วารสารวิจยวิชาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra <p><img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/jra/White_Minimalist_Elegant_Handwritten_LinkedIn_Banner_(1).png" width="648" height="162" /> </p> <p> </p> <p><strong> วารสารวิจยวิชากา</strong>ร มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิจารณ์หนังสือที่เป็นภาษาไทยและมีข้อค้นพบ ข้อเสนอแนะที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงความคิดริเริ่มที่มีผลกระทบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติในวงกว้าง อีกทั้งยังมุ่งหมายที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการศึกษา การสอน โดยเน้นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา การบริหารการศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการชุมชน รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ วารสารวิจยวิชาการได้เริ่มจัดทำและตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 จะมีการเผยแพร่ระบบออนไลน์เพียงช่องทางเดียว โดยมีหมายเลข ISSN 2985-0053 (Online) </p> <p> </p> <p> </p> th-TH <p>1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจยวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิจยวิชาการก่อนเท่านั้น</p> journal.jra@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.อัครเดช พรหมกัลป์) journal.jra@gmail.com (กองบรรณาธิการ) Sat, 01 Nov 2025 10:05:37 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ระบบการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการร่วมกับหลักอิทัปปัจจยตา เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเสือโคร่งป่าห้วยขาแข้งของสถานศึกษาในจังหวัดอุทัยธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280738 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาองค์ความรู้ 2. พัฒนาระบบ 3. ทดลองระบบการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น และ 4. ประเมินและรับรองประสิทธิภาพระบบ วิธีดำเนินการวิจัยเป็นแบบการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) แบบผสมผสานวิธี ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ 1) (Documentary Research) (R<sub>1</sub>) การศึกษาองค์ความรู้ 2) (System Development) (D<sub>1</sub>) การพัฒนาระบบ 3) (Experimental Research) (R<sub>2</sub>) การทดลองระบบ 4) (System Evaluation and Development) (D<sub>2</sub>) การประเมินและรับรองประสิทธิภาพระบบ ประชากร 8,500 คน คำนวณจำนวนกลุ่มตัวอย่าง ด้วยสูตรทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวน 382 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และกลุ่มทดลองจำนวน 34 คน เป็นนักเรียนชั้น ม. 5 โรงเรียนลานสักวิทยา สังกัด สพม. อุทัยธานี ชัยนาท เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม ร่างหลักสูตรท้องถิ่นฯ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ หาคุณภาพเครื่องมือ ด้ายการวิเคราะห์ทางสถิติ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้องค่าความยาก ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบและแบบวัดความพึงพอใจ และค่าประสิทธิภาพกระบวนการและผลลัพธ์ของหลักสูตร ผลการวิจัย พบว่า 1) การอนุรักษ์เสือโคร่งต้องการความร่วมมือจากชุมชน โดยใช้สื่อการเรียนรู้และกิจกรรมที่สร้างแรงจูงใจและความตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเครือข่ายชุมชนเพื่อความสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว 2) การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการร่วมกับหลักอิทัปปัจจยตาเพื่ออนุรักษ์เสือโคร่ง ผลการประเมินโครงสร้างหลักสูตรโดยใช้ CIPP Model พบว่า อยู่ในระดับสูง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.09, S.D. = 1.05) 3) การทดลองหลักสูตรแบบกึ่งทดลองพบว่า หลักสูตรช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเสริมสร้างความเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเสือโคร่งได้ดี และ 4) การเรียนรู้ผ่านหลักสูตรนี้ช่วยพัฒนาทักษะ ความรู้ และความร่วมมือในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ สามารถสรุปได้ว่า การบูรณาการหลักสูตรท้องถิ่นและหลักอิทัปปัจจยตา เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ เกิดเป็นประสิทธิผลอย่างแท้จริง</p> พระครูอุทิตปริยัติสุนทร, พระมหาธีรติ ธมฺมโสภโณ, พระชัยวัฒน์ จินดาพาณิชย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280738 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282059 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน และ 3) ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา ขั้นที่ 1 เปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 226 คน คัดเลือกแบบแบ่ง ชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.97 ขั้นที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบฯ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 7 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ขั้นที่ 3 ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างฯ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 คน คัดเลือกแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่น 0.98 สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบทีและวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเป็นนวัตกรของผู้เรียน สภาพปัจจุบันโดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.72 อยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 อยู่ในระดับมาก มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการพัฒนารูปแบบฯ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ 25 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 5 ตัวชี้วัด (2) การจัดการเรียนรู้ 4 ตัวชี้วัด (3) การวัดและประเมินผลการเรียน 4 ตัวชี้วัด (4) บุคลิกภาพส่วนบุคคล 5 ตัวชี้วัด (5) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 5 ตัวชี้วัด และ (6) ทักษะทางสังคม 2 ตัวชี้วัด และ 3) ผลการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square=1.34 ,P-Value=0.06, X<sup>2</sup>/df =1.34, CFI=0.99, TLI=0.99, RMSEA=0.03) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์น้ำหนักองค์ประกอบ ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 0.86 (2) การจัดการเรียนรู้ 0.95 (3) การวัดและประเมินผลการเรียน 0.98 (4) บุคลิกภาพส่วนบุคคล 0.81 (5) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 0.90 และ (6) ทักษะทางสังคม 0.96 ตามลำดับ ทุกองค์ประกอบมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ณรงค์ศักดิ์ อุตรา, พิชามญชุ์ สุรียพรรณ, สิริสวัสช์ ทองก้านเหลือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282059 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต้นแบบ ของคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/276339 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ของจังหวัดนครสวรรค์ 2. การยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ และ 3. ประเมินผลการยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการประกอบด้วย 1) การวางแผน โดยการวิเคราะห์สภาพการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ 2) การลงมือปฏิบัติ การขับเคลื่อนกิจกรรม 3) การสังเกตการณ์ ติดตามผล 4) ขั้นสะท้อนผล ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ของจังหวัดนครสวรรค์พบว่ามีการบริหารจัดการ 4 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานทั่วไป 2) การยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับในการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ 4 ด้าน คือ (1) ด้านการบริหารวิชาการ กิจกรรมการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ทันสมัยใหม่ได้รวดเร็วขึ้น (2) ด้านการบริหารงานบุคคลโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการวางแผนบุคลากร ในระบบได้อย่างรวดเร็ว (3) ด้านการบริหารงานทั่วไปโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดทำเว๊ปไซต์ให้ศูนย์ศึกษาวันอาทิตย์ได้ประหยัดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง และทำงานได้เร็วขึ้น (4) ด้านการบริหารงบประมาณ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานได้สะดวกและรวดเร็ว และ 3) ประเมินผลการยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า ประเมินผลการยกระดับการบริหารจัดการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์จังหวัดนครสวรรค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างและส่งลิงค์ขึ้นไปใช้งานในเว็ปไซต์ในการบริหารงานวิชาการ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไปและการบริหารงานงบประมาณได้อย่างถูกต้องรวดเร็วเหมาะสมมากยิ่งขึ้น</p> อนงค์นาฏ แก้วไพฑูรย์, ศศิกิจจ์ อ่ำจุ้ย, อาณัติ เดชจิต, ปัญญา พรหมบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/276339 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 โมเดลเชิงแนวคิดสำหรับการพัฒนาศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวพุทธ: การศึกษาเชิงบูรณาการ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/283017 <p class="5175" style="margin-top: 0in; text-indent: .7in;"><span lang="TH">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์โมเดลเชิงแนวคิดสำหรับการพัฒนาศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวพุทธ ใช้การวิจัยเชิงเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจากตำรา หนังสือ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น แนวคิดเศรษฐกิจฐานราก แนวคิดศิลปหัตถกรรม และอริยมรรคมีองค์ 8 แล้ว นำข้อมูลวิเคราะห์ด้วยวิธีบูรณาการคือการปรับพระพุทธศาสนาเข้าหาศาสตร์ตามแนวคิดของพระธรรมโกศาจารย์ ผลการวิจัย พบว่า </span>WISE Model <span lang="TH">หรือโมเดลเชิงแนวคิดสำหรับการพัฒนาศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวพุทธ มี </span>4 <span lang="TH">องค์ประกอบ ได้แก่องค์ประกอบที่ </span>1 <span lang="TH">ด้านความรู้ (</span>W-Wisdom) <span lang="TH">หมายถึง การเรียนรู้เพื่อเข้าใจคุณค่าแท้ของภูมิปัญญาเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์อัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นและรู้เท่าทันบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ องค์ประกอบที่ </span>2 <span lang="TH">ด้านการสร้างสรรค์ (</span>I-Innovation) <span lang="TH">หมายถึง ความสามารถในการนำความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศิลปหัตถกรรมให้มีคุณภาพ มีความประณีตสวยงาม องค์ประกอบที่ </span>3 <span lang="TH">ด้านการขายที่ตระหนักถึงสังคม (</span>S- Socially-conscious Selling) <span lang="TH">หมายถึง ความสามารถในการดำเนินกิจการการผลิตและการจำหน่ายศิลปหัตถกรรมอย่างยั่งยืน มีศักยภาพในการเเข่งขันในตลาดปัจจุบัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว องค์ประกอบที่ </span>4 <span lang="TH">ด้านจริยธรรม (</span>E-Ethics) <span lang="TH">หมายถึง การยึดมั่นในหลักคุณธรรมในการผลิตและจำหน่ายศิลปหัตถกรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ความเป็นธรรม ไม่ละเมิดคุณค่าทางวัฒนธรรม รวมถึงการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</span></p> แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, อรชร ไกรจักร์ , กรรณิการ์ ขาวเงิน, พระมหาวรัญธรณ์ ศรีขุ้ย, พระปัญญาวัชรบัณฑิต, พระมหาดวงเด่น ตุนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/283017 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้หุ่นยนต์เชื่อม และระบบอัตโนมัติ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน เข้าสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280278 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการฝึกอบรม 2) พัฒนารูปแบบหลักสูตร 3) ทดสอบหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ด้านความรู้ และด้านทักษะ และ 4) ทดสอบหาประสิทธิภาพของกระบวนการจัดฝึกอบรม จากผู้เข้ารับการฝึกอบรม ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยประยุกต์ใช้วิธีวิจัยศึกษาเฉพาะกรณี เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสำรวจ และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความต้องการฝึกอบรมการใช้หุ่นยนต์เชื่อม และระบบอัตโนมัติ พบว่า ตอบรับเข้าร่วมการจัดฝึกอบรมครั้งนี้ จำนวน 4 วิทยาลัยฯ ด้วยจำนวนครู 7 คน นักศึกษา 45 คน 2) การพัฒนารูปแบบหลักสูตรการจัดฝึกอบรม ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย พบว่า รูปแบบหลักสูตรการจัดฝึกอบรมในภาคทฤษฎีต้องการแบบบรรยายถาม ตอบ พร้อมข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ IOC ด้านทักษะปฏิบัติต้องการทักษะด้านการใช้หุ่นยนต์เชื่อมต่อชิ้นงานรูปตัวที และมีลักษณะรอยเชื่อมเป็นแบบฟิลเล็ท ส่วนระบบอัตโนมัติใช้รูปแบบการจัดวางเรียงกล่องบรรจุสินค้าหรือครุภัณฑ์ 3) ผลการทดสอบหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ด้านความรู้ และทักษะ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม พบว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ด้านความรู้ และด้านทักษะ คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนผู้เรียนทำคะแนนได้ร้อยละ 35.55 หลังเรียนทำคะแนนได้ร้อยละ 78.29 มากกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70.00 และทำได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.74 ด้านทักษะ สามารถปฏิบัติงานได้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนดทุกคน และ 4) ผลการทดสอบหาประสิทธิภาพกระบวนการจัดฝึกอบรม จากผู้เข้ารับการฝึกอบรม พบว่า ด้านเนื้อหามีประสิทธิภาพดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.82, S.D.= 0.24) ด้านวิทยากรมีประสิทธิภาพดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 5.00, S.D.= 0.00) ด้านสถานที่จัดฝึกอบรมมีประสิทธิภาพดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.83) และ (S.D. = 0.22) โดยมีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้านที่ประสิทธิภาพดีมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.88, S.D. = 0.15)</p> <p> </p> สายชล ปัญจมาตย์, ตรีรัตน์ เด่นดวง, ณัฐกมล พลศรีราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280278 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้นาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต สำหรับผู้สูงอายุ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281322 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้นาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ 2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้นาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ ประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านแนวคิดนาฎศิลป์บำบัด ปราชญ์ชาวบ้านด้านนาฏศิลป์พื้นเมืองบ้านเขาสมอแคลง ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน และผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุบ้านเขาสมอแคลง ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความเหมาะสม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติเชิงบรรยาย ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มี 2 แนวทาง ได้แก่ 1.1) ด้านร่างกายและจิตใจควรจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุร่วมกันสร้างสรรค์ท่ารำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลงเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะความแข็งแรง การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และการมีเจตคติที่ดีต่อการร่วมกันอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง 1.2) ด้านสัมพันธภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควรจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุร่วมกันฝึกปฏิบัติการรำมังคละประกอบเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลงภายใต้การออกแบบจัดเตรียมพื้นที่ในชั้นเรียนให้มีความเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ และ 2) แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้นาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ มีขั้นตอนที่สำคัญ 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 สร้างสรรค์ท่ารำมังคละด้วยการรื้อฟื้นเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง ขั้นที่ 2 เสริมสร้างคุณภาพชีวิตด้วยนาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง ขั้นที่ 3 ทบทวนผลการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตด้วยนาฎศิลป์บำบัดการรำมังคละเพลงพื้นบ้านบ้านเขาสมอแคลง ทั้งนี้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (Mean = 4.45, SD = 0.06)</p> ประภาศรี ศรีประดิษฐ์, วารีรัตน์ แก้วอุไร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281322 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กและเยาวชน ในเขตภาคเหนือตอนล่าง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281406 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความฉลาดทางดิจิทัลของเด็กและเยาวชน 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลของเด็กและเยาวชน 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินรูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลของเด็กและเยาวชนในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยการวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ได้แก่ เด็กและเยาวชนที่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษา จำนวน 400 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ในการพัฒนารูปแบบและประเมินรูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักบริหารการศึกษา นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนารูปแบบ และด้านสื่อเด็กและเยาวชน จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.60–0.80 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า 0.93 คู่มือการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบวัดความรู้ แบบวัดความตระหนัก และแบบประเมินรูปแบบ วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ความฉลาดทางดิจิทัลของเด็กและเยาวชนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยรวมน้อยกว่าด้านอื่น ได้แก่ ด้านการกลั่นแกล้งทางดิจิทัล อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมาด้านการสื่อสารทางดิจิทัลและด้านการแสดงอารมณ์ทางดิจิทัล อยู่ในระดับปานกลาง 2) รูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กและเยาวชน มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการของรูปแบบการพัฒนา วัตถุประสงค์ของรูปแบบการพัฒนา ปัจจัยนำเข้า กระบวนการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัล ผลผลิต ผลลัพธ์ ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัล และเงื่อนไขในการนำรูปแบบไปใช้ 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า กลุ่มทดลองมีความรู้และความตระหนักถึงผลกระทบทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น และ 4) ผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับเด็กและเยาวชนโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสม ความถูกต้องครอบคลุม และความเป็นประโยชน์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ธัญรดี บุญปัน, ณัฐรดา วงษ์นายะ, ประจักษ์ กึกก้อง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281406 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282033 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะทางอารมณ์และสังคมของผู้สูงอายุ 2) พัฒนานวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม และ 3) ศึกษาผลการใช้นวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ คือ ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ จำนวน 401 คน จาก 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และเชียงใหม่ และผู้สูงอายุซึ่งเป็นอาสาสมัครทดลองใช้นวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบประเมินระดับทักษะทางอารมณ์และสังคมของผู้สูงอายุ (2) นวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อนวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาพรวมผู้สูงอายุมีระดับทักษะทางอารมณ์และสังคมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.18, S.D. = 0.987) 2) นวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม พัฒนาออกมาในรูปแบบเกมกระดานเส้นทางสู่พีระมิดสามสุข ซึ่งแนวทางการปรับปรุง ประกอบด้วย (1) กำหนดจำนวนผู้เล่นเกมกระดานให้ชัดเจน และควรมีผู้นำประจำกลุ่มเพื่อนำเกมให้กับผู้สูงอายุ (2) เปลี่ยนสีของเกมกระดานและการ์ดให้เข้มขึ้น (3) ปรับกลไกการมอบเหรียญความสุข (4) ตัดภาพประกอบในบอร์ดรูปสามเหลี่ยม เพื่อป้องกันความสับสน (5) ปรับการ์ดสถานการณ์ให้ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ขึ้น และใส่ภาพประกอบลงในการ์ดความรู้สึก เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุแสดงอารมณ์ได้ง่ายขึ้น 3) ภาพรวมผู้สูงอายุมีความพึงพอใจที่มีต่อนวัตกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุเพื่อเสริมสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคมอยู่ในระดับมากที่สุด <br />(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.53; S.D. = 0.101)</p> เอกภูมิ เจียมวิทยานุกูล, ชนันภรณ์ อารีกุล, ลักษิกา สุทธิวารี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282033 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการอนุรักษ์ สืบสาน เผยแพร่ วัฒนธรรมท้องถิ่นไทยทรงดำบ้านหนองเนิน อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279161 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและประวัติความเป็นมาของการอนุรักษ์ สืบสานเผยแพร่ วัฒนธรรมท้องถิ่นไทยทรงดำ 2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบฯ และ 3) ประเมินรูปแบบการอนุรักษ์ สืบสาน เผยแพร่ วัฒนธรรมท้องถิ่นไทยทรงดำบ้านหนองเนิน อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยคุณภาพโดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการประชุมกลุ่มย่อย กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง กลุ่มละ 5 คน รวม 15 คน ได้แก่ 1) ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 2) ผู้นำชุมชน เจ้าอาวาส ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหาร รพ.สต. และ 3) ภาคีเครือข่ายวัฒนธรรม วิสาหกิจชุมชน OTOP ร้านค้าชุมชน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา จำแนก และสรุปประเด็นสำคัญอย่างเป็นระบบ ผลการวิจัย พบว่า 1) ไทยทรงดำ แต่เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแคว้นสิบสองจุไทย กองทัพไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้กวาดต้อนเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งได้กระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงบ้านหนองเนิน อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ โดยยังคงอนุรักษ์ สืบสาน เผยแพร่ วัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตที่เป็นอัตลักณ์ของตนเองไว้ได้อย่างเข้มแข็ง 2) รูปแบบการอนุรักษ์ สืบสาน เผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่น ในลักษณะคณะกรรมการอนุรักษ์สืบสาน ที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่า ความหวงแหน และการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่มีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ และการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของชุมชน และ 3) การประเมินรูปแบบตามมาตรฐาน 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านความเป็นไปได้ ควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าเป็นภาคีเครือข่ายวัฒนธรรม (“บวร”) ซึ่งเป็นพลังอำนาจที่แท้จริงของชุมชน (2) ด้านความเป็นประโยชน์ ควรส่งเสริมพัฒนาพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นผู้ประกอบการทางวัฒนธรรม สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม (3) ด้านความเหมาะสม ควรนำข้อมูลสารสนเทศขนาดใหญ่ มาใช้ในการขับเคลื่อน อนุรักษ์ สืบสาน เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยทรงดำ และ (4) ด้านความถูกต้องครอบคลุม ควรส่งเสริมความตระหนักถึงสิทธิทางวัฒนธรรม การคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม การเผยแพร่วัฒนธรรม และการเข้าถึงวัฒนธรรมที่หลากหลาย</p> รวงทอง ถาพันธุ์, สิทธิพร เขาอุ่น, พิชญ์อนงค์ ผดุงศิลป์ไพโรจน์, นัยนา รัตนสุวรรณชาติ, ธนาภรณ์ แสวงทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279161 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของทหารเรือไทย ระหว่าง พ.ศ.2475-2494 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281388 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของทหารเรือ ระหว่าง พ.ศ.2475-2494 งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกประชากร 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทหารและกลุ่มนักวิชาการ โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 4 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบเก็บเอกสารและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า ทหารเรือสร้างฐานอำนาจทางการเมืองระหว่าง พ.ศ.2475-2494 ด้วยการสร้างเครือข่ายภายในกลุ่มทหารหนุ่มของกองทัพเรือ ที่ส่วนหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน และส่วนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงสินสงครามชัย ตลอดจนสร้างเครือข่ายผ่านบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมาชิกในกลุ่มดังกล่าว เพื่อก่อตั้งคณะราษฎรสายทหารเรือ การควบคุมกำลังพลของกองทัพเรือ ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ นายทหารเรือกลุ่มดังกล่าวได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพเรือ และการสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับกลุ่มการเมืองอื่น คือ กลุ่มของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และกลุ่มของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ต่างให้ความสนับสนุนกันและกันในทางการเมืองในนามผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจนทำให้เกิดความหวาดระแวงต่อทหารเรือของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นำไปสู่การสิ้นสุดการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของทหารเรือหลังเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน พ.ศ.2494</p> วรวิทย์ กลิ่นสุข, วรวลัญช์ วัฒนเดชไพศาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/281388 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษายุคดิจิทัล อำเภอศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279932 <p>บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษายุคดิจิทัล อำเภอศรีสำโรง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัยเขต 2 โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู ในอำเภอศรีสำโรง จำนวน 64 คน ประกอบไปด้วยผู้บริหาร 32 คน และครู 32 คน และใช้เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลจากหลักการบริหารความขัดแย้งของโธมัสและคิลแมนน์ ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1) การเอาชนะ 2) การร่วมมือ 3) การประนีประนอม 4) การหลีกเลี่ยง 5) การยอมให้ โดยแบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6-1.0 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.823 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า การบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษายุคดิจิทัล อำเภอศรีสำโรง โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.52 และ S.D. = 0.44) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการประนีประนอม รองลงมา คือ ด้านการร่วมมือ ด้านการยอมให้ ด้านการเอาชนะ และด้านการหลีกเลี่ยง ตามลำดับ</p> ลลิตา หว่างเชื้อ, นงลักษณ์ ใจฉลาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279932 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280619 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง เรื่องบุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทยตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนเรื่องบุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย โดยใช้สื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง เรื่องบุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย สื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง แบบประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง เรื่อง บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย ใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาสื่อการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการตามรูปแบบ ADDIE Model เรื่องบุคลคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย เนื้อหาประกอบไปด้วย 1.1) ประวัติบุคลคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย 1.2) ผลงานบุคลคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย ได้ผ่านการทดสอบที่มีประสิทธิภาพ 80.89/90.71 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนหลังใช้สื่อการเรียนรู้ห้องเรียนเสมือนจริง เรื่องบุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.39 ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ประวิทย์ ฤทธิบูลย์, มาโนช บุญทองเล็ก, อาทิตยา เงินแดง, บัญญัติ ศรีสวัสดิ์, พิชชา คุณพาที, พัสตราภรณ์ ศิริเนตร, สุธิดา คงเกษม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280619 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 คลี่คลายสายนที: การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280552 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสารสนเทศระดับชุมชนผ่านการสื่อสารสิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน้ำ และ 2) ยกระดับกลไกการมีส่วนร่วมของสภาองค์กรชุมชนตำบลในการสื่อสารสิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยอาศัยวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 60 คน โดยอาศัยเทคนิคการวิจัยด้วยวิธีการสนทนากลุ่มการจัดอบรมเครือข่ายผู้นำชุมชนนักสารสนเทศกับการจัดการทรัพยากรน้ำ และปฏิบัติการจัดทำสารสนเทศการบริหารจัดการน้ำด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน เมื่อได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดทำสารสนเทศระดับชุมชนผ่านแผนที่ทางเดินน้ำช่วยสนับสนุนให้เกิดการการสื่อสารสิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน้ำ การที่ผู้คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจในสารสนเทศทรัพยากรน้ำผ่านแผนที่ทางเดินน้ำได้นำมาสู่การกำหนดแผนบริหารจัดการน้ำร่วมกันบนฐานฉากทัศน์ของน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งได้อาศัยกลไกของสภาองค์กรชุมชนเป็นพื้นที่ทางสังคมในการจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน 2) การยกระดับกลไกการมีส่วนร่วมของสภาองค์กรชุมชนตำบลในการสื่อสารสิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน้ำ การที่สภาองค์กรชุมชนได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรน้ำและทำให้เกิดการสื่อสารสิทธิชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพเกิดขึ้นภายใต้กลไกการสื่อสาร 5 ส. ประกอบด้วย สารสนเทศดี สื่อสารดี สร้างสรรค์ดี เสริมพลังดี และส่วนร่วมดี ซึ่งช่วยยกระดับการสื่อสารในชุมชนในการสื่อสารการจัดการทรัพยากรน้ำได้เป็นอย่างดี</p> ภูมิ มูลศิลป์, สถาพร มนต์ประภัสสร, สายชล ปัญญชิต, จิตอุษา ขันทอง, อขิระ อุตมาน, ภูเบศ วณิชชานนท์, ปรมินทร์ ตั้งโอภาสวิไลสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/280552 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER พัฒนาระบบนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบาย ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 2 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/278167 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการนิเทศการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 2 2) สร้างรูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER 3) ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER และ 4) ประเมินรูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER งานวิจัยนี้เป็นวิจัยและพัฒนา ระยะเวลาดำเนินการวิจัย (1 ตุลาคม 2565–30 กันยายน 2566) มี 4 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ Focus Group Discussions ผู้เชี่ยวชาญ 9 คน ระยะที่ 3 การใช้รูปแบบ สุ่มด้วยด้วยวิธี Simple Random Sampling โรงเรียนบ้านศาลเจ้าไก่ต่อ ศึกษาผลตามตัวชี้วัดความสำเร็จ ระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบ ค่าความเชื่อมั่น IOC = 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสรุปข้อมูล แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างแบบประเมิน แบบสะท้อนผล สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) การนิเทศการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษานครสวรรค์ เขต 2 ประกอบด้วย 1.1) รวมข้อมูลและสารสนเทศ รวบรวม วิเคราะห์ 1.2) วางแผนการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล 1.3) รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล 2) สร้างรูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER มี 5 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การวางแผนเตรียมการ ขั้นที่ 2 เครื่องมือนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ขั้นที่ 3 นิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา ขั้นที่ 4 การวัดผลและประเมินผล ขั้นที่ 5 พัฒนาวิจัยนวัตกรรม 3) การใช้รูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.79, S.D.= 0.05 ระดับมากที่สุด และ 4) ประเมินรูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสานวิธี FUSION PT-SER .1) ประเมินความถูกต้อง <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.48, S.D.=0.47 ระดับมาก 4.2) ความเหมาะสม <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.54, S.D.= 0.47 ระดับมากที่สุด 4.3) ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.43, S.D.=0.42 ระดับมาก 4.4) ความเป็นประโยชน์ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.41, S.D.=0.45 ระดับมาก ประเมินความพึงพอใจ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.36, S.D.=0.44 ระดับมาก</p> กฤษณะ ไกรสี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/278167 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานต่อพัฒนาทักษะการวางแผน การทำงานเป็นทีม และการคิดเชิงวิพากษ์อย่างเป็นระบบ ในรายวิชาการควบคุม ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาธุรกิจการโรงแรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282600 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ในรายวิชาการควบคุมต้นทุนอาหารและเครื่องดื่ม 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษา ใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดำเนินการกับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาธุรกิจการโรงแรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 32 คนเข้าร่วมการเรียนรู้ผ่านโครงงานที่ออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทของวิชาชีพ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Pre-Test และ Post-Test) และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักศึกษา ใช้ค่า IOC ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือ ข้อมูลที่ได้ถูกการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย <br />Pair Samples t-test ผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานช่วยพัฒนาทักษะสำคัญ ได้แก่ 1.1) การวางแผน นักศึกษาสามารถออกแบบและคำนวณต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มอย่างมีระบบ 1.2) การทำงานเป็นทีม นักศึกษาเรียนรู้การแบ่งหน้าที่ รับผิดชอบงาน และสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ 1.3) การคิดเชิงวิพากษ์ นักศึกษามีทักษะในการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขได้ดียิ่งขึ้น และ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังจากเข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้มีค่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้นี้อยู่ในระดับมาก(<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.00 และ S.D. =0.84) โดยเฉพาะการที่โครงงานมีความสอดคล้องกับเนื้อหาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้การศึกษาสามารถสร้างบุคลากรที่มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต</p> เอกชัย จากศรีพรหม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/282600 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการสืบทอดวัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทยผ่านกิจกรรม “ลีลาศ” https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279734 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการสืบทอดค่านิยมวัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทยผ่านกิจกรรม “ลีลาศ” โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในกระบวนทัศน์เชิงวิพากษ์สังคม ผู้วิจัยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยวิธีสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างด้วยวิธีเจาะจงผู้ให้ข้อมูล จำนวน 12 คน การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แนวคิดของ Michel Foucault เพื่อเผยให้เห็นถึงการผลิตซ้ำอำนาจและความรู้ของวัฒนธรรมลีลาศที่ทำให้ปัจเจกบุคคลกลายเป็นเครื่องมือในการสืบทอดวัฒนธรรมทางเพศผ่านกิจกรรม “ลีลาศ” ให้ดำรงอยู่ภายใต้แนวคิดบรรทัดฐานรักต่างเพศที่อุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย และการจัดกระทำของความรู้และวัฒนธรรมของกิจกรรมลีลาศที่กำหนด ตำแหน่ง แห่งที่ และอำนาจที่อยู่เหนือร่างกายที่เข้าควบคุมกำกับให้ปัจเจกบุคคลต้องประพฤติและปฏิบัติตาม ผลการวิจัย พบว่า กระบวนการสืบทอดวัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทยผ่านกิจกรรม “ลีลาศ” มีองค์ประกอบได้แก่ 1) มีการสร้างการยอมรับกฎ กติกา มาตรฐานและค่านิยมของสังคมผ่านกิจกรรมลีลาศ 2) วิธีการสืบทอดแบบแผนปฏิบัติทางเพศของสังคมในพื้นที่กิจกรรมลีลาศ 3) การกำหนดบทบาทในกิจกรรมลีลาศด้วยเพศกำเนิด 4) บทบาทและหน้าที่กำกับวิถีปฏิบัติในขณะทำกิจกรรมลีลาศ และ 5) การกำหนดผู้หญิงในอุดมคติด้วยนักเต้นลีลาศชาย เพื่อความเป็นมาตรฐานสากลในเรื่องการกำหนดเพศให้ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้นถือเป็นความปกติของสังคมทำให้วัฒนธรรมลีลาศถูกทำให้กลายเป็นการตอกย้ำการผลิตซ้ำอำนาจและความรู้นั้น</p> บุญญสิตา บุษปะเกศ, สุเมษย์ หนกหลัง, พีรเดช ประคองพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279734 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การบริหารความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279748 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ ขอบข่าย และมาตรการในการบริหารความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันในการบริหารความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 381 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหาร และครูผู้รับผิดชอบงานด้านความปลอดภัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน เก็บข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์จากเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบในการบริหารความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ประกอบด้วย (1) ภาคีเครือข่ายด้านบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา (2) การมีส่วนร่วมบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา (3) การบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา และ (4) มาตรการและขอบข่ายความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยมีมาตรการและขอบข่ายความปลอดภัย คือ (1) มาตรการด้านการป้องกัน (2) มาตรการด้านการปลูกฝัง และ (3) มาตรการด้านการปราบปราม โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมขอบข่ายความปลอดภัยในสถานศึกษาทั้ง 4 กลุ่มภัย คือ (1) ด้านอุบัติเหตุ (2) ด้านการใช้ความรุนแรง (3) การล่วงละเมิดสิทธิ์ และ (4) ด้านสุขภาพอนามัยทางกายและจิตใจ และ 2) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน พบว่า โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษามีการบริหารความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =3.42, S.D.=1.09) เมื่อพิจารณาภาพรวมของแต่ละด้านพบว่า มีการบริหารความปลอดภัยในด้านการมีส่วนร่วมรับประโยชน์สูงที่สุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =3.63, S.D.=0.92) รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนร่วมวางแผน ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =3.37, S.D.=1.18) ด้านการมีส่วนร่วมดำเนินการ ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.36, S.D.=1.15) และด้านการมีส่วนร่วมติดตามและประเมินผล มีคะแนนต่ำที่สุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =3.33, S.D.=1.15)</p> พชฏ นรสิงห์, ธีระวัฒน์ มอนไธสง, วีรภัทร ภัทรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279748 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการหนุนเสริมอัตลักษณ์วัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ในเขตเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279921 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสนใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเขตเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ และ 2) ศึกษาแนวทางในการนำอัตลักษณ์วัฒนธรรมไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเขตเมืองปากน้ำโพผ่านพฤติกรรมและมุมมองของนักท่องเที่ยว เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวในเขตเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 385 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรง ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเที่ยง เท่ากับ .970 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เคยมาเที่ยวเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ โดยเป็นการท่องเที่ยวแบบมาเช้าเย็นกลับมีค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการต่ำกว่า 5,000 บาทต่อครั้ง 2) นักท่องเที่ยวมีความสนในสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสูงสุด คือ ประเพณีตรุษจีน รองลงมาคือ อาหารอร่อยพื้นถิ่น สถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอิน วัด ศาลเจ้า ผลิตภัณฑ์ของฝากของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นถิ่น ตามลำดับ 3) นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นในการพัฒนาสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประกอบด้วย การพัฒนารูปแบบกิจกรรมในงานประเพณีที่สร้างประสบการณ์แก่นักท่องเที่ยว ความสะดวกในการจอดรถ การพัฒนาภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมรวมถึงจุดบริการ ณ สถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอินที่มีมาตรฐาน การประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยว และการพัฒนาสินค้าของฝากที่เป็นอัตลักษณ์ของเมืองปากน้ำโพหรือของฝากจากนครสวรรค์</p> กฤษณะ ดาราเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279921 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้การใช้สมุนไพร เพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัดสุโขทัย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279506 <p>บทความการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหาและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้การใช้สมุนไพร และ 2) พัฒนาและประเมินรูปแบบการจัดการความรู้การใช้สมุนไพรเพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุจังหวัดสุโขทัย จำนวน 400 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ แพทย์แผนไทย ผู้บริหารและนักวิชาการสาธารณสุข พยาบาลวิชาชีพหมอพื้นบ้าน ปราชญ์สมุนไพร เครือข่ายผู้สูงอายุ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตัวแทนครอบครัวและชุมชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้ และการพัฒนารูปแบบ จำนวน 65 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80–1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า 0.92 และ 0.94 และแบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า 1) สภาพ ปัญหาและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้การใช้สมุนไพร โดยมีการกำหนดเป้าหมาย/หัวข้อความรู้ประเภทของสมุนไพร แสวงหาความรู้จากรายการโทรทัศน์ นำแนวปฏิบัติที่ดีจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพมาประยุกต์ใช้ โดยใช้วิธีการจดจำและไม่มีการประเมินผลความรู้ ปัญหาการจัดการความรู้อยู่ในระดับมากและปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกอยู่ในระดับปานกลาง 2) การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้การใช้สมุนไพรเพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) ปัจจัยนำเข้า (4) กระบวนการ (5) ผลผลิต (6) ผลลัพธ์ (7) เงื่อนไขการใช้รูปแบบ (8) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และผลการประเมินรูปแบบการจัดการความรู้การใช้สมุนไพรเพื่อส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้องครอบคลุมและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากและระดับมากที่สุด</p> ถวิล จอมสืบ, ณัฐรดา วงษ์นายะ, ประจักษ์ กึกก้อง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279506 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การสังเคราะห์งานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทยในระดับประถมศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2547-2567 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279380 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์งานวิจัยด้านการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทย ในระดับประถมศึกษา ระหว่างปี 2547-2567 และ 2) สังเคราะห์แนวโน้มการวิจัยด้านการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทย ระดับประถมศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2547-2567 โดยข้อมูลที่ได้นำมาศึกษา ได้แก่ งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทยในระดับประถม ศึกษา โดยใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ ThaiLis โดยนำมาสังเคราะห์ในเชิงคุณลักษณะ และสังเคราะห์เชิงปริมาณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็น ดังนี้ 1.1) มหาวิทยาลัยที่มีการผลิตงานวิจัยด้านการเรียนการสอนหลักภาษาไทยมากที่สุด คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 1.2) เนื้อหาที่มีการนำมาใช้ในการวิจัยมากที่สุด คือ เรื่องมาตราตัวสะกด จำนวน 10 เรื่อง 1.3) ระดับชั้นที่มีการเลือกเป็นกลุ่มทดลองในการวิจัยมากที่สุด คือ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 เรื่อง 1.4) แนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในการวิจัยมากที่สุด คือ แนวคิดการสร้างชุดกิจกรรมเสริมทักษะ จำนวน 6 เรื่อง 1.5) การกำหนดวัตถุประสงค์ในงานวิจัยที่ถูกกำหนดมากที่สุด คือ วัตถุประสงค์เพื่อสร้าง/พัฒนา/รูปแบบ/กระบวนการเรียนรู้/กิจกรรมของการเรียนรู้/แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 19 ข้อ 1.6) ประเภท ของงานวิจัยที่ถูกจัดทำมากที่สุด คือ การวิจัยเชิงทดลอง จำนวน 24 เรื่อง 1.7) วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ถูกใช้ในงานวิจัยมากที่สุด คือ วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 10 เรื่อง 1.8) เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยมากที่สุด คือ การใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 13 เรื่อง และ 2) งานวิจัยด้านการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทยในระดับประถมศึกษาของทั้ง 10 มหาวิทยาลัย มุ่งเน้นไปที่การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ การใช้สื่อ การใช้เทคโนโลยี การใช้เทคนิควิธีการสอนรูปแบบต่าง ๆ มาบูรณาการกับการเรียนการสอน ที่สร้างให้ผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมและโลกเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วซึ่งจะส่งเสริมให้การเรียนรู้มีความน่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้</p> ณัฐเกียรติ เจริญสุข, ทรงภพ ขุนมธุรส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279380 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่คาดหวังที่มีต่อการศึกษาระดับอนุปริญญา ของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร สถาบันวิทยาลัยชุมชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279439 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่คาดหวัง และ 2) เปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่คาดหวังที่มีต่อการศึกษาระดับอนุปริญญาของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร ด้านสมรรถนะของครูผู้สอน ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านสถานที่จัดการศึกษา ด้านค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน และด้านลักษณะพฤติกรรมของเพื่อนร่วมชั้นเรียน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร ในปีการศึกษา 2565 ถึง 2566 จำนวน 155 คน ซึ่งได้มาด้วย การสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา เป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กับสถิติอนุมานด้วยการทดสอบที แบบกลุ่มสัมพันธ์ ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพที่เป็นจริงและสภาพที่คาดหวังที่มีต่อการศึกษาระดับอนุปริญญาของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร ภาพรวมทุกด้านและทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร ด้านสมรรถนะของครูผู้สอน ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านสถานที่จัดการศึกษา ด้านค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน และด้านลักษณะพฤติกรรมของเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และ 2) การเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่คาดหวังที่มีต่อการศึกษาระดับอนุปริญญาของวิทยาลัยชุมชนพิจิตร ภาพรวมทุกด้าน และด้านการบริหารจัดการหลักสูตร ด้านสมรรถนะของครูผู้สอน ด้านสถานที่จัดการศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยสภาพที่คาดหวังมีความคิดเห็นสูงกว่าสภาพที่เป็นจริง ส่วนด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน และด้านลักษณะพฤติกรรมของเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ </p> เกรียงศักดิ์ สุวรรณวัจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/279439 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 “มหาวิทยาลัยสุขภาพ” : การสร้างเสริมด้วยแนวคิด และหลักการทางพระพุทธศาสนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/284178 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและหลักการการสร้างเสริมสุขภาพตามกรอบมหาวิทยาลัยสุขภาพ 2) ศึกษาแนวคิดและหลักการทางพระพุทธศาสนาที่สร้างเสริมการเป็นมหาวิทยาลัยสุขภาพ และ 3) นำเสนอแนวคิดและหลักการทางพระพุทธศาสนาที่สนับสนุนการสร้างเสริมมหาวิทยาลัยสุขภาพ ออกแบบให้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสาร ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงบรรยาย ผลการวิจัย พบว่า แนวคิดและหลักการสร้างเสริมสุขภาพตามกรอบมหาวิทยาลัยสุขภาพ มีจำนวน 22 องค์ประกอบ เฉพาะที่เป็นองค์ประกอบเชิงระบบและโครงสร้าง จำนวน 9 ข้อนั้น เมื่อนำมาวิเคราะห์ด้วยแนวคิดและหลักการทางพระพุทธศาสนาตามหลักภาวนา 4 ได้ข้อเสนอแนะ 4 แนวทาง แนวทางที่ 1 เน้นการใช้โยนิโสมนสิการและปรโตโฆสะ (ปัญญาภาวนา) เพื่อสร้างเสริมการทำงานเชิงนโยบาย การรับรู้ การเรียนการสอนและการวิจัย แนวทางที่ 2 เน้นการใช้หลัก สัปปายะ 7 (กายภาวนา) เพื่อสร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ แนวทางที่ 3 เน้นการใช้หลักศีลบัญญัติ (สีลภาวนา) เพื่อสร้างเสริมการบริการด้านสุขภาพ การบริหารงบประมาณ แนวทางที่ 4 เน้นการใช้หลักอริยสัจ 4 และจาคธรรม (ปัญญาภาวนาและจิตภาวนา) เพื่อสร้างเสริมการให้คำปรึกษาและความเป็นจิตอาสา การจัดการศึกษากับการสร้างเสริมสุขภาพตามแนวคิดและหลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เสริมหนุนซึ่งกันและกัน เป็นข้อเสนอที่สถาบันการศึกษาควรนำไปพิจารณาปรับใช้</p> พระมหาเสฏฐวุฒิ วชิรญาโณ (ปาสวน), วุฒินันท์ กันทะเตียน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/284178 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสสู่การเป็นนวัตกร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/278752 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอแนวคิดการเสริมสร้างทักษะอาชีพเพื่อการเป็นนวัตกรในโรงเรียนขยายโอกาสมีความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมนักเรียนในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่รวดเร็วบทความนี้สำรวจแนวทางและกลยุทธ์ในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นนวัตกร เช่น การใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ การเรียนรู้จากประสบการณ์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการทำงานร่วมกัน เทคนิคการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการใช้โครงงานเป็นฐาน ยังถูกเสนอเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างทักษะอาชีพของนักเรียนการพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการทดลองและนวัตกรรม การสนับสนุนจากครูและทรัพยากรที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม จะช่วยแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ ในการเสริมสร้างทักษะอาชีพ เพื่อสร้างนักเรียนที่มีความสามารถและพร้อมเผชิญกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 การศึกษานี้มีเป้าหมายในการพัฒนานโยบายการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับความต้องการทักษะในอนาคตและช่วยสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาประเทศ</p> บงกชธร เพิกนิล, วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย, ทนง ทองภูเบศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/278752 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 องค์ประกอบการนิเทศภายในโรงเรียนทางอ้อม https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/277969 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบการนิเทศภายในทางอ้อม พบว่า การนิเทศภายในโรงเรียนทางอ้อม เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการควบคุมหรือการกำกับโดยตรงจากผู้บริหารสถานศึกษา ในกระบวนการนี้มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ 5 ขั้นตอนได้แก่ 1) การประเมินความต้องการ เป็นขั้นตอนแรกในการนิเทศภายในทางอ้อม ซึ่งมีบทบาทในการระบุและวิเคราะห์ความต้องการของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาและการปรับปรุงที่เหมาะสม 2) การวางแผนและการวิเคราะห์ เป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลจากการประเมินความต้องการเพื่อจัดทำแผนงานที่ชัดเจนและมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาการวางแผนอย่างมีระบบจะช่วยให้กระบวนการนิเทศมีความเป็นระเบียบและมีทิศทางที่ชัดเจน 3) การดำเนินการ คือ การนำแผนงานที่ได้วางไว้มาปฏิบัติในโรงเรียน การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การพัฒนาครูและบุคลากรเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด 4) การประเมินผล เป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อวัดและตรวจสอบความสำเร็จของการนิเทศ การประเมินผลช่วยให้สามารถวิเคราะห์ผลลัพธ์และระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5) การปรับปรุงและการรายงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงกระบวนการนิเทศตามข้อเสนอแนะ จากการประเมินผลเพื่อให้การนิเทศมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ องค์ประกอบของการนิเทศภายในทางอ้อมยังได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่นการสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ การใช้เทคโนโลยีในการนิเทศ การสื่อสารและการบริหารจัดการในยุคดิจิทัล และการสร้างแรงจูงใจและการส่งเสริมการคิด ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพของการนิเทศภายในทางอ้อมในบริบทของการศึกษาในปัจจุบัน</p> อนุชา คะชาชัย, พงษ์สุวรรณ ศรีสุวรรณ, พงษ์กฤตย์ นามปพนอังกูร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/277969 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700 ผู้นำการเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ตามแนวพระพุทธศาสนา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272417 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำในสังคมไทยปัจจุบันซึ่งอยู่ในกระแสของโลกาภิวัตน์ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไปในมิติทางเศรษฐกิจเทคโนโลยีวัฒนธรรมทำให้เกิดผลกระทบอย่างรวดเร็วและรุนแรงความขัดแย้งในหลากหลายรูปแบบได้ปะทุขึ้นและสะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน มีการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่ขัดแย้งกันจนเกิดเป็นปรากฏการณ์ประท้วงหรือม็อบที่เกิดขึ้นกันบ่อยครั้งจนถึงขั้นปะทะกันทำร้ายกันก็มีไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจเช่นการแปรรูปของรัฐวิสาหกิจความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเช่นการแย่งชิงทรัพยากรน้ำการแย่งชิงที่ดินทำกินและแม้กระทั่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างแพทย์กับคนไข้ในการเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือพิการผู้นำทางการปกครองหรือผู้นำทางการเมืองถูกกล่าวถึงในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญสูงสุด ที่ทำให้เกิดความเสื่อมและความเจริญของสังคม ถ้าหากผู้นำการเมืองนำหลักศีล 5 และหลักกุศลกรรมบถ 10 มาใช้ในการปกครองจะทำให้สังคมการเมืองมีแต่ความสงบสุข</p> พระครูนิทานภัทรกิจ (ก่อแก้ว), ศิริโรจน์ นามเสนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจยวิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/view/272417 Sat, 01 Nov 2025 00:00:00 +0700