https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/issue/feed วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 2025-05-13T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศรีบุญโรจน์ themis.lawtu@gmail.com Open Journal Systems วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/272986 การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในสาธารณรัฐฟินแลนด์ 2024-11-22T09:54:30+07:00 บุญเรือน เนียมปาน Hinpak.law@gmail.com สุวรรณ วงษ์การค้า suwan.hinpak@gmail.com <p>การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยหากประชาชนมีความเข้าใจพร้อมทั้งตื่นตัวเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ย่อมจะส่งผลดีต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีของประเทศชาติ และสังคมโลกให้ก้าวหน้า และยั่งยืน</p> <p>ในปัจจุบันสาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นประเทศที่ประชากรมีความสุขที่สุดในโลกครองอันดับหนึ่งต่อเนื่องหกปีจากข้อมูลจากรายงานความสุขโลกประจำปี 2566 (World Happiness Report 2023) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) โดยสาธารณรัฐฟินแลนด์ถือได้ว่ามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงที่เป็นเช่นนี้ก็สืบเนื่องมาจากศักยภาพการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชนในสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยอ้างอิงจากดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) ปีพ.ศ.2566 (ค.ศ.2021) ข้อมูลจาก Economist Intelligence Unit (EIU) เป็นการหาคะแนนค่าเฉลี่ยประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่สุดในโลก ซึ่งพบว่าสาธารณรัฐฟินแลนด์ อยู่ในอันดับสาม จึงทำให้มีความน่าสนใจที่จะศึกษาว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์มีการบริหารปกครองอย่างไร จึงทำให้นำประเทศไปสู่ความเจริญ ประสบผลสำเร็จให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอีกทั้งประชาชนมีความสุขอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้</p> 2025-05-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/273887 การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เป็นองค์กรธุรกิจแบบ “SMART Local” 2024-11-20T08:10:01+07:00 กัญญาพัชร ดุลยพัชร์ kanyapach.d@tsu.ac.th <p>วิกฤตโควิด - 19 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเผชิญความท้าทายในตลาดยุคใหม่ แนวคิด “SMART Local”จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นและนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ บทความวิชาการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนจาก “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” (OTOP) ให้เป็นองค์กรธุรกิจแบบ “SMART Local” ผลการศึกษาพบว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 ชุมชนมีสิทธิในการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรและภูมิปัญญาของท้องถิ่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความยั่งยืนตามแนวคิด “SMART Local” ชุมชนจึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการร่วมพัฒนาและสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยการสร้างจุดขาย “ผลิตภัณฑ์ชุมชน” ให้กลายเป็น “Soft Power” ที่ยังคงเสน่ห์ความเป็นไทยที่มีการดึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ โดยผสมผสานนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ สู่การเป็นองค์กรธุรกิจแบบ “SMART Local” <br />ซึ่งมาจาก S-M-A-R-T ที่เป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ชุมชน (Superlative) มีความทันสมัย (Modern) มีเสน่ห์เอกลักษณ์คงความเป็นไทย (Attractive) โดดเด่นอย่างมีอัตลักษณ์ (Remarkable) และมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานสินค้าที่เชื่อถือได้ (Trust) จนก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการที่มีความเข้มแข็งอย่างมืออาชีพและสามารถจัดตั้งองค์กรธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดสร้างคุณค่าร่วมซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่ได้ให้ความสำคัญกับการมีชีวิตที่ดีที่มีโอกาสในการทำงานที่มีคุณค่า ตามโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือที่เรียกว่า “BCG Economy” (Bio-Circular-Green Economy) เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทย<br />อย่างเป็นรูปธรรม เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ และสอดรับกับหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย<br />ไปพร้อมกันบนฐานคิดแบบระยะยาวที่ก่อให้เกิดเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน</p> 2025-05-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/280514 มาตรการป้องกันและเยียวยาผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ของประเทศไทยเปรียบเทียบประเทศญี่ปุ่น 2025-02-14T15:32:28+07:00 ยุทธชัย ด้วงสวัสดิ์ yutthachai.du17@gmail.com กัญญาพัชร ดุลยพัชร์ kanyapach.d@tsu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาของผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิของผู้สูงอายุในการได้รับการเยียวยา ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553 และ พ.ศ. 2560พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และศึกษามาตรการป้องกันและเยียวยาผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ของประเทศไทยเปรียบเทียบประเทศญี่ปุ่น </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์เนื่องจากพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยส่วนใหญ่ใช้ Line ร้อยละ 44.72 ใช้ Facebook ร้อยละ 30.56 <br />ใช้ YouTube ร้อยละ 29.60 ใช้ Instagram ร้อยละ 4.80 และใช้ Twitter ร้อยละ 3.44 โดยในปี พ.ศ. 2565 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กกรอนิกส์ (ETDA) ได้รายงานข้อมูลผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อจากการหลอกลวง<br />ผ่านสื่อออนไลน์ถึง 22 % เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ถึง 16% ซึ่งช่องทางที่ผู้สูงอายุถูกหลอกลวงมากที่สุดจากข้อมูลของสภาองค์กรผู้บริโภค คือ จากการใช้งาน Facebook 44 % จาก Line 31.25 % และ จากการใช้งาน Instagram 5.25 % ประกอบกับเมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 นั้น แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยตรากฎหมายยังไม่ครอบคลุมถึงการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางออนไลน์ของกลุ่มผู้สูงอายุ โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดแต่เพียงความผิดเกี่ยวกับเพศ ชีวิต และร่างกาย แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นแล้วนั้น ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 1 ใน 3 ของประเทศเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่า ประเทศญี่ปุ่นได้บัญญัติกฎหมายว่าด้วยการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมในคดีอาญา โดยรัฐให้ความคุ้มครองเหยื่อของอาชกรรมกรณีที่ได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างร้ายแรง ซึ่งครอบคลุมถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางออนไลน์ ข้อเสนอแนะเห็นควรให้รัฐตรามาตรการป้องกันและเยียวยาผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-05-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/280344 การส่งเสริมการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดิน 2025-05-08T09:10:46+07:00 ศิวพร เสาวคนธ์ siwaporn.so.424@gmail.com วัฒนา คณาวิทยา Wattana.kan@sru.ac.th <p>การศึกษาการส่งเสริมการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดินมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) แนวคิดเกี่ยวกับการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดิน (2) กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดิน โดยเป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์และนำเสนอตามวัตถุประสงค์ทางการศึกษา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่านักพัฒนาที่ดินเป็นอาชีพที่ต้องทำหน้าที่ครอบคลุมหลายด้าน ประกอบด้วย <br />การวางแผนพัฒนา การขออนุญาตพัฒนา การตรวจสอบและควบคุมคุณภาพ รวมถึงการกำหนดให้มี<br />การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดินหลายฉบับ ทั้งในส่วนของการจัดสรรที่ดิน การควบคุมอาคาร การผังเมือง สิ่งแวดล้อม การจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์และสิทธิ แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดิน</p> <p>ดังนั้น เพื่อให้การประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดินมีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ กฎหมายรองรับการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดินจึงเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการกำกับดูแลและส่งเสริมอาชีพพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน จึงเห็นควรมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประกอบอาชีพนักพัฒนาที่ดิน</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/277249 ปัญหากฎหมายการไม่ให้เงินเฉลี่ยคืนอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ศึกษากรณีสหกรณ์ออมทรัพย์ในจังหวัดสงขลา 2025-01-17T17:21:02+07:00 กรวิภา ชนะสิทธิ์ moojoy_2534@hotmail.com กฤษรัตน์ ศรีสว่าง kritsarat.sr@gmail.com <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีและกฎหมายสหกรณ์ เพื่อศึกษาปัญหาการบังคับคดีจากเงินเฉลี่ยคืนของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ และเพื่อเสนอแนะมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองเงินเฉลี่ยคืนจากการถูกบังคับคดี โดยงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิจัยเอกสาร และศึกษาด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก แล้วนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ให้เงินเฉลี่ยคืนอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีต่อไป</p> <p>ผลการศึกษาเอกสารและความเห็นที่ได้รับจากกลุ่มตัวอย่างพบว่า การที่เงินเฉลี่ยคืนอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทั้งปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าสิทธิในเงินเฉลี่ยคืนควรเป็นของบุคคลใด อันเนื่องมาจากการที่ยังไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าเจ้าหนี้ภายนอกควรมีสิทธิในการอายัดเงินเฉลี่ยคืนหรือควรเป็นสิทธิของลูกหนี้ ปัญหาสิทธิในการนำเงินเฉลี่ยคืนมาหักกลบลบหนี้ของลูกหนี้ที่มีต่อสหกรณ์ <br />อันเนื่องมาจากการที่สหกรณ์ไม่ได้มีบุริมสิทธิเหนือเงินเฉลี่ยคืนดังกล่าวแต่อย่างใด และปัญหาสิทธิของเจ้าหนี้ภายนอกในการอายัดเงินเฉลี่ยคืน เนื่องจากการอายัดดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อสหกรณ์ สมาชิก ตลอดจนตัวเจ้าหนี้ภายนอกเอง ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่เงินเฉลี่ยคืนยังคงอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี จึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์ มาตรา 42 และระเบียบของสหกรณ์ ตลอดจนข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/278389 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรมในการสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน 2025-01-23T08:42:31+07:00 ถิรวรรณ กลางณรงค์ lovelypung@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพอำนาจหน้าที่และรูปแบบของกองทุนยุติธรรม ในการสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรม วิธีดำเนินการวิจัย ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมาย ระเบียบ ตำรา บทความ รายงานการวิจัย และเอกสารอื่น ๆ จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กองทุนยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่สำคัญในการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรม แต่กองทุนยุติธรรมยังขาดการดำเนินการเชิงรุก 2) รูปแบบการให้ความรู้ทางกฎหมายของกองทุนยุติธรรมยังคงยึดติดกับวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การจัดอบรมสัมมนา และแจกเอกสาร ซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง 3) กองทุนยุติธรรมต้องดำเนินการเชิงรุก และการพัฒนารูปแบบของกองทุนยุติธรรม โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงความยุติธรรมและการเรียนรู้ของประชาชน เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย รวมถึงการสร้างมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพของข้อมูลที่เผยแพร่ และการสนับสนุนโครงการที่ใช้นวัตกรรมในการให้ความรู้ทางกฎหมาย ผลการวิจัยนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กองทุนยุติธรรมสามารถสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันจะนำไปสู่การเข้าถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมในสังคม</p> 2025-06-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/278046 สิทธิการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมระหว่างบิดากับบุตรนอกกฎหมาย 2024-11-20T08:39:29+07:00 กันยนา ศรีพฤกษ์ k.sripruk@gmail.com ญาตรี สมล่ำ fon-iplaw@hotmail.com <p>มาตรา 1627 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รับรองให้บุตรนอกกฎหมายที่บิดามีพฤติการณ์รับรอง ถือเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกจากบิดาในฐานะทายาทโดยธรรม อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้กำหนดขอบเขตของพฤติการณ์รับรองไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นหากบิดานอกกฎหมายแสดงเจตนาแบ่งมรดก<br />ให้บุตรผ่านคำสั่งเสียด้วยวาจา บันทึกเป็นคลิปวีดีโอและเผยแพร่ต่อสาธารณะ จะถือเป็นพฤติการณ์รับรองที่จะทำให้บุตรมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาในฐานะทายาทโดยธรรมหรือไม่ อีกทั้งกฎหมายไม่ได้รับรองสิทธิของบิดานอกกฎหมายในการรับมรดกของบุตรที่ตนได้แสดงพฤติการณ์รับรองไว้ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อบิดา งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมระหว่างบิดากับบุตรนอกกฎหมายให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แม้การที่บิดานอกกฎหมายแสดงเจตนาแบ่งมรดกให้บุตรนอกกฎหมายผ่านคำสั่งเสียด้วยวาจาซึ่งบันทึกเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่สู่สาธารณะจะไม่ถือเป็นพินัยกรรมตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่สามารถตีความเข้าได้กับพฤติการณ์รับรองบุตรตามมาตรา 1627 อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวยังไม่มีบทบัญญัติที่ให้สิทธิบิดานอกกฎหมายที่มีพฤติการณ์รับรองบุตรสามารถรับมรดกจากบุตรได้ในฐานะทายาทโดยธรรม อันนำไปสู่ความไม่เป็นธรรมต่อบิดา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเสนอให้เพิ่มเติมบทบัญญัติในมาตรา 1627 วรรคสอง <br />ให้บิดาที่มีพฤติการณ์รับรองบุตรมีสถานะเป็นทายาทโดยธรรมของบุตรและมีสิทธิรับมรดกเหมือนบิดามารดาตามมาตรา 1629(2) เช่นเดียวกับที่กฎหมายอังกฤษ (The Family Law Reform Act 1969 มาตรา 14) กำหนดให้บิดานอกกฎหมายได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของบุตรนอกกฎหมายตามสายโลหิต โดยไม่เลือกปฏิบัติระหว่างบิดาชอบด้วยกฎหมายกับบิดานอกกฎหมายในเรื่องสิทธิรับมรดก</p> 2025-06-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/272694 สิทธิและเขตอำนาจของรัฐชายฝั่งต่อการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย 2024-07-03T14:15:06+07:00 สุภัสสรณ์ สิริพันธุ์ภัค palmsuphassorn@hotmail.com <p>น้ำมันถือเป็นทรัพยากรประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป ซึ่งน้ำมันนั้นถือว่าจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในเรื่องของการคมนาคม น้ำมันเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกประเทศ ทำให้ประเทศที่มีน้ำมันน้อยหรือไม่เพียงพอต่อการใช้งานจึงต้องทำการซื้อขายกับประเทศที่มีน้ำมันเป็นจำนวนมาก โดยจะมีการเก็บภาษีจากรัฐชายฝั่ง ซึ่งมักพบว่ามีการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในเขตทางทะเลเนื่องมาจากไม่อยากจ่ายภาษีให้กับรัฐชายฝั่งซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐชายฝั่งและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุบัติการณ์ทางทะเล<br />อันมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล <br />หากพิจารณาถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 จะพบว่าได้มีการขยายเขตทางทะเลของรัฐชายฝั่งเพิ่มจากทะเลอาณาเขตไปยังเขตต่อเนื่องสำหรับรัฐที่เข้าร่วมเป็นภาคี มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบหนีภาษีศุลกากร แต่ในกรณีของเขตเศรษฐกิจจำเพาะนั้นเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษ<br />ที่มีการกำหนดถึงสิทธิและเขตอำนาจของรัฐชายฝั่งรวมถึงเสรีภาพต่างๆที่รัฐทุกรัฐสามารถกระทำได้ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยจะพิจารณาว่าการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในเขตเศรษฐกิจจำเพาะนี้ถือเป็นกิจกรรม<br />ทางเศรษฐกิจที่รัฐชายฝั่งมีอำนาจในการควบคุมหรือไม่ รวมถึงปัญหาในการอ้างใช้สิทธิเสรีภาพในการเดินเรือ เพื่อหาแนวทางที่รัฐชายฝั่งสามารถกระทำได้ในการแก้ปัญหานี้โดยไม่ขัดกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/279940 restorative justice, diversion Restorative Justice for Adults and Minors: A Comparative Study between Indonesia and Thailand 2025-02-13T10:57:27+07:00 Rizky Juventus Simangunsong rizkysimangunsong21@gmail.com <p>Indonesia and Thailand, as countries that adopt the civil law legal system, also adopt the principle of Restorative Justice in their criminal law systems. This study aims to determine the comparison of the principle of Restorative Justice in the legal systems of Indonesia and Thailand. The research method used is comparative normative juridical against restorative justice regulations in handling criminal acts in Indonesia and Thailand. The results of this study indicate that: (1) Indonesia has a more assertive and detailed legal basis regarding the application of restorative justice to adult perpetrators, especially in terms of the classification of types of criminal acts that can be subject to this mechanism, compared to Thailand. This condition has the potential to cause legal uncertainty in Thailand due to the lack of clear regulations. (2) Diversion in Thailand uses more formal and procedural terminology, which reflects conformity with the applicable legal mechanisms, in contrast to diversion in Indonesia, which is generally implemented through an informal deliberation process. In addition, diversion in Thailand, known as Family Community Group Conferencing (FCGC), emphasizes the active role of the community in the process of resolving children's cases, thereby strengthening community involvement as an integral part of alternative settlement mechanisms outside the courts.</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ