วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru <p>คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดทำวารสารฯ เพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์ นิสิต นักศึกษา ตลอดจนนักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจทั่วไปทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย มีโอกาสได้เผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปของบทความวิชาการและบทความวิจัย เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ในสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณชนผู้สนใจทั่วไป พร้อมทั้งการพัฒนายกระดับให้เป็นวารสารระดับชาติและนานาชาติต่อไป</p> <p><strong>ISSN:</strong> 2985-1165 (Print)</p> <p><strong>ISSN:</strong> 2985-1173 (Online)</p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">กำหนดการตีพิมพ์</span></strong><strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;"> (Publication Date) <br /></span></strong><span lang="TH"> วารสารฯ ตีพิมพ์ ปีละ </span>2 <span lang="TH">ฉบับ</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">จำนวนฉบับต่อปี</span></strong><strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;"> (Publication Frequency)</span></strong><strong><br /></strong> <span lang="TH">ฉบับที่</span> 1 <span lang="TH">เดือน มกราคม – มิถุนายน</span> <br /> <span lang="TH">ฉบับที่</span> 2 <span lang="TH">เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม<br /><br /></span></p> <p> </p> Faculty of Law Chiang Rai Rajabhat University en-US วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2985-1165 ปัญหาสิทธิมนุษยชน ของบุคคลที่มีสัญชาติไทยตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 (แก้ไขฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/281211 <p>ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 (แก้ไขฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551) โดยมีเจตนารมณ์ของการแก้ไขกฎหมายคือการรับรองสิทธิในสัญชาติของบุคคลผู้ซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยโดยผลของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ทำให้บุคคลที่เคยถูกถอนสัญชาติ หรือไม่ได้สัญชาติและรวมถึงบุตรหลานของบุคคลผู้ซึ่งถูกถอนหรือไม่ได้สัญชาตินั้นได้รับการรับรองสิทธิในสัญชาติไทยตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้แต่อย่างไรก็ตามการที่บุคคลโดนถอนหรือไม่ได้สัญชาติมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 30 กว่าปีทำให้บุคคลกลุ่มนี้ขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือเข้าถึงโอกาสที่ดีในชีวิตในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะได้รับการรับรองสิทธิในสัญชาติไทย และสิทธิต่าง ๆ ตามที่กฎหมายของประเทศไทยให้และรับรองในฐานะที่เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยแล้ว หากแต่ไม่มีนโยบายใดในการเยียวยาโอกาสที่เสียไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจากรัฐ ดังนั้นงานวิจัยฉบับนี้จึงได้มีการศึกษาและข้อเสนอแนะให้ รัฐควรกำหนดนโยบายในการเยียวยาการขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่หายไป และรัฐควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งในการกำหนดกฎหมายใด ๆ อันเป็นการกระทบถึงสิทธิในสถานะบุคคลเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและสิทธิมนุษยชนดังที่ผ่านมา</p> ไพรัช ธีระชัยมหิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 49 67 ปัญหาทางกฎหมายในการควบคุมการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรัง https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/282035 <p>นกแอ่นกินรังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ในลำดับที่ 857 ที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเลี้ยงหรือครอบครอง แต่อนุญาตให้สามารถเก็บรังได้โดยการขออนุญาตจากกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นกแอ่นกินรังถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจเนื่องจากรังนกแอ่นกินรังมีมูลค่าสูงและเป็นสินค้าส่งออกสำคัญไปยังประเทศจีน ปัจจุบันมีการประกอบกิจการอาคารรังนกแอ่นกินรังมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เช่น กลิ่น มูลนก เสียง พาหนะนำโรค</p> <p>การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมา แนวคิดของการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรัง ปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรัง 2) ศึกษากฎหมายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรัง 3) ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายประเทศไทยกับกฎหมายประเทศมาเลเซีย 4) ศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการควบคุมปัญหาที่เกิดจากการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรัง 5) เสนอแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรังให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าปัจจุบันการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นกินรังนั้นยังไม่มีกฎหมายเป็นการเฉพาะในเรื่องการขออนุญาตประกอบกิจการ กำหนดสถานที่ตั้ง มาตรฐานตัวอาคาร ระบบจัดการด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม จึงยังขาดความชัดเจนและขาดประสิทธิภาพในการควบคุมดูแล ผู้วิจัยจึงเห็นว่า 1) ควรแก้ไขกฎหมายให้นกแอ่นกินรังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เลี้ยงหรือเพาะพันธุ์ได้เพื่อส่งเสริมเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ 2) ควรตรากฎหมายมาบังคับใช้ในการประกอบกิจการอาคารนกแอ่นเป็นการเฉพาะโดยกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน 3) ควรมีการบูรณาการจากทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบกิจการ ประชาชนในพื้นที่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย</p> วิมลรัตน์ แซ่หลี วายุภักษ์ ทาบุญมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 68 92 ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพไทย ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 ศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/282827 <p><strong> </strong>การพัฒนาสตาร์ทอัพเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หลายประเทศได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพให้เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีของไทยยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้าง และการดำเนินการ ทำให้สตาร์ทอัพไทยเผชิญกับอุปสรรคและไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยงานวิจัยนี้ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพในประเทศไทย โดยวิเคราะห์พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 พร้อมเปรียบเทียบกับมาตรการของ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยยังขาดมาตรการภาษีที่สอดคล้องกับลักษณะของสตาร์ทอัพ โดยมีปัญหาเรื่อง ความไม่ชัดเจนของนิยาม "สตาร์ทอัพ" ความซ้ำซ้อนของมาตรการภาษี ข้อจำกัดของมาตรา 31 และ 36 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 และการขาดหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่กำกับดูแลโดยตรง ขณะที่ประเทศที่ศึกษามีการกำหนดนิยามที่ชัดเจน และมีมาตรการภาษีที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ โดยผู้เขียนเสนอให้มีการกำหนดนิยามสตาร์ทอัพให้ชัดเจน ลดความซ้ำซ้อนของมาตรการภาษี ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ และจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่ส่งเสริมสตาร์ทอัพ เพื่อให้ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากล</p> จารุกิตติ์ งามสมทรง ศริญญา ดุสิตนานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 93 118 ปัญหาทางกฎหมายและแนวทางการพัฒนาการอนุญาโตตุลาการออนไลน์ ในธุรกิจประกันภัยไทย: ศึกษากรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/283044 <p>ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีบทบาทสำคัญ บทความนี้มุ่งศึกษาปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการออนไลน์ในธุรกิจประกันภัยภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเอกสาร ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา จากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับแนวทางของต่างประเทศ เช่น SIAC เพื่อค้นหาช่องว่างและเสนอแนวทางพัฒนาให้ระบบไทยมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับยุคดิจิทัลและนโยบายไทยแลนด์ 4.0.</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การนำกระบวนการอนุญาโตตุลาการออนไลน์มาใช้ในธุรกิจประกันภัยไทย ยังประสบกับข้อจำกัดทางกฎหมายหลายประการ โดยเฉพาะลักษณะพิเศษของกระบวนการอนุญาโตตุลาการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่รัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้นโดยไม่ต้องมีข้อตกลงล่วงหน้า ซึ่งอาจไม่เข้าเกณฑ์ของ “การอนุญาโตตุลาการ” ตามกฎหมายไทย นอกจากนี้ คำชี้ขาดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ยังขาดความชัดเจนในสถานะทางกฎหมาย ส่งผลต่อความสามารถในการบังคับใช้ อีกทั้งยังพบช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่รองรับการดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบกับกรณีศึกษาศูนย์ SIAC ของสิงคโปร์สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านมาตรฐาน กระบวนการ และการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาระบบอนุญาโตตุลาการออนไลน์ให้มีความทันสมัย เป็นธรรม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น</p> <p>จากผลการศึกษา จึงควรมีการปรับปรุงหรือออกกฎหมายใหม่เพื่อรองรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการออนไลน์โดยเฉพาะ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยื่นเอกสาร การสืบพยานออนไลน์ และการประชุมทางไกล รวมถึงเชื่อมโยงกับพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 เพื่อรับรองความสมบูรณ์และความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด นอกจากนี้ควรพัฒนาแนวทางปฏิบัติและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้มาตรฐานสากล มีความปลอดภัย โปร่งใส เข้าถึงได้ง่าย และสามารถบังคับใช้คำชี้ขาดอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศุภิสรา ศิลาคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 119 143 กลไกการจัดการเพื่อลดความรุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวช ตามหลักสิทธิมนุษยชนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในจังหวัดอุดรธานี https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/278283 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา และถ่ายทอดกลไกการจัดการเพื่อลดความรุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชตามหลักสิทธิมนุษยชนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในจังหวัดอุดรธานี งานวิจัยเรื่องนี้ใช้กระบวนวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้การศึกษาเอกสาร (Documentary Research) การลงพื้นที่สำรวจข้อมูล (Survey Research) โดยใช้วิธีการแจกแบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ประชากรในการวิจัย แบ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 60 คน ประชาชนที่มีส่วนได้เสียในพื้นที่เป้าหมายจำนวน 200 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 20 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ชุมชนขาดกลไกการจัดการในการป้องกันเหตุรุนแรงจากกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชตามหลักสิทธิมนุษยชนภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในจังหวัดอุดรธานี 2) พัฒนากลไกการจัดการเพื่อลดความรุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชตามหลักสิทธิมนุษยชนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานโดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับชุมชนโดยจัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่นรวมถึงการใช้เทคโนโลยีระบบการแพทย์ทางไกล และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 21 วรรคแรกตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 กรณีผู้ป่วยอายุเกินสิบแปดปีบริบูรณ์การได้รับความยินยอมการบำบัดรักษาจากผู้ป่วยให้บัญญัติรวมถึงผู้มีส่วนได้เสียหรือบุคคลตามมาตรา 21 วรรคสาม และ3) ประสิทธิผลจากการอบรมถ่ายทอดกลไกการจัดการในการป้องกันเหตุรุนแรงจากกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชฯ สู่ผู้นำชุมชนและบุคคลที่มีบทบาทในการดูและผู้ป่วยจิตเวช พบผลลัพธ์การเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนดำเนินถ่ายทอดองค์ความรู้โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ก่อนอบรม x̄ = 4.8 S.D. = 1.41 หลังอบรม x̄ = 8.52 S.D. = 1.00 รวม x̄ = 6.66 S.D. = 1.20</p> สุดารัตน์ เพ็งค่ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 144 165 การมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในกระบวนการนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดตาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/278472 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในกระบวนการนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา (2) ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในกระบวนการนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา (3) แนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของพลเมืองในกระบวนการนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา โดยใช้พื้นที่ชายแดนจังหวัดตากเป็นกรณีศึกษาเนื่องจากความสำคัญทางเศรษฐกิจและการข้ามพรมแดนซึ่งถือเป็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยใช้แนวคิดการมีส่วนร่วมของพลเมือง และแนวคิดการพัฒนาระบอบชายแดนเป็นกรอบในการวิเคราะห์ <strong>และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก</strong><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่าการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ยังอยู่ในระดับที่จำกัด โดยส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือกับรัฐในการดำเนินโครงการและให้ข้อมูลข่าวสารมากกว่าการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบาย อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการใช้กลไกความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการในท้องที่เพื่อแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนมาตรการของภาครัฐ บ่งชี้ถึง<strong>พลวัตของการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในพื้นที่ชายแดน</strong> ซึ่งอาจแตกต่างจากรูปแบบการมีส่วนร่วมที่เป็นทางการ หรือรูปแบบการมีส่วนร่วมในพื้นที่อื่น ๆ ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา มีทั้งปัจจัยเชิงบวกและเชิงลบ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดระหว่างชุมชนสองฝั่งชายแดน การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในนโยบายความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา ควรเน้นการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงการพัฒนากลไกและมาตรการที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองในทุกระดับ</p> คมสันต์ นาควังไทร กฤษณ์ รักชาติเจริญ ดำรงศักดิ์ จันโททัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 166 187 การประกอบสร้างตัวตน และกลวิธีสร้างอารมณ์ขันของ “จุรี” ใน TikTok ช่อง “แหลงเล่า” https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/282499 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประกอบสร้างตัวตน และกลวิธีสร้างอารมณ์ขันใน TikTok ช่องแหลงเล่า เก็บข้อมูลใน “TikTok ช่องแหลงเล่า” ที่นำเสนอคลิปตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2564 - 31 ตุลาคม 2565 จำนวน 683 คลิป ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 82 คลิป โดยถอดความคลิปพร้อมบันทึกบริบทต่าง ๆ จัดหมวดหมู่ข้อมูล และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหา การประกอบสร้างตัวตน อัตลักษณ์ และกลวิธีสร้างอารมณ์ขัน ผลการวิจัยพบว่า 1. การประกอบสร้างตัวตนตามบทบาทของ “จุรี” มีการสร้างเนื้อหาให้ผู้ชมสนใจ และติดตามชมผ่านรูปลักษณ์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ อุปนิสัย และพฤติกรรม รวมถึงการใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ ซึ่งนำเสนอกลิ่นอายของวัฒนธรรมภาคใต้ ทำให้เห็นตัวตนของ “จุรี” ที่ชัดเจน 2. กลวิธีสร้างอารมณ์ขัน พบจำนวน 13 กลวิธี ตามลำดับที่พบ ได้แก่ 1) การกล่าวเกินจริง 116 ข้อความ 2) การใช้ภาษา 69 ข้อความ ประกอบด้วย การใช้สำนวน การเล่นคำ และการสร้างคำใหม่ 3) การล้อเลียน 46 ข้อความ 4) การเบี่ยงเบน 35 ข้อความ 5) การใช้ความขัดแย้งกับพฤติกรรม 32 ข้อความ 6) การใช้ความเปรียบ 31 ข้อความ 7) การทำให้เป็นเรื่องสัปดน 25 ข้อความ 8) การหักมุม 19 ข้อความ 9) การผิดกาลเทศะ 18 ข้อความ 10) การดัดแปลงความรุนแรงของสถานการณ์ให้ผิดไปจากความจริง 12 ข้อความ 11) การจี้ใจผู้ชม 11 ข้อความ 12) การใช้ความผิดพลาด 10 ข้อความ และ 13) การสลับบทบาทตัวละคร 7 ข้อความ ผลการวิจัยสะท้อนถึงการสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นผ่านสื่อออนไลน์ที่ส่งเสริมความเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น และประยุกต์ใช้ในการผลิตเนื้อหาที่สร้างอารมณ์ขันให้แก่ผู้ชมได้อย่างน่าสนใจ</p> รุ่งรัตน์ ทองสกุล กชวรรณ แสงไพบูลย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 188 212 การประเมินศักยภาพสมดุลน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในลุ่มน้ำกก จังหวัดเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/277726 <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการใช้ที่ดินและการใช้น้ำจากการใช้ที่ดินและเพื่อประเมินศักยภาพการใช้น้ำและสมดุลน้ำของแม่น้ำกก พื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยอาศัยข้อมูลการสำรวจภาคสนาม และการวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ลุ่มน้ำกกในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่ 1,910.46 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็น 1,194,027.31 ไร่ มีลักษณะการใช้ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินที่มากที่สุดได้แก่ พื้นที่ป่าไม้ผลัดใบ พื้นที่นาข้าว พื้นที่ปลูกข้าวโพด พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง และพื้นที่ปลูกยางพารา โดยมีพื้นที่ 340,043.68 ไร่ 277,597.56 ไร่ 128,878.47 ไร่ 122,426.93 ไร่ และ 76,138.61 ไร่ ตามลำดับและปริมาณน้ำพบว่าพื้นที่แม่น้ำกกในเขตจังหวัดเชียงรายมีขนาดพื้นที่ 14,132,812.33 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 8,833.01 ไร่ มีลักษณะความลึกของพื้นท้องน้ำเฉลี่ยที่ 3.30 เมตร โดยลักษณะเชิงพื้นที่ของแม่น้ำจะมีความจุในการกักเก็บน้ำอยู่ที่ 46,638,280.67 ลูกบาศก์เมตร และมีการใช้น้ำอยู่ที่ 1,833,880.11 ลูกบาศก์เมตร ทำให้ปริมาณน้ำที่ใช้ยังคงต่ำกว่าความจุเชิงพื้นที่ของลำน้ำกก ทั้งนี้เป็นเพียงการประเมินการใช้น้ำจากการใช้ที่ดินในพื้นที่ระยะห่างจากลำน้ำไม่เกิน 2 กิโลเมตร</p> อิทธิพัทธ์ เรืองกิจวัฒน์ ศศิพัชร์ หาญฤทธิ์ เพ็ชรสวัสดิ์ กันคำ ทศพล คชสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 213 231 แนวทางการจัดการอาหารส่วนเกินในชุมชนเพื่อลดขยะอาหาร https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/282355 <p>ปัญหาอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) และขยะอาหาร (Food Waste) ในปัจจุบันเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมทั่วโลกอย่างมาก บทความนี้จึงทำการศึกษาสาเหตุของการเกิดอาหารส่วนเกินที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดขยะอาหารในครัวเรือน ชุมชน และสังคมปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางในการลดการเกิด และวิธีการนำเอาไปใช้ประโยชน์ โดยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และลำดับขั้นของการจัดการขยะอาหาร (Food Waste Hierarchy) มาวิเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการ การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการทบทวนวรรณกรรม และการวิเคราะห์เอกสาร โดยเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศมาประยุกต์ใช้กับบริบทของประเทศไทย</p> <p>พบว่า แนวทางการจัดการอาหารส่วนเกินในชุมชนเพื่อลดขยะอาหาร 3 แนวคิด คือ (1) แนวคิดการจัดการอาหารส่วนเกินเชิงป้องกันแบบครบวงจรที่เน้นพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีสติในระดับครัวเรือน (2) แบบจำลองเชิงแนวคิด 7 ขั้นตอนในการจัดการอาหารส่วนเกิน ตั้งแต่การวางแผนซื้อจนถึงการรีไซเคิลอาหารที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชุมชนได้จริง และ (3) การเชื่อมโยงระบบพฤติกรรมกับการออกแบบเชิงนโยบายในระดับชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ</p> <p>องค์ความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านความมั่นคงทางอาหาร การจัดการขยะ และการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนชุมชนต้นแบบไร้ขยะอาหาร (Zero Food Waste Community) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อ 12.3 ได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> นภเกตน์ สายสมบัติ สุนันทา เสถียรมาศ เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 1 23 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ: ผลกระทบและการต่อสู้ของชุมชนบุญเรือง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawcrru/article/view/280547 <p>การกำหนดให้พื้นที่ป่าชุมชนบุญเรือง อำเภอเชียงของ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและชาวบ้านในพื้นที่ ในมุมมองภาครัฐเห็นว่าการสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงของเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และนำมาซึ่งการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนซึ่งรัฐเห็นว่าเป็น “ที่ดินรกร้าง” และไม่ก่อให้เกิดรายได้ในทางเศรษฐกิจมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการค้าและการลงทุนชายแดนเป็นการสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจรวมถึงสร้างความเจริญให้กับพื้นที่ชายแดน</p> <p>ขณะที่ชาวบ้านในชุมชนดังกล่าวเห็นว่าป่าบุญเรืองเป็นมากกว่าป่าไม้แต่เป็นพื้นที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชุมชน ชาวบ้านจึงรวมตัวเรียกร้อง บนพื้นฐานการใช้สิทธิของชุมชน (Community Rights) ในการปกป้องและพิทักษ์รักษาทรัพยากรของตนเองโดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ป่าบุญเรือง การรวบรวมและนำเสนอองค์ความรู้ของป่าชุมชนผ่านงานวิจัยต่างๆ การใช้พิธีกรรมและความเชื่อเพื่อแสดงถึงความผูกพันระหว่างชาวบ้าน ความเป็นชุมชน และป่าชุมชน การแสดงกิจกรรม เชิงสัญลักษณ์ในการต่อต้าน เช่น การประท้วง การจัดเวทีสาธารณะ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศและนานาชาติ</p> <p>ผลจากความพยายามของชุมชนทำให้ประเด็นการอนุรักษ์ป่าชุมชนบุญเรืองกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจในวงกว้างและกดดันให้รัฐบาลต้องทบทวนและตัดสินใจยุติการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว ชัยชนะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนในการยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจรัฐและตัดสินใจเลือกแนวทางในการพัฒนาที่สมดุลกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยตนเองอย่างยั่งยืน </p> ณัฐพงศ์ รักงาม ทศพล พงษ์ต๊ะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2025-09-03 2025-09-03 9 2 24 48