วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra <p><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/jra/White_Minimalist_Elegant_Handwritten_LinkedIn_Banner_(1).png" width="648" height="162" /> </p> <p> </p> <p><strong> วารสารวิจยวิชากา</strong>ร มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิจารณ์หนังสือที่เป็นภาษาไทยและมีข้อค้นพบ ข้อเสนอแนะที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงความคิดริเริ่มที่มีผลกระทบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติในวงกว้าง อีกทั้งยังมุ่งหมายที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการศึกษา การสอน โดยเน้นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา การบริหารการศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ วารสารวิจยวิชาการได้เริ่มจัดทำและตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 จะมีการเผยแพร่ระบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว โดยมีหมายเลข ISSN 2985-0053 (Online) </p> <p> </p> <p> </p> มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครสวรรค์ th-TH วารสารวิจยวิชาการ 2985-0053 <p>1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจยวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิจยวิชาการก่อนเท่านั้น</p> การสื่อสารทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในจังหวัดพะเยาตามหลักพุทธธรรม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/268348 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการสื่อสารทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในจังหวัดพะเยา และ 2) วิเคราะห์การสื่อสารทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในจังหวัดพะเยาตามหลักพุทธธรรม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 กลุ่ม รวม 30 คน ใช้พื้นที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่วิจัย ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในจังหวัดพะเยามีรูปแบบหลักในการสื่อสารทางการเมือง 3 รูปแบบ คือ 1.1) การสื่อสารระหว่างบุคคล ได้สื่อสารกันในลักษณะที่ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร แลกเปลี่ยนสารกันได้โดยตรงและเป็นการสื่อสารแบบตัวต่อตัว 1.2) ช่องทางในการสื่อสาร มีช่องทางการสื่อสารทางการเมือง ซึ่งทำหน้าที่นำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร เช่น ผ่านวิทยุท้องถิ่น วิทยุกระจายเสียง เสียงตามสาย สื่อสิ่งพิมพ์ จดหมาย ผ่านการคุยโทรศัพท์ และผ่านสื่อออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ก ไลน์ เป็นต้น และ 1.3) สื่อสารมวลชน มีลักษณะเฉพาะเจาะจงและเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่นี้ การสื่อสารมวลชนมักเป็นการสื่อสารแบบกลุ่มหรือกลุ่มชุมชน และ 2) การสื่อสารทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในจังหวัดพะเยาตามหลักพุทธธรรม เมื่อได้รับแรงกระตุ้นเตือนจากหลักพุทธธรรมในแง่ของมรดกทางศาสนาและความเชื่อ โดยได้นำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้การสื่อสารทางการเมืองเกิดความถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ หลักอคติ 4 สุจริต 3 หลักปรโตโฆสะ และหลักโยนิโสมนสิการ เป็นการส่งข้อมูลทางการเมืองด้วยความไม่ลำเอียง ประพฤติชอบด้วยกาย (กายสุจริต) ประพฤติชอบด้วยวาจา (วจีสุจริต) ประพฤติชอบด้วยใจ (มโนสุจริต) ไม่ให้ข่าวสารทางการเมืองที่บิดเบือนจากความเป็นจริง และเมื่อได้รับข่าวสารทางการเมือง จะไม่เชื่อด้วยความงมงาย ไร้เหตุผล ใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และไม่ตกลงใจเชื่อในขณะที่ได้รับสารนั้น ๆ</p> พระเมธีวชิรคุณ สมยศ ปัญญามาก อนุวิทย์ หน่อทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 1 14 รูปแบบวิสาหกิจชุมชนกับแนวทางการวิจัยเชิงอนาคต กรณีศึกษา: การเพิ่มมูลค่าสมุนไพรและศักยภาพหมอพื้นบ้าน ในจังหวัดลำปาง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/261558 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดำเนินการของวิสาหกิจชุมชนด้านสมุนไพรและหมอพื้นบ้าน 2) ศึกษานวัตกรรมการดำเนินงานเพื่ออนาคตในด้านการเพิ่มมูลค่าสมุนไพรและศักยภาพหมอพื้นบ้าน และ 3) วิเคราะห์รูปแบบการใช้นวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนและแนวทางการวิจัยเชิงอนาคต ด้านเพิ่มมูลค่าสมุนไพรและศักยภาพหมอพื้นบ้านในจังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างจากสมาชิกวิสาหกิจชุมชน จำนวน 118 คน โดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน และสุ่มแบบบังเอิญ กลุ่มเป้าหมาย คือ หมอพื้นบ้าน ประธานวิสาหกิจชุมชน และสมาชิก ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 20 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการดำเนินการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีการแสวงหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในการผลิต มีการแนะนำเกี่ยวกับสินค้า มีความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ มีการกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน มีการจัดผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณตามที่ระบุไว้ในฉลาก มีการปฏิบัติสูงสุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านหมอพื้นบ้านได้รู้จักใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคให้ตรงกับอาการแห่งโรคของผู้ป่วย และมีวิธีแนะนำการดูแลสุขภาพให้กับคนป่วย 2) นวัตกรรมการดำเนินงานเพื่ออนาคตกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา ผลิตสินค้าที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น การดำเนินการทางการตลาด และมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยมีการจำหน่ายในงานแสดงสินค้าซึ่งมีการจัดโดยภาครัฐและเอกชน ด้านศักยภาพหมอพื้นบ้านได้มีการพัฒนาความรู้และพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์แผนไทยให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับการรับรองจากทางราชการ และ 3) รูปแบบการใช้นวัตกรรมของวิสาหกิจชุมชนและแนวทางการวิจัยเชิงอนาคตกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หมอพื้นบ้าน และสมาชิกได้มีการลงทุนสนับสนุนการวิจัย สร้างความสัมพันธ์อันดีกับปราชญ์ท้องถิ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และนักการตลาด ขอรับคำแนะนำในสิ่งที่พวกเขามีความรู้ หมอพื้นบ้าน ได้รับการยอมรับ ได้รับการเชิญเป็นวิทยากร และเป็นที่ปรึกษางานวิจัยผลิตภัณฑ์สมุนไพรและทำวิจัยเอง ได้รับการยกมาตรฐานสินค้า</p> พระครูสุตชยาภรณ์ จิรัฐิติกาล ศิลปสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 15 32 การออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกด้านการทำงานเป็นทีมรายวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดอุทัยธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/266658 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกด้านการทำงานเป็นทีมรายวิชาพระพุทธศาสนา 2) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ประเมินผลการออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกด้านการทำงานเป็นทีมรายวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เป็นงานวิจัยในการออกแบบและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนลานสักวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยในการเลือก ผลการวิจัย พบว่า 1) การออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกด้านการทำงานเป็นทีมรายวิชาพระพุทธศาสนา ผู้วิจัยนำผลทั้ง 3 ขั้น คือ ขั้นวางแผน ขั้นสัมภาษณ์ และขั้นออกแบบ มาวิเคราะห์ข้อมูลออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ PSLDC 5 ขั้น สู่ความสำเร็จคือ P วางแผน S โครงสร้าง L เชื่อมโยง D ออกแบบ C สรุปผล 3.5 สื่อและแหล่งเรียนรู้ 3.6 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ผ่านเกณฑ์ที่ 0.67–1.00 ทั้ง 4 ฉบับ สามารถนำไปใช้ได้ 2) การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สูตรวิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพ ใช้เกณฑ์ที่ 80/80 พบว่ามีค่าเท่ากับ 82.50/84.90 เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และ 3) การประเมินผลการออกแบบการเรียนรู้ พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 จากการทดสอบค่าที คือ 9.22 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และค่าความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =4.63, S.D.=0.52)</p> พระครูอุทิตปริยัติสุนทร Varisu ประคอง มาโต พระครูอุทัยสุตกิจ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 33 48 รูปแบบการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชนเมืองภายใต้กรอบบวร: ศึกษากรณี ชุมชนวัดสารอด กรุงเทพมหานคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/264952 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิเคราะห์สภาพบริบทปัญหาและความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชนเมืองและแนวคิดทฤษฎีตามศาสตร์สมัยใหม่ 2) ศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชนเมืองตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเถรวาท และ 3) พัฒนาและนำเสนอรูปแบบการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชนเมืองภายใต้กรอบบวรของชุมชนวัดสารอด กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มให้ผู้ข้อมูลสำคัญ รวมจำนวน 50 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) วัดสารอดในปัจจุบันขาดคณะทำงานพระสงฆ์ที่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถการบริหารจัดการวัดทำให้ประเพณี ภูมิปัญญาของชุมชนบางอย่างค่อย ๆ จืดจางหายไป 2) หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชน คือ การมีส่วนร่วมของบวรในการร่วมกันคิด ทำ พัฒนา รับผลประโยชน์ มีหลักการพัฒนา 4 ประการ ตามหลักอริยสัจ 4 คือ (1) รู้ปัญหาให้ชัด (2) ขจัดเหตุไม่ละเลย (3) ไม่เฉยเมยต่อเป้าหมาย (4) ฉายวิธีอย่างถูกต้อง และ 3) รูปแบบการพัฒนาวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางที่พึ่งทางใจของชุมชนเมืองภายใต้กรอบบวร ผู้วิจัยได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ คือ SAROD’S MODEL มีองค์ประกอบ 6 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ 1) S = Symbol สัญลักษณ์ 2) A = Activity กิจกรรม 3) R = Relationship ความสัมพันธ์ 4) O = Office สำนักงาน 5) D = Development การพัฒนา และ 6) S = Sustainable ยั่งยืน องค์ประกอบมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันและเกิดองค์ความรู้ใหม่ คือ (1) สถานที่พรั่งพร้อม (2) ชาวชุมชนพร้อมเพียง (3) ความสุขเพิ่มพูน (4) ปัญญาพรั่งพรู</p> พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ อุทัย สติมั่น Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 49 64 การจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 วิชาหน้าที่พลเมือง เรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/262267 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 มีระดับประสิทธิภาพ 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในรายวิชาหน้าที่พลเมือง เรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดไทรเหนือวิทยา จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบ One group Pretest Posttest Design ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ สามเณรนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปี 4 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดไทรเหนือวิทยา จังหวัดนครสวรรค์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 รูป โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 จำนวน 7 แผน 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติในการนำมาวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบ t-test Dependent ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 วิชาหน้าที่พลเมือง เรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลายหลายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยได้จัดทำขึ้น พบว่า แผนการจัดการเรียนรู่ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด มีค่าเท่ากับ (E1 ) 85.24 / (E2 ) 84.27 ซึ่งมีความสอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และ 2) ผลการเปรียบเทียบก่อนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสังคหวัตถุ 4 วิชาหน้าที่พลเมือง เรื่อง การอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลาย พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดไทรเหนือวิทยา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พระมหาชัยวัฒน์ จตฺตมโล (พรหมสนธิ) พิสมัย รบชนะชัย พูลสุข วรกฤต เถื่อนช้าง Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 65 80 การพัฒนาแอปพลิเคชั่นโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ทูบีนัมเบอร์วัน) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยใช้การออกแบบแบบมีส่วนร่วมเป็นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/268245 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการด้านการพัฒนาแอปพลิเคชั่นโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ทูบีนัมเบอร์วัน) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีโดยใช้การออกแบบแบบมีส่วนร่วมเป็นฐาน 2) พัฒนาแอปพลิเคชั่นโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ทูบีนัมเบอร์วัน) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และ 3) ศึกษาผลการใช้แอปพลิเคชั่นโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ทูบีนัมเบอร์วัน) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยใช้การออกแบบแบบมีส่วนร่วมเป็นฐาน เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ จำนวน 21 คน 2) นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 1 จำนวน 331 คน โดยคัดเลือกแบบกำหนดโควต้า และประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ 12 คน ขั้นการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1) ศึกษาความต้องการ 2) การพัฒนาแอปพลิเคชั่น 3) ศึกษาผลการใช้งาน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ประเด็นปัญหาและความต้องการ 2) แบบประเมินคุณภาพแอปพลิเคชั่น 3) แอปพลิเคชั่นโครงการ ทูบีนัมเบอร์วัน 4) แบบประเมินการรับรู้ก่อนใช้และหลังใช้แอปพลิเคชั่น 5) แบบประเมินความพึงพอใจสำหรับนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบ t-test และค่าดัชนีประสิทธิผล ผลการวิจัย พบว่า 1) แอปพลิเคชั่นควรใช้ได้กับ Smart Phone ทั้งระบบ IOS และ ANDROID และต้องประกอบด้วย องค์ความรู้ของโครงการทูบีนัมเบอร์วัน พิษภัยของยาเสพติดให้โทษ ข้อมูลประชาสัมพันธ์ สัญลักษณ์ ภาพประกอบและระบบการโต้ตอบต่าง ๆ 2) แอปพลิเคชั่นได้ผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ 12 คน โดยระบบภายในประกอบด้วย 2.1) ด้านการประชาสัมพันธ์ 2.2) ด้านทะเบียนและประวัติ 2.3) ด้านการให้คำปรึกษา 2.4) ด้านการรณรงค์และป้องกัน และ 3) คะแนนหลังใช้แอปพลิเคชั่นของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนใช้ ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.81 หรือเท่ากับร้อยละ 81 โดยผลประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.70, S.D. = 0.43)</p> มานนท์ ลำเจียกหนู เนติรัฐ วีระนาคินทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 81 98 ปัญหาและอุปสรรคของการจัดสวัสดิการสังคมในองค์การบริหารส่วนตำบล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267646 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนา ความมั่นคงของมนุษย์ สวัสดิการสังคม 2) ศึกษาอำนาจหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยตามกฎหมาย และ 3) ศึกษาปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาการจัดสวัสดิการสังคม โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยอาศัยการวิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัย พบว่า 1) ทฤษฎีพัฒนาสังคมและแนวคิดความมั่นคงของมนุษย์มีเป้าหมาย คือ การตอบสนองความต้องการในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมให้มีความมั่นคงในชีวิตที่เป็นเจตนารมณ์ของสังคมโดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐ 2) รัฐธรรมนูญของไทยมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์โดยกำหนดเป็นหน้าที่ของรัฐ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามหลักการกระจายอำนาจหน้าที่รัฐไปยังส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น และ 3) ปัญหาและอุปสรรคกรณีการจัดสวัสดิการสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือราชการส่วนกลางที่ยังไม่กระจายอำนาจเต็มที่ไปยังส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนท้องถิ่นมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่เน้นหน้าที่หลักคือจัดทำบริการสาธารณะประเภทสาธารณูปโภค การกำหนดนโยบายมาจากผู้นำที่เป็นฝ่ายการเมือง ในภาคปฏิบัติอันเป็นอุปสรรคสำคัญ ของการแก้ไขปัญหาการจัดสวัสดิการสังคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยที่แม้จะมีการถ่วงดุลอำนาจก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติการพัฒนาท้องถิ่นตามแผนพัฒนาท้องถิ่นยังคงเป็นฝ่ายการเมืองที่กำหนดทิศทางอันเป็นอุปสรรคสำคัญของการแก้ไขปัญหาสวัสดิการสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย</p> เกียรติก้อง มูลเมือง ปาณัสม์กัญ เจิมพิพัฒน์ บุญมาก กันหาสาย Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 99 112 กระบวนการมีลูกของพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นเกย์: การสร้างความรู้จากประสบการณ์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267624 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเงื่อนไขของเกย์ชายรักชายที่ทำให้มีสถานะเป็นพ่อในบริบทสังคมไทย เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ มีการใช้วิธีดำเนินการศึกษาแบบเรื่องเล่า ผู้ให้ข้อมูลในงานวิจัยนี้ คือ พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นเกย์ โดยใช้การคัดเลือกแบบมีผู้แนะนำเฝ้าประตูเป็นผู้ตัดสินใจ คัดกรอก ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับเกณฑ์การคัดเข้าจากทั้งสี่ภูมิภาคของประเทศไทย จำนวน 15 คน ผู้วิจัยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง จนได้ข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสร้างเรื่องเล่า ผลการวิจัย พบว่า เงื่อนไขของเกย์ชายรักชายที่ทำให้มีสถานะเป็นพ่อในบริบทสังคมไทย สามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม 2 เงื่อนไข คือ “กลุ่มที่มีลูกด้วยความตั้งใจ” และ “กลุ่มที่มีลูกจากความไม่ตั้งใจ” เงื่อนไขที่ 1 การต้องปิดบังความต้องการ หรือรสนิยมทางเพศที่แท้จริงเอาไว้ เพื่อหวังจะมีลูกตามบรรทัดฐานของสังคม มองข้ามความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจของตนไป เงื่อนไขที่ 2 ด้วยเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ จึงต้องรับผิดชอบและปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมที่ผู้เป็นพ่อต้องเลี้ยงดูลูกของตนให้เป็นคนดีของสังคม นอกจากนั้นการศึกษาในครั้งนี้ยังได้เผยให้เห็นมุมมองใหม่ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความหลากหลายทางเพศในสังคม การไม่ตัดสินคนแต่ภายนอก จนเกิดความเข้าใจและลดการตีตราพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เป็นเกย์ และคนในครอบครัวของพวกเขา เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้มีความผาสุขและเจริญก้าวหน้าไปพร้อมกัน</p> กิตติ์ธนัตถ์ ยาไธสงกรณ์ พีรเดช ประคองพันธ์ สุเมษย์ หนกหลัง Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 113 130 รูปแบบการบริหารความร่วมมือพหุภาคีเพื่อพัฒนาศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษา โรงเรียนบ้านน้ำมิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267954 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) สร้างรูปแบบ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินรูปแบบการบริหารความร่วมมือพหุภาคีเพื่อพัฒนาศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษา โรงเรียนบ้านน้ำมิน ใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน โดยประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 25 คนสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน และสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ขั้นตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบพร้อมแก้ไขปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ 7 คน ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาผลการใช้รูปแบบโดยนำรูปแบบไปปฏิบัติจริงร่วมกับพหุภาคี 25 คน และขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบโดยพหุภาคี จำนวน 35 คน ในปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสรุปข้อมูล แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมิน แบบสะท้อนผล สถิติที่ใช้อธิบายข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเชิงคุณภาพ คือ วิเคราะห์เนื้อหาและสรุปข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า 1) โรงเรียนมีความต้องการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อม พัฒนาทักษะกระบวนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้พหุภาคีทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมดำเนินการ 2) รูปแบบมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ ขอบเขตความร่วมมือ กลไกความร่วมมือของพหุภาคี กระบวนการบริหารความร่วมมือพหุภาคี การประเมินผล เงื่อนไขความสำเร็จ 3) ผลการใช้รูปแบบ พบว่า พหุภาคีให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรม สนับสนุนงบประมาณ องค์ความรู้ วัสดุอุปกรณ์ และพัฒนาศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม 9 ฐานการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก โดยแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ คือ ภาพกิจกรรม นักเรียนร้อยละ 96.65 มีทักษะกระบวนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับดีขึ้นไป และนักเรียนมีคุณลักษณะที่ดีและค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 75.35 และ 4) รูปแบบโดยรวมมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเหมะสม และความถูกต้องอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐฐศรัณฐ์ พรหมเผ่า Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 131 148 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/265671 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพสมรรถนะ 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะตามหลักพรหมวิหาร 4 และ 3) ประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นวิจัยแบบผสานวิธี โดยแจกแบบสอบถามกับผู้บริหารและบุคลากรโรงพยาบาลส่งเริมสุขภาพตำบล จำนวน 254 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากตารางของเครซี่และมอร์แกน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูป/คน และการสนทนากลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 22 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมิน 4 ด้าน ด้านความถูกต้อง ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ และด้านความเป็นประโยชน์ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพสมรรถนะของผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากน้อยไปหามาก ดังนี้ ด้านการสื่อสารจูง (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 3.73) ด้านการวางแผนกลยุทธ์ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =3.82) ด้านภาวะผู้นำ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =3.83) ด้านใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =3.86) ด้านการคิดในเชิงวิเคราะห์ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =3.87) ด้านการประสานงาน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =3.90) ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 3.95) ด้านการทำงานเป็นทีม (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 3.98) ด้านการบริการที่ดี (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =4.06) ด้านทำงานชุมชนเชิงรุก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> = 4.08) 2) ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผลการวิจัยพบว่า ตามหลักเมตตา หลักกรุณา หลักมุทิตา หลักอุเบกขา มีอย่างละ 1 รูปแบบ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผลการวิจัยพบว่า ความถูกต้อง (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =5.00) ระดับดีมาก ความเหมาะสม (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =5.00) ระดับดีมาก ความเป็นได้ในการปฏิบัติ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =5.00) ระดับดีมาก และความเป็นประโยชน์ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /> =5.00) ระดับดีมาก</p> รัตนศักดิ์ ทรัพย์เจริญ วรกฤต เถื่อนช้าง พระราชวชิรเมธี Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 149 164 การวิเคราะห์และการสร้างภาพข้อมูลของเอกสารโบราณล้านนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/268060 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ข้อมูลเอกสารโบราณล้านนาที่จัดเก็บในแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ และ 2) นำเสนอสารสนเทศเอกสารโบราณให้สามารถเข้าถึงโดยใช้รูปแบบแสดงองค์ความรู้ให้สามารถเข้าใจได้ง่ายด้วยการสร้างภาพข้อมูล รูปแบบการนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ การศึกษาข้อมูลเอกสารโบราณที่นำมาใช้ในการวิจัยนั้นมีจำนวน 7,457 รายการโดยใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คัดเลือกจากสถาบันบริการสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเอกสารโบราณล้านนา ผลการวิจัย พบว่า 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารโบราณล้านนามีคำว่า “สูตร” และ “กัณฑ์” มากที่สุด แสดงให้เห็นถึงเอกสารโบราณล้านนามีความรู้เกี่ยวกับกัณฑ์เทศ และสูตรต่าง ที่มีความหมายถึงพระธรรมเทศนาที่แสดงหรืออุทิศให้ในคราวต่าง ๆ และ 2) การแสดงสารสนเทศและความรู้ในเอกสารโบราณล้านนาโดยการสร้างภาพข้อมูล สามารถสร้างภาพข้อมูลและแสดงได้ในรูปแบบ แผนภูมิ กราฟ ตาราง แผนที่ อินโฟกราฟิก และแดชบอร์ด ที่มีความครบถ้วนขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กันของข้อมูลในหลายมิติที่ปรากฏในการนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ ประกอบไปด้วย แผนภูมิแสดงให้เห็นการเปรียบเที่ยบปริมาณของข้อมูล กราฟแสดงให้เห็นแนวโน้มของข้อมูล ตารางแสดงให้เห็นการเปรีบเทียบเป็นส่วนแบ่ง แผนที่แสดงให้เห็นถึงความหนาแน่นของเอกสารตามสถานที่ต่าง ๆ อินโฟกราฟฟิกแสดงให้เห็นทั้งตัวเลขและข้อมูลอธิบาย และแดชบอร์ดเป็นการแสดงภาพรวมทั้งหมดของแผนภาพข้อมูล ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ ช่วยให้สามารถแสดงข้อมูลในปริมาณมากและมีความซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้นทั้งยังช่วยในการรับรู้ได้ดี การสร้างภาพข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีความน่าสนใจขึ้น เข้าใจง่าย เห็นภาพได้ชัดเจน ง่ายต่อการจดจำ งานวิจัยฉบับนี้สามารถนำเสนอแผนภาพข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์และแบ่งประเภทการนำเสนอข้อมูลสำหรับสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้ข้อมูลได้เป็นอย่างดี</p> พิเชษฎ์ จุลรอด ชนกานต์ ก้านเหลือง Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 165 182 Generation Gap: การเรียนรู้ โลกทัศน์ และการใช้ชีวิตร่วมกันของสังคมต่างวัยในจังหวัดลำปาง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267804 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาโลกทัศน์การใช้ชีวิตของสังคมต่างวัย 2) ศึกษากระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมต่างวัยในจังหวัดลำปาง และ 3) สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมต่างวัยในจังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและปฏิบัติการ โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน การสนทนากลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 14 คน และการปฏิบัติการผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 85 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) โลกทัศน์การใช้ชีวิตในปัจจุบันจำแนกได้ 5 มิติ คือ 1.1) มิติทางด้านวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน 1.2) มิติทางด้านสังคม 1.3) มิติทางด้านเศรษฐกิจและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.4) มิติทางด้านการเมืองการปกครอง และ 1.5) มิติทางด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสามารถจัดรูปแบบการเรียนสังคมยุคปัจจุบัน คือ รูปแบบเชิงปัจเจก รูปแบบเชิงหน้าที่การงาน รูปแบบเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศ และ รูปแบบเชิงอุดมคติ 2) โดยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมต่างวัยมีอยู่ 5 ประการ คือ 2.1) อัตลักษณ์และวิถีชีวิตชุมชนกึ่งเมืองที่มีการเรียนรู้แบบการมีส่วนร่วมโดยปกครองท้องถิ่น 2.2) ศักยภาพทางสังคมและวัฒนธรรมในท้องถิ่น 2.3) การเรียนรู้ของชุมชนแบบมีส่วนร่วม 2.4) กระบวนการออกแบบกิจกรรมด้วยเวทีชุมชนและเครือข่าย และ 2.5) การปฏิบัติการและถอดบทเรียนสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น 3) นวัตกรรมการเรียนรู้และการใช้ชีวิตร่วมกันของสังคมต่างวัยในจังหวัดลำปางเกิดจากกระบวนการพัฒนา 4 อย่าง ได้แก่ 3.1) กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 3.2) การออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 3.3) การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้และออกแบบกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และ 3.4) วิเคราะห์รูปแบบการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกันจากการปฏิบัติการ ได้แก่ กระบวนการต้นน้ำ การสำรวจความเห็นและวิเคราะห์การใช้ชีวิต คุณค่าและความต้องการช่วงวัย กระบวนการกลางน้ำ การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้บนทุนภูมิวัฒนธรรม และกระบวนการปลายน้ำ ชุมชนการเรียนรู้ต้นแบบ การถอดบทเรียน/เวทีสรุปบทเรียน และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น</p> สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ ปาณิสรา เทพรักษ์ ธวัช คิดอ่าน กาญจนา มาลัยทอง เพ็คภัค รัตนคำฟู Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 183 198 วิเคราะห์การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธตามหลักการแพทย์แผนไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/264956 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการแพทย์แผนไทย 2) ศึกษาการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธ และ 3) วิเคราะห์การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธตามหลักการแพทย์แผนไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากพระไตรปิฎก คัมภีร์การแพทย์แผนไทย ตำราที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างสุขภาวะ เอกสาร หนังสือ บทความ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นแบบเนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) การแพทย์แผนไทยมีกระจายชุมชน หมู่บ้าน ตำบล และเมือง ในแต่ละชุมชนมีหมอกลางบ้าน และหมอพระ รักษาผู้เจ็บป่วยด้วยสมุนไพร และการรักษาโดยวิธีทางพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ รวมทั้งการรักษาแบบพื้นบ้านในแต่ละภาคมีการรักษาตามละแต่ถิ่นฐานภูมิภาคนั้น ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นความ สำคัญของการรักษาพยาบาลตามแนวแพทย์แผนไทย จึงทรงได้ฟื้นฟูอย่างจริงจัง ทรงเห็นว่าการแพทย์แผนไทยอาจสูญไปได้ จึงเกิดการชำระคัมภีร์แพทย์แผนไทย ซึ่งเรียกว่า ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง 2) การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธ ความรู้เรื่องสุขภาวะ ความรู้เกี่ยวกับโรค การดูแลในพระพุทธศาสนาช่วงสุขภาวะปกติและเจ็บป่วย ได้แก่ การเสริมสร้างสุขภาวะ และการป้องกันโรค การบำบัด และการฟื้นฟูสมรรถภาพในภาวะเจ็บป่วย ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเรื่องสุขภาวะ แบ่งออกได้ 4 ด้าน คือ สุขภาพกาย จิต สังคม และปัญญา และ 3) วิเคราะห์การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธตามหลักการแพทย์แผนไทย สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา และประกอบด้วย รูป นาม และการสร้างเสริมสุขภาวะเชิงพุทธจะต้องนำหลักการแพทย์แผนไทยมาประยุกต์ใช้ในสุขภาวะเชิงพุทธดังนี้ 3.1) สุขภาวะทางกาย ที่มีการดูสุขภาพร่างกายที่ดี หรือการกินดีอยู่ดี 3.2) สุขภาวะทางจิตวิญญาณ คือ การทำจิตใจให้สะอาด สงบ ไม่เครียดและไม่ซึมเศร้า 3.3) สุขภาวะทางสังคม คือ การมีความสัมพันธ์ที่ดีมีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน เกื้อกูลช่วยเหลือกัน 3.4) สุขภาวะทางสติปัญญา คือ การแก้ไขปัญหาในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และสามารถปรับตัวให้เข้ากันได้</p> พิสันต์ สุขพูล พระศรีสมโพธิ ศิริโรจน์ นามเสนา Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 199 210 การพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267010 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่ชุมชนลาหู่ บ้านลอจอและบ้านบริวาร ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สำรวจ จังหวัดเชียงราย ชุมชนไทยวน ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และชุมชนขมุ บ้านวังผา ตำบลท่าข้าม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ใช้วิธีการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์เชิงลึกกับแกนนำเด็กและเยาวชน จำนวน 20 คน แกนนำชุมชน จำนวน 19 คน และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ทำงานเกี่ยวข้อง จำนวน 9 คน การจัดทำกลุ่มสนทนากับเด็กเยาวชนและแกนนำชุมชน จำนวน 3 กลุ่ม (22 คน) และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการกับเด็กและเยาวชน จำนวน 250 คน ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุป และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ได้เกิดนวัตกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กเยาวชนและแกนนำชุมชน ที่มีความแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาด้านสุขภาพและวิถีชีวิตของเด็กและเยาวชน โดยผ่านกระบวนการทดลองใช้และมีการพัฒนาจนนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และได้เผยแพร่สู่สาธารณะ จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) นวัตกรรมคู่มือเรื่องเล่าจากประสบการณ์การไปทำงานต่างประเทศบ้านลอจอ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย 2) นวัตกรรมพลังเด็กและเยาวชนตำบลสถาน อำเภอเชียงของ และ 3) นวัตกรรมกระบวนการจัดการขยะชุมชน บ้านวังผา ตำบลท่าข้าม อำเภอเวียงแก่น</p> วิชุลดา มาตันบุญ เสถียร ฉันทะ บานจิตร สายรอคำ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 211 220 การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267213 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เปรียบเทียบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์ และ 3) เสนอแนวทาง การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษา จำนวน 66 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 198 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากและมากที่สุด 2) เปรียบเทียบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เมื่อจำแนกตามตำแหน่ง พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อจำแนกตามประสบการณ์ พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มี 6 แนวทาง ได้แก่ 1) ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ควรสร้างความตระหนัก และความเข้าใจในการปฏิบัติงานให้มีทิศทางเดียวกัน 2) ด้านการคัดกรองนักเรียน ควรร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาของนักเรียนและหาแนวทางในการป้องกันเด็กกลุ่มเสี่ยง และกลุ่มมีปัญหา 3) ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน ส่งเสริมให้สถานศึกษานำนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง 4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน จัดทำแผนเผชิญเหตุป้องกันทั้งนักเรียนกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มมีปัญหา 5) ด้านการส่งต่อนักเรียน ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการส่งต่อนักเรียนเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป และ 6) ด้านการติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคีเครือข่าย และร่วมกันพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพต่อไป</p> ณัฐกาญจน์ ญาณแขก ธดา สิทธิ์ธาดา Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 221 236 แนวทางการแก้ไขการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครปฐม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267263 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการกระทำผิดซ้ำ 2) พัฒนากระบวนการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ 3) เสนอแนวทางการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครปฐม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยศึกษาเอกสารและเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางนครปฐม จำนวน 319 คน ทำการคัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ และทำการคัดเลือกแบบเจาะจงผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 คน ผู้ร่วมสนทนากลุ่มเฉพาะ 9 คน ใช้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหานำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครปฐม พบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดซ้ำมากที่สุด คือด้านเศรษฐกิจ รองลงมาคือ ปัจจัยด้านสังคมและปัจจัยด้านครอบครัว ตามลำดับ 2) การพัฒนากระบวนการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครปฐม พบว่า มีขั้นตอน 6 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1) ค้นหาสาเหตุที่นำมาสู่การกระทำผิดซ้ำ 2.2) ศึกษาแนวคิดสำหรับป้องกัน 2.3) การพัฒนาคู่มือและออกแบบกิจกรรม 2.4) จัดวิพากษ์ความเหมาะสมของคู่มือและกิจกรรม 2.5) จัดกิจกรรมตามคู่มือ และ 2.6) ประเมินผลกิจกรรม และ 3) แนวทางการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครปฐม ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ดังนี้ 3.1) กระบวนการให้ความรู้ 3.2) กระบวนการสร้างจิตสำนึกที่ดี โดยใช้หลักศีล 5 3.3) กระบวนการให้โอกาสได้แสดงออก และ 3.4) กระบวนการสร้างภาคีเครือข่ายในการร่วมกันแก้ไข ให้โอกาส และป้องกันการกระทำผิดซ้ำ</p> พงศ์สรัญ หัสชู พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร พระครูปลัดประวิทย์ วรธมฺโม Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 237 254 การพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรท้องถิ่นมรดกวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี โดยใช้ชุมชนเป็นฐานสู่นวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267493 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทด้านวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี 2) สร้างนวัตกรรมหลักสูตรท้องถิ่นมรดกวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี และ 3) ศึกษาผลการใช้และความพึงพอใจต่อนวัตกรรมหลักสูตรท้องถิ่นมรดกวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง เป็นตัวแทนชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดอุทัยธานี ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและนักเรียน โดยเปิดตารางสำเร็จรูปของทาโร ยามาเน่ กำหนดคาดเคลื่อนร้อยละ 10 ประกอบด้วย ตัวแทนชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 20 คน ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและนักเรียน จำนวน 100 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือ ได้แก่ แบบสำรวจบริบทชุมชน มีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 แบบประเมินความเหมะสม มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.70 และแบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) บริบทด้านวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมแตกต่างกัน อันได้แก่ วิถีการดำเนินชีวิต ภาษา อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) การพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรท้องถิ่น “มรดกวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี” ประกอบด้วย 2.1) ลาวครั่งและลาวเวียง 2.2) ขมุบ้าน 2.3) กระเหรี่ยง และ 2.4) ลาวอีสานอพยพ และสร้างสื่อวิดีทัศน์ออนไลน์ มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) การใช้นวัตกรรมหลักสูตร นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้านศิลปะ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดอุทัยธานี มีทักษะสังเกต สำรวจ บันทึก สรุปองค์ความรู้ นำเสนอความรู้ผ่านการสร้างสรรค์ชิ้นงานและมีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมหลักสูตรท้องถิ่นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> เยาวเรศ ภักดีจิตร Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 255 272 รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสูงอายุชายในเรือนจำกลางนครปฐม ตามหลักภาวนา 4 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267315 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพชีวิต 2) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักภาวนา 4 และ 3) เสนอรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังสูงอายุชายในเรือนจำกลางนครปฐม ตามหลักภาวนา 4 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 20 คน และสนทนากลุ่มเฉพาะ 10 คน โดยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบเนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) เรือนจำกลางนครปฐมมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังสูงอายุชาย ใน 3 ด้าน คือ ด้านสาธารณสุข ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ การตรวจสุขภาพร่างกายรักษาพยาบาลเบื้องต้นและเยียวยาตามความเหมาะสม ด้านการดำรงชีพ มีการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมตามบริบทของผู้ต้องขัง ด้านคุณค่าทางสังคม มีกิจกรรมสานสัมพันธ์ครอบครัว มีศูนย์เตรียมการปลดปล่อย การเรียนรู้หลักปฏิบัติทางศาสนา และการฝึกอาชีพ 2) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังสูงอายุชายในเรือนจำกลางนครปฐม ตามหลักภาวนา 4 เป็นกิจกรรมเชิงบูรณาการกับกิจกรรมของเรือนจำ เช่น การปฐมนิเทศผู้ต้องขังเข้าใหม่เพื่อให้เรียนรู้ระบบระเบียบในการอยู่ร่วมกัน การจัดพื้นที่ออกกำลังกาย การจัดกิจกรรมราชทัณฑ์ปันสุข กิจกรรมส่งเสริมศีลธรรม ร่วมถึงกิจกรรมฝึกวิชาชีพ เช่น โครงการส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรตามรอยพ่อ โครงการโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง โครงการพัชรธรรม และ 3) รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังสูงอายุชายในเรือนจำกลางนครปฐม ตามหลักภาวนา 4 ในด้านกายภาวนา มีการปฐมนิเทศให้ความรู้ในการดูแลตนเอง ด้านสีลภาวนา การส่งเสริมให้ปฏิบัติตามระเบียบ กิจกรรมจิตอาสา ด้านจิตภาวนา มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมในโครงการพัชรธรรม โครงการเรือนจำวิถีพุทธ และการเรียนหลักสูตรสัคคสาสมาธิ ด้านปัญญาภาวนา มีการส่งเสริมอาชีพในโครงการเกษตรตามรอยพ่อ โครงการโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง</p> เลอสรรค์ พิศวง พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร พระปลัดประพจน์ อยู่สำราญ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 273 290 การจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับแนวคิดกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของบลูม 6 ขั้นเพื่อพัฒนาคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267040 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) ของนักศึกษาครู โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับแนวคิดกระบวนการ พัฒนาสติปัญญาของบลูม 6 ขั้น และ 2) เปรียบเทียบคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ ของนักศึกษาครู โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับแนวคิดกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของบลูม 6 ขั้นกับเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม (ร้อยละ 86) เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาครูชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 1 กลุ่มเรียน มีจำนวนนักศึกษาทั้งสิ้น 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาการฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน 1 ที่จัดทำขึ้นตามลักษณะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของบลูม 6 ขั้น จำนวน 15 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 15 ชั่วโมง ที่มีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC=.67-1.00) และแบบประเมินตนเองเกี่ยวกับคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ จำนวน 48 ข้อ มีค่า IOC รายข้ออยู่ระหว่าง .67-1.00 และมีค่า IOC ทั้งฉบับเท่ากับ .87 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .958 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 83) โดยด้านคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน ด้านการร่วมมือรวมพลัง ด้านการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์ ด้านการใฝ่เรียนรู้ และด้านการสะท้อนผลการปฏิบัติงาน ตามลำดับ และ 2) ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบคุณลักษณะความเป็นครูแห่งชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับแนวคิดกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของบลูม 6 ขั้น ต่ำกว่ากับเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม (ร้อยละ 86) (t=-1.75, p-value=.044)</p> สุทธิพงศ์ บุญผดุง วิภาพร บึงลี Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 291 308 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เรื่อง โครงสร้างระบบเครือข่าย สำหรับมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/263860 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมเป็นฐาน นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้วิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6/7-6/9 โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่ จำนวนนักเรียนทั้งหมด 130 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) แผนจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมเป็นฐาน 3) แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนด้วยเทคนิคการสอนโดยใช้เกมเป็นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบค่าที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จาการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า 1) พฤติกรรมการเรียนในรายวิชานักเรียนภายในชั้นเรียนไม่สนใจในการเรียนและขาดแรงจูงใจในการเรียน จึงต้องการให้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และเพิ่มกิจกรรมที่นักเรียนได้มีส่วนร่วมลงมือปฏิบัติเพื่อเป็นการทบทวนเนื้อหาความรู้ 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมเป็นฐาน คะแนนทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังการจัดการเรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อเทคนิคการจัดการเรียนโดยใช้เกมเป็นฐาน มีความพึงพอใจในภาพรวมค่าเฉลี่ย 4.57 อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ธัญวดี กำจัดภัย จตุรพร กัณหา ประกายแก้ว เสียงหวาน Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 309 324 พุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/266539 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทของความเป็นชุมชนเชิงพุทธวิถีในพื้นที่ชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ และ 2) วิเคราะห์ความเป็นชุมชนนวัตกรรมพุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนในชุมชนเมืองในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ จำนวน 250 คน 5 ชุมชน คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า มีค่า IOC = 0.93 และแบบเก็บข้อมูลถอดบทเรียน มีค่า IOC = 0.92 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุมชนกลุ่มตัวอย่างทั้ง 5 ชุมชน มีบริบทที่ใกล้เคียงกัน เป็นชุมชนเมือง มีแบ่งข้อมูลเป็น 6 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า มีระบบไฟฟ้าและน้ำประปา อยู่ในระดับดี ด้านเศรษฐกิจ มีอาชีพที่มีความมั่นคง มีสวัสดิการ อยู่ในระดับปานกลาง มีรายได้เพียงพอเลี้ยงครอบครัว อยู่ในระดับมาก ด้านสุขภาพ มีกลุ่ม อสม.ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ในระดับมาก ด้านการศึกษา มีการศึกษาและความรู้อยู่ในระดับปานกลาง ด้านสังคม มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในชุมชนอยู่ในระดับมาก ด้านสิ่งแวดล้อม มีคนในชุมชนอุปนิสัยดี มีอากาศบริสุทธิ์ อยู่ในระดับมาก และ 2) ชุมชนกลุ่มตัวอย่างทั้ง 5 ชุมชน มีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีความเป็นบวร (บ้าน วัด และโรงเรียน) มีความเป็นชุมชนนวัตกรรมพุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง คือ มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาชุมชนจะร่วมมือร่วมใจกันเป็นอย่างดี และมีการประชุม การทำกิจกรรมร่วมกัน การแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งทั้ง 3 นี้เป็นเสาหลักในการจัดการทุก ๆ อย่างในชุมชน โดยใช้ระบบการสื่อสารที่ทันสมัยในยุคดิจิทัล เป็นการสร้างเครือข่ายการสื่อสารซึ่งกันและกันในชุมชน และกับชุมชนอื่น ๆ</p> ธนสิทธิ์ คณฑา Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 325 340 อำนาจฝ่ายบริหารในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจเอกชน : กรณีศึกษาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/267622 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา ทฤษฎีเกี่ยวกับการแทรกแซงเศรษฐกิจ การกระทำทางรัฐบาล 2) ศึกษาอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และ 3) ศึกษาขอบเขต เงื่อนไขการแทรกแซงเศรษฐกิจของในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากหนังสือ รายงาน วารสารของไทยและต่างประเทศ ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบในเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) การแทรกแซงเศรษฐกิจของฝ่ายบริหารเป็นการกระทำทางรัฐบาลเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐทั้งในทฤษฎีกฎหมายมหาชนและทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ โดยหลักเสรีนิยมรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ ยกเว้นระบบกลไกตลาดไม่มีประสิทธิภาพนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เท่าเทียมกัน 2) การแทรกแซงเศรษฐกิจตามนโยบายของฝ่ายบริหารเพื่อกระจายรายได้และความมั่งคั่งของสังคมและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยการแทรกแซงอยู่ในความควบคุมทางการเมืองโดยองค์กรและกระบวนการทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันในตลาดได้ และ 3) ปัญหาการแทรกแซงเศรษฐกิจของฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญเกิดจากการตีความ การรักษาความมั่นคงของรัฐ ผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวม ที่มีความหมายกว้างมีหลายมิติขึ้นกับอุดมการณ์ เวลา สภาพแวดล้อม ทำให้การกระทำทางรัฐบาลที่อาจไม่ถูกตรวจสอบการใช้อำนาจในทางกฎหมาย เป็นเพียงการตรวจสอบและความรับผิดทางการเมืองเท่านั้นทั้งที่ในรัฐธรรมนูญในมาตรา 5 บัญญัติชัดเจนว่าการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญไม่มีผลในการบังคับใช้ และการแทรกแซงเศรษฐกิจของฝ่ายบริหารเพื่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและการป้องกันการผูกขาดในด้านรูปแบบมากกว่าเนื้อหาการแทรกแซงเศรษฐกิจของฝ่ายบริหารจึงมิได้เป็นไปเพื่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและการป้องกันการผูกขาด</p> เทวราช สนโศรก พร้อมพล พระพรหม เฉลียว นครจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 341 354 ผ่อ : มิติมุมมองในการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของเยาวชนในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้ง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/273008 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้ง 2) ส่งเสริมการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเยาวชนในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้งและ 3) สร้างเครือข่ายเยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยการศึกษาในเชิงเอกสาร, การสนทนากลุ่มเฉพาะกับผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อกรอบการเสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชนที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้ง, การสัมมนาทางวิชาการเพื่อพัฒนาความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชน และ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนามาหาข้อสรุปการวิจัย ผลการวิจัย พบว่า 1) การเสริมสร้างจิตสำนึกของเยาวชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้งผ่านการสัมมนาทางวิชาการเมื่อสิ้นสุดการอบรมเยาวชนผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่มีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทิศทางที่ดีขึ้น 2) การส่งเสริมการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเยาวชนผ่านการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเมื่อสิ้นสุดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเยาวชนผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการวางแผน ถ่ายทำ ตัดต่อ และนำเสนอสื่อสร้างสรรค์ในระดับที่สูงขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้น และ 3) การสร้างเครือข่ายเยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้งจากการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย คณะสงฆ์ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ผู้นำองค์กรภาคประชาชน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ผู้ผลิตสารคดี ผู้ผลิตสื่อโทรทัศน์ ผู้ปกครอง คณะครู และนักเรียน ที่มามีส่วนร่วมกันพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และทักษะให้กับเยาวชน</p> พระอุดมบัณฑิต อัครเดช พรหมกัลป์ พระมหาชุติภัค อภินนฺโท รัตติยา เหนืออำนาจ วีระศักดิ์ บุญดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 355 370 การบังคับใช้พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522: ศึกษากรณีการชำระเงินค่าเสื้อวินรถจักรยานยนต์รับจ้างในเขตจังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/268484 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 กรณีการชำระเงินค่าเสื้อวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง 2) สาเหตุของปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย 3) วิธีแก้ไขปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติ และ 4) แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมต่อการบังคับใช้กฎหมาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง เจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่ง และองค์การบริหารส่วนตำบลที่เกี่ยวข้อง ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา นำเสนอข้อมูลด้วยการพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเกิดจากการตรวจสอบไม่ทั่วถึงของเจ้าหน้าที่รัฐ รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ไม่เปิดเผย รถจักรยานยนต์แกร็บรับจ้าง การส่งส่วยหรือผู้มีอิทธิพล เจ้าของเสื้อวินเรียกเงินค่าเสื้อวินคืนไม่ได้ ความยินยอมของผู้ขับขี่วิน 2) สาเหตุของปัญหาเกิดจากมีการแจ้งหรือทราบก่อนเข้าตรวจสอบหรือตรวจสอบเฉพาะกรณีที่มีการร้องเรียน ผู้ขับขี่วินกับผู้รับบริการรู้จักเป็นการส่วนตัว การแย่งผู้โดยสารหรือทับเขตพื้นที่กัน กฎหมายที่ใช้บังคับแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลไม่ได้ มูลค่าของราคาเสื้อวินแพงขึ้น ความเกรงกลัวและเพื่อการดำรงชีพ 3) วิธีแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล จัดสถานที่ตั้งวินโดยหน่วยงานของรัฐ เพิ่มบทลงโทษต่อผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเสื้อวินผิดกฎหมาย ควบคุมรถจักรยานยนต์รับจ้างทุกประเภท และ 4) แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเจ้าหน้าที่รัฐควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด มีมาตรการในการป้องกันการข่มขู่หรือสร้างเงื่อนไขโดยผู้มีอิทธิพล มีมาตรการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพการเลือกใช้บริการของผู้รับบริการ</p> ปองปรีดา ทองมาดี Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 371 388 การพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่องการสร้างคำในภาษาไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/266496 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่องการสร้างคำในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน 3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการวิจัยนี้เป็นเป็นการวิจัยและพัฒนา มุ่งศึกษาค้นคว้าคิดค้นอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายในการพัฒนา นวัตกรรม จากนั้นนำไปทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงนำไปเผยแพร่เพื่อพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร จำนวน 90 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ 1) ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย จำนวน 5 ชุด 2) แบบทดสอบผลวัดสัมฤทธิ์แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ พบค่าความยาก (p) ระหว่าง .43 - .70 และค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ .20 - .80 มีค่าความเชื่อมั่น .81 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน เป็นแบบ Rating Scale 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ และ 4) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าประสิทธิภาพ 85.07/84.89 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) คะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.6194 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 62.94 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่ยอมรับได้ คือ .50 ขึ้นไป และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณิตาวรรณ โพธิ์ไหม Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-01 2024-07-01 7 4 389 400 นัยยะทางการเมืองในภาพยนตร์ที่ถูกระงับการเผยแพร่ในประเทศไทย ช่วง พ.ศ. 2557-2562 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/269102 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาโครงสร้างของภาพยนตร์ที่ถูกระงับการเผยแพร่ในประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2557-2562 และ 2) ค้นหานัยยะทางการเมืองที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างของภาพยนตร์ที่ถูกระงับการเผยแพร่ในประเทศไทยในช่วงพ.ศ. 2557-2562 เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยใช้แนวทางการวิเคราะห์แบบสัญวิทยาร่วมกับแนวทางการวิเคราะห์แบบโครงสร้างนิยม ผลการวิจัย พบว่า 1) โครงสร้างของภาพยนตร์ที่ถูกระงับการเผยแพร่ด้วยเหตุผลทางการเมืองในช่วงเวลาที่ทำการศึกษาทั้ง 3 เรื่อง มีการจัดวางความสัมพันธ์ของตัวละครให้เป็นคู่ตรงข้ามกัน 2 คู่ ได้แก่ ดี-เลว และ กระทำ-ถูกกระทำ โดยตัวละครที่เป็นฝ่ายรัฐบาลถูกวางให้เป็นตัวละครที่เลวและเป็นผู้กระทำ ซึ่งภาพยนตร์ได้เน้นย้ำภาพของรัฐบาลที่กระทำการกดขี่ประชาชนโดยไม่ต้องรับผลร้ายใดใดตามมา และ 2) การสื่อนัยยะทางการเมืองว่า “รัฐบาลที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตไม่ใช่รัฐบาลที่ดี” แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาทางการเมืองซึ่งคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติในช่วงเวลานั้นเลือกที่จะระงับการเผยแพร่นั้น เป็นภาพยนตร์ที่โจมตีรัฐบาลที่มีลักษณะอำนาจนิยม ทุจริตคอร์รัปชัน และอยู่เหนือกฎหมาย</p> ธีรพงศ์ พรหมวิชัย ธาราภรณ์ วงศ์ธัญกรรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-07-02 2024-07-02 7 4 401 418