https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/issue/feed วารสาร​ มจร​ อุบลปริทรรศน์ 2025-09-11T14:45:18+07:00 พระครูวุฒิธรรมบัณฑิต, รศ.ดร. chitnaretes.sri@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ : </strong>(ISSN :2697-4150 (Online)) กำหนดเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิเคราะห์หนังสือของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชน การศึกษาและจิตวิทยา ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่สังคม อันเป็นประโยชน์แก่การต่อยอดองค์ความรู้ในการพัฒนาชุมชนและสังคม ตลอดจนประเทศชาติ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288257 จริยธรรมทางการสื่อสารกับการพัฒนาการรับรู้สื่อดิจิทัล 2025-09-11T13:24:20+07:00 ตรัยรัตน์ ปลื้มปิติชัยกุล Trirath.pl@spu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีมุ่งศึกษาสภาพการณ์ของการเข้าถึงสื่อดิจิทัลของผู้รับสารในสังคมยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของสื่อดิจิทัลที่กระทำการขับเคลื่อนวิถีทางสังคมได้ ในแง่นี้แล้วปัญหาที่พบก็จะเป็นความสามารถในการพิจารณาการรับรู้ โดยเฉพาะประเด็นทางจริยธรรมทางการสื่อสารที่มีผลกระทบต่อการรับรู้สารที่อาจมีผลเสียต่อความเข้าใจในความรู้ ความคิดและพฤติกรรมในภาพกว้าง ซึ่งจากงานศึกษานี้พบว่าปัญหาสำคัญของการรับรู้สื่อดิจิทัลที่สำคัญเกิดจากการขาดการบูรณาการความคิดทางด้านจริยธรรมทางการสื่อสารมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นแบบแผน ตลอดจนสามารถสร้างแนวทางการพัฒนาการรับรู้สื่อดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสร้างให้ผู้รับสารมีความมั่นคงในหลักการแห่งจริยธรรมทางการสื่อสารได้ หากแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทางสังคมที่มีเจตนารมย์ในการตระหนักถึงคุณค่าของจริยธรรมทางการสื่อสารในยุคดิจิทัล</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288260 ตื่นรู้จากความสูญเสีย: การสังเคราะห์จิตวิทยาสมัยใหม่และคำสอนพระพุทธเจ้าในชีวิตพระปฏาจารา 2025-09-11T13:44:30+07:00 สุรัตน์ หารวย surat.h@ubru.ac.th <p>บทความนี้วิเคราะห์ชีวิตของพระปฏาจาราเถรี สาวิกาของพระพุทธเจ้าที่เปลี่ยนความทุกข์จากการสูญเสียครอบครัวไปสู่การบรรลุธรรม โดยใช้กรอบจิตวิทยาสมัยใหม่และคำสอนของพระพุทธเจ้า การสูญเสียของท่านถูกตีความว่าเป็น <em>"</em><em>Complex Trauma"</em> และ <em>"</em><em>Acute Stress Disorder"</em> ซึ่งได้รับการเยียวยาผ่านการแทรกแซงของพระพุทธเจ้า เช่น การเรียกสติ (Grounding) และการชี้แนะ (Mindfulness) กระบวนการเปลี่ยนมุมมอง (Cognitive Reframing และ Acceptance) ช่วยให้ท่านเข้าใจความไม่เที่ยงของเบญจขันธ์ตามคำกล่าวของพระพุทธเจ้า ส่งผลให้เกิดการเติบโตหลังความทุกข์ (Post-Traumatic Growth) และการช่วยเหลือผู้อื่น การสังเคราะห์เผยว่า จิตวิทยาสมัยใหม่ให้เครื่องมือในการเยียวยา ขณะที่พุทธศาสนานำไปสู่การหลุดพ้น อภิปรายถึงความเหมือนและต่างระหว่างสองศาสตร์ เช่น การมุ่งเน้นที่ปัจจุบันของจิตวิทยาเทียบกับการมองความไม่เที่ยงในพุทธศาสนา ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า ความทุกข์เป็นสะพานสู่การพัฒนาทางจิตวิญญาณเมื่อได้รับการชี้แนะที่เหมาะสม บทความนี้เน้นความสำคัญของการบูรณาการสองศาสตร์ และเสนอแนะการวิจัยต่อไป เช่น การเปรียบเทียบกรณีอื่นในพุทธศาสนา</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288263 จิตใจที่ถูกครอบงำ: การตีความทางจิตวิทยาขององคุลิมาล และพลังแห่งคำตรัส 'เราหยุดแล้ว เธอเมื่อไหร่จะหยุด?' 2025-09-11T14:11:12+07:00 สุรัตน์ หารวย surat.h@ubru.ac.th เด่นดวงดี ศรีสุระ denduangdee.s@ubru.ac.th ชนฏ์พงศ์ เคลือศิริ chanapong.k@ubru.ac.th <p>บทความนี้วิเคราะห์สภาพจิตใจขององคุลิมาล จากบุคคลในองคุลิมาลสูตร ที่เปลี่ยนจากฆาตกรสู่พระอรหันต์ โดยมุ่งสำรวจพัฒนาการจิตใจผ่านมุมมองจิตวิทยาและตีความคำตรัสของพระพุทธเจ้า <em>“เราหยุดแล้ว เธอเมื่อไหร่จะหยุด</em><em>?”</em>งานนี้อาศัยข้อมูลจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา วิเคราะห์ด้วยทฤษฎี เช่น Cognitive Dissonance, Moral Disengagement, และ Speech Act Theory เพื่ออธิบายการเปลี่ยนจากความภักดีที่บิดเบือนสู่ความรุนแรง และการหยุดยั้งด้วยคำพูด ผลการวิเคราะห์พบว่า จิตใจขององคุลิมาลถูกครอบงำโดยอิทธิพลของอาจารย์ จนสูญเสียตัวตน แต่คำตรัสของพระพุทธเจ้ากระตุ้นการตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness) และการตัดสินใจหยุด (autonomy) นำไปสู่การไถ่บาป การยอมรับผลกรรม และการเยียวยาผ่านการปฏิบัติธรรม การศึกษานี้เผยถึงพลังของคำพูดในการเปลี่ยนพฤติกรรมและการบูรณาการระหว่างพุทธศาสนากับจิตวิทยา โดยเสนอว่าแนวคิดนี้สามารถประยุกต์ในจิตบำบัดสมัยใหม่ เช่น CBT และ Mindfulness เพื่อเยียวยาจิตใจที่ถูกครอบงำ บทความนี้เน้นย้ำความสำคัญของการศึกษาข้ามศาสตร์ในการเข้าใจศักยภาพของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288265 รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธ ภาวะผู้นำในทัศนะพุทธทาส ภิกขุ 2025-09-11T14:45:18+07:00 พระไกรสร ศรีรีภพ Sririphop.krai@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำตามแนวพุทธทาสภิกขุในทัศนะรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธ 2) ศึกษาทัศนคติภาวะผู้นำตามแนวพุทธในการใช้หลักศีลธรรมนำสังคม 3) ศึกษาทัศนะความคิดเห็นของพุทธทาสภิกขุต่อภาวะผู้นำในการใช้พุทธวิธีจัดระเบียบสังคม 4) ศึกษาเจตนารมณ์ของผู้นำในการใช้แนวคิดภาวะผู้นำในทัศนะพุทธทาสภิกขุมาประยุกต์ใช้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แนวความคิดอิงหลักแนวคิดภาวะผู้นำในทัศนะพุทธทาสภิกขุ โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นด้านหลักสำคัญในแนวคิด ที่ให้คุณค่าทางด้านจิตใจ ที่มุ่งเน้นภาวะผู้นำตามแนวพุทธในทัศนะพุทธทาสภิกขุ ที่จะทำประโยชน์ส่วนรวมแก่สังคม ซึ่งทางผู้ศึกษาเห็นว่า แนวทางรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธ ภาวะผู้นำในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ เป็นหลักแห่งความผาสุกในสภาวะของผู้นำทีมี่ทัศนะตามแนวทางของ ท่านพุทธทาสภิกขุ ตลอดจนถึงการแก้ปัญหาทางสังคม ผู้ศึกษาขอนำเสนอผ่าน บทความ “รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธ ภาวะผู้นำในทัศนะพุทธทาสภิกขุ” เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ทางสังคม</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288241 การพัฒนารูปแบบการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี 2025-09-11T10:00:42+07:00 สิปป์มงคล ป้องภา Sipmongkol1973@gmail.com นคร จันทราช Nakhonsingh@hotmail.com พูลศักดิ์ หอมสมบัติ หอมสมบัติ Nakhonsingh@hotmail.com พระอธิการสุภาพร เตชธโร Nakhonsingh@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี2) เพื่อวิเคราะห์การพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ตลอดจนการเขียนรายงานการวิจัยตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการจัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 โดยมีกระบวนการจัดการปฏิบัติวิปัสสนาการใช้สติในการกำกับตามดู กาย เวทนา จิตและธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนการเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานมี 2 ประการ คือ 1) การเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานด้านสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มี 3 ด้าน คือ (1) ด้านการพัฒนารูปแบการปฏิบัติธรรม (2) ด้านการพัฒนาพระวิปัสสนาจารย์ และ (3) ด้านการพัฒนาสถานที่ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และ 2) การเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานด้านการสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐาน (1) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนาในระดับชุมชน (2) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐานในระดับสังคม และ (3) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐานในระดับผู้ปฏิบัติ/ผู้สนใจทั่วไป</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288243 วิปัสสนากรรมฐานกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในจังหวัดอุบลราชธานี 2025-09-11T10:47:45+07:00 นคร จันทราช Nakhonsingh@hotmail.com พระอธิการสุภาพร เตชธโร Nakhonsingh@hotmail.com พูลศักดิ์ หอมสมบัติ Nakhonsingh@hotmail.com สิปป์มงคล ป้องภา Nakhonsingh@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้เรื่องวิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี 2)&nbsp; เพื่อศึกษาการพัฒนากิจกรรม Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานี 3) การสร้างเครือข่ายชุมชนวิปัสสนากรรมฐานสำหรับประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ตลอดจนการเขียนรายงานการวิจัยตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า กรรมฐานในพระพุทธศาสนามี 2 ประเภท คือ 1) สมถกรรมฐาน คือ อุบายทำให้ใจให้เกิดความสงบ 2) วิปัสสนากรรมฐาน คือ อุบายให้เรืองปัญญา วิปัสสนากรรมฐานเป็น หลักสติปัฏฐาน 4 คือการใช้สติกำหนดรู้กาย เวทนา จิตและธรรม ส่วนการเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานมี 2 ประการ คือ 1) การเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานด้านสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มี 3 ด้าน คือ (1) ด้านการพัฒนารูปแบการปฏิบัติธรรม (2) ด้านการพัฒนาพระวิปัสสนาจารย์ และ (3) ด้านการพัฒนาสถานที่ในการปฏิบัติวิปัสสนกรรมฐาน และ 2) การเสนอรูปแบบการพัฒนากระบวนการจัดการวิปัสสนากรรมฐานด้านการสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐาน (1) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนาในระดับชุมชน (2) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐานในระดับสังคม และ (3) การสร้างเครือข่ายวิปัสสนากรรมฐานในระดับผู้ปฏิบัติ/ผู้สนใจทั่วไป ส่วนวิธีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างส่วนเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานีพบว่ามีวิธีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างส่วนเสริมสร้าง Mindfulness Camp 4 ประการคือ 1)&nbsp; กิจกรรมการใช้สติตามหลักกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน&nbsp; 2) กิจกรรมการใช้สติตามหลักเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 3) กิจกรรมการใช้สติตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน&nbsp; และ 4)กิจกรรมการใช้สติตามหลักธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน&nbsp; ส่วนการเสนอแนวทางส่งเสริมการกิจกรรมเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีสติในกิจกรรมต่างๆ มี&nbsp; 4 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบบมีสติ&nbsp; 2) กิจกรรมในการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม 3) กิจกรรมระบายความทุกข์ และ 4) กิจกรรมพิจารณาความผิดพลาดของตนเองทั้งหมดเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมองเห็นความสำคัญเรื่องของสติในการพัฒนาคุณภาพชีวิต</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288247 ผลการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบการเล่านิทาน เพื่อพัฒนาทักษะการพูดออกเสียงคำของเด็กอนุบาล 2025-09-11T11:13:49+07:00 สุภาธิณีย์ พรมจันทร์ suphatinee55@gmail.com จิตโสภิณ โสหา jidsopin.s@gmail.com <p>&nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบการเล่านิทานเพื่อพัฒนาทักษะการพูดออกเสียงคำของเด็กอนุบาล และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดออกเสียงคำของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบการเล่านิทาน &nbsp;กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กนักเรียนอายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 19 คน ใช้เวลาในการวิจัยรวม 4 สัปดาห์ วันละ 30 นาที เวลา 08.30-09.00 น. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย&nbsp; ได้แก่ 1)แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบการเล่านิทาน จำนวน 16 แผน &nbsp;2) แบบวัดการพูดออกเสียงคำ ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการพูดออกเสียงคำก่อนที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบเล่านิทาน มีค่าเฉลี่ย (=50.52) และหลังการจัดประสบการณ์มีค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น คือ (= 80.81) 2) เด็กที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้บัตรคำประกอบการเล่านิทานเพื่อพัฒนาทักษะการพูดออกเสียงคำของเด็กอนุบาลมีความสามารถด้านการพูดออกเสียงคำสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288249 การพัฒนากิจกรรม Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานี 2025-09-11T11:25:40+07:00 ศิวเดช สมโคตร si-wa-@hotmail.com ศราวุธ ขันธวิชัย sarawut.kha@mcu.ac.th พระสังวาน เขมปญฺโญ sangwansainet19@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์&nbsp; คือ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้เรื่องสติในการพัฒนากิจกรรม Mindfulness Campในจังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาวิธีการจัดกิจกรรมเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เพื่อเสนอแนวทางส่งเสริมการกิจกรรมเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานี ผลการวิจัยพบว่า สติตามหลักพระพุทธศาสนาสติเป็นธรรมมีอุปการะมากคือทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง สติมีประโยชน์มหาศาลไม่ว่าจะเป็นการงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การศึกษาวิธีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างส่วนเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานีมี 4 ประการคือ 1)&nbsp; กิจกรรมการใช้สติตามหลักกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 2) กิจกรรมการใช้สติตามหลักเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 3) กิจกรรมการใช้สติตามหลักจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ 4) กิจกรรมการใช้สติตามหลักธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ส่วนการเสนอแนวทางส่งเสริมการกิจกรรมเสริมสร้าง Mindfulness Camp ในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีสติในกิจกรรมต่างๆมี&nbsp; 4 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบบมีสติ&nbsp; 2) กิจกรรมในการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม 3) กิจกรรมระบายความทุกข์ และ 4) กิจกรรมพิจารณาความผิดพลาดของตนเอง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288250 การสร้างเครือข่ายชุมชนวิปัสสนากรรมฐานสำหรับประชาชน ในจังหวัดอุบลราชธานี 2025-09-11T11:33:41+07:00 พูลศักดิ์ หอมสมบัติ Nakhonsingh@hotmail.com นคร จันทราช Nakhonsingh@hotmail.com สิปป์มงคล ป้องภา Nakhonsingh@hotmail.com พระอธิการสุภาพร เตชธโร Nakhonsingh@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในจังหวัดหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาการสร้างเครือข่ายชุมชนวิปัสสนากรรมฐานสำหรับประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี 3) เพื่อทราบผลการวิเคราะห์การสร้างเครือข่ายชุมชนวิปัสสนากรรมฐานสำหรับประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีมด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ตลอดจนการเขียนรายงานการวิจัยตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า กรรมฐานในพระพุทธศาสนาคือหลักสติปัฏฐาน 4 เป็นเรื่องของการใช้สติ โดยสติทำหน้าที่กำหนดรู้กาย เวทนา จิต และธรรม การสร้างเครือข่ายชุมชนวิปัสสนากรรมฐานสำหรับประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีให้เจ้าคณะจังหวัด ประธานคณะกรรมการ จัดประชุมคณะกรรมการจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดโดยมีกระบวนการสร้างเครือข่ายดังนี้ 1) คัดเลือกวัดที่เหมาะสม 2) เจ้าอาวาสวัดที่จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมยื่นหนังสือขอจัดตั้งตามแบบของกรมการศาสนา เสนอคณะกรรมการจัด 3) ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพิจารณา 4) ประธานคณะกรรมการรายงานเสนอเจ้าคณะภาค 5) จ้าคณะใหญ่พิจารณาเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาอนุมัติ เพื่อมีพระบัญชาการตั้งสำนักปฏิบัติธรรม 6) กรมการศาสนาขึ้นทะเบียนเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในส่วนผลของการสร้างเครือข่ายทำให้มีพื้นที่หรือมีสำนักปฏิบัติธรรมจำนวนเพิ่มมากขึ้นส่งผลทำให้ประชาชนให้ความสำคัญในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมากขึ้นทำให้มีคุณภาพชีวิตดีตามหลักของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288253 ภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 2025-09-11T12:44:23+07:00 สุพัตรา โชติมณี 63g180015@parichat.skru.ac.th กนกกร ศิริสุข kanokkorn.si@skru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการครู จำนวน 292 คน ปีการศึกษา 2567 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา และสุ่มอย่างง่ายโดยใช้วิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 83 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.984&nbsp; สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากและมากที่สุด 2) การบริหารวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ วิสัยทัศน์เท่าทันการเปลี่ยนแปลง (X1) การพัฒนาศักยภาพครูและปรับวิธีการสอน (X4) การใช้เทคโนโลยี (X3) และการสร้างเครือข่าย (X5) สามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ ดังนี้&nbsp; สมการคะแนนดิบ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;= 886 + .256 (X<sub>1</sub>) + .218 (X<sub>4</sub>) + .216 (X<sub>3</sub>) + .115 (X<sub>5</sub>)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สมการคะแนนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;= .250 (X<sub>1</sub>) + .245 (X<sub>4</sub>) + .250 (X<sub>3</sub>) + .245 (X<sub>5</sub>)</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288254 สภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา 2025-09-11T13:03:41+07:00 อัมรัน เจ๊ะอาแว 63g180033@parichat.skru.ac.th กนกกร ศิริสุข kanokkorn.si@skru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพสภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน 2) เปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดโรงเรียน และ 3) รวบรวมข้อเสนอแนะในการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างคือ ครูโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จำนวน 310 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา และสุ่มอย่างง่ายโดยใช้วิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 65 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.925 สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างแบบ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Anova) ผลการวิจัยพบว่า 1) การสภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากและมากที่สุด 2) ครูที่มีระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และครูที่ทำงานในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็น โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 3) ข้อเสนอแนะที่ให้ข้อเสนอแนะสูงสุดสามลำดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และด้านการติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ตามลำดับ</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/288255 การศึกษาความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในระดับบัณฑิตศึกษา 2025-09-11T13:11:09+07:00 วนิดา ฉัตรวิราคม Wanida.c@rumail.ru.ac.th ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ khanchai2545@hotmail.com โขติกา ขุนแสง chutima.k@rumail.ru.ac.th กาหลง รอดแก้ว kaasaalong@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในระดับบัณฑิตศึกษา และเปรียบเทียบความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ในระดับบัณฑิตศึกษา จำแนกตามประเภทบุคลากร และที่พักอาศัย ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จำนวน 100 คน และมีกลุ่มตัวอย่าง 18 คนที่ยินยอมให้ข้อมูลการสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการงานวิจัยนี้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์การศึกษาความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษา มีค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์อยู่ระหว่าง 0.67 – 1 แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมมั่น 0.93 ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างต้องการหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่าด้านการนำไปใช้เป็นที่ต้องการมากที่สุด 2. กลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรต่างประเภทกัน มีความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. กลุ่มตัวอย่างที่มีที่พักต่างกัน มีความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ สามารถสรุปได้ว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าปัญหาการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่สามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน ผู้สอนควรเพิ่มเนื้อหาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เชื่อมโยงกับชีวิตจริง และนำไปแก้ปัญหาได้ &nbsp;การสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันควรปรับปรุงการถ่ายทอดความรู้โดยทำให้น่าสนใจ มีความหลากหลาย และผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ที่แท้จริง ทักษะที่ผู้สอนวิทยาศาสตร์ควรมีสำหรับสอนนักเรียนในปัจจุบันเป็นทักษะการบูรณาการ เช่น บูรณาการเข้ากับชีวิตประจำวัน สหวิชาชีพ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมทั้งทักษะที่จำเป็นในปัจจุบันและอนาคต หลักสูตรในระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ควรเป็นหลักสูตรที่สามารถพัฒนาความรู้และนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน หรือชุมชนของตนเองอย่างยั่งยืน ข้อเสนอแนะที่กลุ่มตัวอย่างเสนอไว้ คือ หลักสูตรควรช่วยพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025