https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/issue/feed วารสารวิจยวิชาการ 2025-03-02T15:56:47+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัครเดช พรหมกัลป์ journal.jra@gmail.com Open Journal Systems <p><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/jra/White_Minimalist_Elegant_Handwritten_LinkedIn_Banner_(1).png" width="648" height="162" /> </p> <p> </p> <p><strong> วารสารวิจยวิชากา</strong>ร มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิจารณ์หนังสือที่เป็นภาษาไทยและมีข้อค้นพบ ข้อเสนอแนะที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงความคิดริเริ่มที่มีผลกระทบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติในวงกว้าง อีกทั้งยังมุ่งหมายที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการศึกษา การสอน โดยเน้นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา การบริหารการศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการชุมชน รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ วารสารวิจยวิชาการได้เริ่มจัดทำและตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 จะมีการเผยแพร่ระบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว โดยมีหมายเลข ISSN 2985-0053 (Online) </p> <p> </p> <p> </p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272218 การพัฒนาภูมินิเวศน์ธรรมชาติผ่านกระบวนการจัดการความรู้ร่วมกับชุมชนพื้นที่ทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก 2024-04-27T12:24:51+07:00 พระครูรัตนสุตาภรณ์ tandej@hotmail.com พระราชรัตนสุธี khun83@hotmail.com พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ suthepdee55@gmail.com พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี mcu.pl@mcu.ac.th พระสันต์ทัศน์ คมฺภีรปญฺโญ santas.kam@mcu.ac.th ณัฏยาณี บุญทองคำ kboontongkham@gmail.com กษิดิศร์ ชื่นวิทยา mcu.pl@mcu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภูมินิเวศทุ่งแสลงหลวง และ 2) ศึกษาการพัฒนาระบบภูมินิเวศด้วยการจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เป็นตัวแทนชุมชน หน่วยงานภาครัฐ พระสงฆ์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเนินมะปราง จำนวน 30 คน ประชุมกลุ่มย่อย จำนวน 10 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการพัฒนาภูมินิเวศทุ่งแสลงหลวงมี มี 2 ประเด็น คือ 1.1) ด้านองค์ความรู้ โดยการสร้างเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือให้คำแนะนำด้านองค์ความรู้ และการรักษาภูมิปัญญา โดยใช้วัดในชุมชนเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูล เป็นแหล่งศูนย์รวมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน และ 1.2) ด้านการจัดการความรู้ เป็นการจัดแนวทางการเรียนรู้เพื่อตอบสนองชุมชนท้องถิ่นในด้านการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยใช้รูปแบบการมีส่วนร่วม ระหว่างชุมชน ท้องถิ่นและหน่วยงานของรัฐ ในการจัดการสร้างกระบวนการจัดการความรู้ร่วมกับชุมชน ได้แก่ การสร้างฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น การส่งเสริมกิจกรรมสำนึกรักบ้านเกิด เพื่อรักษาและสืบทอดภูมิปัญญาในท้องถิ่น โดยหน่วยงานจัดสถานที่เหมาะสมในวัดเป็นจุดบูรณาการต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่สามารถศึกษาความรู้ ข้อมูลอัตลักษณ์ชุมชนได้ตลอดทั้งปี และ 2) การพัฒนาระบบภูมินิเวศด้วยการจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมกับชุมชน พบว่า 2.1) การให้การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ให้รู้จักธรรมชาติ ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ โดยให้มีการศึกษาถึง นิเวศวิทยา และความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ในการดำรงชีวิต ให้ผสมกลมกลืน กับธรรมชาติที่อยู่โดยรอบ 2.2) การสร้างจิตสำนึกแห่งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นการทำให้บุคคล เห็นคุณค่าและตระหนัก ในสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ โดยการให้การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาจิตใจ ของบุคคล 3) การส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยให้เอื้อต่อสิ่งแวดล้อม ดำรงชีวิต จะเป็นสิ่งที่เกิดตามมา จากการให้การศึกษาและการสร้างจิตสำนึก ทำให้มีการดำรงชีวิต โดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติ</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273125 การพัฒนางานสาธารณสงเคราะห์ด้วยยาสมุนไพรของพระสงฆ์ไทย 2024-05-17T00:11:25+07:00 พระครูธรรมธรปิยะ ปิยชโน (ภูรีปรีชาเลิศ) sombat01011986@gmail.com พระมหาไฮ้ ธมฺมเมธี hai.tham@mcu.ac.th ศิริโรจน์ นามเสนา namsena@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพงานสาธารณสงเคราะห์ด้วยยาสมุนไพรของพระสงฆ์ไทย 2) พัฒนางานสาธารณสงเคราะห์ด้วยยาสมุนไพรของพระสงฆ์ไทย และ 3) นำเสนอการพัฒนางานสาธารณสงเคราะห์ด้วยยาสมุนไพรของพระสงฆ์ไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบวิจัยภาคสนาม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวิจัยโดยใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เชิงลึกรวม 19 รูป/คน สนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูป/คน สถิติที่ใช้เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นแบบวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาอธิบาย ผลการวิจัย พบว่า 1) งานด้านการสาธารณสงเคราะห์ ในพระพุทธศาสนาได้ปรากฏเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์และการพัฒนาชุมชน ทั้งในรูปของนิทาน คำสอน และบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมาย เรื่องเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาสนับสนุนการเข้าไปมีหน้าที่และบทบาทในสังคมของพระภิกษุสงฆ์ และยกย่องการกระทำที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขต่อสาธารณชน 2) งานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ไทย เป็นการจัดให้การสงเคราะห์ในด้านต่าง ๆ แก่ประชาชนผู้อุปถัมภ์บำรุงวัด ทายกทายิกาของวัดหรือประชาชนทั่วไป วัดเป็นส่วนหนึ่งของสังคม วัดอยู่ได้ก็ต้องพึ่งบ้านและบ้านอยู่ได้ก็ต้องพึ่งวัด วัดเป็นศูนย์กลางของสังคม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชน เมื่อประชาชนเดือดร้อนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็เป็นหน้าที่ของวัดจะต้องจัดการสงเคราะห์ช่วยเหลือ และ 3) การพัฒนางานสาธารณสงเคราะห์ด้วยยาสมุนไพรของพระสงฆ์ไทย ด้านแพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ที่จะเป็นแพทย์จะต้องมีความรู้ในเรื่องยารักษาโรคเป็นอย่างดี และใช้ยากับผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง ถูกโรคและถูกวิธีอีกด้วย ด้านจิตใจต้องมีการนำหลักการวิปัสสนากรรมฐานมาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยเพื่อยกระดับจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข ด้านสถานที่ต้องจัดห้องพยาบาลจัดระบบบำบัดสิ่งปฏิกูลภายในวัดให้เป็นระบบไม่ให้เกิดมลภาวะ มีความสัปปายะกับผู้มารักษา</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272125 รูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 4 ตามหลักอิทธิบาท 4 2024-05-17T00:06:22+07:00 พระครูวินิตธรรมาทร (สมพร นิ่มนวล) p5570204023@gmail.com วรกฤต เถื่อนช้าง mcu.nakhonsawan@gmail.com พระเทพวชิรเมธี (วีระ วรปญฺโญ) p5570204023@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการ 2) สร้างรูปแบบ และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 4 ตามหลักอิทธิบาท 4 เป็นการวิจัยผสานวิธี ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และระยะที่ 2 สนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และการวิจัยเชิงปริมาณใน ระยะที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลค่าความถี่ ค่าร้อยละ นำเสนอผลการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนพระปริยัติธรรม พบว่า การดำเนินการบริหารงานวิชาการพบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กมีปัญหาในการดำเนินงานค่อนข้างมาก ทั้งด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการบริหารหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมทางด้านวิชาการ ด้านการจัดสื่อการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อ คุณภาพทางการศึกษาของนักเรียนทั้งสิ้น การบริหารสถานศึกษาจึงเป็นภารกิจของผู้บริหารที่ต้องกำหนดแบบแผน วิธีการ และขั้นตอนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้งานบรรลุจุดมุ่งหมายที่วางไว้ 2) ผลการสร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการบริหารหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมทาง ด้านวิชาการ ด้านการจัดสื่อการเรียนรู้ ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ ทั้ง 6 ด้าน มีรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้านละ 4 รูปแบบ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบรูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ทั้ง 6 ด้าน ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273126 การพัฒนาอินทรีย์ 5 ของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสิงห์บุรี 2024-05-17T00:11:56+07:00 พระมหาภัทรชัย กิจฺจชโย (เพียรประกิจ) sombat01011986@gmail.com พระมหาไฮ้ ธมฺมเมธี hai.tham@mcu.ac.th ศิริโรจน์ นามเสนา namsena@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาอินทรีย์ 5 ของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสิงห์บุรี 2) พัฒนาอินทรีย์ 5 ของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสิงห์บุรี และ 3) นำเสนอการพัฒนาอินทรีย์ 5 ของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสิงห์บุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบวิจัยภาคสนาม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวิจัยโดยใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เชิงลึกรวม 21 รูป/คน สนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูป/คน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการพัฒนาอินทรียผู้ปฏิบัติต้องปรับคุณธรรมเหล่านี้ให้สมดุลกัน สัทธากับปัญญา หากศรัทธามากไปจักทำให้เป็นผู้เชื่อโดยงมงาย จึงจำเป็นต้องเจริญปัญญาให้มากขึ้นเพื่อรู้ตามความเป็นจริง 2) การพัฒนาอินทรีย์ 5 เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อการปฏิบัติ คือ สำนักปฏิบัติที่ร่มรื่น สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย มีสถานที่ปฏิบัติที่มีความพร้อม และ 3) แนวทางการพัฒนาอินทรีย์ 5 เริ่มต้นจากการศึกษาเล่าเรียนและคิดวิเคราะห์ วิจัย ตั้งสมติฐาน ถกเถียงหาเหตุผล ยังไม่เพียงพอที่จักเป็นใหญ่ หรือเป็นอินทรีย์ได้ ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติลงมือทดลองดำเนินการด้วยประสบการณ์ตรง ที่เรียกว่าภาวนา ทำให้มี ทำให้เจริญ มีสติระลึกรู้สภาพธรรมตามเป็นจริงในขณะปัจจุบัน</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273230 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสตรีมโฟร์อินโนเวเตอร์ร่วมกับเกมเป็นฐาน เรื่อง แอนิเมชัน สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 2024-05-16T23:45:54+07:00 ศักรินทร์ ยอดแก้ว thunyavadeeg@gmail.com ธัญวดี กำจัดภัย thunyavadeeg@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสตรีมโฟร์อินโนเวเตอร์ร่วมกับเกมเป็นฐาน เรื่อง แอนิเมชัน สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยกลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนมัธยมศึกษา ปีที่ 4.13 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยีการแก้ปัญหา แบบประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยรูปแบบสตรีมโฟร์อินโนเวเตอร์ร่วมกับเกมเป็นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test Dependent ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเดิมเป็นรูปแบบการสอน แบบบรรยายที่ไม่มีการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่ส่งผลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสตรีมโฟร์อินโนเวเตอร์ร่วมกับเกมเป็นฐาน มีความพึงพอใจในภาพรวมค่าเฉลี่ย 4.74 อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/271844 การสร้างสื่อเพื่อส่งเสริมทักษะฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ กรณีศึกษานักศึกษาครูสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา 2024-06-04T18:14:46+07:00 ขวัญดาว ปิ่นทองพันธุ์ khwandaw.pi@skru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การสร้างสื่อเพื่อส่งเสริมทักษะฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ และ 2) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อสื่อด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ใช้ในการเลือกและติดตามการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสังคมศึกษา โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาที่ลงทะเบียนภาคเรียนที่ 2/2564 ในรายวิชาการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา และรายวิชาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูภาคเรียนที่ 1/2565 จำนวน 27 คน และอาจารย์นิเทศ 6 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบประเมินสื่อส่งเสริมทักษะฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการประเมินสื่อส่งเสริมทักษะฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ด้านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์มีความน่าเชื่อถือความแม่นยำด้านระยะทาง การจัดแบ่งโซนการนิเทศโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 4.59, S.D. = 0.62) 2) ด้านความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อการสร้างสื่อด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์สามารถนำไปใช้ประโยชน์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับความพึงพอใจมากสุดเท่ากับ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 4.63)</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273451 การพัฒนาทักษะการฟังผ่านภาพยนตร์การ์ตูนภาษาอังกฤษและการตั้งคำถามตามลำดับขั้นของ Revised Bloom’s Taxonomy สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-05-16T23:46:15+07:00 พิมพ์พลอย จันทร pimploypj@gmail.com สุดากาญจน์ ปัทมดิลก sudakarnp@nu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการประยุกต์ใช้ภาพยนตร์การ์ตูนภาษา อังกฤษ และคำถามตามลำดับขั้นของ Revised Bloom’s Taxonomy ที่พัฒนาทักษะการฟังของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 190 คน วิชาเอกวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2562 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนจำนวน 46 คน คัดเลือกด้วยวิธีแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบการฟังก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การสร้างคำถามตามลำดับขั้นของ Revised Bloom’s Taxonomy เพื่อทดสอบพัฒนาการด้านทักษะการฟังของนักเรียน 2) ภาพยนตร์การ์ตูนภาษาอังกฤษ 3) แผนการสอน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมที่ออกแบบไว้ในแผนการสอน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้คะแนนเฉลี่ยคำนวณคะแนนของนักเรียนแต่ละคน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test dependent ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังจากศึกษาภาพยนตร์การ์ตูน และมีระดับความพึงพอใจต่อกิจกรรมในห้องเรียนอยู่ในระดับพอใจมาก รวมทั้งได้ข้อสรุปว่าภาพยนตร์การ์ตูนภาษาอังกฤษสามารถนำมาใช้เป็นสื่อการสอนภาษาอังกฤษแบบทางเลือก ร่วมกับการเลือกใช้สื่อมัลติมีเดียที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นต่อไป</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272067 แนวทางการจัดการความเสี่ยงของอุตสาหกรรมการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ ภาคตะวันตกของประเทศไทย 2024-06-04T18:15:51+07:00 อัศนัย แย้มอาษา prakasit.mcu@gmail.com ทักษญา สง่าโยธิน taksayaja@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยความเสี่ยงภายในองค์กรและนอกองค์กร 2) วิเคราะห์ระดับและจัดลำดับความเสี่ยง 3) ศึกษาประเภทปัจจัยความเสี่ยง 4) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยเสี่ยงภายในองค์กร ภายนอกองค์กร ระดับและลำดับความเสี่ยง และปัจจัยมีอิทธิพลต่อการจัดการความเสี่ยง และ 5) นำเสนอแนวทางการจัดการความเสี่ยง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ที่คัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ เจ้าของกิจการ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญภาครัฐ จำนวน 30 คน และผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จำนวน 6 คน วิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทและนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยเสี่ยงภายในองค์กร คือ วัฒนธรรมองค์กร นโยบายการบริหาร แผนอัตรากำลัง กระบวนการทำงาน ระบบสารสนเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายนอกองค์กร คือ การลดต้นทุนการผลิต และสถานการณ์การเมือง ด้านการตลาดเกี่ยวกับการให้บริการ มาตรฐานคุณภาพสินค้า การพัฒนาและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ด้านแผนรองรับภัยธรรมชาติ กิจกรรม CSR และความเชื่อมั่นภาพลักษณ์องค์กร 2) ระดับและลำดับความเสี่ยงพิจารณาถึงโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ความถี่ที่จะเกิดความเสี่ยง แหล่งที่มาของความเสี่ยง ระดับความรุนแรงที่ส่งผลกระทบกับองค์กร ควรมีแผนการประเมินความเสี่ยงอย่างชัดเจน 3) ประเภทปัจจัยความเสี่ยง คือ ด้านการบริหาร ด้านกลยุทธ์การขายและการตลาด ด้านกลยุทธ์การแข่งขัน ด้านการดำเนินงาน ด้านการพัฒนาความสามารถของพนักงาน ด้านกากรปฏิบัติงาน ด้านกฎระเบียบ และด้านคู่มือการปฏิบัติงานให้ครบทุกขั้นตอน 4) ความสัมพันธ์ของปัจจัยความเสี่ยงภายในองค์กร ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม การบริหารงาน การบริหารคน กระบวนการทำงาน ระบบสารสนเทศ คู่แข่ง เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่น เป็นต้น และการจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง และ 5) แนวทางการจัดการความเสี่ยง โดยการกำจัดปัจจัยเสี่ยง ลดขนาดความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง และยอมรับความเสี่ยง โดยกระบวนการกำกับดูแล พัฒนากลยุทธ์ ปรับปรุงการการบริหารการเงิน และพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280383 การพัฒนากิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อพัฒนาความสามารถการเขียนบทความวิจัยและการนำเสนอผลงานวิจัยสำหรับครู 2025-01-13T00:18:12+07:00 จารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ jaruwan.pl@kmitl.ac.th <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสานที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสามารถในการเขียนบทความวิจัยและการนำเสนอผลงานวิชาการของครู 2) เปรียบเทียบระดับความรู้ของครูก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสาน 3) ศึกษาความสามารถในการเขียนบทความวิจัยและการนำเสนอผลงานวิชาการของครูภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรม และ 4) สำรวจระดับความพึงพอใจของครูที่เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสาน เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครู 60 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แผนกิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสาน สื่อประกอบการฝึกอบรม แบบวัดความรู้ก่อนและหลังการฝึกอบรม แบบประเมินการเขียนบทความและการนำเสนอ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม กิจกรรมการ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสานมีคุณภาพอยู่ในระดับเหมาะสมที่สุด 2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้หลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) 3) ความสามารถในการเขียนบทความและการนำเสนออยู่ในระดับดี และ 4) ความพึงพอใจต่อการฝึกอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลลัพธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรมการฝึกอบรมแบบผสมผสานในการพัฒนาทักษะและสร้างความพึงพอใจแก่ครู</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273814 พฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดของนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ 2024-06-17T22:05:34+07:00 ศุภกาณฑ์ เจริญสุข tidaza1969@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้ความเข้าใจเรื่องยาเสพติดของนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ และ 2) ศึกษาพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดของนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่นักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 200 คน โดยใช้สูตรการคำนวณของ Taro Yamane และใช้กรอบแนวคิดการวิจัยจากงานวิจัยของสมพงค์ ทองบริบูรณ์ โดยมีปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นตัวแปรต้น และมีพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดเป็นตัวแปรตาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามโดยหาค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 นำแบบสอบถามไปทดลองใช้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 30 ชุด ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .991 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความรู้ ความเข้าใจเรื่องยาเสพติดของนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า ส่วนมากเคยได้รับความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดร้อยละ 84.50 และ 2) พฤติกรรมการป้องกันตนเองจากยาเสพติดของนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่ 14 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.64)</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/276018 การศึกษาองค์ประกอบการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา 2024-08-15T16:39:47+07:00 รัตดาวรรณ วงค์คำจันทร์ beelaadaa1991@gmail.com วาโร เพ็งสวัสดิ์ waro_peng@yahoo.com เอกลักษณ์ เพียสา akkaluckpheasa@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสังเคราะห์องค์ประกอบโดยการศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 2 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความเหมาะสมองค์ประกอบการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า การบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา มี 9 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การสร้างความตระหนัก 2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม 3) การสร้างทีมผู้นำ 4) การสร้างวิสัยทัศน์ 5) การกำหนดกลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนแปลง 6) การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง 7) การสร้างการสื่อสารทุกช่องทาง 8) การรักษาการเปลี่ยนแปลงให้คงอยู่ และ 9) การควบคุมและการประเมินกลยุทธ์</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/275863 องค์ประกอบของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้บริหารวิทยาลัย สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก 2024-08-20T12:45:55+07:00 พีระ ดีเลิศ 76478010@aru.ac.th อัจฉรา นิยมาภา a.niyamabha@gmail.com ธีระวัฒน์ มอนไธสง teerawat_1974@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้บริหารวิทยาลัย สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพการศึกษาเฉพาะกรณี โดยใช้การศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ หาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง โดยการศึกษาเอกสารจำนวน 12 เล่ม และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 7 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย นักวิชาการด้านการบริหารการศึกษา จำนวน 3 คน และผู้บริหารวิทยาลัย จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณ์ และใช้วิธีการสร้างข้อสรุปข้อมูล โดยใช้วิธีการการตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพแบบสามเส้า ด้วยวิธีการเปรียบเทียบและตรวจสอบความแน่นอนของข้อมูลโดยนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบ ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้บริหารวิทยาลัย สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ ความรวดเร็ว ความถูกต้องแม่นยำ การบรรลุเป้าหมาย และการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวจะนำไปสู่การกำหนดองค์ประกอบ ตัวแปร และพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของผู้บริหารวิทยาลัย สังกัดสถาบันพระบรมราชชนกต่อไป</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274754 รูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน โรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ตามหลักอิทธิบาท 4 2024-08-14T10:55:40+07:00 ไพรัตน์ กลิ่นทับ pairat140415@gmail.com วรกฤต เถื่อนช้าง mcu.nakhonsawan@gmail.com พระมหาอุดร อุตฺตโร Udon921@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร 2) สร้างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ตามหลักอิทธิบาท 4 และ 3) ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ตามหลักอิทธิบาท 4 เป็นงานวิจัยเชิงผสานวิธี ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 คน ใช้แบบสัมภาษณ์ การจัดสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน โดยใช้แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และผู้เชี่ยวชาญประเมินรูปแบบ จำนวน 15 คน ใช้แบบประเมิน สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ประกอบด้วย ด้านการบริหารวิชาการ มีการพัฒนาหลักสูตร บูรณาการทักษะอาชีพกับรายวิชาอื่น ๆ นักเรียนได้ปฏิบัติจริง ด้านการบริหารงบประมาณ มีการจัดสรรงบประมาณ ทรัพยากร สื่อวัสดุ อุปกรณ์ และระดมทรัพยากรจากเครือข่ายมาร่วมจัดการเรียนการสอน ด้านการบริหารงานบุคคล มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ สร้างขวัญกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ยกย่อง สนับสนุนให้ก้าวหน้า ด้านการบริหารทั่วไป มีการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม สนับสนุนและจัดการศึกษา ใช้ PDCA ขับเคลื่อนงาน มีเป้าหมาย คือ นักเรียนมีทักษะอาชีพและมีรายได้ การสร้างเครือข่ายและการประสานงานช่วยให้การบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพสำเร็จ 2) ผลการสร้างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ตามหลักอิทธิบาท 4 พบว่า ด้านบริหารวิชาการ ได้รูปแบบ 12 แนวทาง ด้านบริหารงบประมาณ ได้ 10 แนวทาง ด้านบริหารงานบุคคล ได้ 6 แนวทาง ด้านบริหารทั่วไป ได้ 6 แนวทาง และ 3) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร ตามหลักอิทธิบาท 4 ทุกด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274645 รูปแบบความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในกรุงเทพมหานคร 2024-07-24T17:38:40+07:00 ทัชชกร แสงทองดี korn2945@gmail.com ชนิกา แสงทองดี chani2945@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในกรุงเทพมหานคร และ 2) นำเสนอรูปแบบความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการการวิจัยเชิงปริมาณ สำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติรวมถึงภาคประชาชนในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จำนวน 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการเลือกเจาะจง แห่งละ 50 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 500 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 คน จำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ นักท่องเที่ยวและภาคประชาสังคม และเจ้าหน้าที่รัฐ และการสนทนากลุ่มย่อยกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสนทนากลุ่ม &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พบว่า นักท่องเที่ยวมีความกังวลด้านความปลอดภัยในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ส่วนความคิดเห็นต่อการจัดการความปลอดภัยในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยเงื่อนไขที่สำคัญในการจัดการความปลอดภัยคือ การดำเนินการทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหา และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 2) รูปแบบการจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เหมาะสมครอบคลุมการจัดการความปลอดภัย 6 ด้าน ได้แก่ ด้านอาชญากรรม ด้านอุบัติเหตุ ด้านสาธารณสุข ด้านภัยธรรมชาติ ด้านการหลงทาง และด้านพืชและสัตว์ในแหล่งท่องเที่ยว โดยการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์นั้น รัฐบาลและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว ควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายชุมชนและอาสาสมัครเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการในเชิงพื้นที่</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274738 การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูงของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2024-06-17T22:10:13+07:00 จิราภรณ์ มีสง่า jiramee@aru.ac.th ศิริพล แสนบุญส่ง ssiripon@aru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย และ 2) ศึกษาผลการใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา จำนวน 106 คน ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ (1) แอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูง (2) แบบวัดการคิดขั้นสูง และ (3) แบบประเมินประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1) การออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูงใช้แนวคิดของ ADDIE Model โดยแอปพลิเคชันสามารถใช้งานได้ทั้งสมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ มีลักษณะเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถเข้าใช้งานง่าย ขั้นตอนวิธีการเล่นไม่ซับซ้อน มีสถานการณ์เป็นภาพตัวการ์ตูน สีสันสวยงาม มีเสียงบรรยายประกอบภาพเคลื่อนไหว มีเสียงดนตรี มีคำถามเลือกตอบเกี่ยวกับการคิดขั้นสูง และมีการรายงานผลคะแนน และผลการประเมินประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันจากผู้ทรงคุณวุฒิในภาพรวมอยู่ระดับมาก และ 2) ผลการใช้แอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการคิดขั้นสูงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา พบว่า หลังการใช้แอปพลิเคชัน นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายมีความสามารถในการคิดขั้นสูงสูงกว่าก่อนการใช้แอปพลิเคชันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจในการใช้งานแอปพลิเคชันภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273155 การศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมการรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี วิทยาลัยนาฏศิลป 2024-06-17T22:13:31+07:00 พิมพ์พรลภัส ลักษณะวิเชียร pim.on9942@gmail.com ภาสกร เรืองรอง ccpasskn@hotmail.com พิชญาภา ยวงสร้อย khunnueng09@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบผสมผสาน และ 2) ประเมินคุณภาพของรูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพื่อส่งเสริมการรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี วิทยาลัยนาฏศิลปะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็น แบบประเมินคุณภาพของรูปแบบ แบบประเมินรับรองคุณภาพ ของรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของรูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพื่อส่งเสริมการรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี วิทยาลัยนาฏศิลป มีทั้งสิ้น 9 องค์ประกอบหลัก และ 38 องค์ประกอบย่อย โดย 7 องค์ประกอบหลักด้านบริบท ได้แก่ 1) องค์ประกอบด้านสื่อการสอน 2) องค์ประกอบด้านผู้สอน 3) องค์ประกอบด้านเนื้อหาวิชา 4) องค์ประกอบด้านผู้เรียน 5) องค์ประกอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 6) องค์ประกอบด้านวิธีการสอน และ 7) องค์ประกอบด้านการประเมินผล และ 2 องค์ประกอบหลักด้านกระบวนการ ได้แก่ ด้านขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ และด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2) ผลการหาคุณภาพของรูปแบบผู้เชี่ยวชาญมีความเห็น ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ พบว่า โดยภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.43, S.D. = 0.20) เมื่อแยกเป็นรายด้าน พบว่า องค์ประกอบที่มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด คือ ด้านการประเมินผล มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.51, S.D.=0.66) และด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.59, S.D.=0.76) และองค์ประกอบที่มีความเหมาะสมในระดับมาก คือ ด้านสื่อการสอน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.47, S.D.=0.67) ด้านผู้สอน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.42, S.D.=0.77) ด้านเนื้อหาวิชา (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.42, S.D.=0.71) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.45, S.D.=0.71) ด้านผู้เรียน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.43, S.D.=0.69) ด้านขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.38, S.D.=0.71) และด้านวิธีการสอน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.37, S.D.=0.73) ตามลำดับ ทุกองค์ประกอบมีความสอดคล้องกัน ผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นรับรองคุณภาพของรูปแบบทุกองค์ประกอบ</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273821 การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์และเวลาโลก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีนภเขตวิทยา อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ 2024-06-11T16:07:30+07:00 ภัสราภรณ์ งามสมจันทร์ ngamsomjan@gmail.com เชาวฤทธิ์ จงเกษกรณ์ jchaowarit@yahoo.com ภาราดร แก้วบุตรดี Aofmcu@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์และเวลาโลก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศรีนภเขตวิทยา ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน จำนวน 10 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ใช้การทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์และเวลาโลก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ทั้ง 6 แผน อยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด และมีประสิทธิภาพโดยรวม (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 92.12/90.22 2) ผลการทดสอบเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจในการใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273095 การบูรณาการหลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมเพื่อสร้างสรรค์ นวัตกรรมวิถีพุทธสำหรับจัดการขยะในชุมชน 2024-04-27T12:24:33+07:00 แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม Kritsana.rak@mcu.ac.th อรชร ไกรจักร์ pu_2556@yahoo.com กรรณิการ์ ขาวเงิน kannikarkhaw@gmail.com พระมหาวรัญธรณ์ ศรีขุ้ย warantorn999@gmail.com พระมหาวุฒิชัย บุญถึง dhammatoday@gmail.com พระมหานุกูล อริยธรรมวัฒนา Nugoon666@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักการจัดการขยะตามหลักการของกรมควบคุมมลพิษและหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการจัดการขยะ และ 2) บูรณาการหลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมวิถีพุทธสำหรับจัดการขยะในชุมชน ใช้การวิจัยเชิงเอกสาร ชนิดการวิเคราะห์ตัวบท เก็บรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎก หนังสือตำรา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางปรัชญาและวิธีบูรณาการ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาหลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการจัดการขยะ พบว่า หลักการจัดการขยะ มี 4 หลักการ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การจัดการขยะตามหลัก 3 Rs หน้าบ้านน่ามอง บ้านสวยเมืองสะอาด ส่วนหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการจัดการขยะ ได้แก่ ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ อิทธิบาท สัมมัปปธาน เมื่อวิเคราะห์หลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมด้วยวิธีการทางปรัชญาแล้ว ทำให้พบว่า หลักการจัดการขยะมีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่าเป็นเพียงหลักการที่สอนให้ประชาชนจัดการขยะเท่านั้น แต่ไม่ได้ปลูกฝังจิตสำนึกให้ประชาชนรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้ง ๆ ที่การที่ประชาชนจะจัดการขยะได้ มีผลมาจากจิตสำนึก ส่วนหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมการจัดการขยะมีข้อบกพร่องในแง่ที่ว่า เป็นหลักธรรมที่มีความล้าสมัยเพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว หากไม่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน หลักพุทธธรรมคงไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมปัจจุบัน และ 2) ผลการบูรณาการหลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมวิถีพุทธสำหรับจัดการขยะในชุมชน พบว่า การบูรณาการหลักการจัดการขยะและหลักพุทธธรรมตามวิธีบูรณาการของพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) คือ การปรับพระพุทธศาสนาเข้าหาศาสตร์ ทำให้ได้นวัตกรรมวิถีพุทธสำหรับจัดการขยะในชุมชน </p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274628 การพัฒนาการบริหารจัดการในการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมของศาลยุติธรรม 2024-06-17T22:05:17+07:00 สมาน ศิริเจริญสุข smansiri2504@gmail.com บุญทัน ดอกไธสง smansiri2504@gmail.com สุรพล สุยะพรหม smansiri2504@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการบริหารจัดการ และ 2) พัฒนาการบริหารจัดการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมของศาลยุติธรรมโดยการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียและนักวิชาการที่เลือกแบบเจาะจง 25 รูป/คน การวิเคราะห์ SWOT Analysis, TOWS Matrix และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบประเมินผล สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการบริหารจัดการการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมของศาลยุติธรรมมีการเตรียมความพร้อมใน 3 เรื่อง คือ การเตรียมหรือพัฒนาบุคลากร การจัดหางบประมาณ และพัฒนาความพร้อมของอาคารสถานที่เพื่อรองรับโครงการ ผ่านกระบวนการ PDCA คือ วางแผน ดำเนินการ ตรวจสอบ และปรับปรุงพัฒนา และ 2) การพัฒนาการบริหารจัดการในการให้คำปรึกษา ประกอบด้วย 2.1) การสนับสนุนให้โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งบทบาทหน้าที่ (ฉันทะ) ซึ่งกระทำในลักษณะของ ภารกิจหลัก ภารกิจเชิงรุก กระบวนการยุติธรรมทางเลือก การส่งต่อผู้รับคำปรึกษา และการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมีผลการประเมินภาพรวมในด้านความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในเกณฑ์มากที่สุด 2.2) การส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการเตรียมความพร้อม (วิริยะ) ผ่านการผลักดันงบประมาณ ส่งเสริมการจัดเก็บข้อมูล ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพิ่มช่องทางในการติดต่อ และดำเนินนโยบายต่อเนื่อง ผลการประเมินโดยภาพรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในเกณฑ์มากที่สุด 2.3) ด้านการริเริ่มในการสร้างระบบหรือระเบียบการทำงาน (จิตตะ) คือ สร้างระบบการทำงานที่ต่อเนื่อง สร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างระเบียบข้อบังคับ และริเริ่มโครงการช่วยเหลือ ผลการประเมินโดยภาพรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในเกณฑ์มากที่สุด และ 2.4) ด้านการทบทวนในประเด็นที่ยังมีข้อขัดข้อง (วิมังสา) คือ ทบทวนระบบอาวุโสศาล และทบทวนการทับซ้อนเชิงภารกิจ ผลการประเมินโดยภาพรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในเกณฑ์มากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274464 รูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามหลักสาราณียธรรม 6 2024-06-18T10:52:28+07:00 มณฑิรา บุตโยธี aom9531@gmail.com วรกฤต เถื่อนช้าง mcu.nakhonsawan@gmail.com ธานี เกสทอง Thaneegesthong@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2) สร้างรูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามหลักสาราณียธรรม 6 และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามหลักสาราณียธรรม 6 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 คน การสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 รูป/คน และประเมินรูปแบบ จำนวน 16 คน โดยใช้แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย 1.1) ขั้นการตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างเครือข่าย ผู้บริหารสถานศึกษามีการสร้างความตระหนักให้ทุกคนมองเห็นประโยชน์ร่วมกัน 1.2) ขั้นประสานหน่วยงาน/องค์กรเครือข่าย ผู้บริหารสถานศึกษาใช้การติดต่อสื่อสารสองทาง จัดกิจกรรมให้สมาชิกได้กระทำร่วมกัน 1.3) ขั้นสร้างพันธสัญญาร่วมกัน ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินงานเครือข่ายโดยมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ข้อตกลงร่วมกัน 1.4) ขั้นบริหารจัดการเครือข่าย ผู้บริหารสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเครือข่าย จัดโครงสร้าง กำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ วางกฎ กติการ่วมกัน 1.5) ขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ ผู้บริหารสถานศึกษาจัดกิจกรรมให้สมาชิกมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กัน 1.6) ขั้นรักษาความสัมพันธ์ ผู้บริหารสถานศึกษาสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สร้างขวัญ กำลังใจ เชิดชูเกียรติแก่สมาชิก 2) ผลการสร้างรูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามหลักสาราณียธรรม 6 พบว่า มีรูปแบบทั้งสิ้น 24 แนวทาง และ 3) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามหลักสาราณียธรรม 6 พบว่า มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ และประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/270724 การพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับพระภิกษุสามเณร 2024-05-14T10:43:04+07:00 พระนพดล สุทฺธิธมฺโม (มูลทาดี) moontadeenoppadol@gmail.com พระปลัดวุฒิพงษ์ กิตฺติวณฺโณ (ผลไม้) wutthipong.pho@mcu.ac.th พระปลัดเมธี เขมปญฺโญ (สอนวันดี) mathee.sor@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับพระภิกษุสามเณรผลการศึกษา พบว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อการสื่อสารตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบันเพราะว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นสื่อและเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้วัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของโลกที่มีความหลากหลาย ซึ่งจะสร้างสันติสุขและมิตรภาพสู่ประเทศต่าง ๆ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความตระหนักถึงความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม สังคมการปกครอง การเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนั้นยังเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายและมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิตดีขึ้น ด้วยบทบาทหน้าที่ของวัดในปัจจุบันที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทประวัติศาสตร์โบราณวัตถุสถานและศาสนานั้น พระสงฆ์และสามเณรที่อยู่ในวัดที่เป็นแหล่งการท่องเที่ยวเหล่านี้จึงต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะความรู้ด้านภาษาอังกฤษที่จะใช้เป็นสื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือมากกว่ามัคคุเทศก์ทั่ว ๆ ไป และยังสร้างภาพที่ดีให้กับวัด ตลอดถึงประเทศชาติและพระพุทธศาสนา</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/271413 วิธีการพึ่งพระรัตนตรัยในชีวิตประจำวัน 2024-06-21T11:01:27+07:00 พระเทพ ปิยสีโล (พึ่งทองคำ) nattha915628@gmail.com ศิริโรจน์ นามเสนา namsena@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการพึ่งพระรัตนตรัยในชีวิตประจำวัน โดยวิเคราะห์ความหมายและลักษณะเด่นของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งชาวพุทธถือเป็นสรณะอันประเสริฐ มีคุณค่ามากกว่าสิ่งมีค่าใด ๆ และมีอิทธิพลทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมทางศาสนา การพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์มีหลายลักษณะ บางครั้งในยามทุกข์ บางครั้งในยามสุข เมื่อรู้สึกกลัว เหงา หรือไม่มีที่พักใจ ชาวพุทธจะหันไปพึ่งพิง บางครั้งในยามที่มีความสุขก็จะไปวัด ฟังธรรม หรือร่วมพิธีเวียนเทียนประทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับยุคพุทธกาลที่มีการพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ตลอดชีวิต เมื่อชาวพุทธดำรงชีวิตด้วยความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน ที่เปี่ยมไปด้วยกรุณา ความบริสุทธิ์ และปัญญา ชีวิตจะสว่างไสวไม่มืดมน การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ตามหลักพระพุทธศาสนาใช้วิธีอาศัยความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิต เรียกว่า ความรู้จากอายตนะ 6 การน้อมนำพระรัตนตรัย มาเป็นที่พึ่งในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ในยามกิน ยามนอน ยามออกจากบ้าน หรือเมื่อเผชิญภัยหรือวิกฤต เป็นการสร้างกุศลธรรมที่แสดงถึงศรัทธา ความเลื่อมใส และความเคารพ ซึ่งจะนำไปสู่การละกิเลสได้ในที่สุด</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272881 ความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุ 2024-06-11T16:01:30+07:00 อัญชลี เชี่ยวโสธร benjid05@gmail.com ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ psy.phd@kbu.ac.th รัญจวน คำวชิรพิทักษ์ ranchuan2011@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุ ซึ่งหมายถึง การรับรู้ของผู้สูงอายุในการคิด การรู้สึก การกระทำ ความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิต การดูแลสุขภาพกาย การดูแลสุขภาพจิต การมองโลกในแง่ดี การมีสัมพันธภาพทางบวก การมีความยืดหยุ่นในการปรับมุมมองความคิด และการมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคม สำหรับองค์ประกอบหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุข และมีผลต่อการปรับเปลี่ยนความคิดและความเป็นอยู่ของชีวิตประกอบด้วย 5 องค์ประกอบที่เรียกว่า แบบจำลองเพอร์ม่า หรือแบบจำลองที่ทำให้เกิดความสุขในชีวิตแบบยูไดโมนิกส์ที่เน้นศักยภาพและความเจริญรุ่งเรืองของบุคคลเป็นสำคัญ ซึ่งแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้คือ รู้สึกดีมีอารมณ์บวก ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของสังคม มีสัมพันธภาพที่ดีทุกรูปแบบ เข้าใจความหมายของการใช้ชีวิต แลตระหนักถึงความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา นอกจากนี้ ความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุสามารถเสริมสร้างให้เกิดขึ้นได้ โดยนำแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทางจิตวิทยา </p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/274047 รูปแบบการวัดการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2024-07-24T17:40:19+07:00 ประภาส จันทร์โคตร praphaschankota.25@gmail.com พงษ์สุวรรณ ศรีสุวรรณ praphas.cha@rmutr.ac.th วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย pattanakolchai@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์รูปแบบการวัดเชิงทฤษฎีของโมเดลการวัดการบริหารงานวิชาการตามธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยมีขั้นตอนการสังเคราะห์ ประกอบด้วย การสังเคราะห์นิยามของการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัล การสังเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัล การสังเคราะห์องค์ประกอบของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมสร้างธรรมาภิบาล และการสังเคราะห์รูปแบบการวัดการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัล ผลการสังเคราะห์สรุปได้ว่า รูปแบบเชิงทฤษฎีของรูปแบบการวัดการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในยุคดิจิทัล เป็นรูปแบบการวัดอันดับที่ 2 แบบ Reflective Measurement Model โดยรูปแบบการวัดอันดับที่ 1 เป็นรูปแบบการวัดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมสร้างหลักธรรมาภิบาล จำนวน 4 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบการใช้เทคโนโลยีการประมวลผลแบบคลาวด์เสริมสร้างธรรมาภิบาล รูปแบบการใช้เทคโนโลยีอุปกรณ์พกพาเสริมสร้างธรรมาภิบาล รูปแบบการใช้เทคโนโลยีเครือข่ายสังคมออนไลน์เสริมสร้างธรรมาภิบาล และรูปแบบการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งเสริมสร้างธรรมาภิบาล และรูปแบบการวัดอันดับที่ 2 เป็นรูปแบบการวัดการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นรูปแบบที่แสดงว่าตัวแปรแฝงการบริหารงานวิชาการเป็นสาเหตุของตัวแปรแฝงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหาร ก่อนนำรูปแบบเชิงทฤษฎีของรูปแบบการวัดการบริหารงานวิชาการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในยุคดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ จะต้องทำการตรวจสอบความตรงเชิงทฤษฎีด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272773 การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้สูงอายุโดยใช้เกมกระดาน 2024-05-16T23:21:42+07:00 ชนันภรณ์ อารีกุล chananporn@g.swu.ac.th วิกรม จันทรจิตร wikrom821@gmail.com ณัฏฐพล คุปต์ธนโรจน์ nattapon.k@rsu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้สูงอายุโดยใช้เกมกระดาน พบว่า การเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุเป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับสังคมไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด กล่าวคือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้สูงอายุโดยใช้เกมกระดานเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ต้องคำนึงถึงลักษณะของผู้สูงอายุ พัฒนาการของผู้สูงอายุ แนวคิดการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสอนผู้ใหญ่ และพฤฒาวิทยา เกมกระดานเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญของการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เกมกระดานเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญของรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพราะไม่เพียงแต่มุ่งเน้นความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังคงก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สูงอายุทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง สนุกสนาน คลายความเครียด และช่วยสร้างสังคม เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้งคนวัยเดียวกันและ/หรือบุตรหลานต่างวัย ถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างวัยได้เป็นอย่างดี</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ