วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ th-TH วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 3027-656X <div class="entry_details"> <div class="item copyright"> <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div> </div> </div> แนวทางการอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนตามอำนาจ และหน้าที่ของอำเภอ : การไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/265265 <p> แนวทางการอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของอำเภอด้วยการดำเนินการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท โดยใช้กฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ย และประนอมข้อพิพาททางแพ่ง พุทธศักราช 2553 และกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยความผิดที่มีโทษทางอาญา พุทธศักราช 2553 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการอำนวยความเป็นธรรม และเป็นรูปแบบวิธีการของกระบวนการยุติธรรมทางเลือก (Alternative Dispute Resolution) วิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทที่ได้ผลเป็นอย่างดีโดยเป็นกระบวนการที่มีบุคคลที่สามทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยให้ความช่วยเหลือคู่กรณีทุกฝ่ายเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน อันทำให้ข้อพิพาทระงับลงได้ด้วยเจตนาของคู่กรณีเองไม่มีฝ่ายใดแพ้ อำนวยความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย เสมือนว่าชนะทุกฝ่ายรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้ได้ รักษาและเสริมสร้างความสงบเรียบร้อยในชุมชนและสังคมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดปริมาณคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลได้เป็นจำนวนมาก และท้ายที่สุดยังเป็นการลดปัญหานักโทษล้นเรือนจำได้อีกทางหนึ่งด้วย</p> สุวรรณ วงษ์การค้า บุญเรือน เนียมปาน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 108 128 ความสมดุลแห่งประโยชน์ระหว่างเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญากับสาธารณชน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/268731 <p> กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามีวัตถุประสงค์ในการให้ความคุ้มครองสิทธิแต่เพียงผู้เดียว<br />ของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในทางเศรษฐกิจ (Economic Right) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในการประดิษฐ์คิดค้นหรือสร้างสรรค์ผลงาน โดยสิทธิแต่เพียงผู้เดียว<br />มีลักษณะเป็นสิทธิผูกขาดประกอบกับทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง ย่อมส่งผลให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิผูกขาดที่ขยายตัวได้โดยไม่จำกัดเพราะไม่จำต้องผูกติดกับทรัพย์ที่มีรูปร่าง<br />แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันจากการศึกษาบทบัญญัติของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะเป็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกา หรือประเทศไทยก็ดี ต่างก็ตระหนักถึงสิทธิประโยชน์ของสาธารณชนในการเข้าถึงความรู้เพื่อให้สังคมได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญานั้นได้โดย<br />ไม่ถูกผูกขาดอยู่แต่เพียงเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น ซึ่งทำให้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากกฎหมายโดยทั่วไป กล่าวคือ สาธารณชนสามารถใช้งานทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นได้ แม้การใช้งานนั้นจะมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาก็ตามโดยไม่ถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหากการใช้งานนั้นเป็นการใช้งานอย่างเป็นธรรม (Fair Use) นอกจากนี้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา<br />ได้บัญญัติการจำกัดขอบเขตสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะเป็นกรณีการจำกัดอายุการคุ้มครองหรือการนำหลักการระงับไปซึ่งสิทธิเข้ามาปรับใช้ ซึ่งบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสมดุลประโยชน์ระหว่างเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาและสาธารณชนนั้น โดยกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาพยายามประสานผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายไว้เพราะจุดมุ่งหมายสุดท้ายของการคุ้มครองคือการกระจายผลงานสร้างสรรค์ออกสู่สาธารณชนให้มากที่สุดมิใช่เพื่อประโยชน์ของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาแต่ฝ่ายเดียว</p> มาตา สินดำ กฤษฎา อภินวถาวรกุล ณัชชา เมืองสง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-30 2024-05-30 12 1 195 217 ความพึงพอใจและความผูกพันของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ปีการศึกษา 2565 ที่มีต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/266958 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจและความผูกพันของนักศึกษาหลักสูตร<br />นิติศาสตรมหาบัณฑิต ปีการศึกษา 2565 ที่มีต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนำ<br />ผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในด้านวางแผน การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบการบริหารจัดการหลักสูตร<br />ให้มีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต โดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจง<br />ที่เป็นนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ปีการศึกษา 2565 จำนวน 14 คน ผลการวิจัยพบว่า <br />(1) นักศึกษามีความพึงพอใจและมีความผูกพันต่อคณะนิติศาสตร์ด้านการจัดการเรียนการสอนในภาพรวม<br />ของหลักสูตร ด้านคณาจารย์ ด้านเจ้าหน้าที่และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และ (2) แสดงความคิดเห็น<br />ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของคณะนิติศาสตร์ โดยมีค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจในแต่ละหัวข้อตั้งแต่ระดับ<br />ปานกลางจนถึงมากที่สุด และ (3) นักศึกษามีข้อเสนอแนะเรื่องจุดเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต การเปิดเผยคะแนนวัดผลรายวิชา และการเปิดรายวิชาให้มากยิ่งขึ้น คณะกรรมการบริหารหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ผู้บริหารคณะนิติศาสตร์และเจ้าหน้าที่ควรนำผลการศึกษาวิจัยไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการบริหารจัดการหลักสูตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของคณะ และการพัฒนาการให้บริการกับนักศึกษา เพื่อมุ่งสู่การดำเนินการที่เป็นเลิศต่อไป</p> กฤษรัตน์ ศรีสว่าง วศิน สุวรรณรัตน์ จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 1 12 ความสัมพันธ์ระหว่างความสำคัญผิดในข้อกฎหมายอาญากับความชั่วร้าย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/267925 <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัญหาการวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาสำหรับผู้กระทำความผิดด้วยความสำคัญผิดในข้อกฎหมายอาญาบนพื้นฐาน “หลักความไม่รู้กฎหมาย” ที่ได้รับการบัญญัติรับรองไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 64 และ “หลักไม่มีโทษ โดยไม่มีความชั่ว” โดยอาศัยการพิจารณาทฤษฎีความรับผิดในนิติวิธีทางอาญา ประกอบกับหลักจริยศาสตร์เป็นสำคัญ ซึ่งผลการวิจัยพบว่าการปรับใช้ “หลักความไม่รู้กฎหมาย” โดยเคร่งครัด เพื่อปฏิเสธมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถอ้าง “ความสำคัญผิดในข้อกฎหมายอาญา” เป็นข้อแก้ตัวได้นั้น เป็นการไม่สอดคล้องกับ “หลักไม่มีโทษ โดยไม่มีความชั่ว” อันเป็นหลักประกันความชอบธรรมทางเนื้อหาของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายอาญา เนื่องจากการไม่ตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของกฎหมายอาญา การตีความกฎหมายอาญาโดยผิดพลาดไป หรือการสำคัญผิดในคุณค่าทางศีลธรรมที่ดำรงอยู่เบื้องหลังกฎหมาย อาจส่งผลให้ผู้กระทำไม่ตระหนักรู้ถึงความผิดกฎหมายในการกระทำของตนได้ทั้งสิ้น กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้นั้นเป็นบุคคลชั่วร้ายน่าตำหนิ หรือสมควรถูกลงโทษได้</p> <p>ดังนั้นข้อเสนอแนะสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือการนำ “โอกาสที่เป็นธรรมในการหลีกเลี่ยงการกระทำความผิด” มาใช้เป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความรับผิดเป็นสำคัญ เพราะหากความสำคัญผิดในข้อกฎหมายอาญาเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ย่อมไม่อาจถือได้ว่าผู้กระทำมีโอกาสในการ “เลือก” ที่จะไม่กระทำความผิดและเป็นบุคคลชั่วร้ายที่สมควรถูกลงโทษ ซึ่งการพิจารณาความรับผิดทางอาญาบน “โอกาสที่เป็นธรรม” นี้ จะทำให้วัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญาในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกดำเนินคดีสามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกัน</p> พีระพัฒน์ ปลื้มใจ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 13 28 การใช้มาตรการพิเศษในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีเกี่ยวกับการค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ผิดกฎหมายในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/269098 <p> ประเทศไทยประสบปัญหาการค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ผิดกฎหมายในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จาก ข่าวการติดตามทวงคืนโบราณวัตถุจากต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง กฎหมาย<br />ที่มีหน้าที่คุ้มครองโบราณวัตถุและศิลปวัตถุในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ไม่สามารถปกป้องได้อย่างเพียงพอ อำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถปราบปรามคดีการค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุข้ามชาติได้เท่าทันอาชญากร <br />ทั้งยังไม่ได้รับการวินิจฉัยให้เป็นคดีพิเศษที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อหาต้นตอของการกระทำความผิดแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ รูปแบบ<br />ของการกระทำความผิดในคดีนี้มีการใช้วิธีที่ซับซ้อน มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง ดังนั้น การกำหนดบทนิยามของโบราณวัตถุและศิลปวัตถุให้สอดคล้องกับหลักสากล การกำหนดให้คดีการค้าโบราณวัตถุ<br />และศิลปวัตถุที่ผิดกฎหมายในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามความผิดพระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เป็นคดีพิเศษ โดยศึกษากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายต่างประเทศ เพื่อสามารถเปรียบเทียบและวินิจฉัยให้นำมาตรการพิเศษที่ใช้ในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรงและจำเป็นต่อการแสวงหาพยานหลักฐาน จึงจะเป็นการแก้ปัญหาในการสืบสวนถึงต้นตอและตัวการสำคัญของกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดในคดีดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที การนำมาตรการพิเศษมาใช้<br />จึงอาจเป็นการแก้ปัญหาในคดีเกี่ยวกับการค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ผิดกฎหมายในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้</p> ตรองกมล ขีดวัน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 29 61 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองตามกฎหมายว่าด้วยแร่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/269276 <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ (2) ศึกษามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองตามกฎหมายว่าด้วยแร่ของประเทศไทย เครือรัฐออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี <br />(3) วิเคราะห์ปัญหาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองตามกฎหมายว่าด้วยแร่ และ (4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง โดยวิธีการดำเนินการวิจัยที่ใช้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการวิจัยเอกสารกฎหมายไทยและต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศจากทางอินเทอร์เน็ต</p> <p><strong> ผลการศึกษาพบว่า (1) การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองแร่อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของสิทธิชุมชน การมีส่วนร่วม คณะกรรมการในกฎหมาย การทำเหมืองแร่ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการแร่ (2) คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ<br />ไม่ปรากฏองค์ประกอบของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากผู้แทนภาคชุมชน โดยมีจำนวนสัดส่วนของกรรมการภาครัฐมากกว่าภาคเอกชนและภาคชุมชนเหมือนกับคณะกรรมการแร่ และมีการบัญญัติกฎหมายให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในคณะกรรมการแร่จังหวัด จำนวนด้านละหนึ่งคน ส่งผลให้ขาดแคลนผู้สมัคร เนื่องจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จะมาทำหน้าที่เฉพาะเขตจังหวัดที่ตนได้รับมอบหมายมีจำนวนน้อย อีกทั้ง การมีส่วนร่วมของชุมชนในรูปแบบการรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติเป็นบุคคลคนละกลุ่มกัน แต่สำหรับคณะกรรมการตามกฎหมายในส่วนการกำหนดนโยบายและ<br />ส่วนการอนุมัติหรืออนุญาตให้ดำเนินการที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของเครือรัฐออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ปรากฏสมาชิกที่เป็นกรรมการจากภาคชุมชน และมีจำนวนสัดส่วนของกรรมการภาครัฐกับภาคเอกชนและภาคชุมชนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่พบปัญหาการขาดแคลนกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในคณะกรรมการดังกล่าว รวมทั้ง บุคคลที่สามารถเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน (3) การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ทั้ง<br />ในรูปแบบของคณะกรรมการ และการเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติของประเทศไทย<br />ยังไม่สอดคล้องกับหลักแนวความคิดเรื่องสิทธิชุมชนกับการมีส่วนร่วมที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลักการคานอำนาจ และหลักการบริหารจัดการแร่ ซึ่งตรงกันข้ามกับเครือรัฐออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ที่สอดคล้องกับหลักการและแนวคิดดังกล่าว โดยให้ภาคชุมชน<br />ได้เข้ามามีส่วนร่วมตลอดทั้งกระบวนการ ซึ่งรวมถึงการเข้ามาเป็นกรรมการในคณะกรรมการ และบุคคล<br />ที่สามารถเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและการทำประชามติต้องเป็นบุคคลที่ได้รับหรือจะได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง (4) ควรให้เพิ่มองค์ประกอบของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากผู้แทนภาคชุมชนในคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ และเพิ่มจำนวนกรรมการภาคเอกชนและภาคชุมชนให้มีจำนวนสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับกรรมการภาครัฐในคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติและคณะกรรมการแร่ รวมถึง แก้ไขเพิ่มเติมอนุบัญญัติในการกำหนดผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหากรณีการขาดแคลนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดทั้ง แก้ไข<br />อนุบัญญัติในเรื่องกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและทำประชามติโดยให้เป็นกลุ่มบุคคลเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</strong></p> วรพัทธ์ เจริญทรัพย์ วิมาน กฤตพลวิมาน จิตตศุภางค์ ตันติภิรมย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-05 2024-06-05 12 1 62 90 มาตรการทางกฎหมายในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่าสงขลา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/267612 <p>จังหวัดสงขลามีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าสงขลาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอาคารสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อพิธีกรรม อาหาร ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่า ไม่ว่า<br />จะเป็นคุณค่าด้านสุนทรียภาพความสวยงาม คุณค่าด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจนได้รับการประกาศ<br />ให้เป็นเขตพื้นที่เมืองเก่าจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าฯ และมีการผลักดันให้เขตเมืองเก่าสงขลาเป็นเมืองสร้างสรรค์ของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า แม้เขตเมืองเก่าสงขลาจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และคงความ<br />เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนเก่าแก่และวัฒนธรรมมายาวนาน แต่คงต้องยอมรับว่าความเจริญต่าง ๆ ที่เข้ามานั้นย่อมส่งผลกระทบต่อเขตเมืองเก่าสงขลาอย่างมาก หากไม่มีมาตรการทางกฎหมายในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ การท่องเที่ยว<br />ในเขตเมืองเก่าสงขลาก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคต</p> <p>บทความวิจัยนี้จึงเสนอแนวทางในการการจัดทำมาตรการทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมและพัฒนา<br />การท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่าสงขลาโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในลักษณะการบูรณาการและ<br />สานประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนการใช้มาตรการบังคับทางกฎหมาย จะช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้<br />งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สามารถบูรณาการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน จนนำไปใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของจังหวัดสงขลาต่อไป</p> ธีรยุทธ ปักษา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-30 2024-05-30 12 1 91 107 มาตรการและรูปแบบของการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา เพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของสถานศึกษาโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/267357 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาเพื่อให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระในการบริหารและการจัดการศึกษาอย่างแท้จริงโดยอาศัยจังหวัดเป็นฐาน โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเอกสารและการวิจัยภาคสนามจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในจังหวัดที่เป็นพื้นที่นำร่องนวัตกรรมทางการศึกษา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สถานศึกษาส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การบริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายังไม่มีความเป็นอิสระในการบริหารและการจัดการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะเกิดการมอบอำนาจช่วงจากกระทรวงศึกษาธิการไปยังคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำให้อำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ และการบริหารงานบุคคล ถูกควบคุมโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ขณะที่สถานศึกษานำร่องตามพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 และสถานศึกษาที่อยู่ภายใต้การกำกับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีอิสระในการบริหารและการจัดการศึกษามากกว่า ดังนั้นเพื่อให้การบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษามีความเป็นอิสระและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง ควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาโดยมีหน่วยงานกำกับดูแลสถานศึกษาในระดับจังหวัดเป็นศูนย์กลาง คือ ศึกษาธิการจังหวัด และกระจายอำนาจบางส่วนไปยังสถานศึกษาโดยตรง</p> วิศรุต สำลีอ่อน พิชชา ใจสมคม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 129 146 ลักษณะต้องห้ามของอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐ : ศึกษากรณีบุคคลที่เคยถูกลงโทษจำคุก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/268452 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การที่กฎหมายกำหนดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐทุกประเภท กล่าวคือ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว ต้องไม่เคยถูกลงโทษจําคุก เว้นแตเปนความผิดที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษนั้น ทำให้บุคคลบางคนไม่สามารถประกอบอาชีพเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว งานวิจัยฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเพื่อหาแนวทางการพัฒนามาตรการทางกฎหมาย เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐ กรณีบุคคลที่เคยถูกลงโทษจำคุก โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และใช้วิธีการวิจัยเอกสาร</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า แม้กฎหมายดังกล่าวจะมีข้อดี คือ เป็นประโยชน์แก่มหาวิทยาลัยของรัฐในด้านภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กร การเป็นตัวอย่างที่ดีของอาจารย์ต่อนักศึกษา ป้องกันบุคคลที่เคยถูกลงโทษจำคุกกระทำความผิดซ้ำอีก และประชาชนทั่วไปไม่กล้ากระทำความผิด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่กฎหมายดังกล่าวก็มีข้อเสีย คือ ไม่สอดคล้องตามหลักการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ไม่เสมอภาค ไม่สอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน เป็นการไม่ให้โอกาสผู้ที่เคยถูกจำคุกตามทฤษฎีตราหน้า ดังนั้น ควรมีการแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดว่าอาจารย์ของมหาวิทยาลัยของรัฐทุกประเภท ต้องไม่เคยถูกลงโทษจำคุก เว้นแต่เคยถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และพ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่า 5 ปี หรือเว้นแต่เคยถูกลงโทษจำคุกเพราะไดกระทําโดยประมาท</p> กนกลักษณ์ จุ๋ยมณี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-30 2024-05-30 12 1 147 162 แนวทางการสร้างสื่อการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องกับบริบทพหุวัฒนธรรม ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/272270 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายไทย ที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนและสถานศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอาชีวศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดทำสื่อการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องกับบริบทการศึกษาพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการใช้วิธีการศึกษาวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อพัฒนาแนวทางและสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอาชีวศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนการสอนประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ประสบปัญหาในด้านการจัดทำสื่อการเรียนรู้ เนื่องจากบริบทพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสังคมแบบพหุวัฒนธรรม ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและมีการใช้ภาษามลายูถิ่นในการสื่อสารเป็นหลัก นักเรียนในพื้นที่ดังกล่าวจึงยังคงมีปัญหาด้านการสื่อสารหรือการรับรู้และความเข้าใจในภาษาไทยอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการจัดทำสื่อการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ควรจะต้องมีความหลากหลายทั้งในแง่ของรูปแบบของสื่อ เช่น การ์ดบัตรคำ บอร์ดเกม หรือคลิปวิดีโอรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชัน โดยสื่อต่าง ๆ ต้องมีการนำเสนอในรูปแบบทวิ-พหุภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษามลายูถิ่นควบคู่กัน เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้ภาษามลายูถิ่นในการสื่อสารสามารถเข้าใจแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ง่ายขึ้น และการจัดทำสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ควรดำเนินการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ครูผู้สอนและโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้</p> เจษฎา ทองขาว ชลีรัตน์ มเหสักขกุล นฤมล ฐานิสโร Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-30 2024-05-30 12 1 163 174 การพัฒนากฎหมายเพื่อความรับผิดทางแพ่ง : กรณีเมาแล้วขับ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/267391 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความรับผิดเพื่อละเมิดในกรณีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหลักเกณฑ์ทางกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดเพื่อละเมิดกรณีที่ผู้ดื่มแอลกอฮอล์ก่อขึ้นของประเทศไทยและต่างประเทศ รวมทั้งวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายเพื่อความรับผิดเพื่อละมิดในกรณีเมาแล้วขับในประเทศไทย และ 3) เพื่อหาข้อเสนอแนะ<br />ในการพัฒนากฎหมายเพื่อความรับผิดเพื่อละเมิดกรณีเมาแล้วขับในประเทศไทย การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเน้นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าเมื่อมีความเสียหายจากผู้บริโภคแอลกอฮอล์ขึ้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยได้กำหนดความรับผิดในการชดใช้ความเสียหายตามหลักใครกระทำ คนนั้นต้องรับผิดและหลักความรับผิดโดยเคร่งครัด โดยกำหนดไว้ในมาตรา 420 และ 437 การกำหนดความรับผิดไว้ในกฎหมายดังเช่นปัจจุบันทำให้การชดเชยหรือเยียวยาผู้เสียหายไม่สามารถเกิดผลได้ในท้ายที่สุด เนื่องจากผู้กระทำละเมิดไม่มีความสามารถในการชดใช้หรือเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้บทบัญญัติที่อาศัยหลักความรับผิดโดยเคร่งครัดมา<br />ปรับใช้ได้เนื่องจากความเสียหายเกิดขึ้นกับพาหนะด้วยกัน รวมทั้งยังไม่สามารถช่วยป้องกันและลดอุบัติเหตุ<br />ในสังคมซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของกฎหมายละเมิดได้อย่างเต็มที่ เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของ<br />รัฐนิวเจอร์ซีย์ รัฐอินดีแอนา และรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วพบว่า รัฐต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องเข้ามาร่วมรับผิดกับผู้รับบริการซึ่งได้กระทำละเมิดด้วย การมีบทบัญญัติเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงแนวคิดความรับผิดเพื่อละเมิดอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นในเบื้องหลัง และแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการป้องกันเหตุร้ายซึ่งอาจจะเกิดขึ้น<br />โดยไม่คาดคิดจากผู้มึนเมาไว้ตั้งแต่ต้น รวมทั้งได้สร้างมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปพร้อม ๆ กัน</p> <p> งานวิจัยนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะคือการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเพิ่มเติมบทบัญญัติ<br />ในมาตรา 430/1 ว่า “ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำต้องรับผิดร่วมกับผู้รับบริการซึ่งได้กระทำละเมิด <br />หากการให้บริการของตนเกิดขึ้นในขณะที่ผู้รับบริการมีอาการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด”</p> ปพนธีร์ ธีระพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-30 2024-05-30 12 1 175 194 หลักการการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานในบริบทเศรษฐกิจดิจิตอล : แนวทางในอนาคตของกฎหมายแข่งขันทางการค้าไทย https://so06.tci-thaijo.org/index.php/lawtsu/article/view/271264 <p>งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาหลักการเรื่อง Essential Facility Doctrine (EDF) หรือ หลักการการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจดิจิตอล และประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากมีการยอมรับและบังคับใช้หลักการนี้ภายใต้กฎหมายแข่งขันทางการค้า หลักการ EFD คือแนวความคิดของกฎหมายแข่งขันทางการค้าที่บังคับให้ผู้มีอำนาจผูกขาดในโครงสร้างพื้นฐานหรือทรัพยากรที่สำคัญต้องยอมให้ผู้ประกอบการหรือคู่แข่งคู่ค้ารายอื่น ๆ สามารถเข้าถึงและใช้สอยซึ่งโครงสร้างพื้นฐานหรือทรัพยากรที่สำคัญนั้น ๆ ได้เพื่อการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม งานวิจัยนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการใช้หลักการ EFD ในยุคเศรษฐกิจดิจิตอลที่หน่วยงานด้านกฎหมายแข่งขันทางการค้าจะต้องเผชิญ นัยยะสำคัญของการไม่ยอมรับและบังคับใช้หลักการนี้ในประเทศไทย และประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากยอมรับและบังคับใช้หลักการนี้ อาทิ เป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการแข่งขันทางการค้า ส่งเสริมนวัตกรรม การลงทุน และสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของกฎหมายทางการค้าในสากลโลก งานวิจัยนี้ยังได้ทำการศึกษาการใช้หลักการ EFD ที่ประสบความสำเร็จจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และแคนาดา เพื่อเป็นตัวอย่างและเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากยอมรับและบังคับใช้ซึ่งหลักการนี้โดยเฉพาะในบริบทของเศรษฐกิจดิจิตอล งานวิจัยนี้ได้นำเสนอเพิ่มเติมเกณฑ์การใช้หลักการ EFD ในประกาศคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเรื่องแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาการกระทำต้องห้ามของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด พ.ศ. 2561</p> ณัฐ สุขเวชชวรกิจ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-31 2024-05-31 12 1 218 236