รูปแบบการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานครเขต 1

Authors

  • พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

Keywords:

รูปแบบการบริหาร, สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา, ประสิทธิผลของสถานศึกษา

Abstract

             งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจรูปแบบการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถาบันการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) ศึกษาระดับรูปแบบการจัดการ สังกัดสำนักงานมัธยมศึกษาตอนต้น เขตพื้นที่บริการ กทม. เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับความมีประสิทธิผลของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการจัดการกับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 4) ศึกษารูปแบบการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ อาจารย์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาระดับมัธยมศึกษา กทม.เขต 1 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้ตารางขนาดกลุ่มตัวอย่าง Crazy and Morgan จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน จำนวนทั้งสิ้น 379 คน จากจำนวน 6,305 คน 76 โรงเรียนกำหนดสัดส่วนโดยการคำนวณแขนขาของไต จำแนกตามโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มตัวอย่างง่ายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามขนาดประมาณการประมาณ 5 ระดับ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามรูปแบบการบริหาร ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนแบบขั้นตอน 

            ผลการวิจัยพบว่า

  1. รูปแบบการบริหารงานในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑ โดยรวมและแต่ละด้านอยู่ในระดับสูง (=3.93)
  2. ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับสูง (=3.76)
  3. รูปแบบการจัดการโดยรวมเกี่ยวข้องกับประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.746 โดยรวมแล้วมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.746
  4. รูปแบบการบริหารโดยรวมมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. รูปแบบการบริหารสถานศึกษา 2 รูปแบบ คือ แบบบุคคลในองค์กร แบบสิ่งแวดล้อม สามารถทำนายประสิทธิภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์หลายค่า (R) เท่ากับ 0.772 และมีประสิทธิภาพการคาดการณ์โดยรวม (R 2) จาก 0.597 ค่าเผื่อมาตรฐาน (SEest) คือ 0.337 สามารถมีส่วนร่วมในการประเมินประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 59.70% โดยรูปแบบการจัดการทั้งสองฝ่าย ค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ในคะแนนดิบ (ข) เท่ากับ 1.052, 0.490, 0.202, ตามลำดับ และค่าคงที่ของสมการพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) คือ 1.052 สามารถเขียนได้เป็นสมการถดถอยพหุคูณในคะแนนดิบคือ Y= 1.052 + .490X3 + .202 X2 และสมการถดถอยพหุคูณในคะแนนมาตรฐานคือ Zy = .572X3 + .225X2

 

References

กรุณา ภู่มะลิ. (2557). ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลโรงเรียนขนาดเล็กในภาคตะวันออก. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 8(1), 158-172.

กันทิมา ชัยอุดม. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยบูรพา.

บุญชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว. (2553). การวิจัยเบื้องต้น (ฉบับปรับปรุงใหม่) (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2557). แนวทางการบริหารโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.

Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30, 607-610.

Hoy, Wayne K. and Cecil G, Miskel. (2001). Educational Administration : Theory, Research and Practice. 6th ed. N.Y.: Mc Graw–Hill International Edition.

Downloads

Published

2022-06-20

Issue

Section

Research Articles