https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/issue/feed
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
2024-02-24T13:45:44+07:00
พระครูวุฒิธรรมบัณฑิต รศ.ดร.
[email protected]
Open Journal Systems
<p>วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ กำหนดเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติดังนี้ 1. ด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา 2.ด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 3. ด้านการศึกษา และ 4.สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ใน วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของวารสาร</p>
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270030
การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนที่บกพร่องทางด้านการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ร่วมกับสื่อประสม
2023-12-31T14:10:45+07:00
สุนิสา อุทัยอ้ม
[email protected]
แสงสุรีย์ ดวงคําน้อย
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ร่วมกับสื่อประสม ให้มีคะแนนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของจำนวนเต็มและมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ร่วมกับสื่อประสม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ จำนวน 10 คน ปีการศึกษา 2565 รูปแบบการวิจัย เป็นการทดลองขั้นต้น กลุ่มเดียว มีการวัดผลหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภาษามีพลัง จำนวน 6 แผน รวม 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 15 ข้อ แบบทดสอบอัตนัย จำนวน 5 ข้อ และ 3) แบบวัดความความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ ผลการศึกษาพบว่า 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย 18.50 คิดเป็นร้อยละ 93.50 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 90 ของจำนวนนักเรียน ทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ร่วมกับสื่อประสมอยู่ในระดับ พึงพอใจมากที่สุด (X̅=4.56, S.D.= 0.65) ด้านที่นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดคือด้านครูผู้สอน (X̅=4.64, S.D.= 0.05) และด้านการใช้สื่อการเรียน (X̅=4.69, S.D.=0.48)</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269649
การศึกษาสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับสุขภาพสำหรับนักศึกษา สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ประจำปีการศึกษา 2565
2023-12-18T16:30:51+07:00
ประวิทย์ ประมาน
[email protected]
เสาวลักษณ์ ประมาน
[email protected]
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวกับสุขภาพสำหรับนักศึกษา สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ประจำปีการศึกษา 2565 กลุ่มประชากร คือ นักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา จำนวน 118 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย จำนวน 5 รายการ ประกอบด้วย ดัชนีมวลกาย ดันพื้น 30 วินาที ลุก-นั่ง 60 วินาที นั่งงอตัวไปข้างหน้า และการวิ่งระยะทาง 2,400 กิโลเมตร มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.94 เก็บรวมรวมข้อมูลโดยการทดสอบสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า </p> <ol> <li class="show">ด้านดัชนีมวลกายของนักศึกษาชาย อยู่ในเกณฑ์สมส่วน (M=22.00, S.D.=3.50) และนักศึกษาหญิง อยู่ในเกณฑ์สมส่วน (M=21.19, S.D.=3.55)</li> <li class="show">ด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของนักศึกษาชาย อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (M=24.83, S.D.=8.90) และนักศึกษาหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก (M=16.71, S.D.=6.33)</li> <li class="show">ด้านความอดทนของกล้ามเนื้อของนักศึกษาชาย อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (M=38.17, S.D.=6.71) และนักศึกษาหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำ (M=30.29, S.D.=6.45)</li> <li class="show">ด้านความอ่อนตัวของนักศึกษาชาย อยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตรฐาน (M=13.03, S.D.=6.43) และนักศึกษาหญิง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (M=13.59, S.D.=5.85)</li> <li class="show">ด้านความอดทนของระบบหายใจและไหลเวียนเลือดของนักศึกษาชาย อยู่ในเกณฑ์ต่ำ (M=14.39, S.D.=4.04) และนักศึกษาหญิง อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (M=18.02, S.D.=3.20)</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269650
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของบุคลากรโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐม
2023-12-18T17:03:28+07:00
อนุธิดา ประเสริฐศักดิ์
[email protected]
นภา นาคแย้ม
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของบุคลากรโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือบุคลากรของโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐม จำนวน 172 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามการวิจัยแสดงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.899 และใช้สถิติการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) ระดับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับปัจจัยด้านรายได้ ปัจจัยด้านค่าใช้จ่าย และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของบุคลากรโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐมในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.02, 3.84 และ 4.09 ตามลำดับ (2) ปัจจัยด้านรายได้และปัจจัยด้านค่าใช้จ่าย สามารถร่วมกับพยากรณ์การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของบุคลากรโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนครปฐมได้ร้อยละ 78.60 โดยปัจจัยด้านรายได้เป็นตัวแปรพยากรณ์การวางแผนทางการเงินที่ดีที่สุด (β = 0.788, p-value < 0.01) จากข้อค้นพบการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าผู้บริหารโรงพยาบาลควรมีนโยบายและส่งเสริมให้บุคลากรของโรงพยาบาลได้รับการอบรมเกี่ยวกับการจัดการทางการเงิน และส่งเสริมให้บุคลากรของโรงพยาบาลตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269651
การพัฒนาคู่มือฝึกอบรมการจัดเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา
2023-12-18T17:22:28+07:00
อุไร จันทร์ซางเพ็ญ
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและพัฒนาคู่มือฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอน และเพื่อศึกษาผลการใช้คู่มือฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา โดยมีกระบวนการสร้างและพัฒนาคู่มือฝึกอบรมแบ่งเป็น 3 ระยะและใช้กระบวนการนิเทศ 6 ขั้นตอนในการดำเนินการ กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยคือโรงเรียนขนาดเล็ก 6 โรงเรียน ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 48 คน จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน(Multi-stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย คู่มือฝึกอบรมการจัดเรียนรู้แบบบูรณาการฯ และแบบสอบถามความคิดเห็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test ผลการวิจัย พบว่า 1) คู่มือฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอน มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>=84.49/84.03 2) ครูผู้สอนมีความรู้ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการจัดทำหน่วย การเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น อยู่ในระดับดีมาก ครูผู้สอนเกิดสมรรถนะการจัดการเรียนรู้และมีพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับดีมาก และครูผู้สอนมีความพึงพอใจต่อการนิเทศและการใช้คู่มือฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอน อยู่ในระดับมากที่สุด และ3) นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้หลังครูผู้สอนได้รับการนิเทศและใช้คู่มือฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูผู้สอน อยู่ในระดับดีมาก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269684
การคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน กรณีศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ
2023-12-20T05:28:21+07:00
นภัสนันท์ ไกรทิพย์บดี
[email protected]
กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความหมาย ความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน 2) ศึกษาวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน กรณีศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ 3) ศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน และ 4) เสนอแนะแนวทาง และมาตรการที่ความเหมาะสมในการคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร ซึ่งศึกษาแนวคิด ทฤษฎี กฎหมายต่างประเทศและกฎหมายประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานของนักโทษจากการจ้างงาน</p> <p>จากผลการศึกษาพบว่า การให้นักโทษทำงานและการฝึกวิชาชีพ ส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานนักโทษให้ทำงานในลักษณะงานที่ไม่เกิดความรู้และทักษะในการประกอบวิชาชีพต่อตัวผู้ต้องขังเท่าที่ควร และในการทำงานของนักโทษถูกกำหนดให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 ว่านักโทษนั้นต้องทำงานตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ โดยมิได้เกิดจากความสมัครใจเข้าร่วมทำงานของนักโทษเอง เจ้าหน้าที่อาจใช้อำนาจสั่งการได้ โดยนักโทษอาจไม่สมัครใจทำงานนั้นก็เป็นได้ ไม่มีบทบัญญัติให้สิทธิผู้ต้องขังเลือกงานที่จะทำได้ เพราะการกำหนดลักษณะงานที่ให้ผู้ต้องขังทำเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานเรือนจำเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ต้องขังไม่มีสิทธิได้ค่าจ้างจากการงานที่ได้ทำ ส่วนจะได้เงินหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับงานที่ได้ทำ ซึ่งในการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขังจะเห็นว่าแตกต่างกับการคุ้มครองสิทธิของถูกจ้างเป็นอย่างมาก รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำงานของผู้ต้องขังได้มีการใช้บังคับมาเป็นเวลานานโดยมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน</p> <p>ดังนั้นจึงเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 จากที่กำหนดให้เจ้าพนักงานเรือนจำเท่านั้นเป็นผู้กำหนดลักษณะงาน เป็นให้ผู้ต้องขังมีโอกาสได้เลือกงานตามความสนใจ ตามความถนัด หรือตามความเหมาะสมกับตน ควรเพิ่มรูปแบบการทำงานภายนอกเรือนจำของนักโทษให้มีลักษณะเป็นการทำงาน หรือการจ้างงานที่ใกล้เคียงกับการจ้างงานตามกฎหมายแรงงานมากที่สุด ผู้ต้องขังควรมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากการงานที่ได้ทำไป โดยให้ระบุอัตราการจ้างตามความเหมาะสมของงาน และควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายในเรื่องการทำงานของนักโทษให้สอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับปฏิบัติต่อนักโทษให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการทำงานและฝึกวิชาชีพในระหว่างถูกคุมขังไปประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษได้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269685
มาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด
2023-12-20T05:44:14+07:00
ปัณณ์ณวัสส์ ย่องซี้
[email protected]
สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความหมาย ความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับมาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด 2) ศึกษาเปรียบเทียบมาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิดของประเทศไทยกับต่างประเทศ 3) ศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหามาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด และ 4) เสนอแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย</p> <p>จากผลการศึกษาพบว่า มาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะให้การชดเชยเฉพาะผู้เสียหายที่มีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือผู้เสียหายที่มีบัตรทองเท่านั้น โดยไม่คุ้มครองครอบคลุมไปถึงผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม ตลอดจนข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีปัญหาการชดเชยความเสียหายจากการใช้บริการสาธารณสุขถึงแม้จะมีการนำระบบชดเชยความเสียหายโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิดมาใช้ในกฎหมายไทย แต่การเยียวยาในกรณีต่าง ๆ ยังไม่ครอบคลุม และมีข้อจำกัดในการพิจารณาเงินชดเชยให้แก่ผู้เสียหายที่เกิดจากการใช้บริการสาธารณสุข ดังนั้นจึงเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชดเชยผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําระบบชดเชยความเสียหายโดยไม่พิสูจน์ความผิดมาใช้ จะทำให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยในเวลารวดเร็ว คลายความกังวลทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบจากการได้รับความเสียหาย อันจะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ประกอบเวชปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นด้วย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269686
หลักกฎหมายว่าด้วยการบังคับโทษ กรณีศึกษาสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด
2023-12-20T05:57:18+07:00
เสาวนีย์ กรทองสกล
[email protected]
กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายว่าด้วยการบังคับโทษ กรณีศึกษาสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด 2) ศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาเกี่ยวกับการบังคับโทษ กรณีศึกษาสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด 3) เปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด ระหว่างกฎหมายไทยและต่างประเทศ และ 4) เป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด เป็นกระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงเอกสาร ซึ่งศึกษาข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ แนวคิด ทฤษฎี กฎหมาย กฎระเบียบ เกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน รายได้ และค่าตอบแทนของผู้ต้องขังประเภทนักโทษเด็ดขาด</p> <p>จากผลการศึกษาพบว่า หลักกฎหมายว่าด้วยการบังคับโทษของไทยยังคงมีปัญหาในด้านการคุ้มครองสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ต้องขังที่ตกค้างอยู่ในเรือนจำและตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังในการใช้เงินในระหว่างต้องโทษในเรือนจำ และปัญหาการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังในการทำงานสาธารณะ ดังนั้นจึงสมควรแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ในมาตรา 63 ตามสาธารณรัฐฟินแลนด์มาปรับใช้ในการคืนทรัพย์สินเมื่อผู้ต้องขังถูกปล่อยตัวของเรือนจำในประเทศไทย ส่วนปัญหาการใช้เงินควรนำมาตรการการใช้เงินในเรือนจำของสาธารณะรัฐฟินแลนด์มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเรือนจำในประเทศไทย และควรจ่ายค่าตอบแทนการทำงาน ซึ่งอาจจะพิจารณาอัตราจ่ายเป็นรายชั่วโมง หรืออัตราเหมาจ่าย หรือตามความสำเร็จในการทำงาน หรือการเหมาจ้างแบบกลุ่มหรือเฉพาะรายที่จะได้รับค่าตอบแทนโดยการประมาณเป็นอย่างเดียวกันอย่างคนงานแรงงานทั่วไป และต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง รวมทั้งให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270027
ปัญหาการกำหนดโทษของผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำ กรณีมีสารเสพติดในร่างกายขณะขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522
2023-12-31T13:44:58+07:00
สุภาพร ละออเอี่ยม
[email protected]
วิชา มหาคุณ
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) แนวคิด ทฤษฎี และพฤติกรรมการกระทำความผิดซ้ำที่เกี่ยวกับยาเสพติด 2) มาตรการทางกฎหมายของไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับการกำหนดโทษของผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำ กรณีมีสารเสพติดในร่างกายขณะขับขี่ 3) วิเคราะห์ปัญหาการกำหนดโทษของผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำ กรณีมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายขณะขับขี่ 4) แนวทางในการแก้ไขปัญหาการกำหนดโทษของผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำ กรณีมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายขณะขับขี่ เพื่อให้ได้มาซึ่งมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสม และให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยทางเอกสาร ซึ่งศึกษาจากแนวคิด ทฤษฎี พระราชบัญญัติ และมาตรการทางกฎหมายของไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการกำหนดโทษของผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำกรณีมีสารเสพติดในร่างกายขณะขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522</p> <p>จากผลการศึกษาพบว่า การกำหนดโทษของผู้ขับขี่ยานพาหนะขณะมีสารเสพติดในร่างกาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ไม่เพียงพอที่จะทำให้การกระทำความผิดฐานขับขี่ยานพาหนะขณะมีสารเสพติดในร่างกายลดลง ประเภทของสารเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่ขณะมีสารเสพติดในร่างกาย คือ แอมเฟตามีนหรือเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น ไม่รวมถึงสารเสพติดประเภทอื่น ๆ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท นอกจากนี้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจในการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของผู้ขับขี่ มีเพียงหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน และเจ้าพนักงานจราจรเท่านั้น จึงเกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบ ดังนั้นจึงเสนอให้มีการเพิ่มอัตราโทษในกรณีขับขี่ยานพาหนะขณะมีสารเสพติดในร่างกาย ตลอดจนเพิ่มอัตราโทษในกรณีเสพยาแล้วมาขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายและเสียชีวิต รวมถึงการกระทำความผิดซ้ำซากของตัวบุคคลที่เคยกระทำความผิดมาแล้ว และในการกำหนดประเภทของสารเสพติดให้รวมถึงยาเสพติดที่มีสารเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาททุกชนิด และเห็นควรให้อำนาจตำรวจทุกสายงานในการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบสารเสพติดกรณีขับขี่ยานพาหนะเสพยาเสพติด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270028
มาตรการทางกฎหมาย ในการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด ที่รัฐอนุญาตให้ใช้
2023-12-31T13:56:07+07:00
สุภัสสรา เวศสุวรรณ์
[email protected]
ธานี วรภัทร์
[email protected]
<p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของนโยบายและมาตรการทางกฎหมายในการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบนโยบายและมาตรการทางกฎหมายในการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดในประเทศไทยกับของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศโปรตุเกส ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และ 3) วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในเชิงกฎหมาย ในแก้ไขปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายในแต่ละที่ เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การศึกษาในครั้งนี้เป็นการใช้กระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจาก เอกสารแนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายทั้งในประเทศไทยกับต่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและมาตรการทางกฎหมายในการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ผลการศึกษาพบว่า ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดควรจะใช้กับบุคคลที่เป็นอาชญากรเท่านั้น ควรมุ่งเน้นมาตรการป้องกันเป็นหลักกับงานทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมทั้งมีการผ่อนปรนการลงโทษทางอาญาให้เหมาะสม โดยใช้มาตรการทางกฎหมายสาธารณสุขและทางปกครองเข้ามาควบคุมแทน มีการอนุญาตให้ใช้สารเสพติดบางชนิดบางประเภทได้ โดยการควบคุมปริมาณ มีการขึ้นทะเบียนผู้เสพ ผู้เสพติดที่ต้องพึ่งพายาเสพติด มีการรักษาอาการเสพติดจากแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ ที่สนับสนุนการลดความรุนแรงในคดียาเสพติด ซึ่งได้แก่ ให้ผู้เสพหรือผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพายาเสพติดเข้าสู่การใช้มาตรการทางเลือกแทนการจำคุกให้ผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพายาได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ มีห้องเสพยาเสพติด เพื่อเป็นแนวทางที่ประเทศไทยสามารถกระทำได้ต่อไปในอนาคต จะเห็นว่าการลดทอนความเป็นอาชญากรรมเป็นการลดความเสี่ยงได้ที่ต้นเหตุและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270029
ปัญหาบทลงโทษของการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะกรณีขับรถเมาแอลกอฮอล์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2023-12-31T14:01:52+07:00
กันตพัฒน์ สุขพานิช
[email protected]
สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ
[email protected]
<p>บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ค้นหาแนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการลงเพิ่มโทษผู้ขับขี่ยานพาหนะ 2) ศึกษาปัญหาบทลงโทษ มาตรการการเพิ่มโทษผู้ขับขี่ยานพาหนะ 3) ศึกษาเปรียบเทียบบทลงโทษของผู้ขับขี่ในขณะเมาสุราตามกฎหมายไทยกับกฎหมายต่างประเทศ และ 4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรการทางกฎหมายในการเพิ่มโทษของการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะ กรณีขับรถขณะเมาแอลกอฮอล์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การศึกษาในครั้งนี้เป็นการใช้กระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารแนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย ที่เกี่ยวข้องกับ มาตรการการเพิ่มโทษผู้ขับขี่ยานพาหนะ กรณีขับรถขณะมึนเมาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จากผลการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มีบทกำหนดโทษผู้ขับขี่ขับรถขณะเมาสุราค่อนข้างเบา ไม่เหมาะสมกับความผิดที่ผู้กระทำตั้งใจฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย จึงไม่สามารถยับยั้งผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากเมื่อได้มีการกระทำความผิดครั้งแรกแล้วจะมีการกระทำความผิดครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งต่อๆ ไปอีก และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายหรือถึงแก่ความตาย และโทษที่ผู้กระทำได้รับคือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เห็นควรว่าการเพิ่มอัตราโทษทางกฎหมายให้สูงขึ้น ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อยับยั้งการกระทำความผิดซ้ำ และแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยปรับปรุงตามโทษปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือด และจำนวนครั้งที่กระทำความผิด และควรเพิ่มโทษแก่ผู้ร่วมโดยสาร รวมถึงผู้ให้บริการสถานบันเทิงหรือผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงกรณีขับรถขณะมึนเมาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ถือว่ามีความผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270031
การพัฒนาการประเมินความคิดสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของวิชานาฏศิลป์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2023-12-31T14:41:51+07:00
กุลรดา พุทธผล
[email protected]
สรียา โชติธรรม
[email protected]
อุษณี ลลิตผสาน
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของการประเมินความคิดสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของวิชานาฏศิลป์สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และศึกษาระดับความคิดสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของวิชานาฏศิลป์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลเมืองใหม่ชลบุรี ด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยแบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับทดลองใช้ครั้งที่ 1 จำนวน 35 คน ต่อ 1 ห้องเรียน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพครั้งที่ 2 จำนวน 175 คน แบ่งเป็น 5 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของวิชานาฏศิลป์ เป็นการประเมินนักเรียนรายบุคคลด้วยวิธีการสังเกตขณะกำลังออกแบบการเคลื่อนไหวท่าทางหัวข้ออาชีพในท้องถิ่นทั้งหมด 5 กิจกรรม องค์ประกอบที่ใช้ในการประเมิน ได้แก่ ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดริเริ่ม มีเกณฑ์การให้คะแนนเป็นรูบริก (Scoring Rubric) ระดับคะแนน 4 3 2 1 และ 0 ตรวจสอบคุณภาพความตรงเชิงเนื้อหาโดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ดัชนีอำนาจจำแนก ตรวจสอบความเที่ยงแบบคงที่โดยวิธีการวัดซ้ำ (Test-retest) และหาดัชนีความสอดคล้อง RAI ระหว่างผู้ประเมิน 2 คน ผลการวิจัยพบว่า ความตรงเชิงเนื้อหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ทุกข้อมีค่าตั้งแต่ .50 ขึ้นไป แปลความได้ว่า เกณฑ์การให้คะแนนสามารถประเมินได้ตามนิยาม ค่าดัชนีอำนาจจำแนกทั้ง 2 ครั้งพบว่า แบบประเมินสามารถจำแนกกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการตรวจสอบความเที่ยงแบบคงที่ โดยวิธีการวัดซ้ำพบว่า มีความคงเส้นคงวาของคะแนนจากเครื่องมือฉบับเดียวกันในช่วงเวลาต่างกัน โดยมีค่าอยู่ในช่วง .84 ถึง 1.00 และดัชนีความสอดคล้อง RAI พบว่า ครั้งที่ 1 = .98 ครั้งที่ 2 = .96 แปลความได้ว่า ผู้ประเมินสามารถให้คะแนนได้อย่างใกล้เคียงสอดคล้องกัน และผลการศึกษาระดับความคิดสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของนักเรียนพบว่า ด้านความคิดคล่องแคล่วและความคิดริเริ่มส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี และด้านความคิดยืดหยุ่นส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270032
การสร้างแบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย
2023-12-31T14:53:58+07:00
จันทร์จิรา ชัยภมรฤทธิ์
[email protected]
ณาตยา สิงห์สุตีน
[email protected]
เสาวคนธ์ จันต๊ะมาต
[email protected]
มลฤดี แซ่ม้า
[email protected]
<p> การดำเนินการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาคุณภาพแบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย 2) ศึกษาผลการใช้แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาจีนและครูผู้สอนภาษาจีน จำนวน 10 ท่าน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 28 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 30 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 29 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการสื่อสารภาษาจีนก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลวิจัยพบว่า 1) ผลการสร้างและหาคุณภาพแบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 พบว่า แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงรายในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75.86/78.21 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.53/79.67 และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.66/78.98 แสดงให้เห็นว่าแบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานที่สร้างขึ้นทั้ง 3 ระดับชั้น มีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ 2) ผลการใช้แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารภาษาจีนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย พบว่า ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย = 5.29 , S.D. = 0.53 คะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย = 7.82, S.D. = 0.15 เมื่อวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยด้วย t-test ปรากฏค่า t-test = 25.3 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย = 5.10 , S.D. = 0.71 คะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย = 7.97, S.D. = 0.61 เมื่อวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยด้วย t-test ปรากฏค่า t-test = 28.7 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย = 5.28 , S.D.=0.53 คะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย = 7.90,S.D. = 0.56 เมื่อวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยด้วย t-test ปรากฏค่า t-test = 26.2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบเรียนภาษาจีนพื้นฐานโดยอิงบริบทพื้นที่สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย สามารถส่งเสริมให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาในจังหวัดเชียงราย มีทักษะการสื่อสารภาษาจีนที่สูงขึ้น มีค่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270033
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียนหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด
2023-12-31T14:59:03+07:00
นคร วงศ์ไชยรัตนกุล
[email protected]
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน โดยมีการแบ่งขั้นในการดำเนินการวิจัยออกเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และขั้นตอนที่ 3 การศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน และจากการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน รายวิชาทักษะดนตรีสากล 3 หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีศึกษา (4 ปี) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การทบทวนความรู้เดิม การสร้างการมีส่วนร่วมภายในชั้นเรียน การจัดการเรียนการสอนตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่กำหนด การวัดและประเมินผล และการสะท้อนผลการประเมินสู่ผู้เรียน 2) ภายหลังการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีพัฒนาการด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านคุณลักษณะ เป็นไปตามที่กำหนดในสมรรถนะหลักและสมรรถนะรองของรายวิชา โดยผู้เรียนส่วนใหญ่สามารถแสดงคุณลักษณะด้านความรู้ที่กำหนดในรายวิชาอยู่ในระดับดีขึ้นไป ผู้เรียนมีคุณลักษณะด้านทักษะที่กำหนดไว้อยู่ในระดับดีขึ้นไป และผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อยู่ในระดับดีขึ้นไป 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานเป็นอย่างดี โดยผู้เรียนมองว่าการจัดการเรียนรู้แบบฐานสมรรถนะโดยใช้กิจกรรมเป็นฐานช่วยสร้างความสนใจ และความสนุกสนานในการเรียนรู้ ช่วยฝึกฝนทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้แก่ผู้เรียน ทำให้รู้จักแหล่งข้อมูล และพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีแนวทางในการพัฒนาตนเองที่ชัดเจน ช่วยทบทวนความรู้เดิมและเสริมสร้างความรู้ด้านวิชาการและทักษะทางด้านดนตรี และสร้างการมีส่วนร่วมภายในชั้นเรียน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270034
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนระดับปริญญาตรี สาขานาฏศิลป์ไทยวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน
2023-12-31T15:04:36+07:00
รักษิต มีเหล็ก
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณทิต วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี ก่อนเรียนและหลังเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณทิต วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี ที่เรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และเพื่อศึกษาทัศนคติของผู้เรียนที่ต่อรูปแบบการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน โดยมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี รายวิชานาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์พื้นบ้านสำหรับครู จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน และแบบสัมภาษณ์ทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิธีการจำแนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) แบบการวิเคราะห์สารระบบ (Taxonomy Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนในภาพรวมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน โดยมีคะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.30 เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนทุกคนมีผลการวัดความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน 2. ผลการวัดความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนในภาพรวม พบว่า มีผลการวัดเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ร้อยละ 70 และเมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล พบว่า ผู้เรียนทุกคนมีผลการวัดความคิดสร้างสรรค์เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ร้อยละ 70 3. ผู้เรียนมีทัศนคติต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน โดยมองว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน สามารถช่วยก่อให้เกิดทักษะและแรงกระตุ้นในการเรียนรู้ ในการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับประสบการณ์ใหม่ การเรียนรู้เกิดจากการลงมือปฏิบัติของผู้เรียน การพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น การพัฒนาทักษะการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ร่วมกันภายในชั้นเรียน การสร้างแรงกระตุ้นในการเรียนรู้ และการฝึกทักษะการวางแผนการปฏิบัติงาน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270035
การสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ผ่านรายการพอดคาสต์
2023-12-31T15:14:50+07:00
มาธินี คงสถิตย์
[email protected]
พิจักษณ์ ภู่ตระกูล
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านด้านภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ผ่านพอดคาสต์ โดยข้อมูลที่ใช้ในการสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านภาวะผู้นำประกอบด้วยรายการจากพอดคาสต์จำนวน 44 รายการผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม QDA Miner ผลการศึกษาพบว่า องค์ความรู้ด้านภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ผ่านรายการพอดคาสต์ พบว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของผู้นำมากที่สุดคือการต้องทำให้คนเชื่อมั่นและไว้ใจ ประเด็นที่เกี่ยวข้องทักษะการเป็นผู้นำมากที่สุด คือ การสื่อสาร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นผู้นำมากที่สุด คือ การสร้างการเรียนรู้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270036
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของครูด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
2023-12-31T15:28:52+07:00
ดารานาถ ทองม้วน
[email protected]
ณัฏฐชัย จันทชุม
[email protected]
ทิพาพร สุจารี
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม 3) เพื่อทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม และ 4) เพื่อยืนยันประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยเป็นครูในสังกัดโรงเรียนเอกชนกลุ่มการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาในจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 11 โรงเรียน ขั้นตอนที่ 1 เป็นครู จำนวน 145 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ ขั้นตอนที่ 2 ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้เชี่ยวชาญ 7 คน ขั้นตอนที่ 3 เป็นครูผู้สอนที่มีความสมัครใจเข้าร่วมอบรม 30 คน และขั้นตอนที่ 4 เป็นครูผู้สอนที่ผ่านการอบรมที่สมัครใจให้ติดตามประเมินผล 3 คนและนักเรียนที่เรียนวิชากับครูผู้เข้าอบรม 90 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและเอกสารประกอบหลักสูตรฝึกอบรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการพบว่า ครูมีปัญหาในด้านการพัฒนาการออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานและความต้องการในการฝึกอบรมอยู่ในระดับมาก 2) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะของครูด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานมีหลักสูตรและเอกสารมีความสอดคล้องและความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3) ผลการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม พบว่า ผู้เข้าอบรมมีคะแนนจากแบบประเมินความรู้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 4) ผลการยืนยันประสิทธิผลของหลักสูตรพบว่า แบบประเมินทักษะการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยของผู้เรียนอยู่ในระดับมากที่สุด และมีผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการออกแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270037
การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ
2023-12-31T15:43:16+07:00
ละดาวัลย์ จันทโชติ
[email protected]
ลัสดา ยาวิละ
[email protected]
รัตนา สิทธิอ่วม
[email protected]
<p> บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน จากกลุ่มลูกค้าที่เลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ในเขตภาคเหนือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) เพศ อายุ สภานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และผ่านทางวีดีโอออนไลน์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 28.50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3).ส่วนประสมการตลาด 4Es ด้านการสร้างความสัมพันธ์ และด้านการสร้างประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 51.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270038
ปัจจัยด้านการรับรู้ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษา Tops Online
2023-12-31T15:52:19+07:00
ณรงค์ชัย แก้ววิริยะกิจกูล
[email protected]
ยุวรินธร ไชยโชติช่วง
[email protected]
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าผ่านTops Online ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า การรับรู้ถึงประโยชน์ การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภค จำนวน 400 คน โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สถิติเชิงอนุมานทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 20-37 ปี สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงาน/ลูกจ้างบริษัทเอกชน และมีรายได้ 15,000 – 35,000 บาทต่อเดือน ปัจจัยด้านการรับรู้ความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หรือ application Tops Online มีการจัดประเภทหมวดรายการสินค้าง่ายต่อการสั่งซื้อ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หรือ application Tops Online ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น และปัจจัยด้านการรับรู้ความง่ายในการใช้งาน ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ Tops Online Tops Online สามารถดาวน์โหลดการใช้งานที่รองรับทั้งระบบ IOS และ Android ผลจากทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้ความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า ปัจจัยการรับรู้ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ และปัจจัยด้านการรับรู้ความง่ายในการใช้งาน ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษา Tops Online อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270039
การพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานี
2023-12-31T16:00:24+07:00
วิริยะ รุ่งเรือง
[email protected]
วันพิชิต ศรีสุข
[email protected]
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานี โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 70 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ แบ่งเป็น 4 ตอน ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล มาตรฐานในระบบการจัดการความปลอดภัยของ กฟภ. พฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน และแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานี จากนั้นผู้วิจัยจะนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ค่าสถิติ ผลการศึกษาพบว่า ระดับการรับรู้ต่อมาตรฐานในระบบการจัดการความปลอดภัยของ กฟภ. โดยรวมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 90.80) จากทั้งหมด 7 มาตรฐาน ในมาตรฐานที่ 5 กิจกรรมด้านความปลอดภัย พนักงานมีการรับรู้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 96.53 เช่น การร่วมกิจกรรม PSC (PEA Safety culture) กำหนดให้พนักงานทุกคนต้องเข้าร่วมและถือเป็นหน้าที่ของทุกคน ภายในกิจกรรมจะประกอบด้วย การสนทนาความปลอดภัย (Safety talk) โดยผู้บริหาร หัวหน้าแผนก พนักงานช่างควบคุมงาน หรือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.วิชาชีพ) การอบอุ่นร่างกาย (Warm up) และการทำ KYT (Kiken Yoshi Training) หรือการทำมือชี้ปากย้ำ ด้านพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน โดยรวมอยู่ในระดับดี (X̅= 2.75) จำแนกตามรายหัวข้อ พบว่าเมื่อพนักงานพบเห็นสิ่งที่เป็นอันตรายหรืออาจะทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้ร่วมงาน พนักงานจะแจ้งให้ผู้อื่นทราบ (X̅= 2.90) ปฏิบัติมากที่สุด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเอาใจใส่ของพนักงานจะเน้นย้ำและตักเตือนเพื่อนร่วมงาน หากละเลยไม่ใส่ใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำงานลัดขั้นตอน จนมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะมีบทลงโทษตามระเบียบของหน่วยงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ด้านแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานี โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.73) พบว่า พนักงานให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย (X̅= 4.87) มากที่สุด มีความสัมพันธ์กับนโยบายความปลอดภัยของผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในประเด็นที่จะต้องนำไปพิจารณาเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานีต่อไปมี 2 ประเด็น (1) เรื่องการฝึกอบรมความปลอดภัยในงานที่เกี่ยวข้อง (2) การจัดสรรอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างเพียงพอ เหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน (X̅= 4.63) ผู้ที่ปฏิบัติงานควรได้รับการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง อบรมสร้างความตระหนักด้านความปลอดภัยและมีการซักซ้อมอยู่เป็นประจำ พิจารณาจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน จัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างเพียงพอพอ และกำกับดูแลเรื่องการสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ผลจากการศึกษาวิจัยนี้ สามารถนำไปเป็นแนวทางการพัฒนา ปรับปรุง ระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดปัตตานีต่อไป</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270042
แนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผลสำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม
2023-12-31T16:19:53+07:00
ธัญญาณี ดีพลงาม
[email protected]
สินธะวา คามดิษฐ์
[email protected]
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น และศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพการพึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียน และครูผู้สอน จำนวน 386 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ส่วนระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาจากข้อมูลการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันของของการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผลโดยรวมอยูในระดับปานกลาง และผลการศึกษาสภาพที่พึงประสงค์ของการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ส่วนผลการศึกษาความต้องการจำเป็นของของการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล พบว่า ด้านที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุน 2. ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีประสิทธิผล พบว่า ได้แนวทางการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน มี 4 แนวทาง 2) ด้านทีมร่วมแรงร่วมใจ มี 4 แนวทาง 3) ด้านการส่งเสริมและสนับสนุน มี 4 แนวทาง 4) ด้านภาวะผู้นำ มี 4 แนวทาง และ 5) ด้านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ มี 4 แนวทางรวม 20 แนวทาง ส่วนผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270043
กลยุทธ์การขับเคลื่อนและการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลท่าแซะสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1
2023-12-31T16:30:06+07:00
สุภาพร ศรีนาค
[email protected]
จุฬาพร ศรีรังสรรค์
[email protected]
อภิชาติ เลนะนันท์
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กลยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน 2) กลยุทธ์การพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน และ 3) ผลการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลท่าแซะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน ครู จำนวน 22 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลท่าแซะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 จำนวน 68 คน รวมทั้งสิ้น 92 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย คู่มือกลยุทธ์การขับเคลื่อนและการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 แบบประเมินทักษะชีวิต มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละความก้าวหน้า ผลการวิจัย พบว่า 1) กลยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลท่าแซะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 มี 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) กลยุทธ์การมีส่วนร่วม 2) กลยุทธ์เสริมพลังอำนาจ 3) กลยุทธ์การบูรณาการ และ 4) กลยุทธ์เครือข่าย 2) กลยุทธ์การพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลท่าแซะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการเล่น 3) ผลการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลท่าแซะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 พบว่า นักเรียนมีทักษะชีวิตอยู่ในระดับดีเยี่ยม มีคะแนนร้อยละความก้าวหน้า คิดเป็นร้อยละ 52.25</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270044
การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เรื่อง การแสดงเรือถ่อ ของโรงเรียนท่าแซะรัชดาภิเษก จังหวัดชุมพร
2023-12-31T16:38:43+07:00
อาคม วงค์ทองเกื้อ
[email protected]
จุฬาพร ศรีรังสรรค์
[email protected]
กาญจนา บุญส่ง
[email protected]
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ความรู้ท้องถิ่น เรื่อง การแสดงเรือถ่อที่ท่าแซะ 2) พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เรื่อง การแสดงเรือถ่อที่ท่าแซะ และ 3) ศึกษาผลการทดลองใช้หลักสูตรท้องถิ่นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เรื่อง การแสดงเรือถ่อของโรงเรียนท่าแซะรัชดาภิเษก จังหวัดชุมพร เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน ครู จำนวน 4 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 20 คน ผู้นำชุมชน จำนวน 3 คน ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน 3 คน รวมทั้งสิ้น 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์องค์ความรู้ เรื่อง การแสดงเรือถ่อ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ทุกฉบับมีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ความรู้ท้องถิ่น เรื่อง การแสดงเรือถ่อของโรงเรียนท่าแซะรัชดาภิเษก จังหวัดชุมพร ประกอบด้วย 1) บริบทของอำเภอท่าแซะ (2) ประวัติความเป็นมาของการแสดงเรือถ่อ (3) รูปแบบและฉันทลักษณ์ของบทกลอนในการแสดงเรือถ่อ (4) การประดิษฐ์ไม้ถ่อสำหรับการแสดงเรือถ่อ (5) เครื่องดนตรีประกอบการแสดงเรือถ่อ และ (6) ท่ารำตามทำนองเพลงการแสดงเรือถ่อ 2) การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เรื่อง การแสดงเรือถ่อของโรงเรียนท่าแซะรัชดาภิเษก จังหวัดชุมพร ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้จำนวน 6 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ (1) ประวัติความเป็นมาของการแสดงเรือถ่อ (2) บทร้องที่ใช้ในการแสดงเรือถ่อ (3) การแต่งกายของการแสดงเรือถ่อ (4) ลักษณะของบทร้องการแสดงเรือถ่อ (5) ดนตรีและทำนองเพลงที่ใช้ในการแสดงเรือถ่อ และ (6) ปฏิบัติท่ารำตามทำนองเพลง จำนวน 10 แผน ใช้เวลาในการสอน จำนวน 20 ชั่วโมง 3) ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็น ร้อยละ 44.50 นักเรียนมีทักษะการปฏิบัติในระดับดีเยี่ยม และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ระดับดีเยี่ยม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270045
พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน โรงเรียนบ้านกลาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1
2023-12-31T16:47:22+07:00
โสวนีย์ จงแดง
[email protected]
อภิชาติ เลนะนันท์
[email protected]
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาของครูในการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน 2) พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน และ 3) พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนโรงเรียนบ้านกลาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู จำนวน 11 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 97 คน โดยเลือกแบบเจาะจง แบบสัมภาษณ์สภาพและปัญหาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6-1.0 แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานของครู มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6-1.0แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6-1.0 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. จากการสัมภาษณ์ครูเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน พบว่า สภาพปัจจุบันโรงเรียนบ้านกลางส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนการสอนแบบผสมสานตามสถานการณ์และแนวโน้มการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ โดยมีปัญหา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านครู ด้านผู้เรียน และด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียน 2. ผลการพัฒนาครู พบว่า ครูมีคะแนนเฉลี่ยหลังการพัฒนามีค่ามากกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูมีพฤติกรรมด้านการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน พบว่า นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270046
ผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงคราม
2023-12-31T17:03:50+07:00
วชิรพร โชติพานัส
[email protected]
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุ ในจังหวัดสมุทร สงคราม 2) ศึกษาเปรียบเทียบความรู้และการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุระหว่างก่อนและหลังเข้าร่วมผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงคราม ผู้สูงอายุ 300 คนในตำบลบางนางลี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม แล้วทำการคัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง 40คน เป็นผู้สูงอายุเพศชาย 21คนและผู้สูงอายุเพศหญิง 19 คน เข้าร่วมผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงครามในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้และการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุและสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่า paired t – test ผลการศึกษาพบว่าก่อนการทดลอง ความรู้ก่อนเข้าร่วมผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงคราม ผู้สูงอายุได้คะแนนเฉลี่ย 6.35 (X̅ = 6.35 ,S.D.= 1.14) และหลังการเข้าร่วมผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุได้คะแนนเฉลี่ย 7.83 (X̅ = 7.83 ,S.D.= 0.38)เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลองด้านความรู้ของผู้สูงอายุแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า หลังการทดลองกลุ่มผู้สูงอายุมีระดับความรู้เพิ่มขึ้นและพบว่าด้านการปฏิบัติตัวก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุ ได้คะแนนเฉลี่ย 3.91 (X̅ = 3.91 ,S.D.= 0.57) คะแนนด้านการปฏิบัติตัวของกลุ่มผู้สูงอายุแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 แสดงว่าหลังการทดลองผู้สูงอายุมีการปฏิบัติตัวดีขึ้น สรุปผลได้ว่านั้นคือผลของโปรแกรมความสุขของผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรสงคราม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270052
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-01-01T13:03:36+07:00
ตรีชฎา รัชชูวงศ์
[email protected]
<p>ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ( Collaborative Learning ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถ ด้านการออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายโดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 85 2. เพื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย ระหว่างกลุ่มควบคุมที่ใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และกลุ่ม ที่เรียนแบบปกติ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านกกค้อกกโพธิ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 มีจำนวนทั้งหมด 6 ห้องเรียน จำนวน 179 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านกกค้อกกโพธิ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 ได้มาโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience Sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 29 คน และกลุ่มควบคุม 29 คน รวมจำนวน 58 คน ทั้งนี้ได้ใช้สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One way ANOVA ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 85 พบว่าความสามารถด้านการออกแบบและเขียนโปรแกรม อย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 85 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<0.01 [F(1,58) = 24.98 P = 0.000025] ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิดร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อยู่ในระดับ เหมาะมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270053
การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทย ด้วยเทคนิค SQ4R สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2024-01-01T13:10:39+07:00
กฤติญา พินธุรักษ์
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R และ 4) ศึกษาความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองหลัก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 13 คน ซึ่งได้มาจากการสุมแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ ชนิด 3 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.25 ถึง 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.80 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัย พบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เพื่อเสริมสร้างความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.29/82.88 ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ (E.I.) = 0.7091 คิดเป็นร้อยละ 70.91 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความสามารถการอ่านจับใจความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270055
ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาของกลุ่มโรงเรียนทวาราวดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร
2024-01-01T13:24:27+07:00
นนทชัย จับใจสุข
[email protected]
สมนึก ทองเอี่ยม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนา การดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนทวาราวดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูในกลุ่มโรงเรียนทวาราวดี จำนวน 234 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นตามแนวคิดของครอนบาคทั้งฉบับ <img src="https://so06.tci-thaijo.org/public/site/images/drchaiyasitudomchokenamorn/mceclip1.png">= 0.98 ใช้ค่าสถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (X̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) และค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในการพัฒนา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบันในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ตามอันดับดำเนินการดังนี้ มาตรฐานที่1 คุณภาพของผู้เรียน,มาตรฐานที่3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและมาตรฐานที่2 กระบวนการบริหารและการจัดการ 2) สภาพที่ควรจะเป็น ในความคาดหวังในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ตามอันดับดำเนินการดังนี้ มาตรฐานที่1 คุณภาพของผู้เรียน,มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการและมาตรฐานที่3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 3) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาในภาพรวมต้องการพัฒนาตามอันดับดำเนินการดังนี้ มาตรฐานที่1 คุณภาพของผู้เรียน,มาตรฐานที่2 กระบวนการบริหารและการจัดการและมาตรฐานที่3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและ4)ข้อเสนอแนะในพัฒนาการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษามีดังนี้ ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม มีการนิเทศการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบและอย่างต่อเนื่อง มีการอบรมเพื่อพัฒนาครูให้มีความสามารถในการสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ จัดให้มีมาตรการต่อบุคคลภายนอกเพื่อความปลอดภัยของครู บุคลากรและนักเรียนและสนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียนขนาดเล็กให้เพียงพอต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270056
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ของหญิงที่มาฝากครรภ์ในสถานบริการเขตอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
2024-01-01T13:31:19+07:00
อคิราภ์ มีคำแสน
[email protected]
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการมาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ในสถานบริการเขตอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์จำนวน 340 ราย ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกสถานบริการรับ ฝากครรภ์ในเขตอำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ โรงพยาบาลพพิบูลย์รักษ์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาทดสอบไคสแควร์และการวิเคราะห์ถดถอยพหุโลจิสติก ผลการวิจัย พบว่า หญิงตั้งครรภ์กลุ่มตัวอย่างมาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ ในอัตราร้อยละ 44.11 ประวัติความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ (OR =52.16, 95%, CI = 15.33-177.53, p < .001) ทัศนคติที่ดีต่อการฝากครรภ์ (OR = 52.43, 95%, CI = 10.24-265.57, p < .001) การสนับสนุนของครอบครัวต่อการฝากครรภ์ (OR = 22.56, 95%, CI =3.38-150.86, p = .001) ความรู้เกี่ยวกบัการฝากครรภ์ (OR = 4.31, 95%, CI = 1.31-12.27, p =.015) และรายได้ของครอบครัวระดับปานกลางกบัรายได้ของครอบครัวระดับสูง (OR = 7.26, 95%, CI =1.56-33.58, p =.011, OR = 13.34, 95%, CI =2.67-66.77, p =.002 ตามลำดับ) เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ ผลการวิจัยเสนอแนะว่าบุคลากรทางสุขภาพควรส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการฝากครรภ์ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการฝากครรภ์และส่งเสริมการสนับสนุนของครอบครัวต่อการฝากครรภ์ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกโดยเร็วภายใน 12 สัปดาห์ให้มากขึ้น</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270057
อัตลักษณ์ภูมิปัญญาการทอผ้าไหมพื้นถิ่นสู่การพัฒนาการบริหารจัดการกลุ่มด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของกลุ่มทอผ้าไหม บ้านนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2024-01-01T13:38:31+07:00
ณัฐปราย์ ชัยสินคุณานนต์
[email protected]
เกศสุดา โภคานิตย์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทอัตลักษณ์ภูมิปัญญาและการบริหารจัดการกลุ่ม สร้างรูปแบบการพัฒนาการบริหารจัดการกลุ่มด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของกลุ่มทอผ้าไหมชุมชนบ้านนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ผลการวิจัยพบว่า บริบทอัตลักษณ์ภูมิปัญญาการทอผ้าไหมพื้นถิ่นแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาด้วยกัน ช่วงที่หนึ่งเป็นลักษณะต่างคนต่างทำโดยผู้หญิงในชุมชนปลูกหมอน เลี้ยงไหม ทอผ้าสำหรับสมาชิกในครอบครัวใช้นุ่งห่มเข้าร่วมงานพิธีกรรมสำคัญต่าง ๆ เตรียมไว้สำหรับการต้อนรับใช้เป็นของฝากสำหรับบุคคลพิเศษผู้มาเยี่ยมเยือนเรือนชาน เน้นกระบวนการผลิตตามธรรมชาติจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้านที่สืบสานถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ เช่นการย้อมสีเส้นไหม จากเปลือกไม้ แก่นไม้ ครั่ง ดินโคลน ทำให้ผ้าไหมสวมใส่สบายมีความทนทาน การออกแบบลวดลายในช่วงนี้ คือ ลายดอกเสี้ยวที่นำมาจากต้นไม้ประจำหมู่บ้าน จึงทำให้ผ้าไหมชุมชนนาเสียวมีลวดลายที่แตกต่างจากชุมมชนอื่น เมื่อเวลาผ่านไปการทอผ้าไหมของคนในชุมชนลดน้อยลง ขาดผู้สืบสานต่อยอด ขาดการทอดภูมิปัญญาอย่างต่อเนื่อง การทอผ้าไหมพื้นถิ่นจึงค่อยๆเลือนหายไปทีละน้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงที่สองเป็นช่วงแห่งการฟื้นฟู หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวผู้หญิงในชุมชน มองหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวจึงหันกลับมาปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้า ในช่วงนี้การออกแบบลวดลายส่วนใหญ่เป็นลวดลายที่เป็นที่นิยมทั่วไป มีการซื้อเส้นไหมสำเร็จจากชุมชนอื่น สีที่ย้อมปรับเปลี่ยนมาเป็นสีสังเคราะห์มากขึ้น มีช่องทางการจำหน่ายคือกลุ่มลูกค้าผ่านการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ยังไม่มีการรวมกลุ่มกันทำอย่างจริงจัง และในช่วงที่สามเป็นช่วงการจัดตั้งกลุ่ม เมื่อรัฐบาลมีโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอทอป (OTOP) ได้จัดตั้งกลุ่มสตรีทอผ้าบ้านนาเสียว กระทั่งมีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของกลุ่มจัดจำหน่ายสู่ตลาด บริบทด้านการบริหารจัดการกลุ่มนั้นการผลิตผ้าไหมในช่วงนี้ขาดอัตลักษณ์ภูมิปัญญาที่มีมาแต่โบราณ จากการถ่ายทอดตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำให้ไม่มีความโด่ดเด่น ผ้าไหมส่วนมากไม่มีความแตกต่างจากผ้าไหมชุมชนอื่น การบริหารจัดการกลุ่มไม่มีโครงสร้างกลุ่มที่ชัดเจนมีเพียงผู้นำหลัก คือ นางมุกดาที่เป็นแกนนำขับเคลื่อนกลุ่ม ทำให้สมาชิกต่างคนต่างทำต่างจำหน่ายไม่รู้บทบาทหน้าที่ของตน การมีส่วนร่วมของสมาชิกและคนชุมชนที่ร่วมกันขับเคลื่อนกลุ่มมีน้อย ช่องทางการตลาดเน้นการจำหน่ายโดยตรงกับลูกค้าและนำไปฝากขายในร้านค้าชุมชนและร้านค้าจำหน่ายของฝากบางส่วน รูปแบบการพัฒนาการบริหารจัดการกลุ่มคือ จัดโครงสร้างกลุ่มกำหนดตำแหน่งอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน ส่งเสริมความรู้ด้านการบริหารจัดการกลุ่มโดยรวมและการเงินการบัญชี พัฒนาการผลิตผ้าไหมโดยฟื้นฟูรากเหง้าภูมิปัญญาอัตลักษณ์ชุมชนสู่ผืนผ้าไหมพื้นถิ่น ที่มีรูปแบบหลากหลายมีความเป็นแฟชั่นสมัยนิยม การบริหารจัดการด้านการตลาดและลูกค้าออนไลน์ สร้างบรรยากาศกิจกรรมพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ระหว่างผู้นำชุมชน สมาชิกกลุ่มและคนในชุมชน ติดต่อสื่อสารสร้างเครือข่ายแบบมีส่วนร่วมให้เป็นเครือข่ายองค์ความรู้ในการร่วมกันส่งเสริมและพัฒนากลุ่มทอผ้าไหมพื้นถิ่นบ้านนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270058
ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้งข่มเหงรังแกในสังคมไทย
2024-01-01T13:47:48+07:00
ศิรินทร์ เกตุสมบูรณ์
[email protected]
สังเวียน เทพผา
[email protected]
<p> บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมของต่างประเทศ และประเทศไทย รวมถึงวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมไทย ตลอดจนแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมไทย ผลการศึกษา พบว่า กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมไทยปัจจุบัน ยังเกิดปัญหาเกี่ยวกับการใช้บังคับอยู่หลายประการ เช่น ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการไม่มีบทบัญญัติเฉพาะในการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมไทย ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมไทยผ่านระบบไซเบอร์ และปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคม ซึ่งผู้วิจัยเห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยให้มีการกำหนดการกระทำที่เป็นการกลั่นแกล้ง ข่มเหงรังแกในสังคมขึ้นมาเฉพาะ การกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพบุคคลจากการถูกกลั่นแกล้ง รังแกในสังคมให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้ให้การรับรอง และคุ้มครองเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ทัดเทียมกับนานาประเทศ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270059
พิธีกรรม ความเชื่อ ประเพณี สรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง หมู่ 3 หมู่ 5 และหมู่ 9 ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
2024-01-01T13:56:43+07:00
ธีร์กัญญา อินทอง
[email protected]
อุบลวรรณ สายทอง
[email protected]
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ภูมิหลังของประเพณี สรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง หมู่ 3 หมู่ 5 และ หมู่ 9 ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ และ พิธีกรรม ความเชื่อ ประเพณี สรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง ผลการศึกษาพบว่า ประเพณีสรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมืองเป็นประเพณีความเชื่อที่ปฏิบัติสืบทอดมากว่า 200 ปีโดยจะเริ่มสรงน้ำปู่ หลังวันสงกรานต์ 7 วันคือวันที่ 20 เมษายน ของทุกปี มีลำดับพิธีกรรมดังนี้ ก่อนวันสรงน้ำปู่ 1-2 วัน คือ 18-19 เมษายน มีการร่วมกันโยงด้ายสายสิญจน์ที่มาจากการบริจาค จากศาลปู่ไปยังทุกครัวเรือน เชื่อว่าเป็นด้ายมงคลคุ้มภัยกันสิ่งไม่ดีที่จะมาสู่บ้านเรือน เป็นการเชื่อมโยงความสามัคคีของคนในหมู่บ้านให้กลมเกลียวรักใคร่ห่วงใยซึ่งกันและกัน วันที่ 19 เมษายน ตอนเย็นจะมีการก่อเจดีย์ทรายใกล้ศาลปู่ จากนั้นแต่ละครอบครัวจะมีการจัดทำกระทงจากกาบกล้วย เป็นกระทง 4 มุม ภายในกระทง จะเอาดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนเท่าจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและ สัตว์เลี้ยงด้วย ข้าวขาว ข้าวแดง กล้วยสุก น้ำอ้อย น้ำตาล พริกเกลือ อันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ตอนเช้าวันที่ 20 เมษายน ก็จะยกกระทง พร้อมทั้งอาหารถวายพระไปทำบุญตักบาตรที่ศาลปู่ นางทรงจะไปรอพระอยู่ที่ศาลปู่เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรด้วย เมื่อพระสงฆ์เจริญพุทธมนต์สวดถวายพรพระเสร็จแล้วก็จะถวายภัตตาหาร ในขณะที่พระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหารอยู่นั้น กลองยาวก็จะบรรเลง ร่างทรงปู่พญาแก้ววงเมือง ก็จะฟ้อนรำมือหนึ่งถือดาบเพื่อทำพิธีปัดเคราะห์ปัดรังควาญ เสนียดจัญไร ให้ออกไปจากหมู่บ้านโดยใช้ปลายดาบเขี่ยที่กระทงทุกกระทงและเจดีย์ทราย เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จ ทุกคนรับพรจากพระสงฆ์ผีปู่ในร่างทรงก็จะหมอบกราบเมื่อพระสงฆ์กลับวัดผีปู่ก็จะออกจากร่างทรง เสร็จพิธีกรรมตอนเช้า ตอนบ่ายชาวบ้านจะสรงน้ำพระที่วัดก่อน หลังจากสรงน้ำพระสงฆ์แล้วก็จะพากันไปสรงน้ำปู่ที่ศาล ร่างทรงก็จะไปในพิธี มีคณะกลองยาว บรรเลงสักครู่ผีปู่ก็จะประทับร่าง ประชาชนก็จะถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันข้างหน้าว่าจะดีหรือร้ายประการใดผีปู่ก็จะตอบให้ฟังเมื่อหมดคำถามก็จะทำพิธีสรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง โดยเริ่มจากผู้นำชุมชนก่อน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. ตามด้วยประชาชนที่ไปร่วมพิธี ก็จะมี ประชาชนหมู่ 3 หมู่ 5 หมู่ 9 เป็นหลัก เมื่อสรงน้ำปู่เสร็จแล้วผีปู่ก็จะออกจากร่างทรง เป็นอันเสร็จพิธีประเพณีสรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง ประจำปี ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีสรงน้ำปู่พญาแก้ววงเมือง เกี่ยวกับระยะเวลา ในการประกอบพิธีกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่ วัตถุสิ่งของ ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270091
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อส่งเสริมสมรรถนะด้านสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่สำหรับเด็กปฐมวัย
2024-01-02T17:46:26+07:00
อารีพร ภูคงสด
[email protected]
เพ็ญศรี แสวงเจริญ
[email protected]
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อส่งเสริมสมรรถนะด้านสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่สำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อส่งเสริมสมรรถนะด้านสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่สำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 18 แผน 2) แบบสังเกตพฤติกรรมที่แสดงถึงสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่ของเด็กปฐมวัยโดยครู (กรณีที่มีการจัดการเรียนการสอนตามปกติที่โรงเรียน) และ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมที่แสดงถึงสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ร้อยละ 66.67 มีการปฏิบัติที่แสดงถึงการมีสมรรถนะด้านสุขภาวะทางกายในชีวิตวิถีใหม่ อยู่ในระดับมากที่สุด และผู้ปกครองลงความเห็นว่าภาพรวมเด็ก มีสมรรถนะด้านสุขภาวะทางกายในชีวิตประจำวันในระดับมาก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270092
การพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้นาฏศิลป์บำบัดของนักเรียนสมาธิสั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2024-01-02T18:13:15+07:00
ชนนิกานต์ นวลพลับ
[email protected]
เก็ตถวา บุญปราการ
[email protected]
ชุติมา ทัศโร
[email protected]
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้นาฏศิลป์บำบัดหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 ของนักเรียนสมาธิสั้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์โดยใช้นาฏศิลป์บำบัดของนักเรียนสมาธิสั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ใช้วิธีวิจัยกึ่งทดลอง ประขากรได้แก่ นักเรียนสมาธิสั้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แผน การจัดการเรียนรู้ทักษะนาฏศิลป์โดยใช้นาฏศิลป์บำบัด แบบวัดทักษะปฏิบัติ และแบบวัดความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบค่า ที t-test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ด้วยการจัดเรียนรู้โดยใช้นาฏศิลป์บำบัดสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยได้ค่าร้อยละ 95.66 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติโดยใข้นาฏศิลป์บำบัดโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<strong>μ</strong> = 4.01, <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma">= 0.<strong>84</strong>)</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270098
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องทวีปอเมริกาใต้ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-01-03T07:14:52+07:00
นพวรรณ ขันทะเสน
[email protected]
เก็ตถวา บุญปราการ
[email protected]
ชุติมา ทัศโร
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดโคกเปี้ยว สังกัดสำนักเขตการศึกษา พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาเขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งสิ้น 21 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทวีปอเมริกาใต้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทวีปอเมริกาใต้ 3) แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย (𝑥̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบค่าที ( t - test dependent ) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน หลังการเรียนสูงกว่าก่อนการ เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270099
การจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2024-01-03T07:20:56+07:00
พจนา แก้วกำไร
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคำผ่าน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 10 คนโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 2) แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 ชุดฝึก 3) แบบทดสอบวัดภาคความรู้ ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 4) แบบประเมินภาคปฏิบัติทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t–test แบบ (Dependent Samples) ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3มีประสิทธิภาพ 82.20/87.39 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียน<br>ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เท่ากับ 0.7883 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 4) ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270100
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เทคนิคการเป่าขลุ่ยเพียงออสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-01-03T07:27:43+07:00
ถนอม สิงห์ซอม
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
รุจิรัตน์ บวรธรรมศักดิ์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เทคนิคการเป่าขลุ่ยเพียงออ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นนมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านคูบ จำนวน 18 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 7 ชุด 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินภาคปฏิบัติเทคนิคการเป่าขลุ่ยเพียงออ และ 5) แบบวัดความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t–test แบบ (dependent samples)</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง เทคนิคการเป่าขลุ่ยเพียงออ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 82.67/95.33 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</li> <li class="show">ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270101
การเปรียบเทียบผลของตำรับยาพอกสมุนไพรสูตรผสมกัญชากับสูตรพื้นฐาน ต่ออาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เขตสุขภาพที่ 9 จังหวัดสุรินทร์
2024-01-03T07:36:07+07:00
ชฎานภัส หมายดี
[email protected]
ศุภะลักษณ์ ฟักคำ
[email protected]
สรรใจ แสงวิเชียร
[email protected]
วิชัย โชควิวัฒน์
[email protected]
ยงยุทธ วัชรดุลย์
[email protected]
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของตำรับยาพอกสมุนไพรสูตรผสมกัญชากับสูตรพื้นฐาน ต่อระดับความปวดและความฝืดของข้อเข่าตลอดจนความสามารถในการใช้งานของข้อเข่าและเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนและหลังการใช้ยาพอกสมุนไพรสูตรผสมกัญชากับสูตรพื้นฐานต่ออาการปวดเข่า ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เขตสุขภาพที่ 9 จังหวัดสุรินทร์ เป็นการศึกษาวิจัยทางคลินิก แบบ randomized double-blinded controlled trial จำนวน 50 คน แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 คน กลุ่มที่ 1 ได้รับ ยาพอกเข่าสูตรผสมกัญชากลุ่มที่ 2 ได้รับยาพอกเข่าสูตรพื้นฐาน โดยทั้ง 2 กลุ่ม พอกยาครั้งละ 30 นาที นัดรับการพอก 2 วันครั้ง รวมเป็นทั้งหมด 3 ครั้ง ประเมินผลก่อนหลังการใช้ยาด้วยแบบประเมินอาการของเข่า (WOMAC) แบบประเมินระดับความเจ็บปวด (VAS) และวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าโดยใช้ goniometer แบบประเมินระดับความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อม โดยใช้ แบบประเมินระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม (Oxford Knee Score) และประเมินคุณภาพชีวิต ด้วยแบบสอบถาม WHOQOL วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ unpaired t-test</p> <p>ผลการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า ทั้ง 2 กลุ่ม มีระดับความเจ็บปวด อาการปวดข้อเข่าดีขึ้น องศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่ามากขึ้น ด้านอาการปวดเข่า อาการข้อฝืด/ตึง และ ด้านการใช้งานข้อ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) ผลการประเมินระดับความรุนแรงโรคข้อเข่าเสื่อม และคุณภาพชีวิต ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) การใช้ยาพอกสูตรผสมกัญชา พอกเข่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วย โรคข้อเข่าเสื่อม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270102
พลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
2024-01-03T07:44:34+07:00
พงศกรณ์ พิลาบุตร
[email protected]
เพชรอนันต์ บุญแน่น
[email protected]
พัชรากรณ์ เพ็ชรมณี
[email protected]
วรกิจ มงคลพร
[email protected]
ภัทรพร พันธุออน
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความคิดเห็นต่อพลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง และ (2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อพลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล อายุ เพศ ศาสนา และรายได้ต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน คือ การทดสอบค่า (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 และเมื่อพบความแตกต่างจะทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ (Post hoc) ด้วยวิธีของ LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.พลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการเลือกตั้ง รองลงมาคือ ด้านการร้องเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการชุมนุม</p> <ol start="2"> <li class="show"> ผลการทดสอบสมมติฐานเพื่อเปรียบเทียบพลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่าประชาชนที่มีอายุ เพศ ศาสนา ที่ต่างกัน มีความคิดเห็นพลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน แต่ประชาชนที่มีรายได้ที่ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อพลังอำนาจของสื่อสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270103
ผลการใช้ชุดการสอน เรื่อง การอ่านและเขียนโน้ตดนตรีสากลขั้นพื้นฐาน สาระดนตรี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2024-01-03T07:51:31+07:00
ปุถุชน มีชัย
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
ลลินธร กิจจาธิการกุล
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดการสอน เรื่อง การอ่านและเขียนโน้ตดนตรีสากลขั้นพื้นฐาน ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดการสอน และ 3) เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการอ่านเขียนโน้ตดนตรีสากลก่อนและหลังการใช้ชุดการสอน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลังเรียนในรายวิชา ดนตรี-นาฎศิลป์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านนาโพธิ์กลาง จำนวน 24 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ชุดการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบทดสอบทักษะการปฏิบัติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ชุดการสอน เรื่อง การอ่านและเขียนโน้ตดนตรีสากลขั้นพื้นฐาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.39/84.39 สูงกว่าเกณฑ์ตั้งไว้ 80/80</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ทักษะการปฏิบัติการอ่านเขียนโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270104
องค์ประกอบของแบบจำลองธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่ส่งผลต่อคุณค่าแห่งความยั่งยืนของโรงแรมขนาดเล็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-01-03T08:04:23+07:00
ศศิกานต์ จรณะกรัณย์
[email protected]
ปิยพร ท่าจีน
[email protected]
บังอร พลเตชา
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสำคัญขององค์ประกอบของแบบจำลองธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่มีต่อคุณค่าแห่งความยั่งยืนของโรงแรมขนาดเล็กในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ โรงแรมขนาดเล็กในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน จำนวน 170 แห่ง ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 709 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 0.702 – 0.837 ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเชื่อมั่น (Composite Reliability - CR) เทคนิค Harman’s Single-factor Test และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวแปร (Confirmatory Factory Analysis) การศึกษาองค์ประกอบด้านการกำหนดมูลค่าและคุณค่าแห่งความยั่งยืน พบว่า ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการกำหนดคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมในระดับมากกว่าองค์ประกอบอื่น (X̅= 3.84) ด้านการสร้างและส่งมอบมูลค่าและคุณค่าแห่งความยั่งยืนพบว่า ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการสร้างและส่งมอบคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมมากกว่าองค์ประกอบอื่น (X̅= 3.85) ด้านการถือครองมูลค่าและคุณค่าแห่งความยั่งยืน ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการถือครองคุณค่าทางสังคมมากกว่าองค์ประกอบอื่น (X̅=3.92) องค์ประกอบของคุณค่าแห่งความยั่งยืนในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับคุณค่าแห่งความยั่งยืนในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับคุณค่าแห่งความยั่งยืนด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมากกว่าองค์ประกอบอื่น ๆ (X̅=3.92) รองลงมา คือ คุณค่าแห่งความยั่งยืนด้านการสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม (X̅=3.86) และการจัดการความยั่งยืน (X̅=3.81) ตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270105
แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
2024-01-03T08:10:09+07:00
บงกชมาศ แดงมณี
[email protected]
ทินกฤตพัชร์ รุ่งเมือง
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2) ศึกษาและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา รูปแบบการวิจัยระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างใช้ในงานวิจัยนี้คือ ครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ปีการศึกษา 2565 จำนวน 297 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ มนุษยสัมพันธ์ อิทธิพลของครูที่มีต่อการตัดสินใจ โอกาสความก้าวหน้า สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สิทธิและความเสมอภาค ความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้บังคับบัญชา ความสมดุลของชีวิต และค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและเพียงพอ ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พระนครศรีอยุธยา ได้แก่ (1) สถานศึกษาควรมีการวางแนวทางการส่งเสริมบุคลากรครูให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สามารถทำงานร่วมกันโดยปราศจากความขัดแย้ง สร้างแรงบันดาลใจและสร้างความภาคภูมิใจให้กับครู (2) สถานศึกษาควรสร้างโอกาสก้าวหน้าทางด้านวิชาการ สร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงานให้ครูผู้สอน เปิดโอกาสให้ครูผู้สอนได้ใช้ความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ และ (3) สถานศึกษาจะต้องมีการคำนึงถึงความปลอดภัย พัฒนาปรับปรุงให้มีแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการปฏิบัติงาน ส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติงานในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270106
แนวทางส่งเสริมการส่งออกสินค้ากะสิกรรมด่านสากลพูเกือ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-03T08:17:41+07:00
ดวงจัน คำใบ
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
ประสิทธิ์ กุลบุญญา
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ส่งออกสินค้ากะสิกรรมและแนวทางส่งเสริมการส่งออกสินค้ากะสิกรรม ด่านสากลพูเกือ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 25 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการจาก 3 บริษัท เจ้าหน้าที่ภาษี 15 คน เจ้าหน้าที่อากรขนส่ง 3 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 คน และเจ้าหน้าที่คุ้มครองด่าน 1 คน และเจ้าหน้าที่แขนงกักกันพืช 3 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า</p> <ol> <li class="show">สภาพการณ์ส่งออกสินค้ากะสิกรรม ด่านสากลพูเกือ แขวงอัตตะปือ พบว่า สินค้ากะสิกรรมที่ส่งออก คือ 1) กล้วย ซึ่งเป็นผลผลิตจากแขวงอัตตะปือและส่งไปยังประเทศจีน 2) มันต้นดิบหรือมันต้นแห้ง กาแฟ และยางพารา เป็นผลผลิตจาก 4 แขวงภาคใต้ คือ แขวงปากเซ แขวงเซกอง แขวงสาละวัน และแขวงอัตตะปือ และส่งไปประเทศเวียดนาม และ 3) น้ำตาล กากน้ำตาล บักนอด (เสาวรส) บักโอหรือส้มโอ ผลผลิตอยู่แขวงอัตตะปือซึ่งเป็นสินค้าที่ขึ้นตรงกับบริษัทวังแอ่ง และบริษัทวังแอ่งเป็นผู้จัดส่งและส่งออกโดยตรง หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในการส่งออกสินค้ากะสิกรรมในด่านสากลพูเกือ ได้แก่ ภาษีอากร คุ้มครองด่าน ตำรวจ ซึ่งหน่วยงานต่างๆเหล่านี้จะเป็นหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการส่งสินค้ากะสิกรรมออกจากด่านสากลพูเกือ ไปยังประเทศเวียดนาม ประเทศจีน และประเทศต่างๆ และเปิดทำการ ทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-19.00 น.</li> <li class="show">แนวทางส่งเสริมการส่งออกสินค้ากะสิกรรมด่านสากลพูเกือ 1) ด้านเศรษฐกิจรัฐบาล ควรส่งเสริมให้มีการส่งออกสินค้ากะสิกรรมที่มีคุณภาพและมีการกำหนดความชัดเจนในการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงระบบขั้นตอน กฎระเบียบ การอำนวยความสะดวก และนโยบายการกำหนดมาตรฐานการขนส่งและการส่งออกสินค้ากะสิกรรม 2) ด้านสังคมและวัฒนธรรม ควรมีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักธุรกิจ เพื่อให้มีความเชื่อมั่นในการขนส่งสินค้า มีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของธุรกิจการส่งออกของแต่ละประเทศให้มีความเท่าเทียบกันของประเทศที่คู่ค้า เช่น ลาว เวียดนาม จีน และมีการบริหารจัดการด้านการขนส่งของด่านสากลพูเกือให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และ 3) ด้านกายภาพ ควรมีการสร้างสถานที่ที่มีความมั่งคงถาวร และมีขั้นตอนในการส่งออกสินค้ากะสิกรรมผ่านด่านสากลพูเกือที่มีลักษณะเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270107
แนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม
2024-01-03T08:23:33+07:00
ณรงค์ ยอดขำใบ
[email protected]
ทินกฤตพัชร์ รุ่งเมือง
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม 2) เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม โดยระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้คือ ครูโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ปีการศึกษา 2565 จำนวน 285 คน ด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการจำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงครามโดยรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่ประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม 3 ลำดับแรก คือ 1. ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา 2. ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน 3. ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) แนวทางในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา มีการวางแผน ออกแบบ ติดตามการใช้และประเมินผลการใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา (2) ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ต้องมีการวางแผนและการจัดการอย่างมีระบบ เพื่อให้การวัดผลและการประเมินเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน (3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มีการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมและสร้างสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจและมีคุณภาพ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270108
แนวทางการบริหารหน่วยบริการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-01-03T08:28:55+07:00
ภัชญณัญ ภัทรพนาสกุล
[email protected]
ทินกฤตพัชร์ รุ่งเมือง
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการบริหารหน่วยบริการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารหน่วยบริการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการวิจัยเป็นแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพปัญหาของการบริหารหน่วยบริการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองนักเรียนที่รับบริการที่หน่วยบริการ 15 แห่ง จำนวน 186 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI) ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาแนวทางการบริหารหน่วยบริการ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการเสนอแนวทางการบริหารหน่วยบริการ ได้แก่ กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ กลุ่มหัวหน้าหน่วยบริการ และกลุ่มผู้ปกครอง จำนวน 7 คน ผู้ให้ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารหน่วยบริการ ได้แก่ กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ กลุ่มหัวหน้าหน่วยบริการ และกลุ่มผู้ปกครอง จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวทางการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และแบบประเมินแนวทางการบริหารหน่วยบริการ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารหน่วยบริการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ระดับมาก สภาพพึงประสงค์โดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเรียงลำดับมากไปหาน้อยดังนี้ ลำดับที่ 1 ด้านการสร้างเครือข่ายในชุมชน ลำดับที่ 2 ด้านการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาครู ลำดับที่ 3 ด้านการบริการและประชาสัมพันธ์ ด้านที่ 4 ด้านสถานที่และสภาพแวดล้อม และแนวทางการบริหารหน่วยบริการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี 26 แนวทาง มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270109
ความพึงพอใจของครูที่มีต่อการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2
2024-01-03T09:02:18+07:00
พัชรินทร์ ชูช่วย
[email protected]
อำนวย ทองโปร่ง
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความพึงพอใจของครูที่มีต่อ การบริหารงาน ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทยสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยจำแนกตามระดับวุฒิการศึกษาประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและตำแหน่งวิทยฐานะกลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่ปฏิบัติหน้าที่การสอนกลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 248 คน โดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (SimpleRandomSampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของครูที่มีต่อการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) และการทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé’s post hoc comparison) </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li class="show">ครูกลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ความพึงพอใจต่อการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียน สหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ทั้งในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้นความพึงพอใจของครูที่มีต่อการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการบริหารวิชาการอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของครูที่มีต่อการบริหารงานของผู้บริการสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนในสหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 พบว่า ครูที่มีวุฒิการศึกษาประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและตำแหน่งวิทยฐานะต่างกันมีความพึงพอใจต่อการบริหารงานของผู้บริการสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนสหวิทยาเขตเสรีไทย สังกัดสำนักงานนเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมแต่ละด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 เมื่อพิจารณาแต่ละด้านพบว่าการบริหารงานด้านวิชาการและการบริหารด้านงบประมาณไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270110
การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบกำหนดตำแหน่งยานพาหนะ แบบอัตโนมัติ ในการติดตามการเดินทางขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก
2024-01-03T09:10:14+07:00
กิตติพงศ์ พิทักษ์กิตติสกุลถาวร
[email protected]
นิคม ลนขุนทด
[email protected]
เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน
[email protected]
อัษฎา วรรณกายนต์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบ และ 2) ประเมินความพึงพอใจในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบกำหนดตำแหน่งยานพาหนะแบบอัตโนมัติ ในการติดตามการเดินทางขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ตัวแทนผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ที่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการสมาคมขนส่งภาคอีสาน ครั้งที่ 1/2564-2566) และพนักงานขับรถขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกของห้างหุ้นส่วนจำกัด สยาม เค กรุ๊ป รวมจำนวน 45 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ระบบกำหนดตำแหน่งยานพาหนะแบบอัตโนมัติ และแบบประเมินความพึงพอใจ ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบ โดยได้ดำเนินการถายทอดเทคโนโลยีด้วยการใช้วิธีแบบกลุ่มในการบรรยายให้ความรู้ในทางทฤษฎี และใช้วิธีแบบรายบุคคลในการปฏิบัติการใช้งานระบบ ให้กลุ่มตัวอย่างประเมินความพึงพอใจในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบ จากนั้น นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย 1) ผลการถายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบ พบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้รับการถายทอดเทคโนโลยี ได้รับความรู้ในเรื่องระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก และได้ใช้งานระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก สำหรับติดตามการเคลื่อนที่ของรถบรรทุกในการเดินทางขนส่งสินค้า และสำหรับติดตามพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถที่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจในการถายทอดเทคโนโลยีและการใช้งานระบบ พบว่า มีระดับความพึงพอใจในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 โดยด้านสถานที่ระยะเวลาในการดำเนินการ และด้านความรู้ความเข้าใจ พบว่า มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.42</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270111
การถ่ายทอดเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกปลาทูกรอบสมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานราก หลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG
2024-01-03T09:14:39+07:00
ณัฐกานต์ พวงไพบูลย์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG 2) เพื่อศึกษาแนวทางการผลิตน้ำพริกปลาทูกรอบสมุนไพรตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (GMP) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนชาวบ้าน กลุ่มแม่บ้าน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยดำเนินการรวบรวมข้อมูลจากการระดมความคิดเห็น การสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อนำปัญหาและอุปสรรค์ในการดำเนินงานเพื่อเป็นแนวทางในการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมทั้งประเมินกระบวนการผลิตน้ำพริกปลาทูกรอบสมุนไพรตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (GMP) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนมีความประสงค์ที่ต้องการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตภัณฑ์ และเลือกเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ โดยปรับปรุงสูตรที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า และเมื่อประเมินกระบวนการผลิตตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (GMP) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แล้วพบว่า คะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 99 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.50 โดยมีข้อที่ต้องปรับปรุงคือ 2) เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ผลิต การทำความสะอาด และการบำรุงรักษา จากการประเมินนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการเพื่อขอรับการประเมินตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารและยาต่อไป</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270112
การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยระบบคลังหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
2024-01-03T09:19:03+07:00
ณัฐพล ดำรงเชื้อ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ ตลอดชีวิตด้วยระบบคลังหน่วยกิต 2) เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินการในระบบคลังหน่วยกิต ของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ และ 3) เพื่อกำหนดรูปแบบการดำเนินงานในระบบคลังหน่วยกิต ที่ควรจะเป็นและสอดคล้องกับบริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ เป็นการการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) โดยการสำรวจรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต การดำเนินระบบ คลังหน่วยกิต การเทียบโอนหน่วยกิตและผลการเรียน และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมาวิเคราะห์และนำเสนอโดยวิธีพรรณนา (Descriptive Method) </p> <p> จากการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">แนวทางการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยระบบคลังหน่วยกิตได้มีการกำหนดนโยบายไว้ในยุทธศาสตร์ระดับต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Action Plan) มหาวิทยาลัยราชภัฏ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) นอกจากนี้ยังได้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานระบบคลังหน่วยกิต ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการมาตรฐาน การอุดมศึกษา เรื่อง แนวทางการดำเนินงานระบบคลังหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2565 ประกาศคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเทียบโอนหน่วยกิตและผลการศึกษาในระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2565 </li> <li class="show">รูปแบบการดำเนินการในระบบคลังหน่วยกิตของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ มี 3 รูปแบบ ได้แก่ การเรียนแบบสะสมหน่วยกิตล่วงหน้า (Pre-degree) การเรียนแบบ Non-Degree และการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระบบเทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากการฝึกอบรม ประสบการณ์ของบุคคล ตลอดจนการเรียนหลักสูตรระยะสั้น สำหรับหลักสูตรที่เปิดดำเนินงาน มีอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ รายวิชาหรือชุดวิชาในหลักสูตรปกติที่เปิดสอนอยู่แล้ว หลักสูตรฝึกอบรม และหลักสูตรระยะสั้น</li> <li class="show">รูปแบบการดำเนินงานในระบบคลังหน่วยกิตที่ควรจะเป็นและสอดคล้องกับบริบทของหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ได้แก่ การเรียนแบบสะสมหน่วยกิต ล่วงหน้า (Pre-degree) การเรียนแบบ Non-Degree และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในระบบเทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากการฝึกอบรม ประสบการณ์ของบุคคล โดยหลักสูตรปกติที่เปิดสอนอยู่แล้วที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของสภาวิชาชีพสามารถนำมาดำเนินการในระบบคลังหน่วยกิตได้ทุกรายวิชาส่วนในหลักสูตรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสภาวิชาชีพ ได้แก่ คุรุสภา สภาการพยาบาล สภาการสาธารณสุขชุมชน และสภาวิศวกร สามารถนำมาดำเนินการโดยพิจารณาการเทียบโอนหน่วยกิตและผลการศึกษาตามเงื่อนไขขององค์กรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้อาจดำเนินการในรูปแบบหลักสูตรฝึกอบรม และหลักสูตรระยะสั้น</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270113
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นชุมชนบ้านเสี้ยวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2024-01-03T09:25:40+07:00
เกศสุดา โภคานิตย์
[email protected]
กีฬา หนูยศ
[email protected]
ปาณิสรา หาดขุนทด
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบททางด้านสังคม การเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเพื่อศึกษาการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนบ้านเสี้ยวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โดยใช้ระเบียบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอาชีพทอผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ, นักวิชาการ พระสงฆ์, ปราชญ์ชาวบ้าน, ผู้นำชุมชน, กลุ่มชาวบ้าน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบว่า ผลการศึกษาบริบททางด้านสังคม พบว่า มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น โครงสร้างทางสังคมเป็นแบบแนวราบหรือแนวนอน มีความเคารพซึ่งกันและกันทำให้การดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้านการเมือง พบว่า มีการจัดระเบียบการปกครองตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกระทรวงมหาดไทย จัดให้มีคณะกรรมการหมู่บ้าน (ก.ม.) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ คณะกรรมการบริหารหมู่บ้านโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล และคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านโดยการเลือก และมีการแบ่งโครงสร้าง การปกครองภายในชุมชนออกเป็นกลุ่มหรือเรียกว่า “คุ้ม” เพื่อความสะดวกในการดูแลและกระจายข่าวสารให้กับสมาชิกภายในชุมชนได้อย่างทั่วถึง ด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ พบว่า บุญประเพณีที่ปฏิบัติอยู่ในชุมชนนั้นเป็นเครื่องมือกล่อมเกลาให้คนในชุมชนเกิดความรักความสามัคคีส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมต่างของชุมชน ผลการศึกษาการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน พบว่า เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในชุมชน ได้เชื่อมโยงการพัฒนาการประกอบอาชีพ มีกระบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านกองทุนต่างๆ ภายในชุมชน ผ่านภูมิปัญญาระหัดวิดน้ำ ด้านสังคม พบว่า ชุมชนบ้านเสี้ยวน้อยมีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ด้านการเมือง พบว่า คนในชุมชนให้สำคัญกับการเลือกตั้งทั้งในระดับชุมชน ระดับท้องถิ่น รวมถึงระดับชาติด้วย การไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง เป็นการปลูกฝังให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งที่ถูกต้อง ด้านวัฒนธรรม พบว่า ประเพณีบุญเดือนสิบ หรือประเพณีแห่ผีสุ่ม เป็นเครื่องมือกล่อมเกลาให้คนในชุมชนเกิดความรักความสามัคคีส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมขององค์กรชุมชน ด้านเศรษฐกิจ พบว่า อาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผ้าไหม และผลิตภัณฑ์อื่นจากหม่อนไหม เช่น ชาใบหม่อน ผลหม่อน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโปรตีน และสารสกัดจากหม่อน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270114
บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนกลุ่มเมืองบางปู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1
2024-01-03T09:31:24+07:00
ฐิตินันท์ เมฆศิริวรรณ
[email protected]
ชมแข พงษ์เจริญ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูในโรงเรียนกลุ่มเมืองบางปู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 จาก 6 โรงเรียน จำนวน 181 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องทั้งฉบับ (IOC) เท่ากับ .96 รายข้ออยู่ระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) และการทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ รองลงมาตามลำดับ คือ ด้านนโยบายทิศทางและวิสัยทัศน์ของสถานศึกษา ด้านการเสริมสร้างบรรยากาศการปฏิบัติงานร่วมกันในสถานศึกษา ด้านการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ ด้านการส่งเสริมภาวะผู้นำร่วม และด้านการส่งเสริมและพัฒนาครู บุคลากร 2) ครูที่มีเพศ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01และ.05 เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา และขนาดโรงเรียนมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270118
การพัฒนารูปแบบการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ“ผลการออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้าที่มีต่อการทรงตัวและการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ”
2024-01-03T09:58:18+07:00
กวิน บุญประโคน
[email protected]
อาทิตย์ ปัญญาคำ
[email protected]
พลากร มะโนรัตน์
[email protected]
ยรรยงค์ พานเพ็ง
[email protected]
มนัสวี บุรานศรี
[email protected]
<p> การวิจัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้าที่มีต่อการทรงตัวและการเคลื่อนไหวในผู้สูงอายุ ประชากร คือ ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลโนนสะอาด อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู ที่มีอายุระหว่าง 60-79 ปี ในเขตพื้นที่ จำนวน 60 คน ทำการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ประกอบด้วย สัดส่วนร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความอ่อนตัว ทดสอบการทรงตัวและทดสอบความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิต แล้วทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย จำนวน 40 คน โดยกลุ่มตัวอย่างทำการออกกำลังกายด้วยผ้า ทำการฝึก 2 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สถิติที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของสมรรถภาพทางกาย ทำการเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลองโดยใช้ matched pair t-test ที่ระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าก่อนการเข้าร่วมโครงการและภายหลังการเข้าร่วมโครงการ 8 สัปดาห์ มีความแตกต่างกันของสัดส่วนร่างกาย คือ ค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว สมรรถภาพทางกาย ด้านความอ่อนตัวของกล้ามเนื้อ และการทรงตัว (TUGT) วินาที พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ไม่พบความต่างกันของสัดส่วนร่างกาย คือ ค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกาย รอบเอว และสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และด้านทรงตัวโดยการทดสอบยืนยกเข่าขึ้น – ลง 2 นาที แสดงให้เห็นว่าผลการออกกำลังกายด้วยผ้าขาวม้าส่งผลต่อความอ่อนตัวและการทรงตัวในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายด้วยผ้าจึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขาและข้อเท้า ยังช่วยในการพัฒนาการทรงตัวในผู้สูงอายุ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270119
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร
2024-01-03T10:04:21+07:00
ปาริฉัตร บุญยิ่ง
[email protected]
สุกัญญา สุดารารัตน์
[email protected]
<p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร และ 2) เปรียบเทียบครูต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคลของครู ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีของ Ash and Persall (2007) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูจากโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 254 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t-test independent และการวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วย LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนสังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี รองลงมาคือ การสื่อสาร การไว้วางใจ การบริหารการเปลี่ยนแปลง การสร้างสัมพันธภาพ การทำงานเป็นทีม การเจรจาต่อรอง การบริหารเวลา การตัดสินใจ และ การบริการ ตามลำดับ</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาครตามในภาพรวม พบว่า ครูที่มีเพศ และระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน สำหรับครูที่มีประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียนมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270122
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1
2024-01-03T10:23:18+07:00
ชมพูนุท เชียงทอง
[email protected]
สุกัญญา สุดารารัตน์
[email protected]
<p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีของ Manz & Sims (2001) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 จำนวน 297 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที t-test independent และการวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วย LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นําเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสนับสนุนให้เกิดภาวะผู้นำตนเองผ่านการทำงานเป็นทีม ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีในแก่บุคลากร ด้านการส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมของภาวะผู้นำด้วยตนเอง ด้านการอำนวยความสะดวกให้บุคลากรมีภาวะผู้นำตนเอง โดยการให้รางวัลและชี้แจงสิ่งที่ผิดพลาด ด้านการส่งเสริมให้บุคลากรเป็นผู้นำด้วยตนเอง และด้านการส่งเสริมเจตคติทางบวก ยกเว้นด้านการส่งเสริมให้บุคลากรตั้งเป้าหมายด้วยตนเองอยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวม พบว่า เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ครูที่อยู่ในโรงเรียนที่มีขนาดโรงเรียนต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270123
ผลการใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง พืชและสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2024-01-03T10:28:30+07:00
วรวิทย์ ธรรมเที่ยง
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง พืชและสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 25 คน โรงเรียนบ้านนาขาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย1) ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – test แบบ dependent Samples</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">ประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่องพืชและสัตว์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 86.56/87.20 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง พืชและสัตว์ โดยใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270125
การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปร่วมกับกิจกรรมเรียนปนเล่นกับการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบบูรณาการของนักเรียนระดับชั้นปฐมวัย
2024-01-03T10:34:02+07:00
จันทรามาศ วงค์สุวรรณ
[email protected]
เก็ตถวา บุญปราการ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ร่วมกับกิจกรรมเรียนปนเล่นกับการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบบูรณาการ ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบ pre-test post-test โดยกลุ่มตัวอย่างวิจัยแบบ 2 กลุ่ม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านหน้าควนลัง (ราษฎร์สามัคคี) อำเภอหาดใหญ่ ทำการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม ได้แก่ นักเรียนชั้นนักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 และนักเรียนชั้นอนุบาล 3/2 จำนวน 2 ห้องเรียน 71 คน และทำการสุ่มอย่างง่ายโดยจับฉลากเพื่อกำหนดวิธีการสอนให้กับกลุ่มทดลอง ได้แก่นักเรียนชั้นนักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 การจัดประสบการณ์การ เรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปร่วมกับกิจกรรมเรียนปนเล่น และกลุ่มควบคุมนักเรียนชั้นอนุบาล 3/2 การจัดประสบการณ์การแบบบูรณการ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แผนการจัดประสบการณ์ แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบที independent samples t-test ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปร่วมกับกิจกรรมเรียนปนเล่นสูงกว่าการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบบูรณาการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270127
คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพและปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ จังหวัดชัยภูมิ
2024-01-03T10:38:09+07:00
อณัญญา ลาลุน
[email protected]
<p> การวิจัยเชิงพรรณานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพ พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มและปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ ตำบลนาเสียว จังหวัดชัยภูมิจำนวน 89 คน ได้จากการเลือกตัวอย่างแบบสะดวกเครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมี ส่วน 1) ข้อมูลทั่วไป 2) คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพ 3)ความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม 4) พฤติกรรมป้องกันการพลัดตกหกล้ม แบบสอบถามส่วนที่ 2-4 หาค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ0.83 มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงเท่ากับ 0.76,0.86 และ0.82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์การถดถอยพหุ ผลการวิจัยพบว่าคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพของผู้สูงอายุพบว่ามีค่าเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 2.56 (S.D.=0.50) พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุพบว่าโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=2.94,S.D.=0.30) และปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการพลัดตกหกล้ม ได้แก่ คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพด้านสังคมและเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม โดยร่วมกันพยากรณ์พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุได้ร้อยละ 39.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270128
การศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 10
2024-01-03T10:55:39+07:00
อติพร สายแวว
[email protected]
ชวนคิด มะเสนะ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล ของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 10 2) เปรียบเทียบระดับประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล ของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 10 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) ศึกษาแนวทางในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่10 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 214 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan กลุ่มเป้าหมายเชิงคุณภาพในการสัมภาษณ์ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู รวมทั้งสิ้น 6 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .95 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล ของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 10 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>2)การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครูศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายที่ 10 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน พบว่าโดยรวมไม่แตกต่างกัน 3)แนวทางในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล ของศูนย์การศึกษาพิเศษในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 10 ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ 3.1) ด้านการวางแผนบุคคล ผู้บริหารควรดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยมีการวางแผน คาดการณ์ความต้องการ เพื่อให้ได้บุคคลที่มีประสิทธิภาพ เข้ามาปฏิบัติงานให้บรรลุตามเป้าหมายของสถานศึกษา3.2) ด้านการสรรหาบุคคล ผู้บริหารควรดำเนินการตามกระบวนการในการค้นหาและคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเข้ามาปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงคุณภาพ ความคุ้มค่า และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อสถานศึกษา3.3) ด้านการพัฒนาบุคคล ผู้บริหารควรมีการส่งเสริม สนับสนุน ให้บุคลากรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรได้พัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน เพื่อนำมาปรับใช้กับงานให้มีประสิทธิภาพ 3.4) ด้านการธำรงรักษาบุคคล ผู้บริหารควรส่งเสริมให้บุคลากรมีความรักศรัทธาในงานที่ทำ สร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากรปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ มาตรฐาน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสถานศึกษา</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270129
การประเมินโครงการต้นกล้านิติศาสตร์ รัฐศาสตร์เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโรงเรียนศรียาภัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สุราษฎร์ธานี ชุมพร
2024-01-03T11:06:06+07:00
อภิชาติ ศรีทองสม
[email protected]
เบญจพร ชนะกุล
[email protected]
นพรัตน์ ชัยเรือง
[email protected]
อโนทัย ประสาน
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปฏิกิริยา ประเมินความรู้ ประเมินพฤติกรรม และประเมินผลลัพธ์ โครงการต้นกล้านิติศาสตร์ รัฐศาสตร์เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนศรียาภัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ที่เรียนวิชาการเมืองการปกครองไทย วิชากฎหมายอาญา และนักเรียนชุมนุมต้นกล้านิติศาสตร์รัฐศาสตร์ จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า1. การประเมินปฏิกิริยาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ วิทยากรมีความสามารถในการถ่ายทอดเนื้อหาได้ครบถ้วน รองลงมา ประโยชน์จากการเข้าฝึกอบรม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ เอกสารที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมตรงกับเนื้อหา </p> <ol start="2"> <li class="show">การประเมินความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังเรียนของผู้เข้าอบรมโครงการ พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">การประเมินพฤติกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์รายวิชากฎหมายและวิชาการเมืองการปกครองดีขึ้น รองลงมา นักเรียนมีแนวคิดที่จะเรียนต่อเกี่ยวกับกฎหมายและการเมืองการปกครองในระดับที่สูงขึ้น และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การรวมกลุ่มกับเพื่อนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น</li> </ol> <p>4. การประเมินผลลัพธ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ นักเรียนมีความเคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น รองลงมา นักเรียนมีความสนใจในการเข้าร่วมแข่งขันทางวิชาการด้านกฎหมายและการเมืองการปกครอง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ นักเรียนเห็นคุณค่าของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270141
การประเมินโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครูมืออาชีพโรงเรียนศรียาภัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร
2024-01-03T15:52:08+07:00
สุชาดา คุ้มครอง
[email protected]
เบญจพร ชนะกุล
[email protected]
นพรัตน์ ชัยเรือง
[email protected]
อโนทัย ประสาน
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปฏิกิริยา ประเมินความรู้ ประเมินพฤติกรรม และประเมินผลลัพธ์ การประเมินโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครูมืออาชีพโรงเรียนศรียาภัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูที่เข้าฝึกอบรมโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครูมืออาชีพโรงเรียนศรียาภัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 และผู้บริหารโรงเรียนศรียาภัยรวมทั้งสิ้น 143 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การประเมินปฏิกิริยาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือวิทยากรเรียงลำดับบรรยายเนื้อหาได้ครบถ้วน รองลงมา ประโยชน์ที่ได้จากการฝึกอบรม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ เอกสารที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมตรงกับเนื้อหา 2) การประเมินความรู้ความเข้าใจก่อนและหลังเรียนของผู้เข้าอบรมโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครูมืออาชีพโรงเรียนศรียาภัย พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การประเมินพฤติกรรม ในการทำแผนการจัดการเรียนรู้ ครูได้มีการเตรียมตัวในการจัดเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการในรายวิชาที่ตนเองได้รับผิดชอบ ขั้นการจัดการเรียนการสอนของครูเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกขั้นตอน ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหารายวิชามากขึ้น 4) การประเมินผลลัพธ์จากผู้บริหารโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือครูสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปพัฒนารายวิชาที่ตนเองสอนให้มีประสิทธิภาพ ครูถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนด้วยความเต็มใจ ครูยอมรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียนที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน รองลงมา ครูให้ความสนใจและเอาใจใส่นักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ครูนำการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการของนักเรียนไปต่อยอดในการนำเสนอผลงานเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ การประเมินผลลัพธ์จากนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ นักเรียนมีความใส่ใจในการเรียนทุกรายวิชา รองลงมาคือ นักเรียนได้รับความรู้จากการจัดการสอนแบบบูรณาการ สื่อที่ครูนำมาใช้มีความทันสมัยและน่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดการประเมินผลลัพธ์จากครูโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ครูสามารถให้คำปรึกษาและอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมในเรื่องที่นักเรียนไม่เข้าใจได้ รองลงมา ครูสามารถถ่ายทอดเนื้อหารายวิชาให้แก่นักเรียนได้ถูกต้องและชัดเจน และครูสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการแก่เพื่อนครูด้วยกัน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270147
การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง
2024-01-03T19:14:42+07:00
จุไรรัตน์ อินแพง
[email protected]
กนกกร ศิริสุข
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง 2) เปรียบเทียบการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตาม ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) รวบรวมข้อเสนอแนะการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนเอกชนระดับขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง จำนวน 234 คน จาก โรงเรียน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามสัดส่วนขนาดสถานศึกษา และสุ่มครูอย่างง่ายโดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.978 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบหาค่าความแตกต่างแบบ t-test และ F-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดและระดับมาก 2) ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุงที่มีระดับการศึกษา ประสบการณ์ และขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน ไม่แตกต่างกัน โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดพัทลุง มีทั้งหมด 7 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการทำคู่มือกำหนดมาตรฐานการศึกษา และตัวชี้วัด 2) ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรจัดทำแผนตามปีงบประมาณและแบ่งเป็นแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว 3) ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรจัดทำคำสั่งให้บุคลากรในฝ่ายแผนร่วมกันรับผิดชอบ และจัดทำแผนพัฒนาประจำปีสู่การปฏิบัติตามปฏิทินการปฏิบัติงาน 4) ด้านการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 5) ด้านการติดตามผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ควรกำหนดให้ผู้บริหารโรงเรียนและหัวหน้าฝ่ายงานเป็นผู้ประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษาตามปฏิทินที่กำหนดไว้ในแผน 6) ด้านการรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษา ควรจัดทำรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายในโดยใช้รูปแบบตามหน่วยงานต้นสังกัดกำหนดให้ 7) ด้านการนำผลการประเมินคุณภาพไปใช้ของสถานศึกษา ควรจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในปีต่อไป และเผยแพร่ต่อสาธารณะชนต่อไป</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270148
การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกพัฒนาการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2024-01-03T19:23:36+07:00
นวรัตน์ สังข์สร
[email protected]
ประภาศ ปานเจี้ยง
[email protected]
เก็ตถวา บุญปราการ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด และเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนในเครือข่ายสถานศึกษาสี่เมืองสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้องเรียน ซึ่งมีจำนวน 50 คน คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดม่วงค่อม จำนวน 25 คน และโรงเรียนวัดควนลัง (มิตรภาพที่ 11) จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะ เรื่อง การเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน (Pretest - Posttest) เรื่อง การเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนัก เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด การวิเคราะห์ข้อมูล ทำได้โดยการวิเคราะห์หา ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ และสถิติทดสอบที (t-test for dependent sample)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะ เรื่อง การเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด มีประสิทธิิภาพ (E1/E2) 84.00/86.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกดสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3) ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ตอชุดการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกดอยูในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270149
ปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนบ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-03T19:31:31+07:00
เหลี่ยมเพ็ด สุวันนะผ่องใส
[email protected]
สุรพล ซาเสน
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของคณะกรรมการบริหาร และสมาชิกภายในกองทุนหมู่บ้านเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน จำแนกตามปัจจัยพื้นฐานที่ต่างกัน 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะปัจจัยที่มีผลต่อ การออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเซ แขวงจำปาสัก สปป. ลาว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกภายในกองทุนหมู่บ้าน บ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเช แขวงจำปาสัก สปป. ลาว จำนวน 169 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 27 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยการหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างโดยใช้สถิติค่าที และค่าเอฟ ทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ Scheffe</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเซ แขวงจำปาสัก สปป. ลาว ตามความคิดเห็นของสมาชิกกองหมู่บ้าน โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li class="show">การเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเซ แขวงจำปาสัก สปป. ลาว ตามความคิดเห็นของสมาชิกกองหมู่บ้าน จำแนกตาม เพศ อายุ รายได้รวมของครอบครัวต่อเดือน ระดับการศึกษาโดยภาพร่วม และรายด้านไม่แตกต่างกัน และอาชีพ โดยรวมมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านผลตอบแทน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการออมของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบ้านพัฒนาดอนเขาะ นครปากเซ แขวงจำปาสัก สปป. ลาว ตามความคิดเห็นของสมาชิกกองหมู่บ้าน 1. ด้านผลตอบแทน สถาบันการเงินอาจลองปรับเปลี่ยนนโยบายการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยเพื่อสร้างแรงจูงใจของระยะเวลาการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ที่สนใจจะออมเงินหรือลงทุน 2. )ด้านสภาพคล่อง สถาบันการเงินควรชี้แจง และทําความเข้าใจเรื่องสภาพคล่องของการส่งมอบเงินสดที่มีระยะเวลาตามที่ตลาดหลักทรัพย์ ได้กําหนดให้แก่ผู้ที่สนใจจะซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าวด้วย 3. ด้านการประชาสัมพันธ์ ควรหามาตรการส่งเสริมต่าง ๆ ออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจในการออมของประชากร กลุ่มนี้ให้มากขึ้น ในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจและสังคมต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน อาจมีเหตุการณ์คาดไม่ถึง เช่น อุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วยจะเกิดกับตนเอง และครอบครัว 4. ด้านการบริการ ควรจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้คอยให้คําแนะนําช่วยเหลือ และอํานวยความสะดวกเเก่สมาชิกในการมาขอใช้บริการ 5. ด้านการตัดสินใจ ควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นถึงความสําคัญของวัตถุประสงค์ในการออมเงิน เช่น ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน ควรเพิ่มช่องทางในการรณรงค์ให้ประชาชนรู้จัก เช่น บิดามารดาแนะนําบุตรหรือบุตรแนะนําบิดามารดา และภรรยาแนะนําสามี เป็นต้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจออมของประชาชน</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270150
การพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมของประชาชนบ้านดงบากใหม่หินคำ เมืองสะหนามไช แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตย
2024-01-03T19:38:36+07:00
แสงพะจัน พิมพงพาสะหวัด
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
ประสิทธิ์ กุลบุญญา
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทของชุมชน และการพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมของประชาชนบ้านดงบากใหม่หินคำ เมืองสะหนามไช แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีเจาะจงเลือกผู้ที่สามารถให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ กลุ่มผู้นำชุมชน นายบ้าน องค์การจัดตั้ง กลุ่มชาวหนุ่ม สมาพันแม่บ้าน เมืองสะหนามไช จำนวน 7 คน และประชาชนที่อาศัย อยู่ในบ้านดงบากใหม่หินคำ เมืองสะหนามไช จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> พบว่า</p> <ol> <li class="show">บริบทชุมชนบ้านดงบากใหม่หินคำ อาชีพหลัก คือ การกะสิกรรม อาชีพรอง คือ การเลี้ยงสัตว์ มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น มีผู้นำที่เป็นทางการ ได้แก่ นายบ้าน รองนายบ้าน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของทางการในการปกครองดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แนวโฮมบ้าน ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่นายบ้านและคณะอำนาจการปกครองจัดตั้งพื้นฐานซึ่งเป็นคณะกรรมการของหมู่บ้าน คณะชาวหนุ่มเป็นกองกำลัง ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบของหมู่บ้าน สหพันธ์แม่หญิงดูแลเกี่ยวกับครอบครัวและเด็กด้านความเป็นอยู่และการส่งเสริมอาชีพ ส่วนผู้นำตามธรรมชาติ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ของหมู่บ้าน ได้แก่ ปู่อาจารย์ หมอยาพื้นเมือง ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน และพระภิกษุ</li> <li class="show">การพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมของประชาชนบ้านดงบากใหม่หินคำ เมืองสะหนามไช แขวงอัตตะปือ ประชาชนควรเข้าร่วมติดตามดำเนินการในกิจกรรมต่างๆร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น โดยการร่วมสำรวจข้อมูลเพื่อค้นหาปัญหาในการพัฒนาหมู่บ้านปัญหาที่ประชาชนเสนอเป็นการกระตุ้นให้ภาครัฐ ภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติเพื่อปรับปรุงแก้ไข การสนับสนุนการรวมกลุ่มทำกิจกรรมโดยมีการระดมทรัพยากร ได้แก่ เงิน คน ทรัพยากรธรรมชาติ วัสดุอุปกรณ์ ที่มีอยู่ภายในหมู่บ้าน รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านและความรู้ใหม่จากผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างการพัฒนา ร่วมจัดลำดับความสำคัญของปัญหาตามความเร่งด่วนในการพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง และภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้ รับฟังผลการดำเนินงานและเสนอแนะ ซึ่งภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ซึ่งมีเพียงบางประเด็นที่ผู้วิจัยรวบรวมและได้นำเสนอไว้ เพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อความมั่นคง ยั่งยืน ต่อไป</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270151
สถาพการดำเนินงานและแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิทยาลัยเทคนิควิชาชีพจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-03T19:45:01+07:00
โสวันดี สก
[email protected]
กุลวดี ละม้ายจีน
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยชุมชนบึงฌูก หมูบ้านบันทายศรี ตำบลขนาสันดาย อำเภอบันทายศรี จังหวัดเสียมเรียบ (2) เพื่อได้แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบึงฌูก หมูบ้านบันทายศรี ตำบลขนาสันดาย อำเภอบันทายศรี จังหวัดเสียมเรียบ ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ประกอบด้วย กลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มคณะกรรมการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และปราชญ์ชาวบ้าน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มีวิธีการเก็บข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการสัมภาษณ์แบบสนทนากลุ่ม โดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการวิเคราะห์เชิงพรรณนาผลการศึกษาวิจัย ผบว่า แนวทางการพัฒนาพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบึงฌูก หมูบ้านบันทายศรี ตำบลขนาสันดาย อำเภอบันทายศรี จังหวัดเสียมเรียบ มี 7 แนวทาง คือ 1) พัฒนาศักยภาพของพื้นที่ และสิ่งดึงดูดใจในชุมชนบึงฌูกให้มีความน่าสนใจมากขึ้น 2) พัฒนาด้านการจัดการ และการมีส่วนร่วมภายในชุมชนบึงฌูกให้ดีขึ้น 3) พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนให้มีมาตรฐาน พร้อมที่จะบริการให้กับนักท่องเที่ยว 4) พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวในชุมชนบึงฌูก ที่สามารถดึงศักยภาพของชุมชนทั้งวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติมาประยุกต์ให้มีความน่าสนใจ 5) พัฒนาศักยภาพของคนในชุมชน เพื่อยกระดับการบริการ 6) กำหนดเป้าหมายและแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน และช่องทางติดต่อชุมชน ที่สามารถช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงชุมชนได้สะดวกมากขึ้น 7) พัฒนาให้มีที่พักของชุมชนสำหรับบริการให้กับนักท่องเที่ยว</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270152
การจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-03T19:51:16+07:00
ไชยะสัก สีปะเสิด
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาการจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเพื่อศึกษาแนวทางการจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เครื่องมือวิจัยแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ตัวอย่าง จำนวน 254 คน และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 16 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p><strong> </strong>การจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดตามลำดับคือ ด้านทัศนคติมีการนำความรู้ที่ได้มาใช้ในการพัฒนางานและปรับปรุงงานให้ดีขึ้น ด้านความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานมีการสภาพแวดล้อมและบรรยากาศทั่วไปในที่ทำงาน ด้านสวัสดิการและสิ่งจูงใจได้รับสวัสดิการที่โรงงานจัดให้อย่างเหมาะสมและพึงพอใจ ด้านหน้าที่ความรับผิดชอบมีความพึงพอใจที่ได้ทำงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถและความถนัดของตนเอง ด้านพฤติกรรมส่วนบุคคลผู้ปฏิบัติงานและเพื่อนร่วมงานมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน และด้านนโยบายและกฎระเบียบ มีนโยบายส่งเสริมการเสริมสร้างสุขภาพบุคลากรในโรงงานอย่างชัดเจน</p> <p> แนวทางการจัดการสุขภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่า ต้องมีการวางแผนการดำเนินงานมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนทม มีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ นโยบาย ยุทธศาสตร์ โดยความร่วมมือทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพของบุคลากรมีการตรวจสุขภาพประจำปี กำหนดมาตรการพัฒนาบุคลากรด้านความรู้เชิงปฏิบัติการ ด้านการจัดการสุขภาพ สร้างความร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรมให้มากขึ้น สภาพแวดล้อมในการทำงานต้องได้รับการปรับปรุงให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดี เสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบุคลากร ส่งเสริมให้บุคลากรมีสติ และสมาธิในการทำงานรู้รับผิดชอบในหน้าที่ตนเองเพื่อนำความสุขสู่องค์กร</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270153
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล มหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-03T19:58:11+07:00
จันทะลิด คำวงสี
[email protected]
สุรพล ซาเสน
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สปป. ลาว 2.. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ปกครองเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร จำแนกตามปัจจัยพื้นฐานที่ต่างกัน 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สปป. ลาว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นอนุบาล จำนวน 240 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 50 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปโดยการหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างโดยใช้สถิติ t (t-test) และ F (F-test) ทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ Scheffe</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สปป. ลาว โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li class="show">การเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สปป. ลาว จำแนกตาม เพศ อายุ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อาชีพ และท่านมีภาระ ที่ต้องส่งบุตรหลานเข้าเรียน โดยภาพรวม และรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตาม ระดับการศึกษา และท่านเกี่ยวข้องกับนักเรียนในฐานะ โดยรวมมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการบริการและงานสัมพันธ์ชุมชน และด้านชื่อเสียงของโรงเรียน แตกต่างกัน</li> <li class="show">ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลมหาเพชร บ้านดอนตลาด เมืองจำปาสัก แขวงจำปาสัก สปป. ลาว ตามความคิดเห็นของผู้ปกครอง 1. ด้านการจัด การเรียนการสอน โรงเรียนควรจัดประสบการณ์ และส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย 2. ด้านบทบาทของครู ครูควรกํากับติดตาม ดูแลนักเรียนในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม และมีการประเมินพัฒนานักเรียนเป็นรายบุคคลโดยพร้อมที่จะให้คําปรึกษา และช่วยเหลืออยู่เสมอ 3. ด้านชื่อเสียงของโรงเรียน โรงเรียนควรส่งเสริมความสามารถพิเศษของนักเรียนที่หลากหลาย และควรประชาสัมพันธ์โรงเรียนเมื่อทางโรงเรียนได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ปกครองเห็นถึงความสําคัญของรางวัลที่ทางโรงเรียนได้รับซึ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงของ โรงเรียนอีกทางหนึ่ง 4. ด้านอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม โรงเรียนควรการจัดสถานที่และสภาพแวดล้อมหน้าโรงเรียนให้สะดวกปลอดภัย 5. ด้านการบริการและงานสัมพันธ์ชุมชน โรงเรียนควรจัดทําระบบเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในการให้บริการในการติดต่อประสานงานระหว่างผู้ปกครองกับชุมชน</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270154
แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือบ้านนวลละออ ตำบลละเอาะ อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-04T12:30:53+07:00
รตินุช บุญชาลี
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p>การศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือบ้านนวลละออ ตำบลละเอาะ อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ เป็นการศึกษาบริบทและความเป็นมาของผ้าไหมทอมือบ้านนวลละออ และแนวทางการอนุรักษ์ ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือบ้านนวลละออ โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาจากเอกสาร การศึกษาภาคสนาม การสังเกต และการสัมภาษณ์ ประธานกลุ่มทอผ้าไหม สมาชิกกลุ่มทอผ้าไหมบ้านนวลละออ ผู้นำชุมชน บุคลากรสถานศึกษาในพื้นที่ และเยาวชน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>มี 5 แนวทาง ในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือบ้านนวลละออ ได้แก่ การส่งเสริมปราชญ์ชาวบ้านให้เป็นผู้นำในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือ การสืบทอดภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือไปสู่คนรุ่นต่อไป การปลุกจิตสำนึกของคนในชุมชนให้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นการส่งเสริมกิจกรรม การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าไหมทอมือของบ้านนวลละออ และการจัดการความรู้และการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาให้ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือดำรงอยู่ ซึ่งการศึกษานี้ค้นพบว่าการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไหมทอมือ บ้านนวลละออ ตำบลละเอาะ อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ มีส่วนช่วยในการพัฒนาชุมชนบ้านนวลละออ ให้มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านสังคม ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน และถือเป็นการสืบสาน อนุรักษ์ภูมิปัญญาและแสดงถึงความภาคภูมิใจของคนในชุมชน ปลุกจิตสำนึกเยาวชนในพื้นที่ให้มีการรักและหวงแหน เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเอง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270206
บทบาทของผู้นำชุมชนในการขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ “อยู่เย็น เป็นสุข” บ้านโนนศรีทอง หมู่ที่ 11 ตำบลสิ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-05T17:02:41+07:00
วันทนีย์ ไพรเพชรธร
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบท ความเป็นมา รวมถึงบทบาทของผู้นำชุมชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ“อยู่เย็น เป็นสุข”บ้านโนนศรีทอง หมู่ 11 ตำบลสิ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยการเก็บข้อมูลภาคสนาม ด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสนทนากลุ่มย่อย และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ซึ่งมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย ผู้นำชุมชนที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ หัวหน้าครัวเรือนพัฒนา 30 ครัวเรือน และเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอขุนหาญ ผลการวิจัยพบว่า สิ่งที่ผู้นำชุมชนที่เป็นทางการหมู่บ้านโนนศรีทองดำเนินการพัฒนาหมู่บ้านเป็นลำดับแรก คือ การสำรวจทุนชุมชน การจัดทำแผนชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะใช้ในการวางแผนการพัฒนาจะเห็นได้ว่าบ้านโนนศรีทองมีความพร้อมในเรื่องของทุนชุมชนและการจัดทำแผนชุมชน นอกจากนี้ผู้นำต้องมีลักษณะเป็นผู้นำที่หัวไวใจสู้ สามารถนำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชน และบริหารปกครองชุมชนโดยยึดหลักการมีส่วนร่วม มีการจัดเวทีประชาคมหมู่บ้านทุกเดือนเพื่อแจ้งข่าวสารและรับเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวบ้าน ผู้นำชุมชนบ้านโนนศรีทองมีความพร้อมในการดำเนินงานเป็นทีม โดยเปิดโอกาสให้ผู้นำกลุ่ม องค์กร ชาวบ้าน เข้ามามีส่วนร่วมเป็นแกนนำขับเคลื่อนกิจกรรม ซึ่งจากการศึกษาขั้นตอนการดำเนินงานโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านโนนศรีทอง พบว่า ทุกขั้นตอนผู้นำชุมชนจะอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมมาเป็นแนวทางหลักในการพัฒนา โดยจะใช้เวทีประชาคมเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและเรียนรู้ร่วมกัน สำหรับผู้นำชุมชนที่ไม่เป็นทางการ ทุกคนจะมีลักษณะที่คล้ายกัน คือ เป็นคนหัวไวใจสู้ มีจิตเสียสละ คิดแล้วทำทันที ชอบลองผิดลองถูก ชอบเรียนรู้ ซึ่งผู้นำชุมชนที่ไม่เป็นทางการมีบทบาทสำคัญในการการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ในชุมชน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270207
แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักรสานหวายของบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-05T17:17:15+07:00
สุวัน สอนสุลิยะสัก
[email protected]
ธรรมรักษ์ ละอองนวล
[email protected]
ประสิทธิ์ กุลบุญญา
[email protected]
<p> แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานหวายบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานของกลุ่มหัตถกรรมจักสานหวายของบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานหวายของบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณโดยการสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ ตัวอย่าง จำนวน 169 คน ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 17 คน สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานของกลุ่มหัตถกรรมจักสานหวายของบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยภาพรวม มีการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง การจัดการทรัพยากรมนุษย์มีการสรรหาบุคคลที่มีความสามารถมาร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มอาชีพ การจัดการการตลาดมีการดำเนินการสำรวจความต้องการของตลาด การบัญชีการจัดการการเงิน และงบประมาณมีการวางแผนบริหารการจัดการทรัพย์สิน หนี้สิน และสินค้าคงเหลือของกลุ่ม การจัดการการผลิตมีการติดตามผลการปฏิบัติงานของกลุ่มอาชีพ การวางแผนมีการประชุมการวางแผนการผลิตสินค้า แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจักสานหวายของบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คณะกรรมการควรมีการวางแผนการทำงานทั้งด้านการผลิต การตลาด การเงิน ปฏิบัติการควบคุม และประเมินผล การจัดองค์การควรมีการกำหนดโครงสร้างของกลุ่มผู้ผลิตหัตถกรรมจักสานหวาย แต่งตั้งคณะกรรมการแบ่งตามบทบาทหน้าที่ การจัดคนเข้าทำงานควรมีระบบการสรรหา และคัดเลือกสมาชิก การประสานงานควรจะมีการประสานงานกันในเรื่องการตลาด การเงิน การหาช่องทางการจัดจำหน่วย การรายงานผลคณะกรรมการควรมีการรายงานผลการดำเนินงานทุกสิ้นปี ควรมีการควบคุมคุณภาพการผลิตสินค้าในทุกขั้นตอน เพื่อทำให้หัตถกรรมจักสานหวายบ้านแบ่งด่าน เมืองละคอนเพ็ง มีความประณีต สีสันลวดลายสวยงาม โดยให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนสนับสนุน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270208
ทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2
2024-01-05T17:23:47+07:00
ศิริรัตน์ วงศ์คำจันทร์
[email protected]
ชลาภรณ์ สุวรรณสัมฤทธิ์
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูต่อทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงานและขนาดของโรงเรียน 3) เสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 317 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการใช้เทคโนโลยี รองลงมาตามลำดับ คือ ด้านการรู้เท่าทันสื่อ ด้านการนำเสนอ ด้านการเขียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการพูด 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีอายุและขนาดของโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ .01 และ .05 และ 3) แนวทางพัฒนาทักษะการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความสำคัญกับทักษะการสื่อสารเพิ่มขึ้น เข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในการใช้ทักษะการสื่อสารด้านต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนา ปรับใช้ในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270209
การพัฒนารูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียนโรงเรียนคลองสอง(เสวตสมบูรณ์อุปถัมภ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
2024-01-05T17:34:34+07:00
ไพผกา ผิวดำ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศ พร้อมทั้งสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียนโรงเรียนคลองสอง (เสวตสมบูรณ์อุปถัมภ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 และศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียนโรงเรียนคลองสอง (เสวตสมบูรณ์อุปถัมภ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยกำหนดวิธีดำเนินการวิจัยเป็น 4 ระยะ ผลการวิจัย พบว่า 1.องค์ประกอบและแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศ ประกอบด้วย 7 ด้าน ได้แก่ (1)ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร (2)ด้านการบริหารจัดการ (3)ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (4)ด้านคุณภาพบุคลากร (5) ด้านการจัดการเรียนการสอน (6)ด้านคุณภาพ และ (7) ด้านเครือข่ายความร่วมมือ 2. ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียนโรงเรียนคลองสอง (เสวตสมบูรณ์อุปถัมภ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1(EMSPTLC Model) มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก และ 3. ผลการใช้รูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียนฯ พบว่า (1) หลังการใช้รูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียน มีประสิทธิผลกระบวนการบริหารสู่ความเป็นเลิศ และประสิทธิผลการทำงานเป็นทีมของบุคลากร โดยรวมมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ (2) คุณภาพการศึกษาหลังการใช้รูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (3) ความพึงพอของผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อรูปแบบการบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และ (4)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในภาพรวมทั้งโรงเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้สูงกว่าร้อยละ 80</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270211
กระบวนการจัดการเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ "บ้านทีโน๊ะโค๊ะ" หรือ "บ้านแม่อุสุ"ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก
2024-01-05T17:48:18+07:00
เกรียงไกร กันตีมูล
[email protected]
รัตติกาล โสภัคค์ศรีกุล
[email protected]
ชูวิทย์ กมุทธภิไชย
[email protected]
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธ์ปกาเกอะญอ ในภาคเหนือของประเทศไทย 2. เพื่อศึกษากระบวนการจัดการเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านทีโน๊ะโค๊ะหรือบ้านแม่อุสุ ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก3. เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ เพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอในชุมชนบ้านทีโน๊ะโค๊ะ หรือ บ้านแม่อุสุ ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก แหล่งข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้รู้ ผู้อาวุโสในชุมชน ครูโรงเรียนบ้านทีโน๊ะโค๊ะ หรือ บ้านแม่อุสุ นักวิชาการและแกนนำเครือข่ายกะเหรี่ยง ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยการสังเกต การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการสนทนากลุ่ม จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบความสมบูรณ์ วิเคราะห์และนำเสนอโดยการบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทั้งในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยลงไปถึงภาคกลาง การตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยมักจะสร้างบ้านเรือนตามบริเวณหุบเขาที่มีลำธารไหลผ่านเพราะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ให้ความสำคัญการผลิตทางการเกษตรเพื่อการบริโภคและการดำรงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ยังคงรักษาวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ในเรื่องของการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ภาษา การแต่งกายกาย จารีตประเพณี คติความเชื่อที่แฝงอยูในวิถีชีวิตประจำวัน กระบวนการจัดการเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านทีโน๊ะโค๊ะหรือบ้านแม่อุสุ พบว่ามีกระบวนการสร้างข้อตกลงร่วมกันการกำหนดบทบาทหน้าที่ของคนในชุมชนตลอดจนจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนในชุมชนเป็นตัวขับเคลื่อนให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมการจัดรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอในชุมชนบ้านทีโน๊ะโค๊ะหรือบ้านแม่อุสุ พบว่า ปัจจัยภายในของบ้านทีโน๊ะโค๊ะหรือบ้านแม่อุสุ มีผู้รู้ ผู้อาวุโสของชุมชนเป็นกลุ่มบุคคลที่สำคัญในการขับเคลื่อนในการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนส่วนปัจจัยภายนอกมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมการรักษาและอนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีชีวิตแบบ ปกาเกอะญอ อย่างต่อเนื่อง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270213
การจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา: วิ่งเทรล New Normal เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชัยภูมิ
2024-01-05T18:02:38+07:00
อัญชลี ชัยศรี
[email protected]
ทัศไนยวรรณ ดวงมาลา
[email protected]
สุนทร ปัญญะพงษ์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพในการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา : วิ่งเทรล จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก ผู้ประกอบการหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จำนวน 12 คน นักวิชาการ 4 คน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4 คน จากผลวิจัยพบว่า ศักยภาพในการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา : วิ่งเทรล จังหวัดชัยภูมิประกอบด้วย 1) ด้านสิ่งที่ดึงดูดใจ จากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้แก่อุทยานแห่งชาติไทรทอง อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อุทยานแห่งชาติภูแลนคาและอุทยานแห่งชาติตาดโตน 2) ด้านความสะดวกในการเดินทาง นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เดินทางมาร่วมกิจกรรมวิ่งเทรลด้วยรถยนต์ส่วนตัว การคมนาคมขนส่งภายในอุทยานฯ สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกสบาย มีสถานที่จอดรถเพียงพอและปลอดภัย 3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้นักท่องเที่ยว ร้านค้าอยู่ใกล้แหล่งแหล่งท่องเที่ยวและชุมชน ร้านอาหารสำหรับบริการที่หลากหลายและเพียงพอต่อความต้องการ และ4) ด้านการบริการที่พัก ได้แก่ มีจำนวนที่พักที่เพียงพอต่อจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งเทรล มีความหลากหลายด้านราคาและการบริการที่เหมาะสม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270214
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่องการสร้างสรรค์ อารยธรรมโดยวิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2024-01-05T19:12:36+07:00
วีรดา ไวโสภา
[email protected]
ภุชงค์ แพรขาว
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่องการสร้างสรรค์อารยธรรม ก่อนและหลังการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อวิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการสร้างสรรค์อารยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก รูปแบบการวิจัยที่ใช้คือการวิจัยเชิงทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลเลย จำนวน 40 คน โดยใช้วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่องการสร้างสรรค์อารยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 6 แผนการจัดการเรียนรู้ ระยะเวลา 11 ชั่วโมง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และสูตรสถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ T-test แบบ one sample test ผลการวิจัยพบว่า (1)ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน เรื่องการสร้างสรรค์อารธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ โดยรวมของของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน อยู่ในระดับ (X̅= 4.61, S.D =0.61) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด เป็นอันดับ 1 คือ ผู้เรียนทุกคนได้เป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองหรือร่วมกับกลุ่มทุกกิจกรรม (X̅= 4.70, S.D =0.64) </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270218
ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนต่างชาติซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย
2024-01-05T19:21:18+07:00
จตุพร แซ่เตี่ยว
[email protected]
<p> บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาในการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย เริ่มต้นจากวิวัฒนาการ แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศ และประเทศไทยเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยยังคงมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทยอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวีซ่าสำหรับการศึกษา ที่ไม่มีบทบัญญัติให้นักเรียนที่มีวีซ่านักเรียนที่จบการศึกษาในประเทศไทยสามารถยื่นเรื่องขอวีซ่าเพื่อทำงานต่อภายหลังจากจบการศึกษาได้ การขาดบทบัญญัติในการจัดตั้งกองทุนเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสาธารณสุข ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิในด้านการรักษาพยาบาล การการจำกัดสิทธิในการประกอบอาชีพในขณะที่กำลังศึกษา และสิทธิในการจัดตั้งสหภาพนักเรียนนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยไม่ได้รับการคุ้มครองว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนตามสมควร ทั้งยังส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้นักเรียนนักศึกษาต่างชาติยังมีความไม่ไว้วางใจที่จะเลือกมาทำการศึกษาในประเทศไทย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270219
การบริหารงบประมาณของโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
2024-01-05T19:26:34+07:00
ลิยาภรณ์ ศรีประเทศ
[email protected]
ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของครูปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายบริหารงบประมาณ ที่มีต่อการบริหารงบประมาณในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงบประมาณของครูปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายบริหารงบประมาณในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์สอน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูปฏิบัติหน้าที่ในกลุ่มบริหารงานงบประมาณในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำนวนทั้งสิ้น 183 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมีความตรงเชิงเนื้อหา คือค่า IOC อยู่ระหว่าง .67 – 1.00 ค่าความเที่ยงเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD ผลการวิจัย พบว่า 1) ความคิดเห็นของครูปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายบริหารงบประมาณ ที่มีต่อสภาพการบริหารงบประมาณในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด มีจำนวน 2 ด้านที่ค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือ ด้านการรายงานผลการดำเนินงาน และ ด้านการควบคุมภายใน รองลงมา คือ ด้านการจัดทำแผนงบประมาณ ด้านการบริหารพัสดุและสินทรัพย์ ด้านการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ด้านการบริหารการเงิน และ ด้านการบริหารบัญชี มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบพบว่า ครูมีความเห็นต่อการบริหารงบประมาณแตกต่างกัน ที่มีเพศ อายุ และประสบการณ์สอนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 ส่วนขนาดของสถานศึกษาต่างกันครูมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270220
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาโดยวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD และชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-01-05T19:33:38+07:00
เมธินี สุนนท์
[email protected]
ภุชงค์ แพรขาว
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาหลังเรียนกับก่อนเรียนวิชาประวัติศาสตร์เมื่อใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADและชุดกิจกรรม 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADและชุดกิจกรรม กลุ่มตัวอย่างที่ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเลยอนุกูลวิทยา อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนรวม 30 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนจัดการเรียนรู้และชุดกิจกรรมวิชาประวัติศาสตร์เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADและชุดกิจกรรมวิชาประวัติศาสตร์เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADและชุดกิจกรรม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 (2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADและชุดกิจกรรมเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่านักเรียนมีระดับความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅= 4.36, S.D =0.48) </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270237
การทำขวัญนาค คณะหมอขวัญสายลม ศิษย์สุรินทร์ ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี: องค์ประกอบ ขั้นตอน สัญลักษณ์ และการสื่อความหมายในพิธีกรรม
2024-01-06T10:39:16+07:00
สมบัติ สมศรีพลอย
[email protected]
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบ ขั้นตอน สัญลักษณ์ และการสื่อความหมายในพิธีกรรมทำขวัญนาค คณะหมอขวัญสายลม ศิษย์สุรินทร์ ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดพิธีกรรมและสัญลักษณ์กับ การสื่อความหมายวิเคราะห์กลุ่มข้อมูลตัวบทและบริบทการทำขวัญนาคและการสัมภาษณ์ แบบเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า คณะสายลม ศิษย์สุรินทร์ ยังคงสืบทอดองค์ประกอบการทำขวัญนาคแบบโบราณและประยุกต์สร้างสรรค์ให้เข้ากับบริบทเฉพาะถิ่น โดยมีองค์ประกอบพิธีกรรมทำขวัญนาค 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1) วัตถุหรืออุปกรณ์ประกอบพิธีกรรม ได้แก่ โรงพิธี เครื่องอุปโลกน์, เครื่องบูชา, เครื่องใช้ในพิธี ได้แก่ บายศรี ไม้ขนาบบายศรี สายสิญจน์ ขันน้ำมนต์ ใบไม้มงคล มีดหมอ ยอดตองอ่อน ผ้าพันตอง ขันข้าวสาร แว่นเวียนเทียน เทียนขาว แป้งเจิม มะพร้าวอ่อน ไข่ยอดบายศรี และฆ้อง และ เครื่องแสดงเกียรติยศ 2) เจ้าพิธีหรือหมอขวัญ 3) กิริยาอาการบุคคลในพิธี 4) ทำนองและเนื้อร้องในพิธี 5) ระยะเวลาการประกอบพิธี และ 6) การแสดงบทบาทสมมุติและการร่ายรำ ส่วนขั้นตอนการทำขวัญนาคมี 28 ขั้นตอน ขอกล่าวถึงเฉพาะขั้นตอนสำคัญ ดังนี้ การชุมนุมเทวดา การแหล่ขันธ์ 5 การแหล่จุติ-ปฏิสนธิ การแหล่เข้าฝัน การแหล่ทำนายฝัน การแหล่แพ้ท้อง การแหล่ลำดับเดือน หมอตำแยทำคลอด พระคุณพ่อแม่ การเรียกขวัญ การแหล่สอนนาค การเบิกบายศรีและการเวียนเทียน สัญลักษณ์ในพิธีกรรมทำขวัญนาค ประกอบด้วย 1) สัญลักษณ์บุคคล ได้แก่ เจ้านาค หมอขวัญ พ่อนาคและแม่นาค และคณะนางรำ 2) สัญลักษณ์วัตถุ ได้แก่ บายศรี ผ้าคลุมบายศรี ไข่ยอดขวัญ ไม้ขนาบบายศรี สายสิญจน์ เครื่องอุปโลกน์ พานกำนล น้ำมนต์ ใบไม้มงคล ขันข้าวสาร ผ้าพันตอง แว่นเวียนเทียน แป้งเจิม ฆ้อง เทียนไข และมะพร้าวอ่อน 3) สัญลักษณ์พฤติกรรม ประกอบด้วย การนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย การให้เจ้านาคหนุนตักแม่ การเวียนเทียน การเรียกขวัญ การเรียกค่ากำนล การเป่าและปัดควัน การส่งผ้าพันตอง 4) สัญลักษณ์สีขาว 5) สัญลักษณ์ตัวเลข 3 ส่วนการสื่อความหมายของสัญลักษณ์ ประกอบด้วย 1) พื้นที่สัญลักษณ์ของผู้หญิง 2) การผสมผสานสัญลักษณ์ศาสนาพุทธ พราหมณ์ ผี 3) ความกตัญญูและความสามัคคี 4) ปรัชญาทางพุทธศาสนา 5) ความเป็นสิริมงคลและความบริสุทธิ์ และ6) สัญลักษณ์แห่งภาวการณ์ไร้โครงสร้างสัญลักษณ์ พิธีกรรมการทำขวัญนาคคณะสายลม ศิษย์สุรินทร์ มีองค์ประกอบและขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ มีการลดทอนและสร้างสรรค์ขั้นตอนบางขั้นตอน เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและกาลเทศะ แต่ยังคงสัญลักษณ์แทนความหมายต่าง ๆ ในพิธีกรรมตามขนบโบราณไว้ เพื่อสื่อความหมายเชื่อมโยงให้เห็นความคิด ภูมิปัญญา โลกทัศน์ องค์ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมได้เป็นอย่างดี มีบทบาทหน้าที่ทำให้พิธีกรรมดำรงอยู่ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมประชานิยม และมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อขั้นตอนชีวิตกุลบุตรพุทธศาสนิกชนในชนบทภาคกลางของไทย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270238
สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษาในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
2024-01-06T10:46:51+07:00
ภัทรพร จันทร์เปรม
[email protected]
ศักดา สถาพรวจนา
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษา ในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และ 2) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษา ในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูของสถานศึกษาในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ จำนวน 313 คน เครื่องมือในการวิจัย คือแบบสอบถาม มีค่าความสอดคล้องรายข้อระหว่าง .60–1.00 และค่าความเที่ยง .94 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified)</sub> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการบริหารสถานศึกษาด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ เรียงด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสูดถึงต่ำสุด คือ ด้านกฎหมาย รองลงมาคือด้านธรรมาภิบาล ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านมนุษยธรรม และ สภาพที่พึงประสงค์ความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษา ในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสูดถึงต่ำสุด คือ ด้านธรรมาภิบาล รองลงมา คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านกฎหมาย ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านมนุษยธรรม และ 2) ความต้องการจำเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษาในเครือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ซึ่งเรียงจากค่าความต้องการจำเป็นจากสูงสุดถึงต่ำสุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อม (PNI<sub>modified</sub>= .232) รองลงมา คือด้านมนุษยธรรม ด้านธรรมาภิบาล ด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย ตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270239
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Coding) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-01-06T10:57:58+07:00
อูบัยดะห์ สุหลง
[email protected]
เพ็ญพักตร นภากุล
[email protected]
ปรีดา เบ็ญคาร
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Coding) 2) เปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงคำนวณระหว่างก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Coding) 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Coding) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวิเชียรชม จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงคำนวณ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าทดสอบ t ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged coding) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged coding) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคล (TAI) ร่วมกับสื่อการเรียนรู้โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged coding) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270240
สมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28
2024-01-06T11:02:14+07:00
พันธุ์ธัช นัทธวัฒน์โภคิน
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270241
การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-06T11:06:19+07:00
พันธุ์ธัช นัทธวัฒน์โภคิน
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ และ 2) เปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ จำแนกตามประเภทของวิทยาลัย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270242
ความพึงพอใจของครูที่มีต่อการบริหารงานบุคคลในถานศึกษาของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4
2024-01-06T11:13:33+07:00
พันธุ์ธัช นัทธวัฒน์โภคิน
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของครูต่อการบริหารงานบุคคล ในสถานศึกษาของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 และ 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของครูต่อการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 จำแนกตามตำแหน่งหน้าที่ ระดับวิชาชีพและขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 จำนวน 327 คน โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.84 – 1.00 และ ค่าความเชื่อมั่นที่ระดับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบอิสระต่อกัน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270243
การประเมินโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ จังหวัดกระบี่
2024-01-06T11:25:02+07:00
จินดา พึ่งหล้า
[email protected]
เบญจพร ชนะกุล
[email protected]
อโนทัย ประสาน
[email protected]
<p> การประเมินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และความพึงพอใจของผู้บริหาร ครู และนักเรียน ที่มีต่อโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ซึ่งการประเมินในครั้งนี้ใช้รูปแบบการประเมินแบบซิปป์ (CIPP Model) กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลในการประเมินโครงการครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้บริหาร ประธานกรรมการสถานศึกษาและครู จำนวน 18 คนเป็นผู้บริหาร จำนวน 3 คน ประธานกรรมการสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน 14 คน 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 136 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 2 แบบประกอบด้วย 1. การประเมินเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม ประเมินด้านบริบท ประเมินด้านปัจจัยนำเข้า ประเมินด้านกระบวนการ และประเมินด้านผลผลิต เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรม SPSS for Windows 2. การประเมินเชิงคุณภาพ โดยใช้ การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ จะเป็นข้อความบรรยาย (Descriptive) ซึ่งได้ จากการสังเกต สัมภาษณ์ และการจดบันทึก ผลการประเมินโครงการ ด้านบริบท พบว่า ผู้บริหาร ประธานกรรมการสถานศึกษาและครู มีความคิดเห็นว่าโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ โดยรวม มีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายทางการศึกษา สภาพปัจจุบันปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นในการดำเนินงาน อยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.55)2 ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ผู้บริหาร ประธานกรรมการสถานศึกษาและครู มีความคิดเห็นว่าโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ 1 โดยรวม มีความเหมาะสม ปัจจัยนำเข้า ที่ใช้ในการดำเนินโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ในด้านงบประมาณ บุคลากร อาคารสถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยรวม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (X̅= 4.01) ด้านกระบวนการ พบว่า ผู้บริหาร ประธานกรรมการสถานศึกษาและครู มีความคิดเห็นว่าโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ 1 โดยรวม มีความเหมาะสม ขั้นตอน กระบวนการในการดำเนินงานผู้บริหารและครู มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.00) ด้านผลผลิต พบว่า 1) ผู้บริหาร ประธานกรรมการสถานศึกษาและครู มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ 1โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.14) 2) นักเรียน มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ 1 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.19).</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270244
การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2024-01-06T11:33:47+07:00
กาญน์ กาญจนมนตรี
[email protected]
ชลพร กองคำ
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 23 คน โรงเรียนซางตา ครู้สคอนแวนท์ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270245
การพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-01-06T11:40:07+07:00
จรินทร์ ทรงพุฒิปัญญา
[email protected]
ชลพร กองคำ
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ <br>2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 24 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบ และ 3) แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t–testผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270248
อิทธิพลของปัจจัยด้านบุคลิกภาพและรูปแบบการเรียนรู้ต่อความพึงพอใจในอาชีพของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
2024-01-06T17:34:02+07:00
มนัสชา เอี่ยมเจริญ
[email protected]
วรางคณา โสมะนันทน์
[email protected]
มฤษฎ์ แก้วจินดา
[email protected]
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านบุคลิกภาพและรูปแบบการเรียนรู้ต่อความพึงพอใจในอาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในอาชีพของบัณฑิต 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านบุคลิกภาพ และรูปแบบการเรียนรู้ในการร่วมกันพยากรณ์ความพึงพอใจในอาชีพของบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างเป็นบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จำนวน 108 คนด้วยวิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบลูกโซ่ เครื่องมือของงานวิจัยคือชุดแบบสำรวจออนไลน์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ 1) แบบสำรวจข้อมูลทั่วไป 2) แบบสำรวจด้านบุคลิกภาพ 3) แบบสำรวจรูปแบบการเรียนรู้ และ 4) แบบสำรวจความพึงพอใจในอาชีพ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยวิธี Stepwise โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ความพึงพอใจในอาชีพโดยเฉลี่ยของบัณฑิตอยู่ในระดับมาก องค์ประกอบที่มีค่าสูงที่สุดคือด้านการเติบโตส่วนบุคคลโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาเป็นองค์ประกอบด้านความรับผิดชอบที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นเดียวกัน 2) จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ตัวแปรอิสระที่เป็นปัจจัยด้านบุคลิกภาพ 5 ตัวแปร และรูปแบบการเรียนรู้ 4 ตัวแปรรวมทั้งหมด 9 ตัวแปร พบว่าตัวแปรอิสระที่ร่วมกันให้ค่าอำนาจการพยากรณ์ความพึงพอใจในอาชีพสูงสุดมีจำนวน 5 ตัวแปรประกอบด้วย ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ 3 ตัวแปรได้แก่ ความใส่ใจรายละเอียด ความยินยอมตามผู้อื่น และความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ตัวแปรด้านรูปแบบการเรียนรู้ประกอบไปด้วย 2 ตัวแปรได้แก่การคิดเชิงนามธรรม และการทดลองปฏิบัติ สามารถร่วมกันพยาการณ์ความพึงพอใจในอาชีพได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยตัวแปรอิสระร่วมกันพยากรณ์ความพึงพอใจในอาชีพได้ร้อยละ 44.34 (R<sup>2</sup><sub>adj</sub> = .4434) ผลสรุปว่าปัจจัยด้านบุคลิกภาพที่มีอิทธิพลต่อการพยากรณ์ความพึงพอใจในอาชีพมากที่สุดคือ ความใส่ใจรายละเอียด และรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งอิทธพลต่อการพยากรณ์ความพึงพอใจในอาชีพมากที่สุดคือ การทดลองปฏิบัติ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270249
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์งานคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนซางตาครู้ส คอนแวนท์
2024-01-06T17:51:50+07:00
ปิยะนนท์ พิมพ์ประสงค์
[email protected]
กาญจนา สุทธิเนียม
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้งานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้งานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนซางตาครู้ส คอนแวนท์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 37 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และการวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์งานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2) ความคิดสร้างสรรค์งานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับดี ร้อยละ 70.27 </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270250
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์งานพิมพ์ภาพ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2024-01-06T18:44:35+07:00
วาสนา พินิจวัฒน์
[email protected]
กาญจนา สุทธิเนียม
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนงานพิมพ์ภาพก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 2) เพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์งานพิมพ์ภาพโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน และสถิติ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนงานพิมพ์ภาพโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ผลงานความคิดสร้างสรรค์งานพิมพ์ภาพโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 79.31</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270251
การประเมินความเสี่ยงและการบริหารความเสี่ยงแผนกจัดซื้อจัดหา กรณีศึกษา บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
2024-01-06T18:51:23+07:00
วรวรรณ ตาวิยะ
[email protected]
ไพโรจน์ เร้าธนชลกุล
[email protected]
<p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อระบุปัจจัยเสี่ยงภายในและภายนอกในส่วนงานของแผนกจัดซื้อหาที่อาจจะเกิดขึ้น และ 2) ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตภายในโรงงาน กรณีศึกษาบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของส่วนงานแผนกจัดหา ผู้วิจัยได้ทำการระดมความคิดและสัมภาษณ์กลุ่มผู้มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 6 ปีขึ้นไป เพื่อหาปัจจัยเสี่ยง</p> <p> ผลจากการระดมความคิดในกระบวนการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดลำดับความเสี่ยง โดยการประเมินจากโอกาสที่จะเกิดผลกระทบและระดับของความเสี่ยงนั้นๆ 1) โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยง 2) ผลกระทบของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยง 3) ระดับของความเสี่ยงที่ได้จากประเมินโอกาสและผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ สูงมาก สูง ปานกลาง และต่ำ จากผลการวิจัย พบว่า มีหัวข้อความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ 8 หัวข้อ หัวข้อที่มีคะแนนความเสี่ยงสูงที่สุดคือ การสั่งซื้องานทดลองเข้ามาประกอบ แต่ซัพ พลายเออร์ไม่สามารถส่งงานได้ตามเวลาที่กำหนด เนื่องจากขอบเขตของงานในส่วนนี้เป็นงานรุ่นใหม่ที่ไม่เคยผลิตมาก่อน และมีปัจจัยด้านเวลาที่จำกัดในการทำงาน ฉะนั้น การตรวจสอบความพร้อมของซัพพลายเออร์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้วิจัยจึงเสนอให้ควรมีการนำระบบเข้ามาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางซัพพลายเออร์</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270252
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาต่อการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2024-01-06T18:59:44+07:00
วิสุทธ์ เวียงสมุทร
[email protected]
กิจชัย สุภาพ
[email protected]
สุนีรัตน์ ศรีโสภา
[email protected]
ไมตรี จเรมี
[email protected]
เพ็ญประภา นรเนตร
[email protected]
พนมพร ช่วงชิง
[email protected]
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาให้มีผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจัดการเรียนการสอนของครู โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 42 ข้อไปเก็บรวบรวมความเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 350 คน ต่อจากนั้นผู้วิจัยนำไปวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคลาดเคลื่อน และสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยผลวิจัยพบว่าแนวทางพัฒนาประกอบด้วย การพัฒนานโยบายและการวางแผน พัฒนาการจัดการระบบเครือข่าย พัฒนาการจัดฝึกอบรม พัฒนาการกำกับติดตามผล และพัฒนาการประเมินผลปฏิบัติงาน โดยที่แนวทางทั้งหมดมีอิทธิพลต่อการพยากรณ์การวางแผนการสอนที่ร้อยละ 47 มีอิทธิพลต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนร้อยละ 65 และมีอิทธิพลต่อการติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนร้อยละ 36</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270253
การสำรวจแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนออนไลน์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการสอนในโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี
2024-01-06T19:07:20+07:00
สุดใจ พันธ์ศรี
[email protected]
สุทธินี รัตนศรี
[email protected]
สมานจิต ภิรมย์รื่น
[email protected]
ดวงเดือน ศิริโท
[email protected]
อภัย สบายใจ
[email protected]
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 29 ข้อไปรวบรวมความเห็นของผู้บริหารและครูจำนวน 242 คนแล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ และมีผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการสอนแบบออนไลน์ ประกอบด้วย 3 แนวทางคือ 1) การพัฒนาตำแหน่งงานไปพร้อมกับการใช้ Facebook จัดการเรียนการสอนสำหรับครู 2) การพัฒนาความถี่ในการใช้สื่อออนไลน์กับการใช้ Google Zoom จัดกิจกรรมการเรียนและการสอน และ 3) การพัฒนาการใช้ Facebook กับ YouTube โดยทั้งสามแนวทางพัฒนาที่กล่าวถึงมีอิทธิพลต่อการทำนายประสิทธิผลการสอนออนไลน์ได้ที่สัมประสิทธิ์ R<sup>2</sup> ที่ค่า .37, .48 และ .32 ตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270254
วิถีการจัดการความกดดันตามปกติใหม่ของประชาชนในเขตภาคอีสานตอนล่าง
2024-01-06T19:12:09+07:00
สิริพร แสนทวีสุข
[email protected]
ภานุมาศ จินารัตน์
[email protected]
<p>การเผชิญหน้าอย่างยากลำบากของการดำรงชีวิตท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 และปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมที่รุมล้อม ส่งผลให้ประชาชนต้องแสวงหาวิถีปกติใหม่สำหรับการดำเนินชีวิตอยู่อีกต่อไปให้ได้ และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาแบบสอบถามขึ้นมาจำนวน 64 ข้อ แล้วนำไปรวบรวมความเห็นของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์จำนวน 400 คนสำหรับนำกลับมาวิเคราะห์ผล โดยผลวิจัยพบว่าประชาชนมีวิถีการจัดการความกดดันตามปกติใหม่อยู่ 2 วิถีคือ การใช้หลักศาสนาและการช่วยเหลือกันเองทั้งที่มีต่อปัญหาและความกดดันที่ได้รับทั้งจากภาระงานกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงนำไปใช้ในการดูแลและป้องกันสุขภาพของตนเองกับคนในครอบครัว ซึ่งทั้งสองวิถีมีสัมประสิทธิ์ในการพยากรณ์ที่ R <sup>2</sup> .15 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้แล้วผลวิจัยยังพบเพิ่มเติมอีกว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกการช่วยเหลือกันเองมาเป็นวิธีการจัดการกับความกดดันนั้นประกอบด้วย 1) การสนทนากับคนในครอบครัวเดียวกัน 2) การทำอาหารรับประทานเอง 3) ความกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทาง 4) ความยุ่งยากในการดูแลสุขภาพ 5) การขาดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อระบบของสังคม กับ 6) การฝึกทักษะการทำงานใหม่ และ 7) ขนาดของความเครียด และทั้ง 7 ปัจจัยมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยเช่นกัน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270255
สภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดอุบลราชธานี
2024-01-06T19:19:42+07:00
ไชยวัฒน์ บุญอุ้ย
[email protected]
ชวนคิด มะเสนะ
[email protected]
พงษ์ธร สิงห์พันธ์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1)เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดอุบลราชธานี (2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดอุบลราชธานี (3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะสภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดอุบลราชธานีมี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการกองการศึกษา/นักวิชาการศึกษา 118 คน ครู 167 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย</p> <p>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .84 สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t และการทดสอบค่า F และการทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีของ Scheffe’สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังต่อไปนี้</p> <p>1. สภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>2. จากการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตามมาตรฐานการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดอุบลราชธานี จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา ขนาดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยรวมไม่แตกต่างกัน</p> <p>3. ข้อเสนอแนะสภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดอุบลราชธานี ดังนี้ 3.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษา ผู้บริหารควรกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง3.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ผู้บริหารควรนิเทศ ติดตาม อย่างใกล้บชิด3.3 ด้านการดำเนินการตามแผนที่กำหนด ผู้บริหารควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 3.4 ด้านการจัดให้มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ผู้บริหารควรมีการตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 3.5 ด้านการติดตามผลการดำเนินการ ผู้บริหารควรกำกับติดตามทุกขั้นตอนและต่อเนื่อง 3.6 ด้านการรายงานผลการประเมินตนเอง ผู้บริหารควรดำเนินการตามขั้นตอนตามห้วงเวลาที่กำหนด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270256
การดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท
2024-01-06T20:20:21+07:00
อรินทร์ศักดิ์ รัตนะวงษ์
[email protected]
อัจฉรา วัฒนาณรงค์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านการศึกษา โดยรวมและรายด้าน 2) เปรียบเทียบการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท โดยรวมและรายด้าน ตามความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำแนกตามบุคลากรมหาวิทยาลัยและผู้นำชุมชน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 208 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li class="show">การดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท โดยรวมพบว่ามีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านเศรษฐกิจ มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านการศึกษา พบว่ามีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">การเปรียบเทียบการดำเนินงานยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท โดยรวมและรายด้าน ตามความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำแนกตามบุคลากรมหาวิทยาลัยและผู้นำชุมชน โดยรวมพบว่า ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการศึกษา แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าไม่แตกต่างกัน</li> </ol>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270257
พฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพของประชาชนในกรุงเทพมหานคร
2024-01-06T20:29:03+07:00
สรรชุดา แย้มเกษร
[email protected]
กิ่งกาญจน์ จงสุขไกล
[email protected]
อุ่นเรือน เล็กน้อย
[email protected]
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพของประชาชนในกรุงเทพมหานครผ่านปัจจัยการรับรู้ตามทฤษฎีของ Gibson ประกอบด้วยปัจจัยด้านความรู้ ประสบการณ์ สติปัญญา และสภาพแวดล้อม จนนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับพลาสติกชีวภาพการและสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันให้ดียิ่งขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบปลายปิดที่ถูกพัฒนาขึ้นตามกรอบแนวคิดทฤษฎีของ Gibson เป็นหลัก และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย (1) Independent t-test (2) One-Way ANOVA (3) Multiple Linear Regression โดยวิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ของปัจจัยการรับรู้และพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพของกลุ่มตัวอย่างประชาชนในกรุงเทพมหานครจำนวน 3 เขต (เขตชั้นใน เขตชั้นกลาง และเขตชั้นนอก) จำนวน 85 คน ที่คำนวณจากโปรแกรม G*Power</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า เพศ อายุ และระดับการศึกษา ที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพที่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติกบางครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 สถานภาพ อาชีพ และจำนวนสมาชิกในที่พักอาศัยแตกต่างกันส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพที่ไม่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติกเลยแตกต่างกัน อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 รายได้ที่แตกต่างกันส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพที่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติกบางครั้งและไม่ก่อให้เกิดเลยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 นอกจากนี้ปัจจัยการรับรู้ตามทฤษฎีของ Gibson ด้านสติปัญญามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้และทิ้งพลาสติกชีวภาพของประชาชนในกรุงเทพมหานครมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270262
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิงที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การให้เหตุผลทางเรขาคณิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 5 เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-01-07T09:59:24+07:00
ณัฐชานันท์ ลิ่มนา
[email protected]
สุรีรัตน์ อารีรักษ์สกุล ก้องโลก
[email protected]
ปุริมปรัชญ์ คณิณพศุตย์
[email protected]
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิง และ (2) เปรียบเทียบความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิงกับนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 80 คน ใน 2 ห้องเรียน ๆ ละ 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัดความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ (2) แบบวัดความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ (3) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิง และ (4) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนตัวแปรพหุนาม ผลการวิจัย พบว่า (1) ความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิง มีความสัมพันธ์ทางบวก มีขนาดความสัมพันธ์ระดับสูงมาก (r = 0.740, p<.05) และมีความสัมพันธ์กันจริงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีความแปรปรวนร่วมกันร้อยละ 54.8 และ (2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การคิดแบบฮิวริสติกส์ร่วมกับเทคนิคพรู้ฟแมปปิงมีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270263
ผลการใช้กิจกรรมเกมการศึกษาที่มีต่อการพัฒนาความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3
2024-01-07T10:06:39+07:00
พรกนก ฟักสกุล
[email protected]
กาญจนา สุทธิเนียม
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้กิจกรรมเกมการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3/3 จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดประสบการณ์ และ 2) แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t–test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้กิจกรรมเกมการศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270264
การพัฒนาความสามารถการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์โดยใช้การสอนตามแนวคิดโพลยา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-01-07T10:12:44+07:00
ชโลทร ยศวราเลิศ
[email protected]
จิตตวิสุทธิ์ วิมุตติปัญญา
[email protected]
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถความสามารถการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์โดยใช้การสอนตามแนวคิดโพลยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้การสอนตามแนวคิดโพลยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 จำนวน 25 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่าง วิธีจับฉลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การสอนตามแนวคิดโพลยา อยู่ในระดับดี ร้อยละ 70 และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้การสอนตามแนวคิดโพลยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270265
รายงานผลการจัดกิจกรรมกระบวนการกลุ่มเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2
2024-01-07T10:20:42+07:00
อุบล ผลจันทน์
[email protected]
ชาลินี มานะยิ่ง
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 โรงเรียนสวนหม่อน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมกระบวนการกลุ่ม</p> <p> การวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองโดยใช้การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi –Experimental Design) ที่มีกลุ่มทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม ในรูปแบบที่เรียกว่า (One Group Pretest Posttest Design) ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างเป็น เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 โรงเรียนสวนหม่อน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมกระบวนการกลุ่มเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 จำนวน 15 แผน 2) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ ค่า t - test การเปรียบเทียบความแตกต่างด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระหว่างคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมกระบวนการกลุ่ม มีคะแนนผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270266
ปัจจัยที่มีผลต่อการแบ่งปันอาหารส่วนเกินในครัวเรือนมุสลิมเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร กรณีศึกษา ชุมชนสวนหลวง 1
2024-01-07T10:27:55+07:00
กิตติณัฐฎา พันธ์โพธิ์
[email protected]
สุวัฒนา ธาดานิติ
[email protected]
อุ่นเรือน เล็กน้อย
[email protected]
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการแบ่งปันอาหารส่วนเกินในครัวเรือนมุสลิมเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร กรณีศึกษา ชุมชนสวนหลวง 1 ประกอบด้วยปัจจัยด้านความรู้ ด้านทัศนคติ ด้านการปฏิบัติ ด้านความเชื่อทางศาสนา และด้านแนวทางการแบ่งปันอาหารส่วนเกินของชุมชน โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บแบบสอบถามปลายปิดจากครัวเรือนมุสลิมในชุมชนสวนหลวง 1 จำนวน 92 ครัวเรือน ที่คำนวณจากโปรแกรม G*Power สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย (1) สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลครัวเรือนและลักษณะทางประชากรศาสตร์ (2) สถิติเชิงอนุมาณ ใช้วิธี Stepwise Simple Linear Regression เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการแบ่งปันอาหารส่วนเกินในครัวเรือนมุสลิม ชุมชนสวนหลวง 1</p> <p>ผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการแบ่งปันอาหารส่วนเกินในครัวเรือนมุสลิมทั้ง 5 ด้าน พบว่า ด้านความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางแก้ไขการเกิดอาหารส่วนเกินและขยะอาหาร กลุ่มตัวอย่างสามารถตอบถูกเกินร้อยละ 70 ในขณะที่ความหมายของอาหารส่วนเกินและผลกระทบของขยะอาหารต่อสิ่งแวดล้อมกลุ่มตัวอย่างสามารถตอบถูกได้ต่ำกว่าร้อยละ 50 ด้านทัศนคติและด้านการปฏิบัติโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านความเชื่อทางศาสนาและด้านแนวทางการแบ่งปันอาหารส่วนเกินของชุมชนอยู่ในระดับมาที่สุด สำหรับการวิเคราะห์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแบ่งปันอาหารส่วนเกิน พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด 2 ด้าน ได้แก่ (1) การเพิ่มปัจจัยด้านแนวทางการแบ่งปันอาหารส่วนเกินของชุมชน เรื่องการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารส่วนเกินและขยะอาหาร (2) การลดปัจจัยด้านทัศนคติ เรื่องการแยกขยะอาหารก่อนทิ้งไม่ช่วยแก้ปัญหาขยะอาหาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย (β) เท่ากับ 2.125 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 ซึ่งสามารถพยากรณ์การแบ่งปันอาหารส่วนเกินของครัวเรือนมุสลิม ได้ร้อยละ 33 (R<sup>2 </sup>= .332)</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270267
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลการบริหารจัดการ สถานศึกษาในยุคดิจิทัลดิสรัปชันของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี
2024-01-07T11:35:19+07:00
วิชาญ เหรียญวิไลรัตน์
[email protected]
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลดิสรัปชัน 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษาในยุคดิจิทัลดิสรัปชัน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษาในยุคดิจิทัลดิสรัปชันของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ การสุ่มตัวอย่างจากผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 แห่ง โดยใช้การตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน ได้ตัวอย่างจำนวน 346 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้ง 6 ด้านของภาวะผู้นำทางวิชาการในยุคดิจิทัลดิสรัปชันของผู้บริหารและครูอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้ง 5 ด้านของประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลดิสรัปชันของผู้บริหารและครูอยู่ในระดับมาก และภาวะผู้นำทางวิชาการกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลดิสรัปชันของโรงเรียนมีความสัมพันธ์กันในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270268
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1
2024-01-07T11:41:59+07:00
ธนาภัสสร์ สนธิรักษ์
[email protected]
สิทธิศักดิ์ พรมสิทธิ์
[email protected]
กันต์ภูษิต วิโรจะ
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การบริหารงาน และขนาดโรงเรียน และ(2) เพื่อนำข้อมูลไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดรูปแบบการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 136 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความต้องการในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทักษะที่มีความต้องการสูงที่สุดคือ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และทักษะที่มีความต้องการต่ำสุดคือ ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ 2) ผลการเปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 ที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน พบว่ามีความต้องการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผลการเปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 ที่มีประสบการณ์บริหารต่างกัน พบว่า มีความต้องการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 4) ผลการเปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 ที่มีขนาดโรงเรียนต่างกัน พบว่า มีความต้องการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 5) รูปแบบความต้องการในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ได้แก่ การจัดอบรมระยะสั้น การจัดทำสื่อเพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง และการจัดศึกษาดูงานต่างประเทศ ตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270269
การสำรวจพฤติกรรมเละแรงจูงใจการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์ COVID19 ของกลุ่ม GEN Y ในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
2024-01-07T11:54:13+07:00
จารุวรรณ กมลสินธุ์
[email protected]
จิรนันท์ กมลสินธุ์
[email protected]
อรวรรณ เกิดจันทร์
[email protected]
<p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่ม GEN Yในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้สถานการณ์โควิด19 2) ศึกษาแรงจูงใจที่ทำให้เกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของกลุ่ม GEN Yในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 และ 3) เปรียบเทียบพฤติกรรมการท่องเที่ยวและแรงจูงใจในการท่องเที่ยวจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ของกลุ่มGEN Y ในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้สถานการณ์โควิด 19</p> <p>วิธีการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ที่มีอายุอยู่ในช่วง 23-40 ปี จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequencies) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และถ้าพบความแตกต่างรายคู่ ซึ่งวิธีการทดสอบรายคู่นั้นจะใช้สูตร (LSD)</p> <p> ผลการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม GEN Y ที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์พบว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 นั้น ส่วนมากเลือกเดินทางไปเขาหน่อ-เขาแก้ว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และเลือกเดินทางไปพาสาน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการเดินทางท่องเที่ยวคือ เพื่อพักผ่อนหรือท่องเที่ยว อีกทั้ง เลือกวิธีการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล ในส่วนรูปแบบลักษณะการเดินทางท่องเที่ยวมีจำนวนสมาชิกที่ร่วมเดินทาง 2-5 คน ทั้งนี้ ผู้ร่วมเดินทางมีลักษณะความสัมพันธ์แบบครอบครัว ตลอดจนมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในแต่ละครั้งตั้งแต่ 1,001-3,000 บาท</p> <p>ผลการศึกษา การเปรียบเทียบลักษณะประชากรศาสตร์ของกลุ่ม GEN Y กับระดับแรงจูงใจของกลุ่ม GEN Y ในการเดินทางท่องเที่ยว ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 ทั้ง 2 ด้าน พบว่า 1) ด้านปัจจัยภายใน (เพศ อายุ สถานภาพ และอาชีพ) ที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อระดับแรงจูงใจ ด้านปัจจัยภายใน ในการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์โควิด 19 ไม่แตกต่างกัน ในขณะที่ (ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน) ที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อระดับแรงจูงใจ ด้านปัจจัยภายใน ในการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์โควิด 19 แตกต่างกัน และ 2) ด้านปัจจัยภายนอก (เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน) ที่จะมีผลต่อระดับแรงจูงใจ ด้านปัจจัยภายใน ในการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์โควิด 19 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270271
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา
2024-01-07T12:16:18+07:00
วรรณอาภา จารุประพาฬ
[email protected]
ประพิมพ์ใจ เปี่ยมคุ้ม
[email protected]
ประพิมพงศ์ วัฒนะรัตน์
[email protected]
ศิรธันย์ ชัยธรธนาวัฒน์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการจัดการเรียนรวมโดยใช้โปรแกรมช่วยเหลือด้านการอ่านด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์คือ1) ศึกษาปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา 2) ศึกษาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา 3 )ศึกษาแนวทางการแก้ไขข้อจำกัดในการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ในครั้งนี้จำนวน 273 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 23 คน ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา จำนวน 179 คน และครูผู้สอนวิชาภาษาไทยระดับประถมศึกษา จำนวน 71 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม (Focus group) สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1)ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา ได้แก่ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อม และในภาพรวมสภาพปัญหาอยู่ในระดับมาก 2)ปัจจัยอุปสรรคการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ระดับของตำแหน่ง ระดับการศึกษา และความรู้พื้นฐานทางการศึกษาพิเศษ ได้แก่ ด้านนักเรียน ด้านวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ และด้านเทคนิคที่นำมาใช้ในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน 3)แนวทางการแก้ไขข้อจำกัดการจัดการเรียนรวมด้วยกระบวนการตอบสนองต่อการช่วยเหลือด้านความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษา ได้แก่ด้านนักเรียน ควรส่งเสริมนักเรียนทั่วไปให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือนักเรียนที่มีความ ต้องการพิเศษ โดยต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอารมณ์ สังคม แก่เด็กทั้งสองกลุ่ม และเสริมทักษะทางวิชาการตามศักยภาพ ของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ มีการประเมินตามสภาพจริง ด้านการเรียนการสอน จัดกิจกรรมการเรียน การสอนให้นักเรียนทั้งสองกลุ่มได้ทำกิจกรรมร่วมกันให้มากที่สุดโดยใช้เทคนิค วิธีการ และสื่อการสอนที่หลากหลาย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270396
การพัฒนารูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2
2024-01-11T06:44:41+07:00
นิธิวัฒน์ อินทสิทธิ์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดการนิเทศแบบชี้แนะและการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR และพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู โดยแบ่งการวิจัยเป็น 5 ระยะ กลุ่มตัวอย่าง ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์จำนวน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที t-test ผลการวิจัยพบว่า 1). ผลการศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดการนิเทศแบบชี้แนะและการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู พบว่า มี 2 องค์ประกอบหลัก 10 องค์ประกอบย่อย และ 89 ตัวชี้วัด 2). การสร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู โดยใช้กระบวนการของเทคนิคเดลฟาย พบว่า มี 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู (2) การนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR 3). ผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครูฯ พบว่า 1) สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ก่อนและหลังทดลองใช้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ครูมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการนิเทศชี้แนะแบบ PCOSR เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของครู อยู่ในระดับมาก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270397
การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร
2024-01-11T06:52:34+07:00
อุไร เกตกูล
[email protected]
อุดมเดช ทาระหอม
[email protected]
นเรศ ขันธะรี
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 150 คน และครู จำนวน 150 คน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Krejcie และ Moegan เครื่องมือที่ใช้ในครั้งนี้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 สถิติ ที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัยพบว่า1. สภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารงานกิจการนักเรียนในยุคดิจิทัลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร พบดังนี้ 1) ด้านบริการและสวัสดิการ ควรจัดหาทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน สำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองในการจัดกิจกรรมแนะแนว จัดให้มีอาหารกลางวันในโรงเรียน ให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพนักเรียน มีการประเมินผล และรายงานผล 2) ด้านการควบคุม ควรยึดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการในการรับสมัครนักเรียน สร้างความตระหนักในการยอมรับกฎ ระเบียบของสถานศึกษา มีการลงโทษตามข้อกำหนดเมื่อทำผิด และหาวิธีการแก้ไข โดยการร่วมมือระหว่างผู้บริหาร ครูฝ่ายปกครอง กับตัวแทนนักเรียน หรือผู้ปกครอง รวมทั้งคณะกรรมการสถานศึกษา 3) ด้านกิจกรรมร่วมหลักสูตร ควรให้นักเรียนมีบทบาทในกิจกรรมโรงเรียน เช่น สภานักเรียนเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย มีการสำรวจความต้องการของผู้เรียนในการจัดกิจกรรมชมรมหรือกิจกรรมต่างๆ 4) ด้านการบริการงานวิชาการ มีการปฐมนิเทศก่อน จัดเอกสารคู่มือนักเรียนและผู้ปกครอง จัดให้มีการเรียนการสอนซ่อมเสริมนักเรียน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270398
กลยุทธ์การขับเคลื่อนและการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1
2024-01-11T06:58:17+07:00
ชุติกาญจน์ อ่าวสาคร
[email protected]
อัญชนา พานิช
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กลยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน 2) กลยุทธ์การพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน 3) ผลการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและนักเรียนโรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 228 คน ประกอบด้วยครู จำนวน 7 คน และนักเรียนชั้น ป. 6 จำนวน 6 ห้อง รวม 221 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนและครูผู้สอน 2) คู่มือการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน และ 3) แบบประเมินความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. กลยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน ใช้กลยุทธ์ 4 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์การมีส่วนร่วม กลยุทธ์การทำงานเป็นทีม กลยุทธ์การสื่อสาร และกลยุทธ์การบูรณาการ 2. กลยุทธ์การพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน คือ การจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น บูรณาการงานประดิษฐ์ 3. ผลการพัฒนาความสามารถด้านการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียน หลังการเรียนรู้ โดยภาพรวมพบว่านักเรียนมีผลการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในขั้นพัฒนาผลงานให้มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 48.42 ระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 36.20 ระดับที่ต้องปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 15.38 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 221 คน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270366
สภาพความต้องการจำเป็นและแนวทางพัฒนาทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1
2024-01-10T09:41:48+07:00
พรศิริ บุรีมาตร์
[email protected]
ศุภกร ศรเพชร
[email protected]
จารุวรรณ เขียวน้ำชุม
[email protected]
<p> การพัฒนาแนวทางทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู จะส่งผลให้ครูมีทักษะการสร้างสื่อที่ทันสมัย เหมาะสมกับผู้เรียนในยุคดิจิทัลเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาให้มีคุณภาพที่ดี การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู (2) ประเมินความต้องการจำเป็นของทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู (3) พัฒนาแนวทางพัฒนาทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครู จำนวน 288 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีจำนวน 4 ฉบับ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัจจุบันของทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครูโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ความต้องการจำเป็นของทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู พบว่า ทักษะที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ทักษะการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ ทักษะการประเมินผลการเรียนจากการใช้สื่อการเรียนการสอน ทักษะการวิเคราะห์เนื้อหาบทเรียนที่สัมพันธ์กับเป้าหมายที่กำหนด ทักษะการเลือกใช้สื่อการสอนที่มีอยู่แล้ว ทักษะการประเมินประสิทธิภาพสื่อการเรียนการสอน ทักษะการวิเคราะห์รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา ทักษะการวิเคราะห์ปัญหาและความจำเป็นในการใช้สื่อและทักษะการวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียน (3) แนวทางพัฒนาทักษะการสร้างสื่อในยุคดิจิทัลของครู พบว่า มีความเหมาะสม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270399
การพัฒนารูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเพชรบุรี
2024-01-11T07:04:45+07:00
พรรณนิกา บุญชูเชิด
[email protected]
อัญชนา พานิช
[email protected]
กาญจนา บุญส่ง
[email protected]
<p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา มี 6 ขั้นตอน เรียกว่า PCILEI ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผน (P=Planning) ขั้นที่ 2 การติดต่อประสานงาน (C=Coordinate) ขั้นที่ 3 การจัดการเรียนรู้ (I=Instructional) ขั้นที่ 4 การเชื่อมโยงความรู้สู่สากล (L=linked to global) ขั้นที่ 5 การตรวจสอบ ติดตามและการวัดการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ (E=Evaluation) และขั้นที่ 6 การปรับปรุงและพัฒนา (I=Improve development) 2. ผลการใช้รูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ภายหลังการใช้รูปแบบการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น นักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมีทักษะกระบวนการทางด้านการแก้ปัญหาโดยภาพรวมมีค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29.44 ทักษะกระบวนการทางด้านการให้เหตุผลโดยภาพรวม มีค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 27.36 และทักษะกระบวนการทางด้านการเชื่อมโยงโดยภาพรวมมีค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.19</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270400
ผลการสอนแบบจิตปัญญาเสริมด้วยนิทานต่อความมีวินัยในตนเองและทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย
2024-01-11T07:11:11+07:00
นันทิชา นาพัง
[email protected]
แสงสุรีย์ ดวงคำน้อย
[email protected]
<p> การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1)เพื่อศึกษาความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการสอนจิตปัญญาเสริมด้วยนิทาน(2)เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการสอนแบบจิตปัญญาเสริมด้วยนิทานหลังการจัดการเรียนรู้โดยให้มีคะแนนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ร้อยละ 70 และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนอายุระหว่าง 5- 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 2- 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ของ โรงเรียนบ้านดงขันทอง สังกัดสำนักงานเขตฟื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 2 ห้อง 20 คน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้นแบบกลุ่มเดียวมีทดสอบหลังการทดลอง (One group Posttest Only Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนจัดการเรียนรู้จำนวน 12 แผน นิทาน 8 เรื่อง ได้แก่ นิทานเรื่องหญิงรับใช้ของเศรษฐี ถุงเท้าที่หายไป มะขามคนดี นักเรียนของครูนกฮูก ใครทำแจกันแตก ลูกเจี๊ยบจี๋จ๋า สตางค์กับปักเป้า และ ลูกหมู 3 ตัว 2) แบบวัดความสามารถใน การพูดของเด็กปฐมวัยมี 2 ด้านได้แก่ แบบวัดด้านคำศัพท์และด้านพูดประโยค สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าเฉลี่ย(X̅)ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) และค่าร้อยละ(Percentage) ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเด็กปฐมวัย ทั้ง 5 ด้าน ผ่านเกณฑ์ จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด2. ความสามารถในการพูดของเด็กปฐมวัย จำนวน 20 คน จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน หลังได้รับการจัดประสบการณ์มีคะแนนเฉลี่ย 20.97 คะแนน ( X̅ =20.97, S.D.= 0.49) คิดเป็นร้อยละ 83.88 จำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ 20 คน คิดเป็นร้อยละ100 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270485
การพัฒนารูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา สังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี
2024-01-16T14:08:16+07:00
รณกร พรหมอุบล
[email protected]
โสภณ เพ็ชรพวง
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมและเป็นไปได้ของรูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการดำเนินงานการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา สังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โดยรวมและรายด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับได้ดังนี้ ด้านการป้องกันยาเสพติด และด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด 2) ผลการพัฒนารูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ตอนที่ 1 บทนำ ตอนที่ 2 รูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ส่วนที่ 1 หลักการและวัตถุประสงค์ ส่วนที่ 2 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ส่วนที่ 3 กระบวนการและขั้นตอน ส่วนที่ 4 เงื่อนไขความสำเร็จ ตอนที่ 3 การดำเนินงานตามรูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โดยการตรวจสอบด้านความเหมาะสม ด้านความถูกต้องของรูปแบบและคู่มือรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ประเมินด้านความเหมาะสมและความถูกต้องของรูปแบบ เพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ ได้ผลประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อและความถูกต้องของรูปแบบ พบว่ามีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.80-1.00 ผลการประเมินการใช้รูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี พบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความมีประโยชน์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านความเป็นไปได้ และด้านความเหมาะสมตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270486
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้เครือข่ายการมีส่วนร่วมระดับตำบล โรงเรียนท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-01-16T14:12:58+07:00
นลินี บัวอ่อน
[email protected]
โสภณ เพ็ชรพวง
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนท่าชนะ 2) พัฒนารูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้เครือข่ายการมีส่วนร่วมระดับตำบล โรงเรียนท่าชนะ 3) ประเมินผลการใช้รูปแบบ การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้เครือข่ายการมีส่วนร่วมระดับตำบล โรงเรียนท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนท่าชนะ โดยรวมและรายด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับดังนี้ ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการส่งเสริมนักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และด้านการส่งต่อตามลำดับ 2) ผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้เครือข่ายการมีส่วนร่วมระดับตำบล โรงเรียนท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย หลักการและวัตถุประสงค์ กระบวนการและขั้นตอนในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน การขับเคลื่อนระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน (เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 3) ผลการประเมินการใช้รูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้เครือข่ายการมีส่วนร่วมระดับตำบล โรงเรียนท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่า ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความเป็นไปได้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านความเหมาะสม และด้านความเป็นประโยชน์ตามลำดับ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270739
บทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต
2024-01-25T05:38:57+07:00
นันพัชพร พระทอง
[email protected]
วรัชยา ศิริวัฒน์
[email protected]
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ปัญหาและอุปสรรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยจะนำเสนอในรูปการณ์พรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีบทบาทในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุขกำหนด ได้แก่ การทำกิจกรรมรณรงค์ทำความสะอาดจัดสภาพแวดล้อมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สอนประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนทำหน้ากากอนามัยจากผ้า การเคาะประตูบ้านรณรงค์ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสาร และเคาะประตูบ้าน “ค้นให้พบจบใน 14 วัน” ติดตามเยี่ยมสังเกตอาการที่บ้านจนครบ 14 วัน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามวิถีชีวิตใหม่ร่วมสร้างมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม 2) ปัญหาและอุปสรรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ศึกษา คืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะในการใช้เทคโนโลยีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ขาดทักษะในการใช้แอพพลิเคชั่น วัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันและในการลงพื้นที่มีไม่เพียงพอ และประชาชนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ควรมีการให้ด้านความรู้ จัดหาบุคลากรให้มีจำนวนที่เพียงพอต่อภาระงานที่ได้รับมอบหมาย และควรมีการสนับสนุนและส่งเสริมในส่วนของ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270740
ปัจจัยการเลือกใช้แรงงานต่างด้าวในงานก่อสร้างตามมุมมองของหัวหน้างานเขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2024-01-25T05:44:54+07:00
สุรทิน เหล่าศรี
[email protected]
เอนก เนรมิตรครบุรี
[email protected]
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการเลือกใช้แรงงานต่างด้าวในงานก่อสร้างตามมุมมองของหัวหน้างาน เขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาของแรงงานต่างด้าวในงานก่อสร้างตามมุมมองของหัวหน้างาน เขตพญาไท จังหวัดกรุงเทพมหานคร เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Server research) และสนทนากลุ่ม (Focus Group) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 207 คน และในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณและใช้กระบวนการสนทนากลุ่ม (Focus Group) จำนวน 5 คน จำแนกเป็นตำแหน่งได้แก่ หัวหน้างาน โฟร์แมน ผู้ควบคุมแรงงาน หัวหน้าช่าง ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสถิติสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยมีองค์ประกอบในการเลือกใช้แรงงานต่างด้าวในงานก่อสร้างตามมุมมองของหัวหน้างาน ได้แก่ ข้อมูลจากการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว ลักษณะและอุปนิสัยส่วนตัวของแรงงานต่างด้าว ทักษะทางวิชาชีพของแรงงาน ด้านสังคม และภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกับต่างด้าว ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยรวมในการวิเคราะห์ค่าระดับเพื่อศึกษาปัจจัยการเลือกใช้แรงงานต่างด้าวในงานก่อสร้างตามมุมมองของหัวหน้างาน ในภาพรวม มีค่าเฉลี่ย (X̅ = 4.59, S.D. = 0.56) อยู่ในระดับมากที่สุด และนอกจากนี้พบว่า สภาพปัญหาพบเจอหลัก ๆ คือ การสื่อสาร การใช้ภาษา และทักษะฝีมือแรงงาน สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา คือ แรงงานต่างด้าวต้องได้รับการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญเพื่อพัฒนาฝีมือการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และการวิเคราะห์จากกระบวนการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผลการศึกษาพบว่า แรงงานต่างด้าวที่ใช้ในงานก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นสัญชาติกัมพูชา เนื่องจากประเทศกัมพูชาอยู่ใกล้กับชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดตราด และจังหวัดจันทบุรี โดยแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย แรงงานต่างด้าวนี้มีความสำคัญและเป็นปัจจัยผลักจากประเทศต้นทางที่มีความแตกต่างในระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยซึ่งการเข้ามาทำงานในประเทศไทยอาจทำให้ได้รับค่าตอบแทนมากกว่าการทำงานในประเทศบ้านเกิดของแรงงานต่างด้าว</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270741
แนวทางการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี
2024-01-25T05:50:05+07:00
นิภาวรรณ์ ลุนละวงษ์
[email protected]
พนายุทธ เชยบาล
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวังและความต้องการจำเป็นในการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครู และ 2) หาแนวทางการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี การวิจัยดำเนินการ 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวังและความต้องการจำเป็นในการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ ครู จำนวน 364 คน ได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัจจุบัน เท่ากับ 0.920 และแบบสอบถามสภาพที่คาดหวัง เท่ากับ 0.953 สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความต้องการจำเป็น และระยะที่ 2 หาแนวทางการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบประเมินแนวทาง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า1) สภาพปัจจุบันของความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี อยู่ในระดับน้อย สภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมาก ส่วนความต้องการจำเป็น ลำดับแรกคือ ด้านพฤติกรรม รองลงมาคือ ด้านจิตใจ และด้านความศรัทธา อยู่ในลำดับสุดท้าย 2) แนวทางการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี มี 29 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ด้านความศรัทธา จำนวน 5 แนวทาง 2) ด้านความทุ่มเท จำนวน 5 แนวทาง 3) ด้านความจงรักภักดี จำนวน 3 แนวทาง 4) ด้านพฤติกรรม จำนวน 5 แนวทาง 5) ด้านจิตใจ จำนวน 3 แนวทาง 6) ด้านการคงอยู่ จำนวน 4 แนวทาง และ 7) ด้านบรรทัดฐาน จำนวน 4 แนวทาง โดยทุกแนวทางมีความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องครอบคลุมอยู่ในระดับมากที่สุด ทุกด้านทุกแนวทาง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270742
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2024-01-25T05:57:30+07:00
สายฝน สวัสเอื้อ
[email protected]
ไชยา ภาวะบุตร
[email protected]
ธวัชชัย ไพใหล
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดประถมศึกษาเล็ก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบ R&D กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปีการศึกษา 2564 จำนวน 344 คน กลุ่มทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 จำนวน 30 คน ดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบและความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ระยะที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ และความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก มี 4 องค์ประกอบและมีความต้องการจำเป็น ดังนี้ การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม การมีวิสัยทัศน์ สมรรถนะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการเป็นผู้นำทางวิชาการ 2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาประถมศึกษาขนาดเล็ก มี 5 ส่วน คือ หลักการ วัตถุประสงค์เนื้อหา กระบวนการพัฒนา และการประเมินผล 3) ประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดประถมศึกษาเล็ก หลังพัฒนาสูงกว่าก่อนพัฒนา</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270743
“แล”รูปแบบการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดของเยาวชนในจังหวัดปัตตานี
2024-01-25T06:05:28+07:00
พระมหาวิเชียร วชิรธมฺโม (กุลมณี)
[email protected]
รังสรรค์ วัฒนาชัยวณิช
[email protected]
ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์
[email protected]
พระครูสุตกิจสโมสร (โกตัน)
[email protected]
<p> การศึกษาวิจัยเรื่อง “แล” รูปแบบการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดของเยาวชนในจังหวัดปัตตานี ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษารูปแบบการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดของเยาวชนในจังหวัดปัตตานี พบว่า เป็นรูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) ที่ใช้ภาษาเป็นสื่อในการบรรยาย หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษา เพื่อให้เห็นมโนทัศน์ โครงสร้างทางความคิด อธิบายให้เห็นถึงองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (1) ปัจจัยนำเข้า (2) กระบวนการ (3) ผลผลิต และ (4) ข้อมูลย้อนกลับ พัฒนาโดยการศึกษาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ การจัดกิจกรรม การสังเกตุพฤติกรรม การสนทนากลุ่ม และการจัดเวทีประกวดผลงาน เพื่อให้ได้สาระครอบคลุมครบถ้วนตามความต้องการอย่างแท้จริงของการพัฒนารูปแบบ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนในการผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดของเยาวชนในจังหวัดปัตตานี 2) การผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดของเยาวชนในจังหวัดปัตตานี พบว่า เยาวชนสามารถผลิตสื่อสร้างออกมาได้พอประมาณ แต่ยังขาดรายละเอียดในบางส่วน เช่น การเรียงลำดับเรื่องราวของสื่อที่ผลิตยังไม่ค่อยชัดเจน เนื่องจากมีคอนเทนต์หลายอย่างในเรื่องเดียว อีกทั้งยังตัดต่อภาพและเสียงไม่ค่อยทัน เนื่องจากมีเวลาจำกัดในการตัดต่อ เพียงแค่ 6 ชั่วโมง จึงต้องขยายระยะเวลาในการส่งคลิปออกไปอีก 3-4 ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นจากการสอบถามเยาวชนผู้เข้ารับการอบรมในครั้ง พบว่า เยาวชนมีความสนุกสนาน กับกิจกรรมโครงการในครั้งนี้ และอยากให้มีการจัดกิจกรรมในรูปแบบนี้อีก แต่ให้เพิ่มระยะเวลาเป็น 3 คืน 4 วัน เพื่อให้คลิปที่สร้างสรรค์ออกมาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการจัดกิจกรรมรูปแบบนี้ ผลตอบรับจากชุมชนดีมาก ชุมชนให้ความร่วมมือตลอดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมและยังเป็นการพัฒนาชุมชนบ้านเกิดของเยาวชนไปสู่โลกภายนอกอีกด้วย 3) การสร้างเครือข่ายเยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดในจังหวัดปัตตานี พบว่า กระบวนการสร้างเครือข่ายของเยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานี มีปัญหาในเรื่องของการขาดกิจกรรมนันทนาการเพื่อกระชับความสัมพันธ์ผู้เข้าอบรม ในส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้น ทางกลุ่มเยาวชนอยากให้มีกิจกรรมกลุ่ม กระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรม ควรมีกิจกรรมนันทนาการสอดแทรก เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้สนุกยิ่งขึ้น เป็นต้น อีกทั้งคณะผู้วิจัยได้พัฒนาเพจ “แลดูเบิ่งผ่อ_เยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์” (https://shorturl.asia/TMWre) ที่ใช้ในการเผยแพร่ผลงานของเหล่าเยาวชนในเครือข่ายของโครงการ “แลดูเบิ่งผ่อ” เยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270744
ความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตรท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดยะลา
2024-01-25T06:09:28+07:00
พระครูสุวรรณสุตาลังการ
[email protected]
วรปรัชญ์ ลาวัณย์วิไลวงศ์
[email protected]
รังสรรค์ วัฒนาชัยวณิช
[email protected]
วีระศักดิ์ บุญญดิษฐ์
[email protected]
<p> งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตรท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดยะลา 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดยะลา 3) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดยะลา โดยสัมภาษณ์ผู้นำภาครัฐ ภาคชุมชน และผู้นำภาคเครือข่าย จำนวน 9 คน ทำการจัดกิจกรรมความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตร ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการเรียนรู้ 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3) การพัฒนาความร่วมมือ และทำการสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussion) กับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการวิจัยฯ จังหวัดยะลา จำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตร ประกอบด้วย 1) แนวความคิดในการทำเกษตรกรรม 2) เป้าหมายในการทำเกษตรกรรม 3) แหล่งที่มาความรู้/ทักษะการทำเกษตรกรรมของเกษตรกร ส่วนในเรื่องของการพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมของชุมชนภาคการเกษตร มีขั้นตอนการดำเนินการ คือ 1) การสร้างระบบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ 2) การสร้างตลาดแนวใหม่โดย ใช้ช่องทางการค้าออนไลน์แบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ และสุดท้ายการเสริมสร้างเครือข่ายของชุมชนภาคการเกษตร ประกอบไปด้วย 1) การเชื่อมโยงตลาดในพื้นที่ชุมชน 2) หลักเศรษฐกิจพอเพียง 3) การตลาดยุค 4.0 4) ตลาดเป็นธรรม 5) การเชื่อมโยงตลาด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270745
ความยั่งยืนของชุมชนภาคบริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
2024-01-25T06:17:12+07:00
พระมหาสมคิด สมฺปนฺโน
[email protected]
รัชชเมธ จันทนวล
[email protected]
นิเวศน์ มณีรัตนวงศ์
[email protected]
ธนาวดี นิ่มเรือง
[email protected]
<p> การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริการของชุมชนผู้ให้บริการด้านการท่องเทียวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมในงานบริการของชุมชนภาคบริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส และเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในงานบริการของชุมชนภาคบริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพและศึกษาจากภาคสนาม ใช้วิธีการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ประชุมกลุ่มย่อยและทำกิจกรรมพัฒนา ผลการวิจัยพบว่า ด้านรูปแบบการบริการของชุมชนผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส พบว่า รูปแบบการบริการได้ปรากฏใน 2 มิติ คือ มิติที่ 1 การบริการที่เริ่มต้นจากนโยบายด้านการท่องเที่ยวจากภาครัฐและได้ส่งต่อมาสู่ระดับปฏิบัติการที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนจะต้องปฏิบัติร่วมกันโดยภาครัฐจะอยู่ทั้งในฐานะเป็นผู้กำหนดนโยบายและเป็นผู้ปฏิบัติตามนโยบายควบคู่กับภาคประชาชน มิติที่ 2 การบริการที่เป็นการขับเคลื่อนตามธรรมชาติอันได้แก่ภาคประชาชนที่อยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร รถบริการรับจ้าง ซึ่งเป็นการประกอบการเพื่อเลี้ยงชีพของตนตามปกติที่ถึงแม้จะไม่มีนโยบายด้านการบริการจากภาครัฐมากำกับดูแล กลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวก็มีรูปแบบการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่เป็นของเฉพาะตนอยู่แล้ว ด้านการพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมในงานบริการของชุมชนภาคบริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส พบว่า ในการพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมในงานบริการของชุมชนภาคบริการสรุปได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่การพัฒนาหรือทำสิ่งที่ยังไม่มีให้เกิดมีขึ้นและการพัฒนาหรือทำสิ่งมีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นโดยเน้นการบรรยายองค์ความรู้และให้แนวทางในการนำไปใช้ ในขณะที่ด้านการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในงานบริการของชุมชนภาคบริการด้านการท่องเที่ยวท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส พบว่า เครือข่ายความร่วมมือที่ใหญ่และสำคัญที่สุดคือหน่วยงานภาครัฐกับภาคประชาชน รองลงมาคือเครือข่ายภาคประชาชนกับประชาชนที่ประกอบอาชีพด้านการบริการที่แตกต่างกัน โดยในประเด็นการเสริมสร้างเครือข่ายสรุปได้ว่าสมาชิกในเครือข่ายจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึง 1) ความจำเป็นในการมีเครือข่าย 2) ความเป็นเครือข่ายจำเป็นต้องมีระบบ 3) การวิเคราะห์บทบาทสมาชิกในเครือข่าย 4) ผลประโยชน์จากการทำงานเชิงเครือข่าย เมื่อเข้าใจในสาระสำคัญทั้ง 4 ประการนี้แล้วจึงควรทำหน้าที่ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่มวลสมาชิกในเครือข่าย และ 5) การใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางวัฒนธรรม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270780
“แลดูเบิ่งผ่อ”เยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิด
2024-01-27T10:28:42+07:00
รังสรรค์ วัฒนาชัยวณิช
[email protected]
พระมหาวิเชียร วชิรธมฺโม (กุลมณี)
[email protected]
กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์
[email protected]
อัครเดช พรหมกัลป์
[email protected]
ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์
[email protected]
<p> การศึกษาวิจัยเรื่อง “แลดูเบิ่งผ่อ” เยาวชนผลิตสื่อสร้างสรรค์เชิงพุทธเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อในรูปแบบของเทคโนโลยีนำเสนอต่าง ๆ เช่น คลิปวีดีโอ หนังสั้น ภาพ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น เพื่อบอกเล่าถึง วิถีชีวิต ค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกษตรทฤษฎีใหม่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกห้วยขาแข้ง ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) เพื่อร่วมกันถ่ายทอดเรื่องเล่าดังผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media) จนนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นในบ้านเกิดอย่างยั่งยืนนั้น ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนทักษะในการวางแผน ทักษะในการวางโครงเรี่อง ทักษะในการถ่ายทำ ทักษะในการตัดต่อ และทักษะในการนำเสนอ เพื่อจะให้ก่อให้เกิดสื่อสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน และที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างมุมมอง วิสัยทัศน์ ทัศนคติ การเสริมสร้างจิตสำนึก การเสริมสร้างจิตอาสา และการเสริมสร้างจิตสาธารณะให้กับเยาวชนคนในพื้น จึงทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการพัฒนาในครั้งนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาอาศัยความร่วมมือของทุกภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน คณะสงฆ์ ผู้บริหารและคณะกรรมการสถานศึกษา รวมถึงตัวเด็กและเยาวชน โดยทุกภาคส่วนจะต้องมีความพร้อมเพรียง มีความสมัครสมานความสามัคคีกัน และผลักดันหรือสนับสนุนทั้งในเรื่องทุนและโอกาสเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เกิดการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270782
แนวทางการแก้ไขพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ของนักศึกษาวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-27T10:34:21+07:00
ทินัดดา บัวละพัน
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยแนวทางการแก้ไขพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ของนักศึกษาวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน วิจัยเชิงปริมาณโดยการสำรวจ และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ โดยใช้เครื่องมือวิจัยแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ตัวอย่าง จำนวน 278 คน และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 15 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ที่เหมาะสมของนักศึกษาวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวม ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการบริหารเวลานักศึกษาให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ ด้านการรับรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์การใช้ในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ด้านสัมพันธภาพในครอบครัวผู้ปกครองของนักศึกษาให้คำปรึกษาในเวลาที่นักศึกษามีปัญหา และด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม เมื่อเลิกเรียนเพื่อนมักชวนนักศึกษาใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ แนวทางการแก้ไขพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ของนักศึกษาวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ด้านการรับรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสังคมออนไลน์ควรสร้างความตระหนักรับรู้ถึงประโยชน์และมีโทษ จากการใช้สื่อออนไลน์ ด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ผู้ปกครองต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวให้ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตอย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ วิทยาลัยครูควรกำหนดมาตรการการวางแผนจัดการอย่างรัดกุมและเพียงพอต่อการใช้งานอินเตอร์ในวิทยาลัย ต้องมีระบบป้องกันการใช้สื่อออนไลน์ที่ไม่พึงประสงค์อันอาจจะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อนักศึกษา ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม ระมัดระวังการเข้าใช้งานอาจจะถูกล่อลวงทำให้ครอบครัวสูญเสียทรัพยากรค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นด้านการบริหารเวลา ควรจัดสรรเวลาให้เหมาะสมทั้งการเรียนและการร่วมกิจกรรมในครอบครัวอย่างถูกต้องเหมาะสม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270783
คุณภาพการปฏิบัติงานของล่ามภาษาไทย - กัมพูชา ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี
2024-01-27T10:43:02+07:00
พร พุทธ
[email protected]
วิชัย ลุนสอน
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
<p> โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ในจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย มีชื่อเสียงในด้านการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ และดึงดูดผู้ป่วยชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนของโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยชาวกัมพูชายังไม่เพียงพอล่ามไทย-กัมพูชาก็ทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้ขาดการดูแลและความอบอุ่นอย่างทั่วถึง ผู้วิจัย จึงได้ทำการศึกษาคุณภาพการปฏิบัติงานของล่ามไทย-กัมพูชาในแผนกพรีเมี่ยมของโรงพยาบาล เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อโรงพยาบาล บุคลากร แพทย์ พยาบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ป่วยที่ต้องการบริการล่ามคุณภาพงานล่ามไทย-กัมพูชา แผนกพรีเมี่ยม โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับการยกย่อง แต่มีอุปสรรค เช่น ขาดแพทย์เจาะเลือด และความรู้ของล่ามไม่สอดคล้องกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โรงพยาบาลควรจ้างล่ามเพิ่มเติมและเลือกผ่านการทดสอบความรู้ ล่ามควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงพยาบาล และมีความรู้ทั้งสองภาษา คนไข้จากกัมพูชามารักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เพราะชื่อเสียงและแพทย์เฉพาะทาง ล่ามควรอธิบายทุกอย่างให้ผู้ป่วยฟังและช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุด แผนกพรีเมี่ยม โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี จัดทำแนวทางคุณภาพและการพัฒนาล่ามไทย-กัมพูชา เพื่อให้การสื่อสารกับผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การจัดการเพื่อให้บริการผู้ป่วยอย่างทั่วถึง การหาห้องรับรองเพิ่มเติมเพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการ โรงพยาบาลควรมีล่ามคอยให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยชาวต่างชาติ และควรเพิ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ห้อง EKG และ X-ray จำเป็นต้องมีอุปกรณ์วัดความดันโลหิตที่เพียงพอ รวมถึงการทำงานปกติและห้องพักผ่อนสำหรับล่ามด้วย ค่ารักษาเป็นที่ยอมรับได้ แต่ข้อร้องเรียนของล่ามควรได้รับการแก้ไขตามความเป็นจริง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270784
การพัฒนากลุ่มผลิตการเกษตรตามาตรฐานกะสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-27T10:48:40+07:00
เทวา สีลาดวงใจ
[email protected]
ธรรมรักษ์ ละอองนวล
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
<p> การพัฒนากลุ่มผลิตการเกษตรตามมาตรฐานกสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานกสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานกสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix Research) เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยการสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ ตัวอย่าง จำนวน 186 คน ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 15 คน สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานกสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวม มีการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก รูปแบบการบริหารเข้าใจระบบการจัดสรรคืนเงินกำไรให้กับสมาชิก ด้านค่านิยมกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมกิจกรรมที่ชุมชน และภาครัฐจัดขึ้น ด้านกลยุทธ์มี การปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรค ด้านโครงสร้างองค์กรมีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ด้านระบบการปฏิบัติงานมีการบันทึกรายงานการประชุมเป็นปัจจุบัน ด้านเกณฑ์มาตรฐานกลุ่มเกษตรกรมีการเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายนอก ด้านทักษะกรรมการบริหารมี การพัฒนาทักษะ ด้านเกณฑ์มาตรฐานกลุ่มเกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายนอก และด้านบุคลากร กรรมการความรู้ความสามารถ ปัญหา และอุปสรรคการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานกะสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่มีคนอยากเป็นเกษตรกร ทุนดำเนินงานมีน้อย สำนักงานขาดวัสดุอุปกรณ์ ขาดความรู้ในการบริหาร แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรตามมาตรฐานกสิกรรมสะอาด แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กระบวนการผลิตเกษตรกรควรใช้กระบวนการผลิตที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากธรรมชาติเน้นการใช้ปุ๋ยชีวภาพในการบำรุงพืช ควรจำหน่ายผ่านตลาดแขวงสาละวัน และงานแสดงสินค้าต้องได้รับรองมาตรฐานการผลิตกสิกรรมสะอาด ควรรวมกลุ่มของเกษตรกรที่มีทัศนคติที่ต้องการผลิตสินค้าเกษตรแบบปลอดภัย ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนไปสู่การเลือกบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และปลอดสารพิษ ระบบการคมนาคมสะดวกจะช่วยให้การกระจายสินค้ามีความรวดเร็ว ทันเวลา ภาครัฐควรกำหนดนโยบายส่งเสริม การเกษตรแบบปลอดสารพิษ อบรมความรู้ให้กับเกษตรกร การประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรในท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สร้างโอกาสในการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270785
การพัฒนาศักยภาพตำรวจตระเวนชายแดน: กรณีศึกษากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 226 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
2024-01-27T10:55:31+07:00
วิชิต ภโอวาท
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาศักยภาพตำรวจตระเวนชายแดน และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพตำรวจตระเวนชายแดน: กรณีศึกษากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 226 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ตัวอย่าง จำนวน 214 คน กำหนดขนาดของตัวอย่างจากตารางของ Krejcie and Morgan ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาศักยภาพตำรวจตระเวนชายแดน: กรณีศึกษากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 226 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ทั้ง 5 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅= 3.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย พบว่า ด้านสวัสดิการ (X̅= 3.81) ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (X̅= 3.67) ด้านการฝึกอบรม และด้านการศึกษาต่อ (X̅= 3.36) และด้านการสื่อสาร (X̅= 3.26) ตามลำดับ</p> <p> แนวทางการพัฒนาศักยภาพตระเวนชายแดน: กรณีศึกษากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 226 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ด้านการศึกษาต่อ ควรส่งเสริมให้บุคลากร เจ้าหน้าที่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ด้านการฝึกอบรม ส่งเสริมฝึกทักษะเฉพาะของงานในแต่ละตำแหน่ง เป็นการกำหนดความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง ด้านสวัสดิการควรมีการเพิ่มสวัสดิการให้เพียงพอ อาทิ บ้านพัก เรียนฟรี รักษาพยาบาล ด้านการสื่อสาร ควรส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาศักยภาพการใช้งานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถปฏิบัติงานด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ต ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานหรือเลื่อนตำแหน่ง โดยใช้การสอบรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของบุคคลที่มีคุณสมบัติครบตามที่ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นตัวกำหนดตำแหน่ง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270786
แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจโรงแรมและที่พักในเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-27T11:00:29+07:00
สุระเดด วันวิไล
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
จิตรกร โพธิ์งาม
[email protected]
<p> การวิจัยแนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจโรงแรมและที่พักในเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณโดยการสำรวจ และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์และสังเกต โดยใช้เครื่องมือวิจัยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ตัวอย่าง จำนวน 113 คน และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 16 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการปรับตัวของผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักในเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.97) เมื่อพิจารณารายด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบำรุงรักษา (ค่าเฉลี่ย 4.13) รองลงมา คือ ด้านการจัดการร้านอาหารและจุดบริการอาหาร (ค่าเฉลี่ย 4.08) ด้านการฝึกอบรมและนโยบาย (ค่าเฉลี่ย 4.05) ด้านการรักษาระยะห่างทางสังคม (ค่าเฉลี่ย 4.05) ด้านการวางแผน (ค่าเฉลี่ย 3.93) ด้านการรักษาความสะอาด(ค่าเฉลี่ย 3.92) ด้านการผลิตและการจัดหาอาหาร (ค่าเฉลี่ย 3.3.88) ด้านการจัดการในกรณีที่มีโควิด-19 (ค่าเฉลี่ย 3.85) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการปฏิบัติ (ค่าเฉลี่ย 3.84) แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจโรงแรมและที่พักในเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ควรส่งเสริมการสร้างภาพลักษณ์ของโรงแรม ปรับปรุงพัฒนาสภาพแวดล้อมโดยรอบของโรงแรมให้มีความสวยงาม ด้านการตั้งราคาควรมีการดำเนินการปรับราคาห้องพักตามฤดูกาลหรือระดับความต้องการใช้บริการของลูกค้า ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับตัวแทนของผู้ใช้บริการภาคเอกชน และภาครัฐบาล ด้านการโฆษณาควรมีการส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารเกี่ยวกับโรงแรมไปสู่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ ด้านบุคลากร ควรฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น ด้านความมีชื่อเสียงของตราสินค้า ควรมีการให้บริการที่รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน ด้านทำเลที่ตั้ง ควรให้ความสำคัญต่อสภาพแวดล้อม และบรรยากาศบริเวณที่พักเป็นสิ่งสำคัญ </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270787
แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าว บ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-27T11:05:50+07:00
สมสะหลัด ไกยะวงสา
[email protected]
ธรรมรักษ์ ละอองนวล
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
<p> แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าวบ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าวบ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าวบ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix Research) การวิจัยเชิงปริมาณโดยการสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 140 คน ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าวบ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวม มีปัญหาอยู่ในระดับมาก ด้านราคาต่อรองราคาสินค้าได้ ด้านการตลาดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ด้านกระบวนการผลิตระหว่างภูมิปัญญาชาวบ้านกับความรู้ใหม่ในการผลิต ด้านการจัดการการวางแผนจัดการในการใช้เงิน และด้านบุคลากรขาดแคลนแรงงาน แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจำหน่ายสินค้าเกษตรประเภทมะพร้าวบ้านนาไซ เมืองสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกษตรกรต้องมีการอบรมความรู้ในการจัดจำหน่าย การควบคุมคุณภาพที่ได้มาตรฐาน การจัดจำหน่ายเกษตรกรควรหันมาทำสวนเกษตรแบบปลอดภัย ลดการใช้สารเคมีจัดตั้งศูนย์เรียนรู้แปรรูปมะพร้าว ควรมีการใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีในการผลิต ผู้ประกอบการต้องพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน สถานประกอบการต้องมีการส่งเสริมพัฒนาทักษะฝีมือของเกษตรกรให้มีคุณภาพที่ดีได้มาตรฐานสากล บรรจุภัณฑ์มีความสะดวกง่ายต่อการบริโภค ต้องเลือกช่องทางที่ผู้ซื้อสามารถหาซื้อสินค้าได้สะดวก</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270788
การปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-01-27T11:11:07+07:00
วิสมพัน จันทะพูทอน
[email protected]
วิชัย ลุนสอน
[email protected]
ไพศาล พากเพียร
[email protected]
<p> การปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการรับบริการจากธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและเพื่อศึกษาการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตัวอย่าง จำนวน 155 คน ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 3 คน ผู้ประกอบการร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน จำนวน 12 คน สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการเลือกรับบริการจากธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านการนำเสนอทางกายภาพมีการดูแลความสะอาดบริเวณร้าน ปัจจัยด้านกระบวนการคือความรวดเร็ว และถูกต้องในการคิดเงินและทอนเงิน ปัจจัยด้านพนักงานมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบประกอบอาหารมีคุณภาพ ปัจจัยด้านราคาเหมาะสมกับคุณภาพ ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายทำเลที่ตั้งสามารถเดินทางสะดวก และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจ การปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในเขตเมืองสาละวัน แขวงสาละวัน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเฉพาะการปรับตัวของร้านอาหารในสถานการณ์โรคระบาดโควิด มีการเพิ่มช่องทางการขายผ่านบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามีมาตรการจัดการที่ได้มาตรฐาน เฝ้าระวังและตรวจสอบสุขภาพพนักงานในร้านอยู่เป็นประจำ มีการประชาสัมพันธ์มาตรการที่ร้านสามารถทำได้ การดูแลรักษาความสะอาดภายในร้านอาหารมีจุดบริการสบู่ เจลล้างมือ มีพนักงานตรวจวัดไข้ลูกค้าทุกคนก่อนเข้าร้านเน้นทำอาหารที่ปรุงสุกใหม่ งดเสิร์ฟอาหารดิบ มีช้อนกลาง ดูแลจำนวนลูกค้าไม่ให้แออัดจนเกินไป พนักงานต้องรักในความสะอาด การสวมเสื้อกางเกงที่สะอาด ล้างมือทุกครั้งก่อนให้บริการ รวมถึงใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาขณะอยู่ที่ร้าน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270852
ความยั่งยืนของชุมชนสันติสุขท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
2024-01-30T13:02:28+07:00
พระมหาวิเชียร วชิรธมฺโม (กุลมณี)
[email protected]
พระครูสุวรรณสุตาลังการ
[email protected]
อำพร มณีเนียม
[email protected]
พระมหาสมคิด สมฺปนฺโน
[email protected]
จารึก ศิรินุพงศ์
[email protected]
รังสรรค์ วัฒนาชัยวณิช
[email protected]
ทวีศักดิ์ พุฒสุขขี
[email protected]
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตรท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดยะลา 2) ศึกษาความยั่งยืนของชุมชนภาคอุตสาหกรรมท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และ3) ศึกษาความยั่งยืนของชุมชนภาคบริการท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาชน และ ภาคเอกชน จำนวน 3 จังหวัด ๆ ละ 6 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสำคัญของเรื่อง คือ เป็นบุคคลที่มีบทบาทและความสัมพันธ์เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาความยั่งยืนของชุมชนสันติสุขท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการสัมภาษณ์ และทำสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussion) กับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการวิจัยฯ จังหวัดละ 15 คน รวม 45 คน ผลการวิจัยพบว่า ความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตรในพื้นที่จังหวัดยะลา มีรูปแบบความยั่งยืนของชุมชนภาคการเกษตร ประกอบด้วย 1) แนวความคิดในการทำเกษตรกรรม 2) เป้าหมายในการทำเกษตรกรรม 3) แหล่งที่มาความรู้/ทักษะการทำเกษตรกรรมของเกษตรกร ในส่วนของการพัฒนากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมของชุมชนภาคการเกษตร มีขั้นตอนการดำเนินการ คือ 1) การสร้างระบบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ 2) การสร้างตลาดแนวใหม่โดย ใช้ช่องทางการค้าออนไลน์แบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ และสุดท้ายการเสริมสร้างเครือข่ายของชุมชนภาคการเกษตร ประกอบไปด้วย 1) การเชื่อมโยงตลาดในพื้นที่ชุมชน 2) หลักเศรษฐกิจพอเพียง 3) การตลาดยุค 4.0 4) ตลาดเป็นธรรม 5) การเชื่อมโยงตลาดส่วนรูปแบบความยั่งยืนของกลุ่มชุมชนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดปัตตานี มี 4 รูปแบบใหญ่ ๆ ประกอบไปด้วย 1) รูปแบบความยั่งยืนของกลุ่ม มี 5 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบผู้นำทางปัญญา (2) รูปแบบการมีส่วนร่วม (3) รูปแบบการพึ่งพาตนเอง (4) รูปแบบริเริ่มสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมของชุมชน (5) รูปแบบการถ่ายทอดองค์ความรู้และการสืบทอดภูมิปัญญา 2) รูปแบบความยั่งยืนของชุมชนและสังคม มี 2 รูปแบบ คือ (1) ชุมชนเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการ (2) การแบ่งปันผลกำไรสู่ชุมชน 3) รูปแบบความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ มี 2 รูปแบบ คือ (1) การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมของชุมชน (2) การเสริมรายได้ให้กับสมาชิกและคนภายในชุมชน 4) รูปแบบความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม มี 2 รูปแบบ คือ (1) การนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ในการผลิต (2) การใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270958
การจัดกิจกรรมเกมการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 3-4 ปี
2024-02-02T17:05:33+07:00
อุบล ผลจันทน์
[email protected]
สุจรรยา สมบัติธีระ
[email protected]
รัตนจินต์ จิตตานุภาพ
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างเกมการศึกษาพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ศึกษาประสิทธิผลของเกมการศึกษาพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย และ 3) เปรียบเทียบทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้เกมการศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3-4 ปี โรงเรียนบ้านก้างปลา ตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ปีการศึกษา 2565 จานวน 12 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เกมการศึกษาเพื่อพัฒนา ทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย แผนการจัดกิจกรรมประกอบการใช้เกมการศึกษา และแบบทดสอบวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.33/95.00 เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.85 และเด็กมีทักษะทางคณิตศาสตร์หลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270959
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2024-02-02T17:11:43+07:00
ศุภณัฐ จันทร์สง่า
[email protected]
กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1)เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 75/75 2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านห้วยท้องฟาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus จำนวน 5 ชุด2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค KWL Plus จำนวน 20 ข้อ 3)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรม ผลการศึกษา 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีองค์ประกอบ คือ คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมสำหรับครู คู่มือ การใช้กิจกรรมสำหรับนักเรียน ชุดกิจกรรม ภาษา และรูปเล่ม ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อนําไปหาประสิทธิภาพพบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75.67/78.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด 2) นักเรียนมีความสามารถทักษะคิดวิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค KWL Plus หลังการใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้เทคนิค KWL Plus สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270960
การพัฒนาตัวชี้วัดจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-02-02T17:20:05+07:00
ปาริฉัตร ทับทิมหิน
[email protected]
น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์
[email protected]
<p> การพัฒนาตัวชี้วัดจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีจุดประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาตัวชี้วัดจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และ 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยได้สุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 360 คน เพื่อตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ แบบสอบถามจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ประกอบด้วยตัวชี้วัด 7 ตัวชี้วัด จำนวนข้อคำถาม 30 ข้อ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ มีค่า IOC ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .873 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปผลการวิจัยพบว่า 1) จิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วย 7 ตัวชี้วัด ได้แก่ การรู้จักใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ การใช้มุมมองที่หลากหลายมีความยืดหยุ่น การส่งเสริมการใช้ภาษา มีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา ใช้การสร้างแบบจำลองหรือรูปแบบ การทำความเข้าใจปัญหาและการใช้ความรู้เดิม 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลการวัดจิตนิสัยทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่า Chi - Square (<img title="\chi" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi"><sup>2</sup>) = 15.920 ที่องศาอิสระ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/271484
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มเครือข่ายที่ 15 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2024-02-24T13:45:44+07:00
เทพธิดา แสงหิน
[email protected]
เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม
[email protected]
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มเครือข่ายที่ 15 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพ การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและสมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิภาพของการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารและประสิทธิภาพ การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง 4. ภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านการกระตุ้นทางปัญญา และด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/269648
การจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์
2023-12-18T16:18:48+07:00
อติพร เกิดเรือง
[email protected]
ชัยพัฒน์ พันธุ์วัฒนสกุล
[email protected]
<p>องค์กรมีทรัพยากรที่สำคัญคือทรัพยากรมนุษย์ สังคมในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันสืบเนื่องมาจากเทคโนโลยีและโลกไร้พรมแดน นำไปสู่ความหลากหลายของบุคลากรในองค์กรที่มีการเคลื่อนตัวทั่วโลก ซึ่งทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่หลากหลายและมีความแตกต่างกันในทางวัฒนธรรม การบริหารพัฒนาบุคลากรให้สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ องค์กรควรตระหนักและยอมรับถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล ด้วยความต่างนี้เองจะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เกิดขึ้นในองค์กรเกิดมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ การจัดการความหลากหลายของทรัพยากรมนุษย์ที่เหมาะสมจะนำไปสู่การเจริญเติบโตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270041
การจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรในยุคหลังโควิด–19
2023-12-31T16:11:50+07:00
รวมพร มาลา
[email protected]
ธนกร สิริสุคันธา
[email protected]
พรรณรัตน์ บุญกว้าง
[email protected]
<p> บทความการจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรในยุคหลังโควิด-19 เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับทุกภาวะวิกฤตที่จะเข้ามากระทบกับการดำเนินธุรกิจ โดยผู้ศึกษามีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการจัดการเชิงกลยุทธของธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรและ (2) เพื่อหาแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์สู่ความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพการเกษตรในยุคหลังโควิด-19</p> <p> ผลการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีประกอบไปด้วย 4 ประการ ได้แก่ (1) แนวคิดทฤษฎีนโยบายธุรกิจ (2) หลักการทฤษฎีเศรษฐศาสตร์องค์การอุตสาหกรรม (3) หลักการทฤษฎีพื้นฐานทรัพยากรและการจัดการทรัพยากร และ (4) หลักการทฤษฎีการจัดองค์การแบบผสมผสานส่วนทางด้านแนวคิดทฤษฎีธุรกิจสตาร์ทอัพเห็นได้ว่าประกอบไปด้วย 3 แนวคิดได้แก่ (1) ผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม (2) การจัดโครงสร้างองค์การรวมทั้งการดำเนินงานด้วยระบบนิเวศที่ดี และ (3) การบริหารจัดการเพื่อเติบโตและลดต้นทุน ผลการศึกษาแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จได้แก่ (1) ภาวะผู้นำ (2) เงินทุนและการร่วมทุน (3) โมเดลธุรกิจขนาดเล็กในระบบออนไลน์ (4) คุณภาพผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีขั้นสูงและ (5) การสนับสนุนของรัฐบาล พันธมิตรและเครือข่าย อันเป็นแนวทางกลยุทธ์ที่สอดคล้องตามทฤษฎีการจัดการตามหลักนโยบายธุรกิจ หลักการพื้นฐานทรัพยากรและการจัดการทรัพยากร และหลักการจัดองค์การแบบผสมผสานตามลำดับ โดยไม่ปรากฏหลักการเศรษฐศาสตร์องค์การอุตสาหกรรม</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270089
การจัดการเรียนรู้แบบ (Active Learning) เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารสำหรับเด็กปฐมวัย
2024-01-02T17:40:09+07:00
ศุภวัฒน์ บุญนาดี
[email protected]
ชุลีพร นาหัวนิล
[email protected]
ปาริฉัตร ไชยเดช
[email protected]
พิชาญ ณ พัทลุง
[email protected]
ยุรัตน์ดา สุขไชย
[email protected]
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้ (Active Learning) เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสารสำหรับเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เนื่องจากทักษะการสื่อสารของเด็กนั้นเป็นสิ่งมีความสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งสื่อสารกับตัวเอง ครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือบุคคลอื่น ๆ การจัดการเรียนรู้ (Active Learning) เป็นการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยเนื่องจากเป็นการจัดกิจกรรมที่เด็กได้มีการลงมือปฏิบัติ การทำงานเป็นกลุ่ม การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด การวางแผน การออกแบบ วิเคราะห์ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีการสื่อสาร และพัฒนาการของการใช้ภาษาตลอดจนวิธีการสื่อสารได้เหมาะสมตามวัย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270115
การพัฒนาหลักสูตรเป็นแนวทางกำหนดคุณภาพผู้เรียนในอนาคต
2024-01-03T09:39:20+07:00
วิวัฒน์ ตู้จำนงค์
[email protected]
สำราญ บุญเจริญ
[email protected]
ศิริพร สุวรรณรังษี
[email protected]
วงศกร คงอินทร์
[email protected]
<p> การพัฒนาหลักสูตรเป็นแนวทางการพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติและค่านิยมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันกับนานาอารยประเทศ มีเป้าหมายสร้างและพัฒนากำลังคนและทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพัฒนาหลักสูตรเป็นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตลอดชีวิต</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270272
ความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันของครอบครัวกับพฤติกรรมเบี่ยงเบนการเสพยาเสพติดของเยาวชน
2024-01-07T12:27:45+07:00
วสันต์ บุญล้อม
[email protected]
<p>บทความวิชาการ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันของครอบครัวกับพฤติกรรมเบี่ยงเบนการเสพยาเสพติดของเยาวชน เป็นผลการศึกษาโดยใช้วิธีการศึกษารวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ความผูกพันของครอบครัวที่มีระดับต่ำ การอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ดี การขาดการสั่งสอนและขาดการติดตามพฤติกรรม ทำให้เยาวชนมีโอกาสเสพยาเสพติดสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของความผูกพันของครอบครัวมีระดับต่ำเกิดจากปัจจัย 4 ด้าน คือ ปัจจัยด้านสภาพครอบครัวมีปัญหา ปัจจัยด้านการขาดความใกล้ชิดกับครอบครัว ปัจจัยด้านการปล่อยปละละเลย และปัจจัยด้านการขาดการพูดคุยปรึกษา ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ด้านนั้น จะทำให้เกิดการอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ดี การขาดการสั่งสอนที่ถูกต้องและขาดการติดตามพฤติกรรม ส่งผลทำให้เยาวชนมีการควบคุมตนเองต่ำ การที่เยาวชนมีการควบคุมตนเองต่ำจะทำให้ไม่สามารถต่อต้านการชักนำของเพื่อนได้ เนื่องจากไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีที่ได้รับจากการอบรมเลี้ยงดูหรือการติดตามพฤติกรรมซึ่งจะลดโอกาสในการเสพยาเสพติด</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270259
การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในประเทศไทย
2024-01-06T22:43:19+07:00
ดุลทเดช แสนวิเศษ
[email protected]
ภานิดา รักกลิ่น
[email protected]
วีระพันธ์ ช่วยประสิทธิ์
[email protected]
ศรัญยู เลิศนุวัตน์
[email protected]
ธาริต พลเสน
[email protected]
<p>ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้านการท่องเที่ยวและการบริการเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในระดับประเทศ ทั้ง ๆ ที่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลาย ๆ ประเทศให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมหาศาล สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ทำการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Agency หรือ CEA) ขึ้นในรูปแบบขององค์การมหาชนเพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพของไทย ประกอบด้วย 1) Food นำเสนออาหารไทยที่มีชื่อเสียง 2) Film นำเสนอภาพยนตร์และละครไทย กระแสตอบรับจากชาวต่างชาติที่มีต่อภาพยนตร์ไทย รวมถึงนำเสนอสถานที่ยอดนิยมในประเทศไทยที่ต่างประเทศมักเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ 3) Fashion นำเสนอการแต่งกายของไทย ลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ 4 ภูมิภาค รวมทั้งผ้าไหมไทยที่ทั่วโลกให้การยอมรับ 4) Fighting นำเสนอศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย และ 5) Festival นำเสนอเทศกาลประเพณีไทยที่น่าสนใจของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า รัฐบาลมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ผ่านหลากหลายหน่วยงาน กระนั้น การดำเนินงานของภาครัฐยังขาดการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน รวมถึงขาดความต่อเนื่องในการสนับสนุน ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือกันกำหนดแนวทางในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์โดยเน้นการส่งเสริมตามความถนัดของแต่ละหน่วยงานและประสานงานด้วยการเชื่อมโยงกิจกรรมระหว่างกัน ดังนั้น บทความวิชาการฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270510
สารัตถะของศิลปะการแสดงโขน
2024-01-16T22:45:21+07:00
ญาฐณา ภควัตธนโกศล
[email protected]
สุภาวี ศิรินคราภรณ์
[email protected]
<p>โขนถือเป็นงานศิลปะการแสดงที่มีจารีตและเป็นแบบแผนที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน อีกทั้งยังมีหน้าที่เป็นเครื่องแสดงความเข้มขลังในหลายพิธีกรรมที่สำคัญ ทำให้การแสดงโขนถูกกำกับบทบาทไว้มากกว่าการแสดงทั่วไป แต่ในปัจจุบันการแสดงโขนถูกปรับเปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อให้สาระสำคัญของการแสดงโขนมีความสอดคล้องกับปริบททางสังคมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอันส่งผลต่อการแสดงโขนมี 2 ประการ คือ โขนถูกลดบทบาทและความสำคัญลง แต่ในขณะเดียวกันกลับสร้างอิทธิพลต่อพัฒนาการด้านรูปแบบ อย่างไรก็ตามเป้าหมายของการแสดงโขนทุกรูปแบบล้วนมุ่งเน้นการอนุรักษ์สืบสานโดยทั้งสิ้น จึงสรุปได้ว่าไม่มีจารีตแห่งการแสดงโขนในรูปแบบใดที่ไม่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้วเห็นว่าโขนทุกรูปแบบมีคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรมอันประมาณมิได้ เพราะสาระสำคัญของการแสดงโขน คือ การรวบรวมภูมิปัญญา รวมไปถึงความรู้ด้านสุนทรียศาสตร์ที่แสดงออกถึงการบูรณาการศาสตร์ต่างสาขา ขั้นตอนการกลั่นกรองความคิดสร้างสรรค์ และวิธีการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความสอดคล้องต่อสภาพการณ์ของสังคมและวัฒนธรรมทั้งหมดจึงถือเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติที่น่าภาคภูมิใจ ดังนั้น การสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ส่งผลต่อกระบวนทัศน์ของภูมิปัญญาของโขนในลักษณะของความร่วมสมัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้พิจารณาจำแนกเนื้อหาโดยใช้กรอบการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดเป็นประเด็นต่าง ๆ ต่อแนวทางการสร้างสรรค์ ซึ่งระบุออกเป็น 3 สาระสำคัญ ได้แก่ สารัตถะแห่งความเป็นปัจเจก สารัตถะด้านสังคมกับวัฒนธรรม และสารัตถะเหนือสภาวะผัสสะ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270737
การทำงานที่บ้านของพนักงานกลุ่ม Gen Y
2024-01-25T05:29:34+07:00
เอกรินทร์ ศิโรรัตนชัย
[email protected]
<p>การทำงานที่บ้าน (Work from home) คือ การทำงานจากสถานที่ใดก็ได้ ซึ่งเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากในอดีต จนกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่หลายคนคุ้นเคย จากสถานการณ์ช่วงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้เห็นว่าในอนาคตการทำงานแบบ Work from home มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่าหลังจากการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงคนส่วนใหญ่จะทำงานจากที่บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในเจเนอเรชั่นวาน (Gen Y) ที่มีอายุระหว่าง 21 - 41 ปี มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ 11 ชั่วโมง 52 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานที่บ้าน (Work from home) ดังนั้น Gen Y จึงเป็นกลุ่มช่วงอายุที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นสัดส่วนของประชากรสูงสุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับ Generation ซึ่งคน Gen Y เกิดมาในท่ามกลางของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการบริหารคน Gen Y ยังมีความท้าทายอยู่พอสมควรเนื่องจากคน Gen Y มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทำให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทนั้น ๆ จึงต้องหาแนวทางหรือนโยบายเพื่อบริหารงานคน Gen Y ไม่ว่าจะเป็นการรักษาให้คนกลุ่มนี้พึงพอใจในองค์กรเพื่อเป็นการลดอัตราการลาออก อีกทั้งยังช่วยในการดึงดูดคนกลุ่มนี้ให้สนใจที่จะเข้ามาร่วมงานกับองค์กร</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/270738
การบริหารจัดการที่ดินตามนโยบายรัฐบาลด้วยโครงการบอกดิน
2024-01-25T05:34:06+07:00
จักรพงศ์ ชื่นดวง
[email protected]
<p>การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมเป็นภารกิจของทุกรัฐบาล<br>ที่ผ่านมา ในรัฐบาลปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการด้านทรัพยากรที่ดินของประเทศ กรมที่ดินมีภารกิจในการจัดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและนโยบายของรัฐบาล โดยจัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนที่ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หรือมีน้อยไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ พร้อมจัดสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความเข้มแข็งของชุมชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายอย่างยั่งยืนภายใต้วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง กรมที่ดินจึงได้ดำเนินการจัดที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนตามโครงการบอกดินเพื่อนำข้อมูลที่ดินของประชาชนมาบริหารจัดการที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นการจัดระเบียบการถือครองที่ดินของรัฐและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด<strong> </strong></p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์