วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw <p><strong>"วารสารนิสิตวัง"</strong> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การศึกษา สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ ศาสนศึกษา ปรัชญา ภาษาและภาษาศาสตร์ จิตวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์</p> <p> กลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยตีพิมพ์เผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี <strong>(ฉบับๆ ละ 10-15 บทความ) </strong> ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม <strong> </strong></p> <p>(เนื่องจากวารสารนิสิตวัง ได้รับการปรับกลุ่มวารสารจาก TCI กลุ่ม 3 เป็น TCI กลุ่ม 2 ตามประกาศของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ดังนั้น การเผยแพร่ในวารสารจะมีค่าธรรมเนียม ตั้งแต่เล่มปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม-ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป)</p> <p>- ประเภทของผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสาร มี 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย <strong> </strong></p> <p>- รับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>- บทความที่ส่งเข้ามาจะได้รับประเมินคุณภาพทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ประเมิน (reviewers) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ ผู้พิจารณาบทความ และผู้เกี่ยวข้อง (double-blinded review)</p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับ : การศึกษา สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ ศาสนศึกษา ปรัชญา ภาษาและภาษาศาสตร์ จิตวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์ด้านสังคมศาสตร์</strong></p> <p><strong> ***อัตราค่าธรรมเนียมใหม่***</strong></p> <p><strong>ขอแจ้งผู้นิพนธ์ เรื่องอัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความในวารสาร ตั้งแต่เล่มปีที่ 27 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม-ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ ดังนี้</strong></p> <p><strong> - บทความภาษาไทย จำนวน 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน) </strong></p> <p><strong> </strong><strong>- บทความภาษาอังกฤษ จำนวน 4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน)</strong></p> <p><strong>**กรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ วารสารขอแจ้งว่า สงวนสิทธิ์คืนเงินค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ **</strong></p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม<br /> กำหนดให้โอนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางบัญชีธนาคาร ดังนี้<br /> ชื่อบัญชี มมร. วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย<br /> ธนาคาร กรุงไทย สาขาประตูน้ำพระอินทร์<br /> เลขที่บัญชี 126-1-27835-6<br /> **(ผู้ส่งบทความจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากได้รับแจ้งจากวารสารเท่านั้น)**</strong></p> th-TH wongsurin2520@gmail.com (Editor-in-Chief : Phrakhrusuphattharasilasophon (Sayan Pemasilo), Asst.Prof.Dr. ) sutarak2536@gmail.com (Phrakrusangkharak Sutharak Dhammarakkho, Mr.Asawin Kongchumnan) Thu, 26 Jun 2025 09:33:44 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดกรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281569 <p><strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์</strong><strong> 1) </strong><strong>เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong> </strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong> </strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> 2) </strong><strong>เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong> </strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong> </strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> 3) </strong><strong>เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong> </strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong> </strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong> </strong><strong>กลุ่มตัวอย่างได้แก่</strong><strong> </strong><strong>ผู้บริหารสถานศึกษา</strong><strong> </strong><strong>ครูการศึกษาพิเศษ</strong><strong> </strong><strong>จากโรงเรียนเรียนร่วมของสังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong>กลุ่มเขตกรุงธนใต้</strong><strong> </strong><strong>จำนวน</strong><strong> 317 </strong><strong>คน จากประชากร จำนวน </strong>1,733<strong> </strong><strong>คน</strong><strong> </strong><strong>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย</strong><strong> </strong><strong>ได้แก่</strong><strong> </strong><strong>แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์</strong><strong> </strong><strong>ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong> </strong><strong>แบบประเมินความแหมาะสมและความเป็นไปได้</strong><strong> </strong><strong>สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์</strong><strong> </strong><strong>ได้แก่</strong><strong> </strong><strong>ร้อยละ</strong><strong> </strong><strong>ค่าเฉลี่ย</strong><strong> </strong><strong>และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</strong><strong> </strong></p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li><strong>สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong>โดยรวมอยู่ในระดับมาก </strong>( =3.78, S.D. = 0.66)<strong> </strong><strong>และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong> </strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong> </strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong>โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</strong> ( = 4.96, S.D. = 0.14)</li> <li><strong>ความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong>โดยพบว่า</strong><strong> </strong><strong>องค์ประกอบทางด้านสภาพแวดล้อม</strong><strong> </strong><strong>มีค่าความต้องการจำเป็น อยู่ในระดับมากที่สุด </strong></li> <li><strong>แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของโรงเรียนเรียนร่วม</strong><strong>กลุ่มกรุงธนใต้</strong><strong>สังกัดกรุงเทพมหานคร</strong><strong> </strong><strong>ประกอบด้วย</strong><strong> 1) </strong><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong> 2) </strong><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> 3) </strong><strong>แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษา</strong><strong> 4) </strong><strong>กลไกการบริหารจัดการ</strong><strong> </strong><strong>และ</strong><strong> 5) </strong><strong>แนวทางการนำไปใช้ พบว่ามีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</strong></li> </ol> สุดารัตน์ แสงสุวรรณ, สุทธิพงศ์ บุญผดุง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281569 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281354 <p>การวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ให้เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80 2. ศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบผสมผสานกับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และ 4. เปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการเรียน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบผสมผสานกับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงกึ่งทดลอง ประชากรประกอบด้วยนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 480 คน จำนวน 6 ห้องเรียน กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จำนวน 3 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย ประกอบด้วย (1) ชุดการเรียนวิชา GH101 จริยธรรมและทักษะชีวิต เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยรวมคิดเป็นร้อยละ 33 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 80</li> <li>2.ค่าความก้าวหน้าทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เท่ากับ 68</li> <li>3.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานสูงกว่านักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.01</li> <li>4.นักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน มีความพึงพอใจโดยรวมมากกว่านักศึกษาที่ได้เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> </ol> นันทวัฒน์ ภัทรกรนันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281354 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารความขัดแย้งของอาจารย์ สาขาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281496 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของอาจารย์ สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (2) ความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับการบริหารความขัดแย้งของอาจารย์สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และ (3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารความขัดแย้งของอาจารย์สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหามีค่าระหว่าง 0.67-1.00 ทุกข้อคำถาม และความเชื่อมั่นของแบบสอบถามมีค่า 0.92 กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาระดับการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 169 คน ได้จากวิธีสุ่มแบบการสุ่มอย่างง่าย(Simple Random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของอาจารย์ สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.12) </p> <p>(2) การบริหารความขัดแย้งของอาจารย์สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.25) </p> <p>(3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารความขัดแย้งของอาจารย์ สาขาการบริหารการศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับสูงแบบคล้อยตามกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p> พรหมพิริยะ พนาสนธิ์, กรปภา เจริญชันษา, สมคิด สกุลสถาปัตย์, ประพจน์ แย้มทิม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281496 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283709 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัด<br />การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 และ <br />(2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS <br />กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักศึกษาชั้นปริญญาตรีปีที่ 2/1 ของวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับสลากห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนบริหารการสอน วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 ซึ่งมีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.37-0.77 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.24-0.83 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที <em>(</em>t–test)<em> </em><em>แบบ </em>Dependent </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>(1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />ที่ระดับ .05</p> <p>(2) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานตามรูปแบบ READS วิชาวิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ ชั้นปริญญาตรีปีที่ 2 โดยภาพรวม นักศึกษามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( = 4.41, S.D. = 0.32)</p> วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283709 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 มโนอุปลักษณ์ “น้ำ” ในสำนวนไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284189 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของ “น้ำ” ในสำนวนไทย โดยใช้แนวคิด อุปลักษณ์ทางภาษาศาสตร์ของเลคอฟและจอห์นสัน ผู้วิจัยได้ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลตัวบท “สำนวนไทย” จำนวน 126 สำนวน จัดเป็นกลุ่มได้ 11 กลุ่ม แล้วจึงนำมาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มีมโนอุปลักษณ์ “น้ำ” 11 รูปแบบ ได้แก่ [น้ำคือการเปลี่ยนแปลง] [น้ำคือพื้นที่] [น้ำคือความสอดคล้องกลมกลืน] [น้ำคือความสัมพันธ์] [น้ำคือเวลา] [น้ำคือสิ่งขัดขวางและคุกคาม] [น้ำคือความผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา] [น้ำคือสาระสำคัญ ผลประโยชน์ และความสมบูรณ์] [น้ำคือความเหลวไหลและล้มเหลว] [น้ำคือความรู้ความสามารถ] และ [น้ำคือความดีงามและบริสุทธิ์]</p> ปราโมทย์ ระวิน, รัตนชัย ปรีชาพงศ์กิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284189 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครู https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284145 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครู มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ <br />2) พัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ 3) ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ <br />และ 4) ประเมินรูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบการนิเทศภายใน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ ขั้นตอนที่ 3 <br />การทดลองใช้การนิเทศแบบบูรณาการ ขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทดลองรูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ ได้แก่ ครูโรงเรียนบ้านแวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามรูปแบบการนิเทศ แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบรายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การศึกษาองค์ประกอบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ มี 4องค์ประกอบ ได้แก่องค์ประกอบที่ 1 หลักการ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ออกแบบและวางแผนการนิเทศ ขั้นตอนที่ 2 ขั้นดำเนินการนิเทศ ขั้นตอนที่ 3 ขั้นประเมินผลการนิเทศ และองค์ประกอบที่ 4 การประเมิน</li> <li>การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ มี 4องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการของรูปแบบ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ออกแบบและวางแผนการนิเทศ ขั้นตอนที่ 2 ขั้นดำเนินการนิเทศ ขั้นตอนที่ 3 ขั้นประเมินผลการนิเทศ และองค์ประกอบที่ 4 การประเมินรูปแบบ </li> <li>3. การทดลองใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ ทดลองใช้กับครู จำนวน 10 คน ใช้ระยะเวลา<br />ในการนิเทศก์จำนวน8 ครั้ง ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ คือ ขั้นตอนที่ 1 การออกแบบและการวางแผนการนิเทศ ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการนิเทศ มี 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านการเตรียมการก่อนการนิเทศ ด้านที่ 2 ด้านการดำเนินการนิเทศ ด้านที่ 3 ด้านการสรุปผลการนิเทศ และขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลการนิเทศ</li> <li>4. การประเมินรูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ พบว่า1)สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครู <br />ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้หลักของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบบูรณาการ<br />ในภาพรวมสูงขึ้น 3) ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการนิเทศภายใน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> ภัทราวุธ โคตรเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284145 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ Agri-Map ร่วมกับ ChatGPT ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารทางการเกษตร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283997 <p><strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการการใช้ </strong>Agri-Map<strong> </strong><strong>ร่วมกับ </strong>ChatGPT<strong> </strong><strong>ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารทางการเกษตร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน </strong>24<strong> </strong><strong>คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาดังกล่าว ภาคการศึกษาที่ </strong>2<strong> </strong><strong>ปีการศึกษา </strong>2567<strong> </strong><strong>สังกัดคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี โดยทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง </strong><strong>(</strong>Purposive Sampling)<strong> </strong><strong>เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม ซึ่งได้รับการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา </strong><strong>(</strong>Content Validity)<strong> </strong><strong>โดยผู้เชี่ยวชาญ </strong>3<strong> </strong><strong>ท่าน พบว่า</strong><strong> </strong><strong>มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ </strong><strong>(</strong>Index of Item-Objective Congruence: IOC)<strong> </strong><strong>ที่ระดับ</strong> 0.67–1.00<strong> </strong><strong>และมีค่าความเชื่อมั่น </strong><strong>(</strong>Reliability)<strong> </strong><strong>ของแบบสอบถามโดยรวม เท่ากับ </strong>0.85 (Cronbach's Alpha)</p> <p><strong>ผลการวิจัยบ่งชี้ว่า นักศึกษามีความพึงพอใจโดยรวมต่อการเรียนรู้โดยใช้ </strong>Agri-Map<strong> </strong><strong>ร่วมกับ </strong>ChatGPT<strong> </strong><strong>ในระดับมาก </strong><strong>(</strong>M = 4.26, SD = 0.44)<strong> </strong><strong>เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า ด้านวิธีการสอนมีระดับความพึงพอใจสูงที่สุด </strong><strong>(</strong>M = 4.35, SD = 0.48)<strong> </strong><strong>รองลงมาคือ ด้านเนื้อหา </strong><strong>(</strong>M = 4.33, SD = 0.47)<strong> </strong><strong>ด้านการวัดผลประเมินผล </strong><strong>(</strong>M = 4.24, SD = 0.43)<strong> </strong><strong>ด้านภาพรวม </strong><strong>(</strong>M = 4.19, SD = 0.40)<strong> </strong><strong>และด้านสื่อการสอน</strong><strong> </strong><strong>มีระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด </strong><strong>(</strong>M = 4.17, SD = 0.38)<strong> </strong><strong>ในส่วนของรายการประเมินย่อย พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อ </strong><strong>"</strong><strong>ความเหมาะสมของเนื้อหาที่นำเสนอ</strong><strong>" (</strong>M = 4.50, SD = 0.51)<strong> </strong><strong>และ </strong><strong>"</strong><strong>รูปแบบของกิจกรรมในชั้นเรียน</strong><strong>" (</strong>M = 4.50, SD = 0.44)<strong> </strong><strong>มากที่สุด ในขณะที่ </strong><strong>"</strong><strong>ความเหมาะสมของเอกสารประกอบ</strong><strong>" </strong><strong>มีระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด </strong><strong>(</strong>M = 4.00, SD = 0.20)<strong> </strong><strong>ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้ </strong>Agri-Map<strong> </strong><strong>ร่วมกับ </strong>ChatGPT<strong> </strong><strong>มีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ควรมีการปรับปรุงและพัฒนาสื่อการสอนให้มีความน่าสนใจและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ</strong></p> กตญ มหาชนะวงศ์ สุวรรณแพทย์, พิสิษฐ์ สุวรรณแพทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283997 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 MODERATED MEDIATION MODEL OF TEAM CONFLICT AND CONFLICT MANAGEMENT APPROACH ON RELATIONSHIP BETWEEN CREATIVE LEADERSHIP AND TEACHER INNOVATION PERFORMANCE IN PUBLIC UNIVERSITIES, GUANGDONG PROVINCE https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/282471 <p>The objectives of this research were (1) To research on the Impact of Creative Leadership in Public Universities in Guangdong Province on Teachers' Innovation Performance. (2) To research the mediating role of team conflict in creative leadership and teacher innovation performance in public universities in Guangdong Province, and (3) To research the moderating effect of conflict management methods on team conflict and teacher innovation performance. The population of this research were 2749 teachers engaged in design and art education at 21 public higher education institutions in Guangdong Province. The sample was determined using G* Power software and included 547 teachers, selected through a proportional stratified random sampling method. The data were collected using a five-point rating scale questionnaire. The statistical methods used for data analysis included confirmatory factor analysis and structural equation modeling.</p> <p>The research results indicated that: </p> <p>(1) Creative leadership positively affected the innovation performance of teachers in public universities in Guangdong Province;</p> <p>(2) Team conflict in public universities in Guangdong Province had a mediating effect between creative leadership and teacher innovation performance, with stronger creative leadership leading to weaker team conflict; </p> <p>(3) The conflict management approach had a moderating effect on team conflict and teacher innovation performance. When conflict management was at a high level, weaker conflict was associated with higher teacher innovation performance. The above conclusions suggested that creative leadership in universities enhanced teachers' innovation performance and further promoted innovation by reducing team conflicts, while high-level conflict management methods mitigated the adverse effects of conflicts on innovation. Therefore, university administrators should have focused on cultivating creative leadership, managing team conflicts effectively, and improving conflict management skills to foster the innovative development of universities</p> Wang Jing, Sukhum Moonmuang, sataporn Pruettikul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/282471 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 MEDIATING EFFECTS OF TEAM TRUST AND TEAM INTERACTIVE BEHAVIOR ON RELATIONSHIP BETWEEN FLEXIBLE LEADERSHIP AND INNOVATION TEAM EFFECTIVENESS IN UNIVERSITIES IN GREATER BAY AREA https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/282473 <p>The objectives of this research were: (1) to study the components of team trust, team interactive behavior, flexible leadership and innovation team effectiveness. (2) to develop a model of mediating effects of team trust and team interactive behavior on the relationship between flexible leadership and innovation team effectiveness in universities, and (3) to verify the effect of team trust, team interactive behavior and flexible leadership effect on the innovation team effectiveness in Universities in Greater Bay Area. The population of this research were 4,883 teachers working in universities in the Guangdong Hong Kong Macao Greater Bay Area, Republic of China. The sample was determined by G*power, total 539 teachers and were obtained by proportional stratified random sampling method. The statistical for data analysis includes Confirmatory Factor Analysis and Structural Equation Modeling.</p> <p>The research found that : (1) The flexible leadership was seven components include; Planning ability, Adaptability, guidance ability, control ability, caring ability, resilience ability and growth ability. The Innovation team effectiveness was three components include; innovation task performance, cooperation satisfaction and team growth. The team trust was two components include; cognitive trust and emotional trust, and the team interactive behavior was four components include; team support, team communication, team work and knowledge sharing; (2) The mediating effects of team trust and team interactive behavior on relationship between flexible leadership and innovation team effectiveness in the Greater Bay Area fit well with empirical data. And (3) Flexible leadership, Team trust and team innovative behavior had a positive effect on the innovation team effectiveness. In addition, the Flexible leadership could be positive indirect effect on team innovative effectiveness through team trust and team interactive behavior, which were as mediation effect. So, in organization should be promoting all of them togethers for innovation team effectiveness improvement.</p> Zhang Hongwei, sataporn Pruettikul, Sukhum Moonmuang ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/282473 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 A COMPARATIVE STUDY OF HEADLINE WRITING IN BUSINESS NEWS https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284532 <p>The objective of this research were to 1) investigate the headline writing techniques in Business News in the Bangkok Post, The New York Times, and the Financial Times, 2) analyze the frequency of occurrence of various headline-writing techniques in business news across The Bangkok Post, The New York Times, and The Financial Times and 3) compare the frequency of occurrence of each headline-writing technique in business news among The Bangkok Post, The New York Times, and The Financial Times. The sample included headlines published from August to October 2023, with a total of 700 headlines including The Bangkok Post: 255 headlines, The New York Times: 273 headlines, and The Financial Times: 172 headlines. Statistics used in data analysis include frequency and percentage.</p> <p>The research results found that :</p> <p>(1) Out of 10 techniques in the study, the Bangkok Post deployed eight techniques while the Financial Times and the New York Times deployed only seven and six techniques respectively. Two techniques-colon for ‘say’ and nominalization-were not found at all in any of the newspapers.</p> <p>(2) The Bangkok Post got the most occurrences of loaded words (f=149, 38.21%), followed by the use of present simple tense (f=130, 33.33%). In the Financial Times, the most dominant technique observed was the use of loaded words with 147 occurrences (40.61%) with the present simple tense (f=131, 36.19%.) coming in second. The New York Times, which only six techniques were observed, had the most frequently used technique in loaded word with 156 occurrences (49.21%) and the use of simple tense is second with 111 occurrences (35.02%).</p> <p>(3) Their most frequently used technique and also the top 4 techniques were the same, namely; loaded words, present simple tense, omission of auxiliary verbs and idioms. The use of loaded words was found the most in all the three media. The New York Times has the most frequently used technique in loaded words with 156 occurrences (49.21%) while The Financial Times (f=147, 40.61%) and The Bangkok Post (f=149, 38.21%). The use of present simple tense was also ranked second in all three newspapers.</p> Kittipong Thongsombat, Chanika Chatdecha ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/284532 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การกำเนิดของรัฐตามที่ปรากฏอยู่ในอัคคัญญสูตรของพระพุทธศาสนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281606 <p>บทความวิชาการรัฐศาสตร์เชิงพุทธเรื่อง “การกำเนิดของรัฐตามที่ปรากฏอยู่ในอัคคัญญสูตรของพระพุทธศาสนา” เบื้องต้นกล่าวถึงแนวคิดเรื่องกำเนิดของรัฐของนักคิดชาวตะวันตกใน 4 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีแสนยานุภาพ ทฤษฎีธรรมชาติ ทฤษฎีเทวสิทธิ์ และทฤษฎีสัญญาประชาคม ติดตามมาด้วยทฤษฎีแนวคิดเรื่องกำเนิดของรัฐในพระพุทธศาสนา ที่มีกล่าวถึงในอัคคัญญสูตร สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับทฤษฎีสัญญาประชาคมของนักคิดในฝ่ายประเทศตะวันตกทั้ง 3 คน คือ ธอมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อค และฌอง ฌาคส์ รุสโซ เพียงแต่ว่าทฤษฎีสัญญาประชาคมของพุทธศาสนามีความเก่าแก่มากกว่าทฤษฎีของชาวตะวันตกกว่า 2,000 ปีเท่านั้นเอง</p> กรุณา มธุลาภรังสรรค์, ทองใบ ธีรานันทางกูร, พระมหาจิรทิปต์ อาจิตฺตปุญฺโญ, เจริญ ทุนชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281606 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้หลักกรรมในมหากัมมวิภังคสูตรเพื่อการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในสังคมไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283818 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักกรรมในมหากัมมวิภังคสูตรเพื่อการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในสังคมไทย ผลการศึกษาพบว่า มหากัมมวิภังคสูตรเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องกรรมของบุคคล 4 จำพวก ใช้ตอบคำถามที่มีความล้ำลึกละเอียดซับซ้อนต้องอาศัยปัญญาพิจารณาปัจจัยองค์ประกอบ ทั้งที่เป็นเหตุไกล และเหตุใกล้ อันเป็นผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต กฎแห่งกรรมในพุทธศาสนาสามารถแยกพิจารณาได้ 2 ประเด็น คือ 1) กฎแห่งกรรมในฐานะกฎธรรมชาติ เป็นกฎแห่งเหตุและผล มีความแน่นอนในการให้ผลของกรรม โดยทั้งหมดดำเนินไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา และ 2) กฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม กฎแห่งศีลธรรมนั้นครอบคลุมเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีเจตจำนงเสรีได้เท่านั้น เพราะสามารถกำหนดพฤติกรรมเป็นดีหรือชั่วตามมาตรฐานศีลธรรมที่ใช้ในสังคมมนุษย์ วิธีที่จะทำให้ถึงความดับกรรมคือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นทางสายกลาง อันเป็นทางปฏิบัติอันนำไปสู่การบรรลุธรรม และการดับทุกข์ การประยุกต์ใช้หลักกรรมในมหากัมมวิภังคสูตรเพื่อการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในสังคมไทย ทำให้มองเห็นคุณค่าของการรับผิดชอบต่อการกระทำ และความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความคิดพฤติกรรมของตนเอง 3 ด้าน คือ 1) ด้านการมีศรัทธาและเชื่อมั่นในเรื่องกรรม 2) ด้านการมีความกระตือรือร้นในการทำกรรมดี และ 3) ด้านการไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต</p> พระไชยะณัฏฐ์ อธิปญฺโญ (ปิดโพธิ์), พระมหาสุพร รกฺขิตธมฺโม (ปวงกลาง) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283818 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การบริหารโรงเรียน สู่ความเป็นเลิศทางการศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283826 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์นำเสนอแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหลักการและแนวคิดที่สำคัญในการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศ เช่น การบริหารเชิงกลยุทธ์ การวางแผนกลยุทธ์ และการประเมินผลการดำเนินงาน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารสู่ความเป็นเลิศ เพื่อเน้นย้ำว่าการบริหารที่มีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นความเป็นเลิศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและความสำเร็จของโรงเรียนเสนอแนวทางการพัฒนาโรงเรียน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำแนวคิดและทฤษฎีที่นำเสนอไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโรงเรียนของตนเองให้บรรลุสู่ความเป็นเลิศทางการศึกษา สิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับจากบทความ คือความเข้าใจในแนวคิดและทฤษฎีการบริหารสู่ความเป็นเลิศ ผู้อ่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญในการบริหารโรงเรียน เช่น การบริหารเชิงกลยุทธ์ การวางแผนกลยุทธ์ และการประเมินผลการดำเนินงาน แนวทางการประยุกต์ใช้ในบริบทของตนเอง ผู้อ่านจะสามารถนำแนวคิดและทฤษฎีที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโรงเรียนของตนเองให้บรรลุความเป็นเลิศทางการศึกษา เทคโนโลยีทางการศึกษา ภาวะผู้นำทางการศึกษา การนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโรงเรียน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของโรงเรียนผู้บริหารควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของโรงเรียน เพื่อระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่มีผลต่อการดำเนินงานของโรงเรียน การกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ผู้บริหารควรกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นเลิศทางการศึกษาได้ การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติผู้บริหารควรดำเนินการตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของครู นักเรียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินผลและการปรับปรุง ผู้บริหารควรทำการประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ และปรับปรุงกลยุทธ์ตามความเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุความเป็นเลิศทางการศึกษาได้อย่างยั่งยืน</p> ลัดดาวัลย์ จันลา, วีระกุล อรัณยะนาค, สุวิทย์ ภาณุจารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283826 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283769 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยวิเคราะห์บริบทการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษา แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วม รูปแบบและกระบวนการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมในยุคดิจิทัล ตลอดจนเสนอ แนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมในบริบทการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของไทย ผลการศึกษาพบว่า การบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบและกระบวนการให้สอดคล้องกับบริบทของการเปลี่ยนแปลง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทังนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมในยุคดิจิทัล ได้แก่ ภาวะผู้นำดิจิทัล การพัฒนาทักษะดิจิทัลของบุคลากร การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เหมาะสม</p> สายเพ็ญ สังคณี, วีระกุล อรัณยะนาค, สุวิทย์ ภาณุจารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/283769 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ANALYSIS OF OPTIMIZATION STRATEGIES FOR HUMAN RESOURCES IN CHINESE UNIVERSITIES https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281484 <p>As a key base for talent cultivation, universities must fully recognize human resource management’s importance. Scientific and reasonable management strategies can significantly improve the overall efficiency of human resource allocation, laying a solid foundation for university teaching work. This article is based on the current situation of human resource management in universities, and explains the "Pareto optimality" state of human resources in management theory. It delves into the prevalent issues within university human resource management and suggests that universities strategically bolster the integration of information technology and meticulous talent management, emphasizing talent cultivation and development to provide valuable reference ideas and useful insights for the reform and innovation of human resource management in universities.</p> Wen Hongrui, Mattana Wangthanomsak, Sukanya Somsuptrakul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิสิตวัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jonw/article/view/281484 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700