นการประเมินผล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล จำนวน 34 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้วิธีจับสลากซึ่งมีห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย เนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่ม แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ภาษาจีน<strong> </strong>แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ผลการเรียนรู้วิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 23 (x̅= 22.23) คิดเป็นร้อยละ 74.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70</p> <p> 2. ความก้าวหน้าทางการเรียนวิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมล พบว่ามี ค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเท่ากับ 57 (&lt; &gt; = 0.57) อยู่ในระดับปานกลาง หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> <p> 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดศรีนวลธรรมวิมลที่มีต่อการเรียนรู้วิชาภาษาจีน เรื่อง อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่ม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅= 4.33, S.D. = 0.67)</p> สุกัญญา สมทรัพย์ตระกูล กัญณภัทร หุ่นสุวรรณ ธนาดล สมบูรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 47 57 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดรายวิชาการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/270570 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการเรียนของนักศึกษาในรายวิชาการจัดการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิด และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่มีต่อการเรียนด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิด รายวิชาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ที่ได้มาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม ได้แก่ นักศึกษากลุ่ม 2 EC/65 จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด 2) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษา ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดในรายวิชาการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้ ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิดในรายวิชาการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก (x̅= 4.28, S.D. = 0.49)</li> </ol> กัญณภัทร หุ่นสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 58 67 การพัฒนาครูวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการวัดและประเมินผลด้านทักษะการคิด https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/270903 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลด้านทักษะการคิดก่อนและหลังการฝึกอบรม 2) ศึกษาพฤติกรรมการวัดและประเมินผลของครูระหว่างการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการวัดและประเมินผลของครูหลังการจัดการเรียนรู้ ประชากร ได้แก่ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 225 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ที่ปฏิบัติการสอนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยการเลือกแบบอาสาสมัคร (Volunteers Sampling) จำนวน 8 คน เครื่องมือประกอบด้วย แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจ แบบสังเกตพฤติกรรมการวัดและประเมินผลของครู และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) ครูมีความรู้ความเข้าใจหลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>2) ครูมีพฤติกรรมการวัดและประเมินผลระหว่างการจัดการเรียนรู้ในระดับมาก (x̅= 7.10, S.D. = 1.20)</p> <p>3) ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการวัดและประเมินผลของครูหลังการจัดการเรียนรู้โดยการลงข้อสรุปจากการตอบคำถามสะท้อนการคิดอยู่ในระดับปานกลาง</p> ธนาดล สมบูรณ์ สมาพร มณีอ่อน Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 68 75 การวิเคราะห์งานวิจัยด้านหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/269091 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาคุณภาพงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาด้านหลักสูตรและการสอน 2. วิเคราะห์คุณลักษณะและองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน ประชากรในการวิจัย คือ งานวิจัยของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ปีการศึกษา 2563-2565 จํานวน 50 เล่ม ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย 1. คุณภาพงานวิจัยด้านหลักสูตรและการสอน 2. คุณลักษณะและองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน 3. วิธีการหาคุณภาพงานวิจัยด้านหลักสูตรและการสอน โดยใช้แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และวิธีการหาคุณลักษณะและองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน โดยใช้แบบบันทึกคุณลักษณะงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ การวิเคราะห์อภิมาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ผลการประเมินคุณภาพงานวิจัยด้านหลักสูตรและการสอน พบว่า ผลการประเมินคุณภาพงานวิจัยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.35, S.D. = 0.21) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า งานวิจัยด้านการสอน มีผลการประเมินคุณภาพงานวิจัยในระดับมาก ( x̅ = 4.37, S.D. = 0.21) รองลงมา คือ งานวิจัยด้านหลักสูตร ผลการประเมินคุณภาพงานวิจัยในระดับมาก (x̅ = 4.35, S.D.= 0.21) </li> <li>ผลการวิเคราะห์คุณลักษณะงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน พบว่าสามารถแบ่งงานวิจัยออกเป็น 2 ด้าน คืองานวิจัยด้านหลักสูตร และงานวิจัยด้านการสอน</li> </ol> <p> 2.1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับคุณลักษณะของงานวิจัยด้านหลักสูตร พบว่า แนวคิดและทฤษฎีที่นํามาใช้ด้านหลักสูตร มากที่สุด คือ แนวคิดของไทเลอร์ ร้อยละ 43.50 แบบแผนการวิจัย มากที่สุด คือ The One-Group Pretest-Posttest Design ร้อยละ 85.55 น้อยที่สุด คือ The One-Shot Case Study ร้อยละ 14.25 เนื้อหางานวิจัยเกี่ยวกับหลักสูตร มากที่สุด คือ ปัญหาการใช้หลักสูตร น้อยที่สุด คือ การพัฒนาหลักสูตร การวิเคราะห์หลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินหลักสูตร ตัวแปรตามด้านหลักสูตร มากที่สุด คือ ผลการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ร้อยละ 85.75 และองค์ความรู้ด้านหลักสูตร พบว่า ด้านการพัฒนาหลักสูตร มีจุดประสงค์ในการพัฒนาหลักสูตร โดยศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ผลการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร การจัดการศึกษาตามแนวคิด ทฤษฎี วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหลักสูตรสถานศึกษาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล ศึกษาแนวการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ ศึกษาความต้องการของนักเรียนเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในด้านสาระการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล สร้างหลักสูตร โดยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาข้อมูลพื้นฐานมาพัฒนาหลักสูตรฉบับร่าง ทดลองใช้หลักสูตร โดยการนําหลักสูตรที่พัฒนาไปทดลองใช้ และประเมินผลหลักสูตรและปรับปรุงหลักสูตร โดยการประเมินผลนักเรียนด้านผลการเรียนรู้ เมื่อพิจารณาตามรูปแบบงานวิจัยตามระเบียบวิธีการวิจัย พบว่า ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบทดลอง มากที่สุด ร้อยละ 100.00</p> <p> 2.2 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับคุณลักษณะของงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านการสอน พบว่า รูปแบบงานวิจัยด้านการสอนเป็นงานวิจัยแบบทดลองมากที่สุด จำนวน 43 เล่ม ร้อยละ 100 แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ด้านการสอน วิธีสอน/เทคนิค/รูปแบบการสอน เป็นการพัฒนาชุดการเรียน/ชุดการสอน/บทเรียนสำเร็จรูป/แบบฝึก จำนวน 40 เล่ม ร้อยละ 92.00 แบบแผนการวิจัยของงานวิจัยด้านการสอนเป็นแบบ The One Group Pretest Posttest Design จำนวน 40 เล่ม ร้อยละ 92.00 และองค์ความรู้ด้านการสอน พบว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล ผู้วิจัยใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะกระบวนการ มากที่สุด ร้อยละ 70.10 รองลงมา คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นพัฒนาด้านพุทธิพิสัย ร้อยละ 18.40 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย ร้อยละ 6.90 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย ร้อยละ 2.30 และรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ ร้อยละ 2.30 ตามลำดับ</p> นันทวัฒน์ ภัทรกรนันท์ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 76 86 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/271061 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชา ทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชา ทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1/1 ของวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 18 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับสลากห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชา ทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที <em>(</em>t–test)<em> </em>แบบ Dependent </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชาทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>(2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชาทักษะการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 โดยภาพรวม นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̅= 4.73, S.D. = 0.34) </p> วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 87 94 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/271073 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 70 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 114 คน และข้าราชการครู 2,943 คน รวมทั้งสิ้น 3,127 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา และข้าราชการครู จากสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 346 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 5 ระดับ มีค่า (IOC) ตั้งแต่ 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับภาวะผู้นําเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ทั้ง 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>2) ระดับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ทั้ง 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1</p> <p>4) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการยืดหยุ่นและการปรับตัว ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านคำนึงถึงปัจเจกบุคคล สามารถพยากรณ์การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ โดยมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 87.20</p> <p>สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้</p> <p> Y ́ = .192+ .294X<sub>5 </sub>+ .191X<sub>4</sub> + .205X<sub>1</sub> + .149X<sub>3 </sub>+ .112X<sub>2</sub> </p> <p>สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้</p> <p> Z ́ = .332X<sub>5 </sub>+ .199X<sub>4 </sub>+ .207X<sub>1 </sub>+ .168X<sub>3 </sub>+ .108X<sub>2</sub> </p> ดาวเรือง วงษ์สามหมอ สุทธิพงศ์ บุญผดุง Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 95 106 ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/271071 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครกลุ่มเขตกรุงธนใต้ ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครูในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้จาก 7 สำนักงานเขต รวมทั้งสิ้น 2,943 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ข้าราชการครูในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ จาก 7 สำนักงานเขต จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 5 ระดับ มีค่า (IOC) ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ทั้ง 5 ด้านมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก </p> <p>2) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ทั้ง 6 ด้าน มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1</p> <p>4) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผลด้านสังคม กฎหมาย และจริยธรรม ด้านความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ ด้านการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนและด้านการสนับสนุนการบริหาร และการปฏิบัติงาน สามารถพยากรณ์การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ โดยมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 64.6</p> <p>สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้</p> <p>Y´ = .390+.249X<sub>3 </sub>+.227X<sub>4</sub> +.129X<sub>1 </sub>+ .174X<sub>2</sub>+.150X<sub>5</sub> </p> <p>สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้</p> <p>Z = .270X<sub>3</sub> + .227X<sub>4 </sub> + .147X<sub>1</sub> + .184X<sub>2</sub> + .164X<sub>5 </sub><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></p> ณณัฐ วิจิตขะจี สุทธิพงศ์ บุญผดุง Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 107 119 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/267932 <p>บทความวิชาการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจำและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจำที่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ไปจนถึงความจำในสิ่งที่ยุงยากซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทัศนคติ หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ท่าทีความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ส่วนพฤติกรรมสุขภาพ หมายถึง การปฏิบัติของบุคคลที่ทำให้เกิดการกระทำหรืองดเว้นการกระทำในสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และการปฏิบัติ เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยหรือส่งเสริมให้มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เป็นการเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่บุคคลปฏิบัติออกมาทางร่างกาย โดยมีความรู้และทัศนคติที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการปฏิบัติที่ถูกต้อง กระบวนการที่จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและการตัดสินใจหลายขั้นตอน แต่กระบวนการทางการศึกษาจะช่วยให้เกิดพฤติกรรมการปฏิบัติได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ปกครอง ครู ญาติผู้ใกล้ชิด ควรให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพช่องปาก<strong> </strong>โดยเฉพาะในโรงเรียนมัธยมศึกษา ควรจัดกิจกรรมรณรงค์แปรงฟันหลังอาหารกลางวันทุกวัน เพื่อสร้างสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งจัดนิทรรศการส่งเสริมทันตสุขภาพในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การจัดบอร์ดความรู้เรื่องทันตสุขศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ เป็นต้น</p> วีรพงศ์ อุมัด ธัญวรรณ เกิดดอนทราย Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 120 131 คติพจน์ในวรรณคดี : การศึกษาแนวคิดและกลวิธีทางภาษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/268375 <p>วรรณคดีไทยมีคำสอนและเนื้อหาที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและมีคติพจน์ที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติอยู่ในเรื่อง โดยวรรณคดีคำสอนจะสะท้อนความเป็นไปของสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละยุคสมัย ซึ่งให้ข้อคิดและมีคติพจน์ที่ทำให้ผู้อ่านได้มีแนวทางนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของตนเอง ผู้วิจัยจึงสนใจในประเด็นแนวคิดและกลวิธีทางภาษาของวรรณคดี เพื่อให้เข้าใจลักษณะที่สำคัญของคติพจน์ในวรรณคดีว่าส่วนใหญ่เน้นไปที่คำสอนในด้านใด โดยบทความนี้ผู้วิจัยจะศึกษาด้วยการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) จากวรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากยุคนี้ถือเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูวรรณคดีต่อเนื่องจากสมัยอยุธยาและเป็นยุคทองของวรรณคดี จึงทำให้เกิดวรรณคดีและกวีที่สำคัญมากมาย ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะที่สำคัญของคติพจน์ในวรรณคดีส่วนใหญ่เน้นไปที่คำสอนในด้านตัวบุคคล ได้แก่ คำสอนเกี่ยวกับเพศชายและหญิง การดำเนินชีวิต และการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งมีลักษณะเด่นทางกลวิธีทางภาษาด้วยการใช้คำและการใช้ภาพพจน์ สอดแทรกไว้ด้วยคุณค่าทางอารมณ์ คุณค่าทางปัญญา คุณค่าทางศีลธรรม คุณค่าทางวัฒนธรรม คุณค่าทางการใช้ภาษา รวมถึงคำสอนที่แฝงด้วยแนวคิดตามหลักพระพุทธศาสนา การอยู่ร่วมกันในสังคม การรักชาติ การจงรักภักดี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่จะนำคติพจน์เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน กล่อมเกลาให้ผู้อ่านรู้จักความจริงแห่งชีวิตผ่านการอ่านวรรณคดี</p> สุริยา อินทจันท Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 132 140 ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/269570 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ด้วยวิธีการศึกษาจากเอกสาร วิชาการ บทความ ตำรา และวารสารวิชาการต่าง ๆ ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อพฤติกรรมในการใช้ชีวิต รวมถึงการเรียนรู้โลกแห่งการเรียนรู้ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากการที่มีระบบอินเตอร์เน็ตและการพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งระบบเครือข่ายความรู้ออนไลน์มีการขับเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผู้บริหารต้องมีความสามารถนำพาองค์กรให้มีความทันสมัยและก้าวทันต่อสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน ผู้บริหารนั้นต้องเรียนรู้ และทราบวิธีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในองค์กรของตนเอง ให้อย่างมีประสิทธิผลทั้งจากภายนอกและภายใน อีกทั้งยังทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นคือโอกาสที่เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การบริหารจัดการองค์กรก่อเกิดประโยชน์สูงสุดและพัฒนาองค์กรต่อไปได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีรู้ความสามารถในประเด็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมีวิสัยทัศน์ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบดิจิทัล การปฏิบัติที่เลิศอย่างมืออาชีพ การปรับปรุงอย่างมีระบบ และการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางสติปัญญา และการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล เพื่อการพัฒนาองค์กรไปในทิศทางที่ดี นอกจากนี้เทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในระบบการศึกษา เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยให้การศึกษามีการพัฒนาและเติบโตไปในวงกว้าง ซึ่งมีข้อดีก็คือเป็นการลดความเหลื่อมล้ำโอกาสทางการศึกษาได้เป็นอย่างมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เพื่อมาประยุกต์ใช้ในการศึกษา ให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรความรู้และสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งผู้นำต้องมีองค์ประกอบในยุคดิจิทัลทั้ง 10 ประการ คือ 1) การสร้างเครือข่ายทางเทคโนโลยี 2) การสร้างสภาพแวดล้อมและนวัตกรรมใหม่เพื่อการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี 3) การมีจริยธรรม ในการใช้เทคโนโลยี 4) ความสามารถในการใช้เครื่องมือทางดิจิทัล 5) การสร้างแบรนด์ (ตราสินค้า) 6) การวางแผนงานแบบมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน 7) การพัฒนาวิชาชีพ 8) การสำรวจ และการคัดเลือก ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย 9) การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎความปลอดภัยของ ข้อมูลทางดิจิทัล และ10) การวัดและประเมินผล เพื่อให้มีการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง</p> พระมหาไพจิตร อุตฺตมธมฺโม พระครูสุภัทรสีลโสภณ สำราญ ศรีคำมูล คมศร สินทร สิริมงคล ศรีมันตะ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 141 151 การศึกษาในระบบ : สัญญาณแห่งวิกฤตและโอกาสในการพัฒนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/270465 <p>การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้านนโยบายทางการเมือง ทัศนคติทางการเมืองของคนรุ่นใหม่การเข้าสู่ตลาดแรงงานของประชากรจากปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ทุกที่ทุกเวลา ทำให้การศึกษาในระบบโรงเรียนที่มีลักษณะขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้การศึกษาในระบบโรงเรียนได้รับความนิยมลดลง มีการควบรวมหรือยุบโรงเรียนมากขึ้น รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดการศึกษาไปสู่พื้นที่อื่นที่ไม่ใช่โรงเรียน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการ (1) ปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับของการจัดการศึกษาให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว (2) พัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน (3) พัฒนาครูให้มีทักษะการสอนสมัยใหม่ (4) เชื่อมโยงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และ (5) เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศภายใต้สังคมผู้สูงอายุ เพื่อให้การศึกษาในระบบสามารถธำรงรักษาบทบาทการเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนและสังคมต่อไป</p> เมธชนนท์ ประจวบลาภ Copyright (c) 2024 วารสารนิสิตวัง 2024-06-23 2024-06-23 26 1 152 162