ประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1
ประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1
คำสำคัญ:
ประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษา การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 โดยจำแนกตามตำแหน่งงาน และขนาดของสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 จำนวน 291 คน เป็นผู้บริหารสถานศึกษา 33 คน และเป็นครู 258 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan แล้วสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้วิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) การทดสอบค่าเฉลี่ยรายคู่โดยวิธี Least Significant Difference ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับดี ( X = 4.30) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การจัดสภาพแวดล้อมที่มีผลสำเร็จของการดำเนินงานระดับดีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ( X = 4.47) รองลงมา คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายนอกอาคารที่ถูกสุขลักษณะ ( X = 4.32) และการจัดสภาพแวดล้อมผลสำเร็จของการดำเนินงานระดับดีที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาคารที่ปลอดภัย ( X = 4.23) 2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งงาน พบว่าแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ แต่เมื่อเปรียบเทียบโดยจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประโยชน์จากการวิจัยทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลไปวางแผน จัดทำกำหนดนโยบายและหามาตรการที่จะส่งเสริมในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เอกสารอ้างอิง
กนกพร ตรีแก้ว. (2561). การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ. สืบค้น 2 สิงหาคม 2563, จากhttp://kanokpornnok12.blogspot.com/2018/11/blog-post.html.
จรีรัตน์ ธุรกิจ. (2557). การศึกษาการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของโรงเรียนบางพลีราษฎร์บำรุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. ชลบุรี.
เจษฎา อังสนั่น. (2557). การจัดการสภาพแวดล้อมในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 21. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม. มหาสารคาม.
ทัศไนย นาพา. (2559). การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี. รายงานการวิจัย, วิทยาลัยนครราชสีมา.
นวภัทร แสงห้าว, จำเนียร พลหาญ และวรวรรณ อุบลเลิศ. (2563). แนวทางการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 14(2). 67-74.
ปาลิตา ยงกำลัง และสุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์. (2561). ทรรศนะของนักเรียนที่มีต่อสภาพแวดล้อมทางการเรียนของสถานศึกษาอำเภอสวี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต 2. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. 14(1). 233-241.
มาริสา ธรรมะ. (2555). ความพึงพอใจของนิสิตต่อสภาพแวดล้อมมหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตสารสนเทศสระแก้ว. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา. ชลบุรี.
สุเวช พิมน้ำเย็น, งามนิตย์ ราชกิจ, พยงค์ ขุนสะอาด และนันท์นภัส เพ็ชรสุวรรณ. (2560). การประเมินการจัดสภาพแวดล้อมและการจัดบริการด้านความปลอดภัยในโรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย. สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. 6(2), 25-31.
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน). (2559). ผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554–2558) ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. สืบค้น 2 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://aqa.onesqa.or.th/SummaryReport.aspx
Benn, G.C. (1976). A Comparison of the Idea and Real Elementary Schools as Perceive by Entering Freshman in Oklahoma State. Dissertation Abstracts International : 4026A.
Buffo. (2011). “An Investigation of the Perceptions of Students, Teachers, and Parent Concerning School Safety within the Elementary Schools of a Large Suburban School District”, Dissertation Abstracts International: 1632.
Kijai, J.J. (1987). School Effectiveness Characteristics and School Incentive Reward. Dissertation Abstracts International. 48(4): 329 – A.
Krejcie, R.V. & Morgan, D.W. (1970). Determining Sampling Size for Research Activities. Educational Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
P.F. Ababio. (2015). Effect of good hygiene practices intervention on food safety in senior secondary schools in Ghana. University of Lincoln, College of Sciences, National Centre for Food Manufacturing.
Vicario Anna Diaz. (2012). Safety management in Catalonia’s schools. Department of Applied Education, University Autonoma de Barcelona, Bellaterra (Cerdanyoladel Valles). Spain.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว