วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw <p><strong>"วารสารนิสิตวัง"</strong> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ปรัชญา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ ภาษาศาสตร์ การศึกษา จิตวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยตีพิมพ์เผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม </p> <p>(เนื่องจากวารสารนิสิตวัง ได้รับการปรับกลุ่มวารสารจาก TCI กลุ่ม 3 เป็น TCI กลุ่ม 2 ตามประกาศของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ดังนั้น การเผยแพร่ในวารสารจะมีค่าธรรมเนียม ตั้งแต่เล่มปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม-ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป)</p> <p>- ประเภทของผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสาร มี 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย</p> <p>- รับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>- บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับประเมินคุณภาพทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประเมิน (reviewers) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้พิจารณาบทความ และผู้เกี่ยวข้อง (double-blinded review)</p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับ : </strong><em>ด้านพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ปรัชญา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ ภาษาศาสตร์ การศึกษา จิตวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ</em></p> <p><strong>*</strong><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ : </strong><strong>บทความภาษาไทย 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน), บทความภาษาอังกฤษ 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน)**</strong><br /><strong>**</strong><strong>กรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ วารสารขอแจ้งว่า สงวนสิทธิ์คืนเงินค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong> <strong>**</strong></p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br /> กำหนดให้โอนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางบัญชีธนาคาร ดังนี้<br /> ชื่อบัญชี <strong>มมร. วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย</strong><br /> ธนาคาร กรุงไทย <strong>สาขาประตูน้ำพระอินทร์</strong><br /> เลขที่บัญชี <strong>126-1-27835-6</strong><br /> <strong> ***(ผู้ส่งบทความจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับแจ้งจากวารสารเท่านั้น)***</strong></p> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสารนิสิตวัง 1513-4423 การพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/263957 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 42 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติทดสอบที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) รูปแบบการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.หลักการ 2.วัตถุประสงค์ 3.เนื้อหา 4.ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน มี 5 ขั้น คือ 1) ขั้นเสนอเนื้อหา 2) ขั้นสำรวจและศึกษาข้อมูล 3) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล 4) ขั้นสังเคราะห์และสร้างสรรค์ 5) ขั้นประยุกต์ใช้ และ 5.การวัดและประเมินผล รูปแบบการสอนในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.97, SD = 0.02)</p> <p>2) ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน พบว่า (1) ความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อรูปแบบการสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด (x̅ = 4.55, SD = .091)</p> พรรณิการ์ สมัคร Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-25 2023-12-25 25 2 1 13 การส่งเสริมการกำกับตนเองผ่านการสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ : กรณีศึกษาเด็กที่มีภาวะออทิสติก ระดับปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265063 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้การสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ ในการส่งเสริมการกำกับตนเองของเด็กที่มีภาวะออทิสติกระดับปฐมวัย จำนวน 1 คน อายุ 6 ขวบ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปฐมวัย ปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการสอนเฉพาะบุคคลสำหรับการสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ จำนวน 2 แผน 2) เรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ จำนวน 2 เรื่อง และ 3) แบบบันทึกพฤติกรรม ซึ่งรูปแบบในการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดี่ยว (Single Subject Design) แบบสลับกลับ หรือ A-B-A-B Design แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะเส้นฐาน (A1) ระยะที่ 2 ระยะการจัดกระทำ (B1) ด้วยการส่งเสริมการกำกับตนเองผ่านสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ ระยะที่ 3 ระยะงดการ จัดกระทำ (A2) และระยะที่ 4 ระยะการจัดกระทำ (B2) ด้วยการส่งเสริมการกำกับตนเองผ่านการสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์เหมือนในระยะที่ 2 (B1) อีกครั้ง ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตพฤติกรรม เป้าหมาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละของความถี่การเกิดพฤติกรรมเป้าหมาย และนำเสนอด้วยตารางและกราฟเส้น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>หลังจากดำเนินการส่งเสริมการกำกับตนเอง ผ่านการสอนเรื่องราวทางสังคมแบบวิดีโอปฏิสัมพันธ์ เด็กที่มีภาวะออทิสติกที่เป็นกรณีศึกษามีการกำกับตนเองได้ดีมากขึ้น สังเกตได้จากมีพฤติกรรมก้าวร้าวทางกายลดลง โดยพบว่า ความถี่ของการเกิดพฤติกรรมแย่งของเล่นลดลงจากระยะเส้นฐานคิดเป็น ร้อยละ 88.64 และมีความถี่ของ พฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นลดลงจากระยะเส้นฐานคิดเป็น ร้อยละ 91.90 <span style="font-size: 0.875rem;">และมีความถี่ของพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นลดลงจากระยะเส้นฐานร้อยละ 91.90</span></p> อุมาพร จันทร์แย้ม ดารณี อุทัยรัตนกิจ ภัทรพร แจ่มใส Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-25 2023-12-25 25 2 14 23 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูประถมศึกษา โรงเรียนมูลนิธิภูมิตะวันวิทยา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265044 <p>การวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูประถมศึกษาให้มีคุณภาพ 2) ศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตร ฝึกอบรมฯ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรมฯกระบวนการวิจัยและพัฒนามี 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษา ข้อมูลพื้นฐานและความต้องการในการฝึกอบรม 2) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม 3) การนำหลักสูตรฝึกอบรมไปใช้ และ 4) การประเมินผลหลักสูตรฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูประถมศึกษา โรงเรียนมูลนิธิภูมิตะวันวิทยา สังกัดกลุ่มส่งเสริม การศึกษาเอกชน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี จำนวน 21 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย หลักสูตรฝึกอบรมและคู่มือ แบบสอบถามความต้องการในการฝึกอบรม แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกฯ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อหลักสูตรฝึกอบรมฯ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูประถมศึกษา โรงเรียนมูลนิธิภูมิตะวันวิทยาที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เป้าหมาย 4) เนื้อหาสาระ 5) ระยะเวลา 6) โครงสร้างหลักสูตรฝึกอบรม 7) กิจกรรมการฝึกอบรม 8) สื่อการฝึกอบรม และ 9) การวัดและประเมินผล ผลของการประเมินคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรมฯ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x̄) เท่ากับ 4.56 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.43 และคู่มือหลักสูตรฝึกอบรมฯ ผ่านการประเมินคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรมฯ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x̄) เท่ากับ 4.84 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.59 </p> <p>2. ผลประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมฯ พบว่า 2.1) ครูประถมศึกษามีความรู้เกี่ยวกับการจัดการ เรียนรู้เชิงรุกหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2.2) ครูประถมศึกษามีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกหลังการฝึกอบรมตามหลักสูตรฯ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> <p>3. ครูประถมศึกษามีความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> ทิพย์อารี กิจจาพิพัฒน์ ไสว ฟักขาว Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 24 34 การศึกษาคุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265609 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2) เพื่อจัดอันดับคุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จำนวน 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านความรับผิดชอบ 2) ด้านการติดต่อสื่อสาร และ 3) ด้านการพัฒนาตนเอง งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาวิชาชีพครูของคณะครุศาสตร์ จำนวน 417 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดคุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 33 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. คุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x̅=4.21, S.D.=0.43)</p> <p>2. เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า คุณลักษณะมนุษยสัมพันธ์อยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ด้านด้านความรับผิดชอบ ( x̅=4.30, S.D.=0.45) ด้านด้านการติดต่อสื่อสาร (x̅=4.22, S.D.= 0.47) และด้านด้านการพัฒนาตนเอง (x̅=4.13, S.D.=0.50) ตามลำดับ</p> จิราภรณ์ พจนาอารีย์วงศ์ เยาวนุช ทานาม พิบูลย์ ตัญญบุตร วรีย์นันทน์ สิริกรกาญจน พรรณรายณ์ ทรัพย์แสนดี Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 35 42 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265775 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม (2) เพื่อศึกษาการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรประกอบด้วย ครูของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม จำนวน 450 คน กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ประกอบด้วยครูของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>(1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม อยู่ในระดับมากทั้งในภาพรวมและรายด้าน </p> <p>(2) การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม อยู่ในระดับมากทั้งในภาพรวมและรายด้าน </p> <p>(3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารและการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตเมืองสมุทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อริสรา จันทรมงคลชัย สมคิด สกุลสถาปัตย์ Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 43 53 ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265019 <p>บทความวิจัยนี้นี้มุ่งศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในตำบลยางสีสุราช อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาจากเอกสาร (Documentary research) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) กับกลุ่มผู้นำ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ชาวชุมชนตำบลยางสีสุราชได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ภูมิปัญญาทางด้านความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ศาลปู่ตามาอนุรักษ์ป่าชุมชน ภูมิปัญญาทางด้านความรู้ดั้งเดิมของบรรพบุรุษ คือ การทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมักมาใช้ในการบริหารจัดการขยะในชุมชน และภูมิปัญญาความรู้ดั้งเดิมทางด้านการสร้างฝายชะลอน้ำมาบริหารจัดการแหล่งน้ำของชุมชนในฤดูแล้งเพื่อจะได้มีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค การทำปศุสัตว์ และการทำเกษตรกรรม</p> เบญจภัคค์ เจริญมหาวิทย์ Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 54 63 การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของความเชื่อด้านวัฒนธรรมแบบพอเพียงกับความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กของนักศึกษาเจเนอเรชั่นซี ในกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265737 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของวัฒนธรรมแบบพอเพียงกับความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุตามสมมติฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) วิเคราะห์โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของวัฒนธรรมแบบพอเพียงกับความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กของนักศึกษาเจเนอเรชั่นซีในกรุงเทพมหานคร การวิจัยเป็นเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาของมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,320 คน วิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป และใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง และวิเคราะห์โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุตามสมมติฐานการวิจัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของวัฒนธรรมแบบพอเพียงกับความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กของนักศึกษาเจเนอเรชั่นซี ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยที่วัฒนธรรมแบบพอเพียงมีอิทธิพลเชิงบวกทางตรงกับความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.41 นอกจากนี้ตัวแปรทั้งหมดในโมเดลยังสามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรความตั้งใจประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กได้ร้อยละ 16.7</p> ประกายทิพย์ จันทร์แป้น เพชรรัตน์ วิริยะสืบพงศ์ ศรัญยา แสงลิ้มสุวรรณ Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 64 74 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมดนตรีพหุสัมผัส เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กปฐมวัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/265131 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของเด็กปฐมวัยระดับชั้นปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมดนตรีพหุสัมผัส เรื่องรูปแบบเพลง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กปฐมวัยระดับชั้นปีที่ 3 อายุ 5–6 ปี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 25 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายประถม) ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) กิจกรรมดนตรีพหุสัมผัส จำนวน 8 กิจกรรม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องรูปแบบเพลง ของเด็กปฐมวัยระดับชั้นปีที่ 3 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ t-test Dependent sample</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมดนตรีพหุสัมผัส เรื่องรูปแบบเพลง ส่งผลให้เด็กปฐมวัยระดับชั้นปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> กิติศักดิ์ เสียงดี อัญชลี บุญจันทึก Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 75 80 การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดนนทบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266062 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจของผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอนก่อนและหลังการศึกษาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อศึกษาผลการนิเทศติดตามผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ และครูผู้สอนในการนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ และครูผู้สอนที่มีต่อกระบวนการนิเทศติดตามการนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ และครูผู้สอน โดยการสุ่มแบบอาสาสมัคร (Volunteers Sampling) รวม 26 คน เครื่องมือประกอบด้วย หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แบบสอบถามความรู้ ความเข้าใจ แบบนิเทศติดตาม และแบบประเมินความพึงพอใจ แบบแผนการทดลองแบบ 1 กลุ่ม Pretest Posttest Design วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) ผู้บริหำรสถำนศึกษา ครูวิชาการ และครูผู้สอน มีความรู้ความเข้าใจหลังศึกษาสูงกว่าก่อนศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>2) สถานศึกษานำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้จัดการเรียนการสอน โดยมีผลการนิเทศ ครั้งที่ 1 มีค่าร้อยละ 87.50 และครั้งที่ 2 มีค่าร้อยละ 100</p> <p>3) ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการ และครูผู้สอน มีความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศติดตามการนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในโรงเรียนอยู่ในระดับมาก (x̅=4.47, S.D.=.39)</p> สมาพร มณีอ่อน Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 81 89 การถอดบทเรียนกระบวนการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมระดับเพชรต้นแบบ โครงการ “โรงเรียนคุณธรรมนนทบุรี เทิดไท้องค์ราชัน” https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266134 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียนกระบวนการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมระดับเพชรต้นแบบ โครงการ “โรงเรียนคุณธรรมนนทบุรี เทิดไท้องค์ราชัน” 2) เพื่อนำผลที่ได้จากการถอดบทเรียนมาเป็นฐานข้อมูลกำหนดมาตรฐานและตัวชี้วัดในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ผู้ให้ข้อมูลคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้บริหารโรงเรียน และรองผู้บริหารโรงเรียน 2) ครูที่รับผิดชอบโรงเรียนคุณธรรม 3) ครูกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และ 4) ครูที่ร่วมขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรมของโรงเรียน รวม 12 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง การประชุมกลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย สรุปสาระสำคัญ จัดกลุ่มตามประเด็นสาระที่สอดคล้องหรือแตกต่างกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>กระบวนการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมระดับเพชรต้นแบบ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้และการยอมรับ 2) การสร้างครูแกนนำและนักเรียนแกนนำ 3) การกำหนดคุณธรรมอัตลักษณ์ 4) การกำหนดวิธีการบรรลุคุณธรรมอัตลักษณ์ 5) การลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และ 6) การสร้างกลไกการขับเคลื่อน สำหรับมาตรฐานและตัวชี้วัดในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ มาตรฐานด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลลัพธ์ ดังนี้ 1. ด้านกระบวนการ ได้แก่ 1) มีกระบวนการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมทั้งโรงเรียน 2) มีกลไกคณะทำงาน 3) ใช้โครงงานคุณธรรมเป็นเครื่องมือ 4) ทุกคนมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ 2. ด้านผลผลิต ได้แก่ 1) พฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น 2) พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ลดลง 3) ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม 3. ด้านผลลัพธ์ ได้แก่ 1) มีองค์ความรู้/นวัตกรรม 2) บูรณาการ ในชั้นเรียน และ 3) เป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนคุณธรรม</p> สมาพร มณีอ่อน Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 90 101 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266228 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS โดยมีวัตถุประสงค์ย่อยเพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักศึกษาชั้นปริญญาตรีปีที่ 2/1 ของวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับสลากห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนบริหารการสอน วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.79 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t–test) แบบ Dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>(2) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาการพัฒนาหลักสูตร ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 โดยภาพรวม นักศึกษามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅=4.43, S.D.=0.25)</p> วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 102 109 แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ระบบราชการ 4.0 ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล เขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266344 <p>บทความนี้เป็นบทความวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบลต่างกัน 2) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล 3) ศึกษาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ระบบราชการ 4.0 ที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล และ 4) หาแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ระบบราชการ 4.0 ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล เขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 183 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ และระดับการศึกษามีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> <p>2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง </p> <p>3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ระบบราชการ 4.0 ด้านการประเมินผล และด้านการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p> <p>4) แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ระบบราชการ 4.0 ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร พบว่า ควรเร่งการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจกับระบบราชการแบบใหม่ที่เน้นการให้บริการประชาชนผ่านระบบดิจิทัล ควรเร่งพัฒนาระบบการทำงานที่มีความเชื่อมโยงผ่านระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และควรเร่งการพัฒนาการปฏิบัติงานโดยเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างนวัตกรรม มุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน</p> ศศิธร จันทร์ปลูก Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-27 2023-12-27 25 2 110 120 การพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิส โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับแบบฝึกตาราง 9 ช่อง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนร่องคำ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266510 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิส โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับแบบฝึกตาราง 9 ช่องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) เปรียบเทียบทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับแบบฝึกตารางเก้าช่องกับเกณฑ์ร้อยละ 75 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนร่องคำ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบวัดทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิส สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิส โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับแบบฝึกตาราง 9 ช่องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.19/91.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้</p> <p>2) นักเรียนมีทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานในการเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิส หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับแบบฝึกตาราง 9 ช่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> นิรมล พลลาภ พรชัย ผาดไธสง Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-28 2023-12-28 25 2 121 129 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าร้านอาหารริมทางตามการรับรู้ของนักศึกษา ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266582 <p>การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าของร้านอาหารริมทางในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าของร้านอาหารริมทางในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.67–1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.902 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าของร้านอาหารริมทางในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.32) เมื่อพิจารณาแต่ละปัจจัยพบว่า ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ภาพลักษณ์ตราสินค้า (x̅=4.38) รองลงมา คือ คุณภาพที่ถูกรับรู้ (x̅=4.36) ความไว้วางใจในตราสินค้า (x̅=4.33) การตระหนักรู้ตราสินค้า (x̅=4.32) ความสัมพันธ์กับตราสินค้า (x̅ =4.29) และความภักดีต่อตราสินค้า (x̅=4.28) ตามลำดับ</p> <p>2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าของร้านอาหารริมทางในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การตระหนักรู้ตราสินค้า ความภักดีต่อตราสินค้า ภาพลักษณ์ตราสินค้า และความไว้วางใจในตราสินค้า ขณะที่คุณภาพที่ถูกรับรู้ และความสัมพันธ์กับตราสินค้า ไม่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้า</p> ภิเษก ขาวเหมือนเดือน เพชรรัตน์ วิริยะสืบพงศ์ Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-28 2023-12-28 25 2 130 140 การบริการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยาในสถานศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/266764 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการบริการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยาในสถานศึกษา ผลการศึกษาพบว่า เป็นกระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง และบุคคลอื่นมากยิ่งขึ้น สามารถวิเคราะห์ศักยภาพของตนเอง จัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การแนะแนวมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่มีพัฒนาการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพร้อมกันทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และกระบวนการคิด ดังนั้น ในสถานศึกษาทุกแห่งต้องให้ความสำคัญกับการบริการแนะแนวในสถานศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อช่วยเหลือนักเรียนให้สามารถพัฒนาตนให้เจริญเติบโตอย่างสมวัย และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุข หน้าที่การบริการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยาในสถานศึกษาที่จะเอื้ออำนวยให้นักเรียนมีคุณภาพชีวิตดังกล่าวข้างต้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคลากรต่าง ๆ ในสถานศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในความหมายการแนะแนว ความสำคัญของการแนะแนว จุดมุ่งหมายของการแนะแนว ปรัชญาการแนะแนว หลักการให้บริการ ขอบข่ายการให้บริการ และกระบวนการให้บริการแนะแนวในสถานศึกษาในการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนอย่างเต็มกำลังความสามารถ การบริการแนะแนวที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริม ป้องกัน และแก้ไขพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี</p> อมรัชญา ชินศรี พระครูสุภัทรสีลโสภณ Copyright (c) 2023 วารสารนิสิตวัง 2023-12-28 2023-12-28 25 2 141 149