https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/issue/feed ปัญญา 2025-08-31T21:09:13+07:00 ผศ.ดร. ตระกูล ชำนาญ dtk.chamnan@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสาร ปัญญา</strong> <br />มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ ในมิติที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่างๆ ดังนี้ 1) สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา 2) สาขาศึกษาศาสตร์ และ 3) สาขาสังคมศาสตร์ </p> https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/282158 รูปแบบการเสริมสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู ตามหลักการทรงงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้สถานศึกษาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 จังหวัดเชียงราย 2025-04-30T13:50:03+07:00 อนวัช อุ่นกอง anawat.rpg15@gmail.com <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น การเสริมสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูตามหลักการทรงงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้สถานศึกษาในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2) พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู 3) ทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินผลรูปแบบดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา ผู้ให้ข้อมูล คือครูและผู้บริหารโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 จำนวน 53 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็น โดยวิธี Modified Priority Need Index (PNI<sub>modified</sub>) ส่วนเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>สภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมาก ความต้องการจำเป็นทุกรายการ มีค่า PNI<sub>modified</sub> =0.28 โดยเรียงลำดับจากสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการพัฒนาวิชาชีพครู ด้านโครงสร้างสนับสนุน ด้านภาวะผู้นำทางวิชาการ ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านชุมชนกัลยาณมิตร ตามลำดับ</li> <li>รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการ ผลลัพธ์ และเงื่อนไขความสำเร็จ มีความครอบคลุมและความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า 1) ครูได้รับการนิเทศครบถ้วน และดำเนินการ PLC ครบ 5 ขั้น 3 วงรอบ 2) ความพึงพอใจของครูต่อการใช้รูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับจากมากไปน้อยได้แก่ ด้านการค้นหาปัญหาของนักเรียน ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และด้านการสร้างทีม PLC</li> <li>การประเมินผลรูปแบบด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283161 รูปแบบการเสริมสร้างความสุขด้วยศิลปะภาวนาแก่ผู้สูงอายุ 2025-04-30T14:13:04+07:00 ธนวุฒิ อินทนนท์ tanawut.yana@gmail.com อุดร แสงแก้ว tanawut.yana@gmail.com อินทร์วงค์ วงค์ไชยคำ tanawut.yana@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนะเกี่ยวกับความสุขของผู้สูงอายุในพระพุทธศาสนา 2) ศึกษาศิลปะภาวนาในพระพุทธศาสนาของผู้สูงอายุ 3) เสนอรูปแบบการเสริมสร้างความสุขด้วยศิลปะภาวนาแก่ผู้สูงอายุ รูปแบบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จำนวน 30 คน มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมฝึกฝนศิลปะภาวนาโดยเฉพาะการสร้างสรรค์ศิลปะมันดาลาเพื่อพัฒนาสุขภาวะทางใจ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>ความสุขของผู้สูงอายุในมิติพุทธศาสนา คือ ความพึงพอใจที่เกิดจากการดำรงชีวิตอย่างรู้เท่าทันและสามารถปล่อยวางได้ ศิลปะภาวนาโดยเฉพาะกิจกรรมมันดาลา ช่วยให้ผู้สูงอายุเกิดสมาธิ สติ และสามารถระงับอารมณ์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัยได้รับการพัฒนาอย่างชัดเจนรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นนำ (การกระตุ้นความสนใจ) 2) ขั้นสอน (การอธิบายแนวคิดมันดาลา) 3) ขั้นปฏิบัติ (การเจริญสมาธิและวาดภาพ) และ 4) ขั้นสรุป (การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และประเมินผล) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุ ดังนั้น ศิลปะภาวนาในฐานะกระบวนการเสริมสร้างความสุขจึงควรได้รับการส่งเสริมในระดับชุมชนและนโยบาย </p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/282991 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อนคู่คิดผู้สูงวัย เพื่อสร้างเสริมทักษะทางด้านสื่อ สารสนเทศ เทคโนโลยีและดิจิทัล 2025-05-13T16:13:00+07:00 พิชญาภา ยวงสร้อย khunnueng09@gmail.com พีรเดช บุญรอด peeradech88@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อนคู่คิดผู้สูงวัย เพื่อสร้างเสริมทักษะทางด้านสื่อ สารสนเทศ เทคโนโลยีและดิจิทัล 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ 2.1) เปรียบเทียบทักษะทางด้านสื่อ สารสนเทศ เทคโนโลยีและดิจิทัลของผู้สูงวัยหลังเรียนด้วยรูปแบบฯ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2.2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสูงวัยที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบฯ การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยผสานวิธีแบบพหุระยะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาผู้สูงวัย มหาวิทยาลัยวัยที่สาม เทศบาลนครพิษณุโลก ที่เรียนวิชาการใช้คอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์ กลุ่ม 1 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ แบบประเมินทักษะทางด้านสื่อ สารสนเทศ เทคโนโลยีและดิจิทัล และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test one sample</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>รูปแบบการการเรียนรู้ฯ มีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1) หลักการ 2) จุดมุ่งหมาย 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมี 4 ขั้นตอน คือ (1) Think (2) Pair (with AI) (3) Share และ (4) Change และ 4) การวัดและประเมินผล โดยนำเสนอรูปแบบฯ ตามแนวคิดของ Joyce, Weil and Calhoun ซึ่งมีคุณภาพความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ 1) นักศึกษาผู้สูงวัยมีทักษะทางด้านสื่อ สารสนเทศ เทคโนโลยีและดิจิทัลฯ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักศึกษาผู้สูงวัยมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบฯ ประเด็นการเรียนรู้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ทำให้การเรียนรู้สนุกขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> =4.59, S.D.=0.71)</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283505 การเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม 2025-05-13T15:46:43+07:00 บุญร่วม คำเมืองแสน arisa.saisrikosol@gmail.com สมบูรณ์ วัฒนะ arisa.saisrikosol@gmail.com อัคริมา มณีเลิศ arisa.saisrikosol@gmail.com อริสา สายศรีโกศล arisa.saisrikosol@gmail.com สุริยัน ผึ่งผาย arisa.saisrikosol@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม 2) พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม 3) จัดทำคู่มือรูปแบบการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม ผ่านกรอบแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านความปลอดภัย และด้านปัจจัยสนับสนุน เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากหนังสือ ตำรา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 17 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึก แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาเขียนสรุปบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>แนวคิดการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการ มีการจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี การสืบศาสนทายาทในพระพุทธศาสนาก็คือ “การบวชเรียน” การเสริมสร้างศาสนทายาทเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเข้ามาสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์</li> <li>การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม ในด้านการศึกษา มีการจัดประชุมวิชาการเฉพาะกลุ่ม จัดนิทรรศการแสดงผลงานนักเรียน กิจกรรมเสริมทักษะการเรียนรู้ และส่งเสริมให้นักเรียนเข้าร่วมปฏิบัติธรรมในวาระสำคัญต่าง ๆ ด้านความปลอดภัย มีการจัดทำประกันชีวิตและเปิดสมุดบัญชีเงินฝากให้กับนักเรียน สาธิตการป้องกันอัคคีภัย และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้านปัจจัยสนับสนุน มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน รวมทั้งสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ และในด้านปัจจัยสี่ มีร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน มีห้องพยาบาล และมีโรงครัวสำหรับการจัดทำภัตตาหารถวายเช้า-เพล</li> <li>จัดทำคู่มือรูปแบบการเสริมสร้างศาสนทายาทด้วยหลักสวัสดิการสังคม</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283547 รูปแบบการสร้างการตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ แบบวิถีพุทธในจังหวัดลำพูน 2025-05-06T16:02:17+07:00 พุฒิพัฒน์ พงศตุ้ย phutthiphat.pho@mcu.ac.th ไพรินทร์ ณ วันนา phutthiphat.pho@mcu.ac.th อุดร แสงแก้ว phutthiphat.pho@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ 2) วิเคราะห์การตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุแบบวิถีพุทธ 3) เสนอรูปแบบการสร้างการตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุแบบวิถีพุทธในจังหวัดลำพูน การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิ 36 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยจัดกลุ่มสาระสำคัญและวิเคราะห์เนื้อหา พร้อมนำเสนอด้วยการพรรณนาอ้างอิงคำพูดตามวัตถุประสงค์</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>การตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ ประกอบไปด้วย 1) การรับรู้คุณค่าในตนเอง 2) การรับรู้ความภาคภูมิใจในตนเอง 3) การรับรู้ถึงบทบาทหรือความสำคัญของตนเองต่อครอบครัว 4) การรับรู้การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมหรือชุมชน 5) การรับรู้ถึงการให้โอกาสทางสังคม 6) การรับรู้เกี่ยวกับความคาดหวังต่อชีวิตช่วงวัยสูงอายุในอนาคต และ 7) การรับรู้การสร้างขวัญกำลังใจเมื่อเกิดความรู้สึกท้อแท้ หรือไม่มีคุณค่า</li> <li>การตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุแบบวิถีพุทธอาศัยหลักภาวนา 4 คือ กายภาวนา สีลภาวนา จิตตภาวนา และปัญญาภาวนา ซึ่งสามารถประยุกต์เข้ากับการสร้างความสุข 5 มิติ ได้แก่ 1) สุขสบาย 2) สุขสนุก 3) สุขสง่า 4) สุขสว่าง และ 5) สุขสงบ</li> <li>รูปแบบการตระหนักรู้คุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุแบบวิถีพุทธในจังหวัดลำพูน เน้นการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ทักษะใหม่ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน และการมีบทบาทในครอบครัวและสังคม พร้อมกับการดูแลสุขภาพและการได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและคุณค่าในตนเอง รวมถึงหลักภาวนาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพทั้งกายและจิตใจ</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283451 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับนักศึกษาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง 2025-05-16T12:42:30+07:00 อภิพงค์ คำหงษา aphipong.kha@mbu.ac.th โยธิน มาศสุข aphipong.kha@mbu.ac.th วัฒนา ขันทะชา aphipong.kha@mbu.ac.th สิทธิชัย รินฤทธิ์ aphipong.kha@mbu.ac.th สุรีพร ชาบุตรบุณฑริก aphipong.kha@mbu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาการสอนสังคมศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอน 3) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาการสอนสังคมศึกษาที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง การวิจัยนี้เป็นแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) อาจารย์ประจำหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต 5 คน ครูกลุ่มสาระสังคมศึกษา สังกัด สพม.19 เลย หนองบัวลำภู จำนวน 10 คน 2) นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา จำนวน 19 รูป/คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบประเมินความพึงพอใจ 3) แบบประเมินสมรรถนะการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>รูปแบบการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ควรประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การตั้งคำถาม 2) จินตนาการคำตอบ 3) การแสวงหาความรู้ 4) วิเคราะห์ข้อมูล 5) แลกเปลี่ยนความรู้ 6) ประเมินผลการเรียนรู้</li> <li>การประเมินสมรรถนะในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษาการสอนสังคมศึกษา พบว่า ผลการประเมินของอาจารย์นิเทศมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{\textsc{X}}" alt="equation" /> = 4.09, S.D. = 0.02) และผลการประเมินของครูพี่เลี้ยงมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{\textsc{X}}" alt="equation" /> = 3.68, S.D. = 0.07)</li> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาการสอนสังคมศึกษาที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{\textsc{X}}" alt="equation" /> = 3.76, S.D. = 0.04)</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/286254 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา 2025-07-10T15:35:27+07:00 บัญชา ธรรมบุตร thammabut.bancha@gmail.com คชา ปราณีตพลกรัง thammabut.bancha@gmail.com ณัฐกิตติ์ สิริวัฒนาทากุล thammabut.bancha@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบท สภาพปัจจุบัน และความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 2) ออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 4) เพื่อประเมินและปรับปรุงรูปแบบการสอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา การวิธีวิจัยเป็นแบบวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาที่กำลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 38 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้คือ คะแนนเฉลี่ย ) และ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ต้องเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่งเสริมการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ บูรณาการเทคโนโลยีและสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ</li> <li>รูปแบบการจัดการเรียนรู้และคู่มือฝึกอบรมฯ ฉบับร่างเหมาะสมมาก มีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\small&amp;space;\bar{\textsc{X}}" alt="equation" /> = 4.21) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.62)</li> <li>ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</li> <li>ผลการประเมินรูปแบบการสอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีค่าความคิดเห็นระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\small&amp;space;\bar{\textsc{X}}" alt="equation" /> = 4.41) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D. = 0.69)</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283548 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการสอนของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามแนวพุทธบูรณาการ 2025-05-06T15:23:13+07:00 ภานุพงษ์ ดีวรรณา bangsdmzaa@gmail.com ไพรินทร์ ณ วันนา bangsdmzaa@gmail.com อุดร แสนแก้ว udorn.sang@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพทั่วไป วิเคราะห์รูปแบบ และเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการสอนของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมตามแนวพุทธบูรณาการ โดยศึกษาในโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา (เชียงใหม่), โรงเรียนโสภณวิทยา (ลำพูน) และโรงเรียนวัดพระธาตุดอยกองมูศึกษา (แม่ฮ่องสอน) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้สัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 20 รูป/คน และสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 รูป/คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง รวมทั้งหมด 27 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยจัดกลุ่มสาระสำคัญและวิเคราะห์เนื้อหา พร้อมนำเสนอด้วยการพรรณนาอ้างอิงคำพูดตามวัตถุประสงค์</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันการสอนของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม มี 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านวิชาการและความรู้ 2) ด้านการบูรณาการธรรมะกับวิชาสามัญ 3) ด้านการจัดการเรียนรู้และการใช้สื่อการสอน 4) ด้านการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมในผู้เรียน และ 5) ด้านการพัฒนาตนเองและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง</li> <li>รูปแบบการสอนของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม มี 5 รูปแบบ ดังนี้ 1) การสอนโดยใช้เทคโนโลยี 2) การสอนแบบมีส่วนร่วม 3) การสอนโดยเน้นศีล สมาธิ และปัญญา 4) การสอนที่ใช้แนวคิดบูรณาการ และ 5) การสอนที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะชีวิต</li> <li>รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการสอนของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมตามแนวพุทธบูรณาการ คือการใช้หลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา)</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/286203 นักศึกษากับการเคลื่อนไหวทางสังคม: กรณีศึกษาการประท้วงรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2564 2025-07-08T20:57:40+07:00 สมชัย แสนภูมี somchai.saen@vru.ac.th สมศักดิ์ สามัคคีธรรม saenphumi1@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการสร้างกรอบการเคลื่อนไหวทางสังคมของนักศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2564 2) ศึกษายุทธวิธีในการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบต่าง ๆ ของนักศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2564 โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ แบบกรณีศึกษา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบไปด้วย กลุ่มแกนนำคณะราษฎร 4 คน นักข่าวภาคสนาม 2 และนักวิชาการ 2 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ การวิจัยเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและการตีความ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลใช้แบบสามเส้า</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>ปัจจัยที่นำไปสู่การชุมนุม ได้แก่ การยุบพรรคอนาคตใหม่ ปัญหาการบริหารงานของรัฐบาล ความต้องการปฏิรูปสถาบัน ปัญหาการสืบทอดอำนาจของ คสช. และปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เป้าหมายหลักของการเคลื่อนไหว คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย การปฏิรูปโครงสร้าง การสร้างเสรีภาพและความเท่าเทียม จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านรัฐสภา และการระดมมวลชนใช้เครื่องมือหลัก คือ การสร้างประเด็นร่วม (ข้อเรียกร้อง 3 ประการ) การใช้สื่อสังคมออนไลน์และมีมทางการเมือง และการจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์</li> <li>ขบวนการนักศึกษาใช้ยุทธศาสตร์สันติวิธีในระยะแรก ก่อนปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับตอบโต้การใช้ความรุนแรงของรัฐ โดยใช้ยุทธวิธี คือ การนัดหมายตามแนวสถานีรถไฟฟ้า การชุมนุมแบบแฟลชม็อบ การจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสื่อสารและนัดหมายการชุมนุม ต่อมายกระดับการชุมนุม เช่น ชุมนุมค้างคืน การชุมนุมแบบไร้แกนนำ และมีการตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมในการชุมนุมใหม่ ๆ เช่น ชู 3 นิ้ว เป็ดยาง โบว์ขาว สื่อสังคมออนไลน์ วิ่งแฮมทาโร่ เป็นต้น</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283301 รูปแบบการพัฒนาวัดเขตโบราณสถานที่ปรากฏในคัมภีร์จามเทวีวงศ์ เชิงพุทธบูรณาการ 2025-04-30T16:17:56+07:00 วิโรจน์ ทนง nimdibthanong@gmail.com อุดร แสงแก้ว nareupan.som@mcu.ac.th อินทร์วงค์ วงค์ไชยคํา nareupan.som@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการพัฒนาวัดในเขตโบราณสถาน 2) ศึกษารูปแบบการพัฒนาวัดในเขตโบราณสถานเชิงพุทธบูรณาการ 3) เสนอรูปแบบการพัฒนาวัดตามคัมภีร์จามเทวีวงศ์เชิงพุทธบูรณาการ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการศึกษาข้อมูลเอกสาร การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มเฉพาะ ผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 กลุ่ม รวม 20 รูป/คน ได้แก่ พระมหาเถระ เจ้าอาวาส นักโบราณคดี นักวิชาการพระพุทธศาสนา และข้าราชการท้องถิ่น</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>การพัฒนาวัดในเขตโบราณสถานควรยึดหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นความสงบเรียบง่าย ไม่กระทบโบราณสถาน ส่งเสริมการศึกษา การเผยแผ่ธรรมะด้วยเทคโนโลยี การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการมีส่วนร่วมของชุมชน</li> <li>แนวทางพุทธบูรณาการควรดำเนินการตามแนวคิด 3E ได้แก่ Education (การศึกษาอบรมพระสงฆ์และเยาวชน) Engineering (ออกแบบพัฒนาพื้นที่ให้กลมกลืน) และ Enforcement (ควบคุมและดูแลกิจกรรมอย่างเหมาะสม) ควบคู่กับหลักสัปปายะ 7 เพื่อความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์ทางศาสนา</li> <li>การพัฒนาในคัมภีร์จามเทวีวงศ์เสนอรูปแบบ DEVIVONG ซึ่งประกอบด้วยการค้นหาและประเมิน (Discovery) การรวบรวมข้อมูล (Evidence) การตั้งเป้าหมาย (Vision) การวางแผนและบูรณาการ (Integration) การบูรณะและตรวจสอบ (Validation) การสร้างการมีส่วนร่วม (Outreach) การติดตามผล (Next steps) และการกำกับตามกฎหมาย (Governance) ซึ่งเป็นแนวทางที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาวัดอย่างยั่งยืนในมิติทั้งทางวัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/285165 การพัฒนารูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน 2025-07-08T20:48:42+07:00 นภัสรา นัดดากุล naphatsara1983@hotmail.com สมเกียรติ บุญรอด naphatsara1983@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) ประเมินรูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี วิธีดำเนินการ มี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสังเคราะห์เอกสาร ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ในโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 311 คน ศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยการสัมภาษณ์ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 5 คน ขั้นตอนที่ 2 สร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการยกร่างและตรวจสอบความเหมาะสมของร่างรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบตรวจสอบความเหมาะสมของร่างรูปแบบ และแบบสอบถามความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>รูปแบบการบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลำปาง ลำพูน ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ขอบข่ายการบริหาร 4) กระบวนการบริหาร 5) แนวทางการประเมิน และ 6) ปัจจัยความสำเร็จ</li> <li>ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของร่างรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ พบว่า มีความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/285214 การพัฒนาสื่อวีดีทัศน์เพื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การสร้างทางเรขาคณิต ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามการผสมผสานแนวคิด ห้องเรียนกลับด้านกับการโค้ช 2025-07-17T15:38:50+07:00 อุไร ซิรัมย์ urai.s@ds.ru.ac.th นิพนธ์ ฝ่ายบุญ nipon@rumail.ru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อวีดีทัศน์และแผนประกอบชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 2) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะปฏิบัติการสร้างทางเรขาคณิต ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือวิจัย (1) สื่อวีดีทัศน์และแผนประกอบชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ จำนวน 9 ชุด ประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสมระดับดีถึงดีมาก (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 45 ข้อ ค่าความยากง่าย .33 – .83 ค่าอำนาจจำแนก .20 – .76 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .919 ครอบคลุมทุกจุดประสงค์การเรียนรู้ (3) แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับมีค่า .929 จำนวน 25 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานทางสถิติ โดยใช้สถิติทดสอบที การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยมุ่งพัฒนาสื่อวีดีทัศน์</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของสื่อวีดีทัศน์และแผนประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การสร้างทางเรขาคณิต นั้นพบว่ามีประสิทธิภาพ เท่ากับ 92.24/82.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การสร้างทางเรขาคณิต หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อวีดีทัศน์และแผนประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การสร้างทางเรขาคณิต ตามการผสมผสานแนวคิดห้องเรียนกลับด้านกับการโค้ช พบว่าภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 98.8 มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงดีมากที่สุด</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283353 ภาวะผู้นำทางวิชาการที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา 2025-04-30T18:30:46+07:00 กฤษฎา วัฒนศักดิ์ krisda.wa2568@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน 2) ศึกษาปัจจัยภาวะผู้นำทางวิชาการที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีพหุระยะ โดยใช้ทั้งระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากครูผู้สอน จำนวน 400 คน จากสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวน 14 แห่ง สุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ และทำการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง ใน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มนักวิชาการ จำนวน 5 คน กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน และกลุ่มครู จำนวน 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>การประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษามีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งมากที่สุดในด้านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำหรับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน และมากที่สุดในด้านการกำหนดวิสัยทัศน์</li> <li>ปัจจัยภาวะผู้นำทางวิชาการส่งผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ โดยปัจจัยทุกด้านสามารถร่วมกันอธิบายการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ได้ร้อยละ 22.90</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ประกอบด้วย 1) การสื่อสารเป้าหมายอย่างทันเวลา 2) การลดตัวชี้วัดเป้าหมายให้กระชับ และ 3) การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวก</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/283636 การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน ตามหลักสาราณียธรรม 2025-05-06T16:16:23+07:00 กฤชนนท์ พุทธะ doctorkrit1@gmail.com อุดร แสงแก้ว doctorkrit1@gmail.com ไพรินทร์ ณ วันนา doctorkrit1@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน 2) ศึกษาหลักสาราณียธรรมที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา 3) เสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนตามหลักสาราณียธรรม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพระสงฆ์ ข้าราชการตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา และผู้ทรงคุณวุฒิและข้าราชการตำรวจระดับผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ปฏิบัติงาน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>การเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1) ด้านความรู้ 2) ด้านกฎหมาย การเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ตำรวจต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน รวมถึงสิทธิของผู้ต้องหาและผู้เสียหาย 3) ด้านทักษะ ตำรวจควรได้รับการฝึกอบรมในเรื่องเทคนิคการสืบสวน วิธีการพยาน การตรวจสอบหลักฐาน 4) ด้านคุณธรรมจริยธรรม และ 5) ด้านการบรรลุการทำงานตามวัตถุประสงค์</li> <li>หลักสาราณียธรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน มี 6 ประการ ดังนี้ 1) เมตตากายกรรม จริยธรรมและความโปร่งใสของเจ้าหน้าที่สืบสวนควรมีคุณธรรม จริยธรรมสูง 2) เมตตามโนกรรม การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพ การตั้งจิตปรารถนาดีต่อเพื่อนสมาชิก 3) เมตตาวจีกรรม การสื่อสารเข้าใจกัน 4) สาธารณโภคิตา การแบ่งปันในสิ่งของที่ได้มาโดยชอบธรรม 5) สีลสามัญญตา การปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับรักษาระเบียบวินัย 6) ทิฏฐิสามัญญตา เชื่อมั่นในหลักการร่วมกัน โดยมุ่งพิทักษ์ผลประโยชน์</li> <li>การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนตามหลักสาราณียธรรม แบ่งออกเป็น 2 ด้าน การพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน โดยเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ และการบริหารจัดการในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวนให้การบริการประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</li> </ol> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา https://so06.tci-thaijo.org/index.php/panya-thjo/article/view/286253 การประดิษฐานและการเผยแผ่ของธรรมยุติกนิกายในจังหวัดนครพนม 2025-08-05T16:51:26+07:00 เอกชัย คำภูษา khampusaphrakrusuthiwirawong@gmail.com ปุณณ์สมบัติ บุญเรือง Phrakrusuthiwirawong@gmail.com สมิตไธร อภิวัฒนอมรกุล Phrakrusuthiwirawong@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเกิดขึ้นและขยายตัวของคณะธรรมยุติกนิกายในจังหวัดนครพนม พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่เอื้อต่อการประดิษฐานอย่างมั่นคงในพื้นที่ คณะธรรมยุติกนิกายก่อตั้งโดยวชิรญาโณภิกขุ (รัชกาลที่ 4) ซึ่งทรงจัดระบบการศึกษาและวัตรปฏิบัติให้เป็นแบบแผน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวสู่ภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดอุบลราชธานี ผ่านการเผยแผ่ของพระเถระสายวิปัสสนาจารย์ ได้แก่ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมและข้อวัตรอย่างเข้มข้น จังหวัดนครพนม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีคณะธรรมยุติกนิกาย ได้รับการผลักดันจากผู้นำท้องถิ่น โดยเฉพาะพระยาสุนทรเทพกิจจาลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ส่งเสริมให้พระสงฆ์ศึกษาข้อวัตรของพระอาจารย์ใหญ่ จากนั้นได้นำมาปรับใช้และเผยแผ่ในพื้นที่ราวปี พ.ศ. 2449 การประดิษฐานคณะธรรมยุติกนิกายในนครพนมจึงเป็นทั้งการฟื้นฟูวินัยสงฆ์ และการปรับโครงสร้างศาสนาให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐสมัยใหม่ อาศัยเครือข่ายพระธุดงค์สายกรรมฐานและการสนับสนุนจากผู้นำท้องถิ่น ทำให้จังหวัดนครพนมกลายเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างศูนย์กลางคณะธรรมยุติกนิกายกับพื้นที่ชายแดนลาว ทั้งด้านศาสนา การปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาในเวลาต่อมา</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ปัญญา