https://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/issue/feedวารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน2025-03-04T09:17:47+07:00ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาinnoobecjournal@gmail.comOpen Journal Systems<p><strong> </strong><strong>วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน (</strong><strong>Basic Education Research Journal) เป็นวารสารที่รองรับการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดออกวารสาร</strong><strong>ปีละ </strong><strong>2 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน (เผยแพร่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน) <br /></strong><strong>ฉบับที่ 2 </strong><strong>กรกฎาคม - ธันวาคม (เผยแพร่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม)</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li class="show">1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่บทความวิจัยของครูและบุคลากรทางการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหน่วยงานภายนอกในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน</li> <li class="show">2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอองค์ความรู้ที่ได้จากบทความวิจัย</li> </ol> <p><strong>Focus & Scope </strong></p> <p> วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนโยบายในการเป็นสื่อกลาง เผยแพร่บทความวิจัยที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการนำองค์ความรู้ที่ผ่านกระบวนการวิจัยไปสู่การปฏิบัติ นสถานศึกษา ชุมชน สังคม มีขอบเขตเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน</p> <p><strong>การพิจารณากลั่นกรองบทความ </strong></p> <p>วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหลักเกณฑ์การพิจารณา เพื่อตีพิมพ์เป็นวารสารฉบับออนไลน์บนเว็บไซต์ ดังนี้<br />1.บทความวิจัยจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุม หรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น<br />2.บทความวิจัยต้องผ่านการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการ ก่อนส่งให้ผู้ประเมิน<br />3.บทความวิจัยที่รับพิจารณาตีพิมพ์ต้องผ่านการประเมินจากผู้ประเมินในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) อย่างน้อยสองคน หากมีผลแตกต่างกัน ทางกองบรรณาธิการจะส่งให้ผู้ประเมินคนที่สาม ซึ่งกระบวนการประเมินนี้ทั้งผู้ประเมินและผู้นิพนธ์จะไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review) และกองบรรณาธิการแจ้งผลการประเมินให้ผู้นิพนธ์ทราบ โดยผู้นิพนธ์ต้องแก้ไขบทความวิจัยในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่ ตามที่ผู้ประเมินให้ข้อเสนอแนะ โดยผ่านกองบรรณาธิการ เพื่อความสมบูรณ์ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่ จึงจะได้รับหนังสือตอบรับการตีพิมพ์นับตั้งแต่วันที่ได้รับผลการประเมินและถือเป็นที่สิ้นสุด</p> <p><strong>คำแนะนำผู้นิพนธ์</strong></p> <p>ผู้นิพนธ์ต้องไม่รายงานข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อมูลเท็จ หรือการปลอมแปลง บิดเบือน รวมไปถึงการตกแต่ง หรือเลือกแสดงข้อมูลเฉพาะที่สอดคล้องกับข้อสรุป ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งผู้นิพนธ์จะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมการวิจัยอย่างเคร่งครัด</p> <p><strong>การตรวจสอบบทความ และพิสูจน์อักษร</strong></p> <p> วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมทางวิชาการ (อักขรวิสุทธิ์) และการตรวจสอบการคัดลอกเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ CopyCatch (Copyright, Academic Work and Thesis Checking System) โดยจะต้องมีระดับความซ้ำซ้อน ไม่เกิน 20% </p> <p><strong>อัตราค่าใช้จ่ายในการรับบทความเพื่อตีพิมพ์</strong></p> <p> ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ในวารสาร </p>https://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278275การพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูด้วยกระบวนการเสริมพลังอำนาจผ่านการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 22024-11-13T16:01:53+07:00ไพศาล วงค์กระโซ่ Paisan Wongkrasosuksasart@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู พัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโดยใช้กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจครูด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครูและบริบทโรงเรียนภายหลังการใช้กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน เน้นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างคือ ครู จำนวน 40 คน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและปัญหาของสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูอยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการพัฒนาอยู่ในระดับมาก 2) ภายหลังการใช้กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจครู ครูมีสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในตัวครูด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ และการปฏิบัติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบริบทโรงเรียนที่ส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจครูด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมสามารถพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> This research aimed to 1) study the current state and problems of teachers' active learning competency, 2) develop teachers' active learning competency through an empowerment process using participatory action research, and 3) examine the changes in teachers and school contexts after implementing the teacher empowerment process under Chanthaburi Primary Educational Service Area Office 2. The study used a mixed-methods research design, emphasizing participatory action research. The sample consisted of 40 teachers. The results showed that<br /> 1) the current state and problems of teachers' active learning competency were at a moderate level, with a high level of development needs, 2) after implementing the teacher empowerment process, teachers' active learning competency was significantly higher than before the development at the .05 level, and 3) positive changes occurred in teachers' knowledge, skills, attitudes, and practices, as well as in school contexts that promoted professional learning communities. This research demonstrates that the teacher empowerment process through participatory action research can effectively develop teachers' active learning competency.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278008แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุขตามแนวคิดของยูเนสโก โรงเรียนวัดสำโรง (หิรัญราษฎร์ภักดีวิทยา) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 12024-09-30T10:45:39+07:00ฐิติกรณ์ อาจะสมิต Thitikorn Ajasamit, ณรงค์ศักดิ์ สันทัดเลขา Narongsuk Suntudleka, สุวิตรา บุญแจ้ง Suwitra Bunjangthitikorn.aj@ku.th<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันกับสภาพที่พึงประสงค์ และแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุขของโรงเรียนวัดสำโรง (หิรัญราษฎร์ภักดีวิทยา) ตามแนวคิดของยูเนสโก ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 32 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุขในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยค่าดัชนีความต้องการจำเป็นที่อยู่ในอันดับสูงสุดเป็นด้านสถานที่ รองลงมาคือ ด้านกระบวนการ และด้านคน ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข ประกอบด้วย หลักการพัฒนา วัตถุประสงค์ แนวทางการพัฒนา และเงื่อนไขความสำเร็จ มีหลักการ 4 ด้าน คือ หลักความยุติธรรม หลักจิตวิทยาเชิงบวก หลักความยืดหยุ่น และหลักความเป็นอยู่ที่ดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข และแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนแห่งความสุข ประกอบด้วย แนวทางการพัฒนาด้านสถานที่ ด้านกระบวนการ และด้านคน ส่วนเงื่อนไขความสำเร็จ ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของชุมชน ภาวะผู้นำของผู้บริหาร ทรัพยากร ในการทำงาน และค่านิยมร่วมขององค์กร</p> <p> The purposes of this research were to: 1) study the degree of success and important conditions for developing Wat Samrong School (Hirunratrphakdi Wittaya) into a "Happy School" based on the UNESCO concept, and 2) propose guidelines for development of Happy School, following the same concept. The study involved 32 participants, including school administrators and teachers, along with five experts. The tools were a questionnaire and a semi-structured interview. The data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation, the priority needs index (PNI<sub>modified</sub>), and content analysis.<br /> The results of this research were as follows: 1) The degree of success conditions for developing the school into a Happy School were rated at a moderate level overall, while the important conditions were rated at a high level. The highest priority need index was for the place, followed by the process and people, respectively. 2) The proposed development guidelines include principles, objectives, guidelines, and conditions for success. The four key principles are Justice, positive psychology, flexibility, and well-being, with the objective of transforming the school into a Happy School. The development guidelines were focus on three areas: place, process, and people. The conditions for success include community involvement, leadership of administrators, resources for work, and shared organizational values.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277984แนวทางการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น2024-09-28T21:13:52+07:00วัทธิกร โพธิ์ชัยโถ Watthikorn Phochaitonayniwat101@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ปีการศึกษา 2567 จำนวน 119 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสนทนากลุ่ม ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม จำนวน 9 คน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากไปน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความกตัญญู รองลงมาคือ ด้านความประหยัด ด้านความมีน้ำใจ ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความมีวินัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านความรับผิดชอบ 2) แนวทางการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยาลัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น คือ (1) ด้านความมีวินัย สถานศึกษาควรสร้างข้อตกลงด้านความมีระเบียบวินัยร่วมกัน เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน (2) ด้านความซื่อสัตย์ สถานศึกษาควรสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนไม่ขโมยสิ่งของ/เงินทองของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ไม่ทุจริตในการสอบ (3) ด้านความกตัญญู สถานศึกษาควรจัดกิจกรรมวันกตัญญูกตเวที แสดงความเคารพต่อผู้มีพระคุณ<br />เช่น ครู อาจารย์ พ่อแม่ มีการส่งเสริมให้ตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการตั้งใจเรียน (4) ด้านความรับผิดชอบ สถานศึกษาควรปลูกฝังให้นักเรียนรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย เอาใจใส่ จดจ่อตั้งใจ มุ่งมั่นต่อหน้าที่การงาน กล้ารับผิดเมื่อตนเองกระทำผิด (5) ด้านความประหยัด สถานศึกษาควรส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการประหยัดอดออม จัดโครงการธนาคารโรงเรียน และ (6) ด้านความมีน้ำใจ สถานศึกษาควรมีการจัดกิจกรรมการบำเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมจิตอาสา ปลูกฝังการรู้จักแบ่งปัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น</p> <p> This research aimed to study the morality ethics among students at Khonkaen Wittayalai School and explore guidelines for developing morality and ethics among students at Khonkaen Wittayalai School. The study employed quantitative and qualitative research methodologies. The research sample consisted of 119 participants, including administrators, teachers, staff, and parents of students at Khonkaen Wittayalai School in the academic year 2024. A questionnaire was used as the research instrument, and data were analyzed using mean and standard deviation and focus group discussions. Additionally, structured interviews were conducted with 9 experts experienced in promoting morality and ethics. Data were analyzed using content analysis.<br /> The research findings revealed that : 1) Overall, the opinions of morality and ethics among students at Khonkaen Wittayalai School was high. When considering each dimension, the highest mean score was in the dimension of gratitude, followed by frugality, kindness, honesty, and discipline. The lowest mean score was in the dimension of responsibility. 2) The guidelines to develop the morality and ethics of students at Khonkaen Wittayalai School include: (1) For discipline, the school should establish a mutual agreement on discipline regarding adherence to school rules and regulations. (2) For honesty, the school should cultivate a sense of honesty among students by preventing theft and cheating. (3) For gratitude, the school should organize gratitude activities for Gratitude Day, such as showing respect to teachers, parents, and other benefactors, and encouraging students to repay their gratitude by being committed to their studies. (4) For responsibility, the school should instill in students a sense of responsibility for assigned tasks, encouraging focus, dedication, and accountability for their duties, including the courage to admit mistakes when they occur. (5) For frugality, the school should promote the value and benefits of saving and establish a school bank project. (6) For kindness, the school should organize community service activities, volunteerism, and foster a spirit of sharing and kindness towards others.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277998ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 12024-11-08T14:12:35+07:00ประสิทธิ์ สารีนาค Prasit Sareenakprasit.sareenak@outlook.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 306 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Taro Yamane จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ด้านการสร้างบรรยากาศส่งเสริมนวัตกรรม ด้านวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม ด้านความกล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ และด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์ และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน<br /> </p> <p> The objectives of this research were to 1) study the innovative leadership of school administrators under Sukhothai Primary Educational Service Area Office 1 and 2) compare the innovative leadership of school administrators under Sukhothai Primary Educational Service Area Office 1, as classified by school size.The sample consisted of 306 teachers in schools under Sukhothai Primary Educational Service Area Office 1, during the 2022 academic year, determined by using Taro Yamane’s Sample Size formula, and then obtained by stratified random sampling based on school size. The employed research instrument was a questionnaire on innovative leadership of the school administrators, with a reliability coefficient of .99. The statistics employed for data analysis were the mean, standard deviation, and one-way ANOVA.<br /> The research findings revealed that (1) both the overall and specific aspects of innovative leadership of school administrators under Sukhothai Primary Educational Service Area Office 1 were rated at the high level, which the specific aspects being ranked based on their rating means from top to bottom were as follows: that of creating learning networks, that of creating an atmosphere of innovation promotion, that of innovative vision, that of risk-taking and decision-making, and that of creative thinking skills; and 2) regarding the comparison of innovative leadership of school administrators, as classified by school size, it was found that overall, there was no a statistically significant difference.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277809ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดนราธิวาส2024-11-08T13:58:46+07:00ฮาลีลี่ อิบราฮิม Haleely Ibrahim haleelyibrahim@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 4) เพื่อศึกษาอำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 184 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random) เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยค่าความเชื่อมั่นแบ่งเป็น 2 ชุด 1) แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .914 และ 2) แบบสอบถามการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .913 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบคัดเลือกเข้า<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ตัวแปรพยากรณ์ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดนราธิวาส มีตัวแปรอิสระ 2 ตัว คือ การเป็นพลเมืองดิจิทัล และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาแก้ปัญหา โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ .560 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 สามารถนำมาเขียนในรูปสมการดังนี้</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p> <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\widehat{Y}" alt="equation" /> <em> </em> = 1.453 + .090 (X<sub>1</sub>) + .082 (X<sub>2</sub>) + .256(X<sub>3</sub>)** + .186 (X<sub>4</sub>)** + .048(X<sub>5</sub>)</p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p> <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\widehat{z}" alt="equation" /> y <em> </em>= .127 (X<sub>1</sub>) + .119 (X<sub>2</sub>) + .363(X<sub>3</sub>) + .236(X<sub>4</sub>) + .065(X<sub>5</sub>)<br /><br /></p> <p> The purposes of this research were (1) to study the level of digital leadership of primary school administrators<u>;</u> (2) to study the level of use of information technology in the management of primary school administrators; (3) to study the relationship between digital leadership and use of information technology in the management of primary school administrators; and (4) to study the digital leadership that affects the use of information technology in the management of primary school administrators in Narathiwat province. The sample of this research was 184 school administrators. The instrument research was a questionnaire divided into 2 sets: 1) The digital leadership questionnaire of school administrators has a reliability is .914., and 2) The questionnaire on the use of information technology in the management of school administrators has a reliability is .913. Statistics used in data analysis include mean, standard deviation, Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient, and enter multiple regression analysis.<br /> The results of the study were as follows: 1) The digital leadership of primary school administrators was at a high level, 2) The use of information technology in the management of primary school administrators was at a high level, 3) The digital leadership and the use of information technology in the management of primary school administrators, there was a high level of positive correlation, statistically significant at .01 level, and 4) The predictive variables for digital leadership of school administrators that affect the use of information technology in the management of primary school administrators in Narathiwat province, were two independent variables: the digital citizen and the ability to use digital technology to solve problems, the forecast coefficient (R2) is at .560 statistically significant at .01 level. </p> <p>Unstandardized score</p> <p> <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\widehat{Y}" alt="equation" /> <em> </em> = 1.453 + .090 (X<sub>1</sub>) + .082 (X<sub>2</sub>) + .256(X<sub>3</sub>)** + .186 (X<sub>4</sub>)** + .048(X<sub>5</sub>)</p> <p> Standardized score</p> <p><em> <img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\widehat{z}" alt="equation" /> y </em> <em> </em>= .127 (X<sub>1</sub>) + .119 (X<sub>2</sub>) + .363(X<sub>3</sub>) + .236(X<sub>4</sub>) + .065(X<sub>5</sub>)</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278212สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการ2024-11-13T15:52:54+07:00ชาญชัย ก้อใจ Chanchai Gorjaitoyboynoom@gmail.comขจรศักดิ์ บัวระพันธ์ Khajornsak Buaraphankhajornsak.bua@mahidol.ac.th<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการและ 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลแบบผสมวิธี กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการสำรวจ คือ ครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จำนวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 35 คน กลุ่มผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม คือ ครูผู้สอน จำนวน 8 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 7 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบบันทึกสนทนากลุ่ม ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยายและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis) <br /> ผลการวิจัยพบว่า ครูมีระดับความคิดเห็นด้านปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.83, S.D. = 0.145) และความต้องการ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.11, S.D. = 0.159) นักเรียนที่ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นด้านปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.04, S.D. = 0.143) และความต้องการ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.35, S.D. = 0.199) ครูที่เข้าร่วมการสนทนากลุ่มระบุปัญหาผู้เรียนขาดทักษะของการคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ อีกทั้งไม่สามารถเชื่อมโยงบริบทท้องถิ่นกับเนื้อหาการเรียนรู้ ครูต้องการการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน โดยใช้บริบทท้องถิ่นที่เน้นการศึกษาเพื่อการประกอบการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน นักเรียนระบุปัญหาการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน และความต้องการเรียนรู้บริบทท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่น ผู้วิจัยสังเคราะห์ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์โดยใช้บริบทท้องถิ่นเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการได้ 7 ขั้นตอน คือ 1) นำเสนอบริบทท้องถิ่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ 2) ระบุปัญหาและร่วมกันทำความเข้าใจบริบท 3) วางแผนและลงมือสร้างสรรค์บูรณาการการประกอบการ4) นำเสนอผลงานและวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ 5) สรุปองค์ความรู้จากบริบท 6) ประยุกต์ใช้ความรู้สู่การประกอบการ และ 7) ประเมินผลการเรียนรู้<br /><br /> The objectives of this research are 1) to explore the current situation, problems, and needs of teaching with contextual creativity-based learning with entrepreneurship education, and 2) to develop a contextual creativity-based learning with entrepreneurship education model. The researcher collected data using a mixed-methods approach. The survey participants included 30 teachers from Chiang Rai Primary Education Service Area Office 3 and 35 Grade 11 students. The focus group participants consisted of 8 teachers and 7 Grade 11 students. The research tools used were questionnaires and focus group discussion. Quantitative data were analyzed using descriptive statistics, while qualitative data were analyzed using thematic analysis. <br /> The research results showed that the teachers rated the problems regarding contextual creativity-based learning with entrepreneurship education at a moderate level ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.83, SD = 0.145), and the needs at a high level ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.11, SD = 0.159). The students who responded to the questionnaire rated the problems at a moderate level ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.04, SD = 0.143), and the needs at a high level ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.35, SD = 0.199). Teachers in the focus group identified issues such as students lacking critical and creative thinking skills, and difficulties in linking contents with diverse local contexts. Teachers expressed a need for creative-based learning management that uses local contexts to promote entrepreneurial education for sustainable local development. Students in the focus group reported a lack of creative thinking and expressed a need for learning management that applies local context to promote local development. The researcher synthesized literature and formulated a seven-step process for contextual creativity-based learning with entrepreneurship education: 1) Introduction, 2) Identification, 3) Initiation, 4) Sharing, 5) Summarization, 6) Extension, and 7) Evaluation.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278032กลไกการพัฒนาวัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ตามแนวคิด SIPOC MODEL2024-11-11T15:23:24+07:00 ธารารัตน์ โพธิ์ศรีเรือง Tararat Posriruang, ดาวรุวรรณ ถวิลการ Dawruwan Thawinkarntararat.p@kkumail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้วัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาวัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา 3) สร้างและประเมินกลไกการพัฒนาวัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ตามแนวคิด SIPOC MODEL กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 454 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงทั้งฉบับเท่ากับ 0.981 <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) วัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา มี 4 องค์ประกอบ 14 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ โครงสร้างองค์กรแบบมีชีวิต ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม การพร้อมรับความเสี่ยง และวิถีปฏิบัตินวัตกรรม 2) ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นของวัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม (PNI Modified = 0.27) กลไกการพัฒนาวัฒนธรรมนวัตกรรมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ตามแนวคิด SIPOC MODEL มีองค์ประกอบ (1) ด้านผู้ส่งมอบปัจจัยนำเข้า (Suppliers) ประกอบไปด้วย หน่วยงานต้นสังกัด และสถานศึกษา (2) ด้านปัจจัยนำเข้า (Inputs) ประกอบไปด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน (3) ด้านกระบวนการทำงาน (Process) ประกอบด้วย ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม วิถีปฏิบัตินวัตกรรม โครงสร้างองค์กรแบบมีชีวิต และการพร้อมรับความเสี่ยง (4) ด้านผลลัพธ์ (Outputs) ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู และนักเรียน (5) และด้านผู้รับบริการ (Customers) ประกอบด้วย สถานศึกษาอื่นๆ สถานประกอบการ และชุมชน มีผลการประเมินความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277783การศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีนในจังหวัดเพชรบูรณ์2024-09-23T22:33:44+07:00สุรพิชญ์ วงศ์น้อย Surapit Wongnoi, มนัสรัชฏ์ คำฟัก Maratsarat Kamfak laoshi.naek@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความต้องการและแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีนในจังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ครูสอนภาษาจีนในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 69 คน ได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีนในจังหวัดเพชรบูรณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br /> ผลการศึกษา พบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ผลการศึกษาความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีนในจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ได้ดังนี้ 1) ด้านความศรัทธาในวิชาชีพครู </span><span style="font-size: 0.875rem;">2) ด้านการพัฒนาตนเองในวิชาชีพ 3) ด้านการจัดการเรียนการสอน เทคนิควิธีการสอนและการใช้สื่อเทคโนโลยี 4) ด้านการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ และ 5) ด้านความรู้ทางภาษาและวัฒนธรรมจีน ตามลำดับ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลการศึกษาแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนจังหวัดเพชรบูรณ์ พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่ควรจัดอบรม ประชุมเชิงปฏิบัติการในการพัฒนาสมรรถนะของครูสอนภาษาจีน ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูสอนภาษาจีนร่วมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) </span><span style="font-size: 0.875rem;">ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมให้ครูสอนภาษาจีนได้อบรมพัฒนาตนเองอยู่เสมอ<br /></span></p> <p> This research aim was to explore the needs and guidelines in developing competencies of Chinese language teachers under Phetchabun province. A sample of 65 Chinese language teachers was purposive election. The instruments were needs questionnaires and the data was analyzed using frequencies, percentages and standard deviations (SD). Consequently, the research findings reveal as follows:<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. Overall, the sample’ needs on competency growth were at a high level, sorted from faith in teaching profession, professional development, learning management, teaching techniques and technology used, assessment and evaluation of students’ learning outcomes, and Chinese language and culture respectively.<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. Guidelines of competency development, found that, the educational service area office should launch workshops for bettering the teachers’ aptitude. In addition, school directors should promote the teachers to partake in Professional Learning Community (PLC) in which they can share expertise as well as to join the trainings regularly.</span></p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278780การจัดการเรียนรู้แบบสตรีมที่เน้นการสร้างสรรค์เป็นฐานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น : สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ2024-11-13T16:14:49+07:00อรพิน ควรสุวรรณ Orapin Quansuwan, ขจรศักดิ์ บัวระพันธ์ Khajornsak Buaraphan starmail.onn@gmail.com<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบสตรีมที่เน้นการสร้างสรรค์เป็นฐานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 2) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสตรีมที่เน้นการสร้างสรรค์เป็นฐานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลแบบผสมวิธีด้วยการสำรวจและการสนทนากลุ่ม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการสำรวจ คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดลำปาง 42 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ 95 คน ผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 10 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ 10 คน ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยายและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธี การวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis) <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทั้งครูและนักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาและการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากมีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ 2) ครูและนักเรียนมีความคิดเห็นว่า นักเรียนและโรงเรียนยังไม่พร้อมต่อการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาและการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิดสร้างสรรค์เท่าที่ควร 3) ครูและนักเรียนต้องการการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาที่เน้นการคิดสร้างสรรค์ โดยนักเรียนและโรงเรียนต้องพัฒนาความพร้อมอย่างเพียงพอ จากนั้นผู้วิจัยสังเคราะห์ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้การเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสตรีมที่เน้นการสร้างสรรค์เป็นฐานบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น (Creative Local Wisdom-based STREAM: CLW-STREAM) ได้ 6 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้นแรงบันดาลใจการสร้างสรรค์ด้วยสถานการณ์ปัญหาที่พบในชีวิตจริง ขั้นตอนที่ 2 ร่วมกันระบุและทำความเข้าใจปัญหา ขั้นตอนที่ 3 ออกแบบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ขั้นตอนที่ 4 ทดสอบ ประเมิน และปรับปรุง ขั้นตอนที่ 5 นำเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ และขั้นตอนที่ 6 ประยุกต์ใช้ความรู้<br /><br /> This research aims to 1) study the current situation, problems, and needs related to Creative Local Wisdom-based STREAM teaching model (CLW-STREAM), and 2) develop the CLW-STREAM teaching model. The researcher collected data using a mixed-methods approach, combining surveys and focus group discussions. The survey participants included 42 science teachers from secondary schools in Lampang Province under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office of Lampang-Lamphun, and 95 Grade 10 science-mathematics students. The focus group participants included 10 science teachers and 10 Grade 10 students. <br />The researcher analyzed the quantitative data and qualitative data by using descriptive statistics and thematic analysis, respectively. <br /> The research findings revealed that: both teachers and students recognized the importance of STEM education and creativity-based learning as they found it interesting and beneficial. Teachers and students stated that neither students nor schools were fully prepared for STEM education and creativity-based learning. Both teachers and students expressed a desire for STEM education and creativity-based learning. Students wanted to develop their readiness for STEM and creative learning, while schools and teachers sought readiness for implementing STEM education. The researchers then analyzed relevant literature to draft a CLW-STREAM model, which consists of six steps: Stimulate creativity through local problem; Identify and understand problem; Creative design; Test, evaluate, and improve; Share creatively; and Apply knowledge.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/278034การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการบูรณาการความรู้ที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง สถิติ วิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 22024-09-30T22:40:32+07:00กิจการ กิติกา Kitjagarn Kitigaclassroomteacherkit@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการบูรณาการความรู้ที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง สถิติ วิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 ถึง 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบทดสอบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบสำรวจความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบ ได้แก่ ชุดแผนการจัดการเรียนรู้ชุดเอกสารประกอบ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เทคนิคการบูรณาการความรู้ และการส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 82.16/80.14 และค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.60 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) ผลการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และ 5) ผลการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้รูปแบบมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</p> <p> The main purpose of this research was to develop the learning management model using by problem-based learning and integrated learning promote to critical thinking on statistical in basic mathematics 4 for matthayom sueksa 2 students. The research used <br />mix method combines elements of quantitative research and qualitative research using by research and development from semester academic year 2021 to 2023. The research instruments were the questionnaires, interview form, focus group guideline, learning management model, achievement test and critical thinking test. The data was analyzed by percentage, mean, standard deviation, t-test and content analysis.<br /> The research result were as follows: 1) Learning management model using by problem-based learning and integrated learning promote to critical thinking on statistical in basic mathematics 4 for matthayom sueksa 2 students consisted of the set of learning management plans, the set of learning documents for plan, problem-based learning, integrated learning, the promoting to critical thinking 2) The efficiency of this model was 82.16/80.14 and the effectiveness was 0.60 3) Students’ achievement, after the learning were statistically higher than previously with significant at 0.05 level 4) Students’ critical thinking has 2.53 with a very good level and 5) Students’ satisfaction toward the using this model in overall was 4.29 with a good level.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277847การจัดการเรียนรู้ตามแนวเชิงรุกบูรณาการทฤษฎีการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับส่งเสริมทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ในชีวิตประจำวัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ PCAKC 5 Act – Math Model2024-11-08T14:05:09+07:00จุลฌาณ พากเพียร Julchan Pakpainjatupakp@gmail.com<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวเชิงรุก (Active Learning) บูรณาการทฤษฎีการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์สำหรับส่งเสริมทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละในชีวิตประจำวัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย จำนวนทั้งสิ้น 120 คน ดำเนินการวัดก่อนและหลังการดำเนินกิจกรรม ตัวแปรตาม คือ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบทดสอบทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละในชีวิตประจำวัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนการดำเนินกิจกรรมและคะแนนเฉลี่ยหลังการดำเนินกิจกรรมโดยใช้สถิติ t-test แบบ dependent<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละในชีวิตประจำวันชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปรากฏว่า ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์และค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละในชีวิตประจำวันชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการดำเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วย PCAKC 5 Act – Math Model สูงกว่าก่อนการดำเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วย PCAKC 5 Act – Math Model อีกทั้งยังสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br /><br /> This research aimed to study the effect of using the Active Learning model, integrating the theory of mathematics learning to promote mathematics skills and processes on the topic of ratios and percentages in daily life for grade 7 Students. The sample group was obtained by simple random sampling, totaling 120 students. The measurements were conducted before and after the activities. The dependent variables were mathematics skills and processes and mathematics learning achievement. The research instruments were a mathematics skills and processes test and an achievement test on the topic of ratios and percentages in daily life for grade 7 Students. The average scores before and after the activities were compared using the dependent t -test.<br /> The research results found that The results of the comparison of the average of mathematical skills and processes <br />and academic achievement on the subject of ratio and percentage in daily life, grade 7 Students showed that the results of the comparison of the average of mathematical skills and processes and academic achievement on the subject of ratio and percentage in daily life, grade 7 Students after the implementation of the learning management</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/273041การพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลเชิงพีชคณิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับการประเมินเพื่อการเรียนรู้2024-11-08T13:43:41+07:00อัครพล พรมตรุษ Akkarapon Promtrudpromtrud.research@gmail.com<p> การให้เหตุผลเชิงพีชคณิตมีความสำคัญต่อการพัฒนาการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงพีชคณิตจะมีอุปสรรคในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์น้อยกว่า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน (classroom research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีการแบบเปิดร่วมกับการประเมินเพื่อการเรียนรู้ที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลเชิงพีชคณิต กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสวรรค์อนันต์วิทยา 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน วิเคราะห์การเปรียบเทียบความสามรถด้วยสถิติทดสอบวิลคอกซัน (Wilcoxon Signed Rank Test) วิเคราะห์พฤติกรรมและความคิดเห็นด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการให้เหตุผลเชิงพีชคณิตหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) วิธีการแบบเปิดกระตุ้นให้นักเรียนสร้างข้อสรุปเชิงเหตุผลอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีผลต่อกระบวนการคิดวิเคราะห์มากที่สุด การให้นักเรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนและประเมินผลงานทำให้นักเรียนเห็นข้อแตกต่างของวิธีการคิดซึ่งเป็นการขยายฐานความรู้ความเข้าใจจากขั้นเรียนรู้ด้วยตนเอง 3) นักเรียนมีความคิดเห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้ส่งผลต่อกระบวนการคิด ความเข้าใจ และการสื่อสาร อีกทั้งทำให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกต่อการเรียนรู้ ทั้งนี้ ควรเพิ่มระยะเวลาในขั้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง การทบทวนทั้งหมดหลังเรียนครบทุกกิจกรรม และการเปลี่ยนกลุ่มในแต่ละกิจกรรม รวมทั้งอาจมีกิจกรรมให้ได้เล่นสนุกร่วมกันทุกกลุ่ม<br /><br /> Algebraic reasoning is important for developing mathematical reasoning. Students who are better at algebraic reasoning have fewer barriers to learning mathematics. This research is classroom research. The objectives were to study the effect of using open approach together with assessment for learning on algebraic reasoning ability. The target group was a group of 20 students who were studying in 7<sup>th</sup> grade enrolled in the 2<sup>nd</sup> semester of 2023 academic year at Sawanananwittaya 2 School. Ability comparisons were analyzed using Wilcoxon test statistics, behavior and opinions were analyzed using content analysis.<br /> The results showed that: 1) algebraic reasoning, as the post-learning result was significantly higher than before the experiment at the .05 level of significance, 2) The open approach encourages students to naturally draw logical conclusions. It has the greatest impact on the analytical thinking process. Allowing students to discuss, exchange and evaluate their work allows students to see differences in thinking methods, which expands their knowledge base and understanding from the self-learning stage, and 3) Students are of the opinion that learning activities affect their thinking, understanding, and communication processes. It also creates positive feelings towards learning. In this regard, the time in the self-learning stage should be increased. All reviews after all activities have been completed. and changing groups in each activity There may also be activities for all groups to have fun together.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/275767การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย2024-11-08T13:51:33+07:00เกณิกา บริบูรณ์ kenika boriboontoeynfe@gmail.com<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1. ศึกษาคะแนนพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง โดยใช้การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง ก่อนและหลังการใช้การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 3. ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง โดยใช้การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 6 จำนวน 42 คน โดยการใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง และแบบประเมินความความพึงพอใจในการเรียนวรรณคดีร้อยกรองสถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ t-test dependent<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย มีคะแนนพัฒนาการเฉลี่ยวรรณคดีร้อยกรองหลังเรียนเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน คือ 4.79 คิดเป็นร้อยละ 15.95 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์วรรณคดีร้อยกรอง ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจในการเรียนวรรณคดีร้อยกรอง โดยใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> This research aims to; 1) study the achievement in poetry literature through problem-based learning. 2) compare the achievement in poetry literature before and after using problem-based learning. 3) study the satisfaction of Grade 11 student Satri Si Suriyothai School in poetry literature learning through problem-based learning. The research population is 278 of Grade 11 students in 2023 academic year. The sample is 42 students of Grade 11 in 2023 academic year that using the purposive selection method. The instructions used in the research include: the problem-based learning lesson plans, the poetry literature learning achievement test and the satisfaction in studying the poetry literature learning. The statistics used in data analysis include percentage, mean, standard deviation, and t-test dependent.<br /> The research results show that 1) the average growth score in poetry literature was 4.79 (15.95 percentage) 2) the average score of post-study achievement in poetry literature of Grade 11 student Satri Si Suriyothai School was significantly higher than before learning at .05 level. 3)The satisfaction of Grade 11 student, Satri Si Suriyothai School in poetry literature learning through problem-based learning were the highest level.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐานhttps://so06.tci-thaijo.org/index.php/obecresearch/article/view/277996ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการบันได 7 ขั้น เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพ่วงพรมครวิทยา2024-09-29T22:44:36+07:00ธนาธิป รัตนพันธ์ Thanatip Rattanapanthanatiprtnp@gmail.com<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ 2) ศึกษาความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อมของนักเรียน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพ่วงพรมครวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึก<span style="font-size: 0.875rem;">ษา 2566 </span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียน จำนวน 21 คน เครื่องมือ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ใช้ในงานวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แบบทดสอบ</span>วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ การเก็บรวบรวมข้อมูล เริ่มจากการทดสอบก่อนการทดลอง ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการบันได 7 ขั้น ขั้นที่ 1 สำรวจและค้นหาประเด็น ขั้นที่ 2 หาความรู้ฐาน ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ขั้นที่ 4 เรียนรู้สถานการณ์และกำหนดทางเลือก ขั้นที่ 5 วางแผนการจัดการ ขั้นที่ 6 ออกปฏิบัติ และขั้นที่ 7 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทดสอบหลังการทดลอง ประเมินความพึงพอใจ และประเมินความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ t – test dependent วิเคราะห์ผลการประเมินความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม และความพึงพอใจของนักเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" /> ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมาย<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลการประเมินความเป็นพลเมืองสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับดีมาก และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> The objectives of this research were: 1) to compare the academic achievement in the topic of natural resources and environmental management before and after the learning management intervention, 2) to study students' environmental citizenship after the learning intervention, and 3) to study students' satisfaction with the learning intervention. The sample group consisted of 21 Grade 10 students from Puangphromkhonwitthaya School during the second semester of the 2023 academic year, selected using simple random sampling, with one classroom as the sampling unit. The research tools included a learning management plan on natural resources and environmental management, an academic achievement test, an environmental citizenship assessment, and a satisfaction survey regarding the learning management. Data collection began with a pre-test, followed by the implementation of the 7-Step Ladder Process. The steps included: 1) identifying and exploring issues, 2) acquiring foundational knowledge, 3) analyzing relationships, 4) learning about the situation and setting options, 5) planning management, 6) taking action, and 7) sharing and exchanging knowledge. Afterward, a post-test, satisfaction survey, and environmental citizenship assessment were conducted. Data analysis involved comparing academic achievement using the dependent t-test, and evaluating environmental citizenship and student satisfaction using the mean (<img src="https://latex.codecogs.com/png.image?\dpi{110}\bar{x}" alt="equation" />) and standard deviation (S.D.), then interpreting the results against set criteria. <br /> The research findings indicated that: 1) the post-intervention academic achievement scores on natural resources and environmental management were significantly higher than pre-intervention scores at the .01 level, 2) the environmental citizenship evaluation was at a very good level, and 3) the students' satisfaction with the learning management was at the highest level.</p>2025-01-15T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน